They're all here to Heat You Up! & Melt You Down
Group Blog
 
All blogs
 

Ryan Gosling



ชื่อจริง: Ryan Thomas Gosling
ชื่อเล่น: Opie และ Trouble
วันเกิด: 12 พฤศจิกายน ปี 1980
สถานที่เกิด: ลอนดอน, ออนตาริโอ ประเทศแคนาดา
ส่วนสูง: 6 ฟุต 1 นิ้ว
ครอบครัว: พ่อ: Thomas Gosling แม่: Donna Gosling พี่สาว:
Mandi Gosling
การศึกษา: โรงเรียนเลสเตอร์ บี เพียร์สัน ไฮสคูลในเบอร์ลิงตัน, ออนตาริโอ
ความสัมพันธ์: เขาอยู่กับนักแสดงสาว Rachel McAdams ตอนที่ทั้งคู่เล่นเรื่อง The Notebook ด้วยกัน




Ryan said: “ผมได้เรียนรู้ว่า การไม่จำกัดตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญ คุณสามารถทำอะไรก็ที่คุณอยากจะทำจริงๆ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม”

Ryan Gosling หนุ่มตาหวานที่ทำให้สาวๆ ใจละลายมานักต่อนักจากความรักที่แสนซาบซึ้งของเขาใน The Notebook ได้พิสูจน์ตัวเองให้เห็นแล้ว ว่าเขาไม่ใช่เพียงแค่ดาราหนุ่มหน้าตาดีเท่านั้น แต่เขายังมีฝีมือชนิดหาตัวจับยากอีกด้วย เมื่อเขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในปีที่ผ่านมาจากผลงานเรื่อง Half Nelson


Ryan Thomas Gosling เกิดเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ปี 1980 ที่ลอนดอน, ออนตาริโอ และเติบโตขึ้นในคอร์นวอล เขาได้ก้าวเข้าสู่โลกมายาตั้งแต่อายุน้อยๆ เมื่อเขากับพี่สาวได้ร่วมแสดงในรายการประกวดพรสวรรค์ในท้องถิ่นหลายรายการ ซึ่ง Ryan ก็แสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขาเป็นนักแสดงตัวน้อยที่มีแววรุ่งอย่างรวดเร็ว


ไม่นานนักหลังจากนั้น Ryan ก็เริ่มมองหาโอกาสในการแสดงที่จริงจังมากขึ้น และพออายุ 12 ขวบ เขาก็ตัดสินใจลองเสี่ยงโชคด้วยการเข้าออดิชันรายการ The Mickey Mouse Club ซึ่งเป็นรายการดังทางช่องดิสนีย์ แม้ว่าเขาจะไม่เคยได้รับการฝึกฝนด้านการแสดงอย่างเป็นทางการมาก่อน แต่ Ryan ก็ต้องแปลกใจเมื่อเขาได้รับเลือกจากบรรดาหนูน้อยอีก 17,000 คนที่เข้ารับการคัดเลือกในครั้งนั้น


เมื่อเขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของนักแสดงเด็กใน The Mickey Mouse Club แล้ว เขาก็ได้กลายเป็นเพื่อนของนักร้องดังในอนาคตอย่าง Britney Spears, Christina Aguilera และ Justin Timberlake จริงๆ แล้ว ระหว่างที่เขาออกรายการนี้ เขาพักอยู่กับ Justin ด้วยซ้ำไป แม้ว่าเขาจะได้แสดงในรายการนี้ไม่นานเท่าไหร่ แต่มันก็เป็นโอกาสที่มากพอสำหรับการเข้าสู่วงการบันเทิงของเขาแล้ว


หลังโบกมือลารายการสำหรับคุณหนูแล้ว Ryan ก็เริ่มแสดงละครโทรทัศน์และภาพยนตร์แคนาเดียนหลายเรื่องเช่น Frankenstein and Me (1996) ที่เขารับบทเป็นเด็กน้อยที่พยายามจะปลุกชีวิตให้ Frankenstein และในปีเดียวกันนั้นเอง เขาก็ได้รับบทเด็กน้อยชาวอังกฤษในซีรีส์ The Road to Avonlea ที่แพร่ภาพทางดิสนีย์ แชนแนลในอเมริกา ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเจมินี อวอร์ด


Ryan เริ่มเป็นที่สนใจของผู้ชมชาวอเมริกามากขึ้น เมื่อเสน่ห์ขี้เล่นและหน้าตาที่น่ารักของเขาทำให้เขาได้รับเลือกให้แสดงในซีรีส์ Young Hercules ทางฟ็อกซ์ ที่เป็นเหมือนพรีเควลของซีรีส์ทีนำแสดงโดย Kevin Sorbo ตามมาด้วยการแสดงประกบ Denzel Washington ในภาพยนตร์กีฬาเรื่อง Remember the Titans (2000)





แต่บทบาทที่ทำให้เขาโดดเด่นขึ้นมาในกลุ่มนักแสดงรุ่นเยาว์นั้นคือบทเด็กหนุ่มชาวยิวผู้ไปพัวพันกับกลุ่มนีโอนาซีในภาพยนตร์เรื่อง The Believer (2001) ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น และได้รับรางวัลแกรนด์ จูรี ไพรซ์ในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ หลังจากนั้น Ryan ก็ได้รับเลือกให้รับบทเป็นเด็กหนุ่มที่มีปัญหาด้านจิตใจที่พยายามรับมือกับชีวิตในโลกอันโหดร้ายอีกครั้งใน The Slaughter Rule (2002) ก่อนจะไปรับบทเด็กหนุ่มที่พยายามจะเฉือนคมกับเจ้าหน้าที่เอฟบีไอหญิง (Sandra Bullock) ในภาพยนตร์ทริลเลอร์ระทึกขวัญเรื่อง Murder By Numbers (2002) และแสดงประกบ Jena Malone ในภาพยนตร์อินดีเรื่อง The United States of Leland (2003)
Ryan กลายเป็นดาราดาวรุ่งขวัญใจสาวๆ ทั่วโลกในปี 2004 เมื่อเขาแสดงประกบสาวสวย Rachel McAdams ในภาพยนตร์เกี่ยวกับความรักที่ไม่สั่นคลอนไปกับกาลเวลา The Notebook (2004) ของผู้กำกับ Nick Cassavetes ที่สร้างขึ้นจากนิยายชื่อดังโดย Nicholas Sparks ปฏิกิริยาเคมีของทั้งคู่แสดงที่ปรากฏในภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับความสนใจอย่างมากและในระหว่างนี้เอง Ryan ก็ได้ประกาศคบกับ Rachel McAdams นางเอกสาวของเรื่อง โดยหลายๆ คนตั้งข้อสังเกตว่ามันเป็นการคบเพื่อโปรโมตภาพยนตร์มากกว่า ซึ่งทำให้ไม่มีใครแปลกใจนักเมื่อทั้งคู่เลิกรากันอย่างรวดเร็วในเวลาต่อมา



ผลงานเรื่องถัดไปของเขา ภาพยนตร์อินดีเรื่อง Half Nelson (2006) เป็นผลงานที่ทำให้ Ryan ได้รับการพิจารณาว่าเป็นนักแสดงที่จริงจัง โดยในการเตรียมตัวสำหรับรับบท Dan Dunne ครูสอนประวัติศาสตร์ผู้ติดยาในโรงเรียนจูเนียร์ไฮ Ryan ลงทุนย้ายไปบรูคลินและคอยติดตามดูคุณครูโรงเรียนมัธยม รวมทั้งศึกษาเรื่องราวของการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องสิทธิทางการเมืองเพื่อเข้าถึงตัวละครของเขาและ Ryan แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมจนทำให้เขาได้รับรางวัลจากงานเทศกาลภาพยนตร์หลายๆ แห่ง รวมทั้งได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งแรกในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมอีกด้วย

ล่าสุด เรากำลังจะได้เห็น Ryan ในภาพยนตร์ดรามาทริลเลอร์อีกครั้งหนึ่งเมื่อเขาได้แสดงประกบ Anthony Hopkins นักแสดงคุณภาพของวงการในบททนายความหนุ่มที่ต้องหาหลักฐานมามัดตัวผู้ร้ายที่สารภาพว่าตัวเองเป็นคนฆ่าภรรยาให้ได้ในภาพยนตร์เรื่อง Fracture





เล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับ Ryan
เขาเอาชนะเด็กๆ กว่า 17,000 คนในการออดิชันสำหรับ The Mickey Mouse Club ซึ่งทำให้เขากลายเป็นเพื่อนกับ Christina Aguilera, Britney Spears และ Justin Timberlake

สมัยยังเรียนโรงเรียนประถม เขาถูกเพื่อนแกล้งบ่อยจนแม่เขาต้องให้เขาเลิกเรียนและสอนเขาที่บ้านแทน

ถึงแม้ Ryan จะหล่อลากดินอย่างนี้ก็เถอะ เขากลับไม่คิดว่าตัวเองดูดีเลย แถมเขายังคิดอีกว่า สาวๆ ที่ชมว่าเขาน่ารักน่ะน่าจะไปหาแว่นมาใส่ซะ




 

Create Date : 27 พฤศจิกายน 2550    
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2550 14:34:34 น.
Counter : 1503 Pageviews.  

Paul Walker





ชื่อจริง: Paul William Walker IV

วันเกิด: 12 กันยายน ปี 1973

สถานที่เกิด: เกลนเดล, แคลิฟอร์เนีย

ส่วนสูง: 6 ฟุต 4 นิ้ว

ครอบครัว:
พ่อ: Paul W. Walker Sr. ช่างภาพหนังสือพิมพ์
แม่: นางแบบ
น้องสาว: Ashlie Walker
น้องชาย: Caleb Walker และ Cody Walker

การศึกษา: เอกมนุษยวิทยาจากวิทยาลัยในเซาเธิร์น แคลิฟอร์เนีย

ความสัมพันธ์:
แม้ว่าเขาจะมีลูกสาวหนึ่งคนชื่อ Meadow (1999) จากแฟนเก่า Bliss Ellis ตัวประกอบที่เล่นเรื่อง Varsity Blues ด้วยกัน แต่ปัจจุบันเขายังไม่มีแฟนสาวเป็นตัวเป็นตนเลย




Paul said

“รู้อะไรมั้ย สิ่งที่สำคัญที่สุดจริงๆ แล้วคือการที่ผู้คนที่คุณรักมีความสุขและสุขภาพแข็งแรงดี ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็เป็นแค่ไอซิงโรยหน้าบนไอศกรีมซันเดย์เท่านั้นเองครับ”



Paul William Walker IV ลูกคนโตของครอบครัว Walker เกิดเมื่อวันที่ 12 กันยายน ปี 1973 จากคุณ
พ่อที่เป็นช่างภาพหนังสือพิมพ์และคุณแม่ที่เป็นนางแบบ ในเกลนเดล รัฐแคลิฟอร์เนีย คุณแม่ของ Paul ได้ใช้เส้นสายที่เธอมีในวงการบันเทิงแนะนำโลกให้ได้รู้จักเด็กน้อยที่จะกลายเป็นนักแสดงที่ประสบความสำเร็จในอนาคต โดยเธอได้ทำให้ Paul กลายเป็นนักแสดงและนายแบบตั้งแต่อายุสองขวบ

แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นประโยชน์จากการแสดงเท่าไหร่ เขาก็ยังคงแสดงต่อไปเนื่องจากแรงสนับสนุนของพ่อแม่เขา ที่อยากให้เขามีเงินรายได้เป็นทุนสำหรับเรียนต่อมหาวิทยาลัยของตัวเอง ในช่วงกลางทศวรรษที่ 80s Paul ได้แสดงสามเอพิโซดของ Highway to Heaven ในบทเด็กหนุ่มปัญญาอ่อนที่เข้ารับการบำบัด และเขายังได้แสดงในภาพยนตร์เด็กที่ชื่อ Monster in the Closet ก่อนที่เขาจะได้รับบทประจำในซีรีส์ซิทคอม Throb ในบท Jeremy Beatty ลูกชายของ Diana Canova และบทในภาพยนตร์เกรดบีเรื่อง Programmed to Kill เมื่ออายุได้สิบสี่ปี

สำหรับ Paul การแสดงส่งผลตามที่เขาหวังไว้ นั่นคือมันทำให้เขาสามารถเข้าเรียนยังมหาวิทยาลัยของท้องถิ่นได้ โดยเขาได้เลือกเรียนต่อในสาขามีนวิทยาด้วยความตั้งใจที่จะเป็นนักชีววิทยาทางทะเล แต่ถึงอย่างไร เมื่อมีเวลาว่าง เขาก็รับงานแสดงอยู่เสมอ และเขาก็มีผลงานออกมาในละครเรื่อง The Young and the Restless ในปี 1993 และภาพยนตร์เรื่อง Tammy and the T-Rex ในปี 1994 จนกระทั่งเมื่อเพื่อนสมัยเด็กคนหนึ่งของเขาเสนอแนะให้เขาลองออดิชันสำหรับบทในซีรีส์ Touched by an Angel ซึ่งทำรายได้ให้เขา 5,000 เหรียญภายในสามวัน เขาถึงได้ตัดสินใจดร็อปออกจากมหาวิทยาลัยและทุ่มเทให้กับการแสดงอย่างเต็มตัว

แม้ว่าเขาจะห่างเหินจากการแสดงไปเป็นเวลากว่าสองปี ในที่สุด Paul ก็ได้แสดงในซีรีส์น่ารักอบอุ่นทางซีบีเอส และหนึ่งเดือนให้หลัง เขาก็ได้รับเลือกให้แสดงเป็นดาราบาสเก็ตบอลใน Pleasantville ที่ร่วมแสดงโดย Tobey Maguire และ Reese Witherspoon อันเป็นผลงานที่ทำให้เขาเริ่มเป็นที่รู้จักของผู้ชมทั่วโลก และเส้นทางนักแสดงของเขาก็รุ่งโรจน์ขึ้นเรื่อยๆ นับแต่นั้นมา

แม้ Meet the Deedles ผลงานอีกเรื่องของเขาในปีเดียวกันนั้น จะไม่ประสบความสำเร็จในบ็อกซ์ออฟฟิศเท่าไรนัก Paul ก็ได้ประสบการณ์อันล้ำค่าในการได้เรียนรู้จากนักแสดงผู้ยิ่งใหญ่อย่าง Dennis Hopper โดยในเรื่องนี้ เขาได้รับบท Phil Deedle หนุ่มนักเซิร์ฟ ซึ่งเปิดโอกาสให้เขาได้แสดงความชื่นชอบกีฬาชนิดนี้ออกมาได้อย่างเต็มที่




หลังจากนั้น เขาก็ได้รับบทสมทบในภาพยนตร์ฮิตปี 1999 อย่าง Varsity Blues ภาพยนตร์ดรามาเกี่ยวกับฟุตบอลไฮสคูล ที่เขาเล่นเป็นควอเตอร์แบ็คที่ได้รับบาดเจ็บและ She’s All That ในบทเพื่อนรักและคู่แข่งของ Freddie Prinze Jr. ที่ส่งให้เขาโด่งดังยิ่งขึ้นและทำให้เขามีฐานแฟนหนังเป็นวัยรุ่นสาวๆ มากขึ้นด้วย เขาพูดถึงประสบการณ์ในเรื่องนี้ว่า แม้ว่าเขาจะสนุกสนานกับมัน แต่เขาก็หวังที่จะได้รับบทบาทที่จริงจังยิ่งขึ้นในอนาคต แม้ว่าผลงานเรื่องถัดไปของเขา Brokedown Palace จะไม่ปรากฏเครดิตชื่อของเขา แต่มันก็เป็นโอกาสให้เขาได้ร่วมแสดงกับ Claire Danes นักแสดงสาวดาวรุ่งที่เขาชื่นชมและหลงใหลได้ปลื้ม ก่อนที่เขาจะพลิกไปรับเล่นภาพยนตร์ทริลเลอร์เกี่ยวกับสมาคมลับใน The Skulls ปี 2000

ถึงตอนนี้ ชื่อของ Paul Walker เริ่มเป็นที่รู้จักในระดับหนึ่งแล้ว แต่เขาก็ได้ชื่อว่าเป็นเพียงดาราขวัญใจวัยรุ่นเท่านั้นเอง อย่างไรก็ดี สถานะของ Paul ก้าวขยับขึ้นสู่ความเป็นดาราเอลิสต์ด้วยภาพยนตร์แอ๊กชันมันส์ระห่ำ The Fast and the Furious (2001) โดยในเรื่องนี้ Paul ที่แสดงฉากผาดโผนส่วนใหญ่ด้วยตัวเองและ Vin Diesel เพื่อนร่วมแสดงของเขา ได้รับรางวัลคู่หูดีเด่นจากภาพยนตร์ในงานประกาศผลรางวัล 2002 MTV Movie Awards

Joy Ride ผลงานทริลเลอร์เรื่องถัดไปของเขา แม้จะทำรายได้ไม่ดีนักในบ็อกซ์ออฟฟิศ แต่การแสดงของเขาก็ได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์พอสมควร และภาพลักษณ์ความเป็นหนุ่มแกร่งห้าวหาญของเขาก็ยิ่งประทับอยู่ในความทรงจำของทุกคนชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

ในปี 2003 เขากลับมารับบท Brian O’Conner อีกครั้งหนึ่งใน 2 Fast 2 Furious ภาพยนตร์แอ๊กชันความเร็วสูงซึ่งเป็นซีเควลต่อจาก The Fast and the Furious ถึงคราวนี้ Vin Diesel จะปฏิเสธที่จะกลับมาเล่นในภาคต่อนี้ แต่ Paul ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ชื่อของเขาก็เป็นแม่เหล็กดึงดูดคนดูได้ไม่แพ้กัน เมื่อ 2 Fast 2 Furious ทำรายได้รวมไปได้ถึง 127 ล้านเหรียญ ต่างกับภาคแรก The Fast and the Furious ที่ทำไปได้ 144 ล้านเหรียญไม่เท่าไหร่ และในปี 2005 Paul มาในบทบู๊อีกครั้งหนึ่งจาก Into the Blue ภาพยนตร์แอ๊กชันตื่นเต้นที่ร่วมแสดงโดย Jessica Alba





เล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับ Paul

เขาเริ่มถ่ายโฆษณาตั้งแต่อายุสองขวบ และหนึ่งในโฆษณานั้นก็คือโฆษณาแพมเพอร์ส ซึ่งเป็นหัวข้อที่มักจะถูกหยิบยกมาพูดในรายการทอล์คโชว์ให้เขาได้เขินอายอยู่เสมอ

ตอนแรก เขาไม่ได้คิดสนใจการแสดงเลยซักนิด เพราะเขามักจะคิดอยู่เสมอว่า มันเป็น “เหมืออาชีพพิลึกพิลั่นในดินแดนสมมติ” โชคดีที่เขาเปลี่ยนความคิดนะเนี่ย!

เขาถูกวางตัวให้รับบท Jim Street ในภาพยนตร์แอ๊กชัน S.W.A.T. แต่ก็ถอนตัวออกไปเสียก่อน และผู้ที่มารับบทนี้แทนเขาก็คือเด็กซ่าส์ Colin Farrell ยังไงล่ะ




 

Create Date : 09 มิถุนายน 2550    
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2550 15:43:06 น.
Counter : 2663 Pageviews.  

James Franco



ชื่อจริง: James Edward Franco

ชื่อเล่น: Ted, Teddy

วันเกิด: 19 เมษายน ปี 1978

สถานที่เกิด: พาโต อัลโต, แคลิฟอร์เนีย

ส่วนสูง: 5 ฟุต 11 นิ้ว

ครอบครัว:
พ่อ: Doug Franco
แม่: Betsy Verne Levine
น้องชาย: Tom และ David

การศึกษา: มหาวิทยาลัย UCLA
ความสัมพันธ์: เคยเดทกับเพื่อนนักแสดงด้วยกันอย่าง Sarla Sokoloff ช่วงปี 2000-2004



James said:

“การแสดงเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง และคุณก็คงอยากจะรับบทที่มันท้าทาย และผมคิดว่า การรับบทตัวละครที่มืดหม่นก็เป็นความท้าทาย ก็ไม่ใช่ว่าผมอยากจะเล่นบทพวกนั้นตลอดหรอกนะครับ เพียงแต่มันเป็นความท้าทาย และความท้าทายก็ทั้งคุ้มค่าและสนุกด้วยครับ”



James Franco หนุ่มน้อยผมเข้ม ผู้มีใบหน้าหล่อเหลาราวรูปสลัก กลายเป็นขวัญใจของสาวน้อยสาวใหญ่

ทั่วโลกจากบทบาทของเขาในซีรีส์ทาง NBC เรื่อง Freaks and Geeks และภาพยนตร์รักโรแมนติกอย่าง Never Been Kissed ที่นำแสดงโดยนางเอกสาวแก้มยุ้ย Drew Barrymore

James Edward Franco ลูกชายคนโตของ Doug Franco ศิลปินชาวอเมริกัน/สแปนิชและ Betsy Verne Levine นักวาดภาพชาวอเมริกันเชื้อสายยิว เกิดในวันที่ 19 เมษายน ปี 1978 ในอัลโต พาโต รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ซึ่งเป็นบ้านของเขาจนปัจจุบัน หลังจากจบไฮสคูลจากพาโล อัลโต ไฮสคูลในปี 1996 เขาก็ได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัย UCLA ในสาขาภาษาอังกฤษ ระหว่างนั้นเองที่เขาเริ่มสนใจการแสดง ด้วยความคิดว่ามันจะช่วยทำให้เขาเลิกเป็นคนขี้อายได้ กลับกลายเป็นว่า เขารักการแสดงมากกว่าที่เคยคิดไว้ และตัดสินใจเลิกเรียนที่ UCLA หลังจากเรียนได้เพียงปีเดียว

จากนั้น เขาก็ได้ศึกษาการแสดงอย่างจริงจังภายใต้การสอนของ Robert Carnegie, Jeff Goldblum และ Tony Savant และทำการฝึกฝนที่โรงละครเพลย์เฮาส์ เวสต์ในถิ่นนอร์ธ ฮอลลีวูดอย่างหนักหน่วงเป็นเวลาถึงสิบห้าเดือนอีกด้วย หลังจากนั้นเองที่เขาเริ่มทำการไล่ตามความฝันในการเป็นนักแสดงในฮอลลีวูดอย่างจริงจัง และไม่นาน เขาก็ได้รับบทนำในซีรีส์อายุสั้นแต่ได้รับความนิยมสูงทาง NBC เรื่อง Freaks and Geeks
ในไม่ช้า หลังจากที่เขาได้รับบท Daniel หนุ่มคมเข้มที่มองโลกในแง่ร้ายตลอดใน Freaks and Geeks ซึ่งผู้ชมพบว่าการแสดงของเขาทั้งสมจริงและเข้าถึงได้ James ก็เริ่มได้รับบทในภาพยนตร์วัยรุ่นเรื่องแล้วเรื่องเล่า เริ่มจาก Never Been Kissed ที่เขาได้ร่วมแสดงกับ Drew Barrmore และ Michael Vartan ตามด้วย Whatever It Takes ที่เขารับบทหนุ่มนักกีฬาขวัญใจสาวๆ




แม้ว่าถึงตอนนั้น James จะเริ่มเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาของผู้ชมทั้งจอแก้วและจอเงินแล้ว บทบาทที่ทำให้เขาได้รับตำแหน่งขวัญใจสาวๆ อย่างเต็มภาคภูมิคือบท James Dean พระเอกมาดเข้มแห่งวงการ ในภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์ของ TNT เรื่อง James Dean ผลงานเรื่องนี้ทำให้เขาได้ลงนิตยสารมากมายหลายเล่มและทำให้ทุกคนได้ตระหนักถึงพรสวรรค์ของเขามากขึ้น
เขาพูดถึงความรู้สึกของเขาในการรับบทนักแสดงคนดังว่า “การได้สวมบทเป็น James Dean มันเหลือเชื่อมากครับ” เขาพูดอย่างตรงไปตรงมา “ตอนแรก ผมก็กลัวหน่อยๆ ตอนที่มีคนมาทาบทามผมในเรื่องนี้ แต่ผมก็รู้สึกว่า ผมจะสามารถสวมบทเป็นเขาได้อย่างดี” เห็นได้ชัดว่า James ไม่ใช่คนเดียวที่คิดเช่นนั้น เพราะในปีถัดไป เขาก็ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำจากการแสดงของเขา และ James Dean ก็กลายเป็นภาพยนตร์ที่เรทติงสูงสุดตลอดกาลทาง TNT

นับแต่นั้นมา เขาก็ได้รับข้อเสนอเข้ามามากมายไม่หยุดหย่อน และหลังจากที่เขาเข้าทำการออดิชัน Spider-Man ในบท Peter Parker และพลาดบทนี้ไปให้ Tobey Maguire เขาก็ได้รับบทเป็น Harry Osborne เพื่อนสนิทของ Spider-Man ในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ฟอร์มยักษ์ประจำซัมเมอร์ปี 2002 อย่าง Spider-Man

หลังจากที่เขากลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นจากเรื่อง Spider-Man ที่เขาได้ร่วมแสดงกับ Tobey Maguire, Willem Dafoe และ Kirsten Dunst เขาก็มีผลงานในเรื่อง Deuces Wild ภาพยนตร์ดรามาเกี่ยวกับแก๊งอาชญากรสไตล์ยุค 50s ก่อนที่เขาจะได้รับบทที่ท้าทายที่สุดในชีวิตนักแสดงของเขา ซึ่งก็คือบทผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม ที่บังเอิญเป็นลูกชายของนักสืบแห่งกรมตำรวจนิวยอร์กที่รับบทโดยนักแสดงในตำนานอย่าง Robert De Niro ใน City by the Sea โดย Robert De Niro เป็นคนที่เลือก James มาเล่นในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยตัวเอง หลังจากที่เขาได้เห็นฝีมือการแสดงของ James ในเรื่อง James Dean

จากนั้น เขาก็ได้เล่นภาพยนตร์ดรามาเกี่ยวกับกลุ่มนักเต้นบัลเลต์ The Company ที่นำแสดงโดย Neve Campbell และภาพยนตร์อินดีเรื่อง The Ape ที่เขาควบหน้าที่มือเขียนบทและผู้กำกับด้วย ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการเล่นดรามาของเขามากยิ่งขึ้น ก่อนที่เขาจะกลับไปรับบทที่ทำให้เขาโด่งดังทั่วโลก Harry Osborne อีกครั้งหนึ่งใน Spider-Man 2 โดยเขาได้พูดถึงตัวละครของเขาว่า “Harry เป็นคนที่หดหู่และมีจิตใจสับสนมากครับ เขาเป็นตัวละครที่ค่อนข้างมืดหม่น และการได้เล่นบทที่ ‘มืดหม่น’ แบบนี้ก็มักจะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าเสมอครับ”

จริงๆ แล้ว มันก็เป็นผลตอบแทนที่คุ้มค่าจริงๆ นั่นแหละ เพราะหลังจาก Spider-Man 2 แล้ว เขาก็ก้าวพ้นจากความเป็นนักแสดงสมทบไปเป็นนักแสดงนำอย่างเต็มตัว โดยผลงานเรื่องล่าสุดของเขาที่เรากำลังจะได้ชมกันก็คือ The Great Raid ภาพยนตร์เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง ที่เขาจะมีโอกาสได้แสดงฝีมือการแสดงดรามาที่จริงจังอีกครั้งหนึ่ง






 

Create Date : 05 มิถุนายน 2550    
Last Update : 5 มิถุนายน 2550 14:36:53 น.
Counter : 1349 Pageviews.  

Kevin Zegers




ชื่อจริง: Kevin Joseph Zegers

ชื่อเล่น: Ziggy

วันเกิด: 19 กันยายน ปี 1984

สถานที่เกิด: เซนต์ แมรี, ออนตาริโอ

ส่วนสูง: 5 ฟุต 9 นิ้ว

ครอบครัว:
พ่อ: Jim Zegers
แม่: Mary Ellen Zegers
พี่สาว: Krista
น้องสาว: Katie

การศึกษา: St. Mary's catholic high school

ความสัมพันธ์: กำลังเดทกับนักแสดงสาว Marisa Coughlan







Kevin said:

“ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นคนพิเศษที่คนอื่นๆ จะต้องคอยมองหาหรอกนะครับ…และผมก็ไม่ได้คิดด้วยว่าตัวเองเป็นคนที่น่าหลงใหลปรารถนาอะไรด้วย”






จริงๆ แล้ว ตอนแรกก็ไม่ได้คิดจะหยิบประวัติของน้อง Kevin Zegers มาทำหรอก แต่เห็นคนข้างๆ ที่ไปดู Transamerica ออกอาการหลงใหลได้ปลื้มหนุ่มน้อยคนนี้จนออกนอกหน้า และคิดว่าหลายๆ คนที่ได้ไปดูภาพยนตร์คุณภาพเรื่องนี้คงจะชื่นชอบนักแสดงหนุ่มคนนี้ไม่ต่างกัน ก็เลยตัดสินใจหยิบเรื่องราวของน้อง Kevin มาแนะนำให้รู้จักกัน


Kevin Joseph Zegers เกิดเมื่อวันที่ 19 กันยายน ปี 1984 ในเซนต์ แมรี, ออนตาริโอและเติบโตขึ้นมาในวู้ดสต็อค, ออนตาริโอ ครอบครัวของเขาที่ประกอบไปด้วย Jim Zegers พ่อ Mary Ellen Zegers แม่ Krista พี่สาว และ Katie น้องสาว เป็นครอบครัวที่ใกล้ชิดสนิทสนมกันดี และ Kevin ก็พูดถึงครอบครัวของเขาว่า “พ่อแม่ของเราชอบใช้เวลาอยู่กับพวกเรา และพวกเราก็ชอบใช้เวลาอยู่กับพวกเขาเหมือนกัน คือพวกเราเป็นเหมือนเพื่อนกันมากกว่าน่ะครับ”



Kevin เริ่มต้นก้าวสู่โลกการแสดงตั้งแต่อายุน้อย ด้วยการแสดงโฆษณาหลายตัว ก่อนที่เขาจะได้แสดงภาพยนตร์เรื่องแรกเมื่ออายุ 7 ขวบ ในบทตัวละครวัยเด็กของ Michael J. Fox ในภาพยนตร์ดรามาดีเกี่ยวกับนักแสดงเด็กผู้เติบโตขึ้นมาเป็นเจ้าของเอเจนซีนักแสดงที่ดึงเอานักล้วงกระเป๋าตัวน้อยมาเป็นนักแสดงในสังกัด จากนั้น Kevin ก็มีผลงานการแสดงอีกหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น In the Mouth of Madness (1994) ภาพยนตร์สยองขวัญของ John Carpenter, Thicker Than Blood: The Larry McLinden Story (1994) ภาพยนตร์ดรามาเกี่ยวกับความขัดแย้งในครอบครัว, ภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์เรื่อง The Silence of Adultery (1995), Specimen (1996) ภาพยนตร์ไซไฟเกี่ยวกับสายเลือดของเอเลียนที่ถูกทิ้งไว้บนผืนโลก, The Cold Heart of a Killer (1996) ภาพยนตร์ทริลเลอร์ที่กำกับโดย Paul Scheneider และ Rose Hill (1997) ภาพยนตร์เวสเทิร์นที่เขาร่วมแสดงโดย Jennifer Garner นางเอกคนดังของวงการสมัยที่ยังไม่ดัง

ระหว่างปี 1996-1997 นั้น งานของ Kevin เริ่มขาดหาย และการออดิชันหลายต่อหลายครั้งของเขาก็ประสบความล้มเหลว Kevin พูดถึงช่วงเวลานั้นในชีวิตของเขาว่า “ทุกคนก็คงต้องเจอบางช่วงเวลาที่พวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขาต้องการจะทำอะไร สำหรับผม มันเกิดขึ้นตอนที่สิ่งต่างๆ เริ่มเดินช้าลง ปีนั้น ผมไปออดิชันตลอด แต่ก็ไม่ได้บทอะไรติดไม้ติดมือกลับบ้านเลย”



อย่างไรก็ดี ในปี 1997 นั้นเองที่ Kevin ได้รับบทบาทที่ทำให้เขากลายเป็นที่สนใจของคอหนัง Josh Framm ในภาพยนตร์เรื่อง Air Bud เรื่องราวน่ารักเกี่ยวกับเด็กชายขี้เหงาที่ผูกมิตรกับยอดสุนัขที่เล่นบาสเก็ตบอลได้นี้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่และก่อเกิดเป็นซีเควลตามมาอีกสามภาค โดย Kevin ก็ได้เล่นทั้งสามภาคนั้นด้วย ซึ่งได้แก่ Air Bud: Golden Receiver (1998), Air Bud: World Pup (2000), Air Bud: Seventh Inning Fetch (2002) และเขาก็ได้นำแสดงในภาพยนตร์แนวใกล้เคียงกันอย่าง MVP: Most Valuable Primate (2000) ที่นำเสนอเรื่องราวของลิงตัวหนึ่งที่เล่นฮ็อคกีได้


หลังความสำเร็จเปรี้ยงปร้างจากภาพยนตร์สำหรับครอบครัว Air Bud แล้วนั้น เขาก็ได้แสดงภาพยนตร์สำหรับครอบครัวอีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น A Call To Remember (1997) ภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์ ที่เขาร่วมแสดงกับ Joe Mantegna, Treasure Island (1998) ภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นจากนิยายเด็กเรื่องดังของ Robert Louis Stevenson ที่ร่วมแสดงโดย Jack Palance, Nico the Unicorn (1998) ที่เขาร่วมแสดงโดย Elisha Cuthbert และ Time Share (2000) ภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดีที่ร่วมแสดงโดย Nastassja Kinski
แม้ว่าผลงานส่วนมากที่ผ่านมาของ Kevin จะเป็นภาพยนตร์สำหรับครอบครัวหรือภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับสัตว์แสนรู้ซะส่วนใหญ่ แต่ Kevin ก็ไม่ได้ถูกจัดประเภทให้เล่นแต่ภาพยนตร์แนวนั้น และเขาก็มีโอกาสได้รับบทบาทที่หลากหลายอื่นๆ ด้วย โดยในปี 1998 เขาได้เล่นภาพยนตร์สยองขวัญเรื่องแรก Shadowbuilder เรื่องของปีศาจที่ถูกเรียกตัวมารับวิญญาณของเด็กชายตัวน้อยผู้ไร้เดียงสา ตามมาด้วย Komodo (1999) ภาพยนตร์ไซไฟเกี่ยวกับเด็กน้อยที่พบกับมังกรโคโมโดบนเกาะแถบนอร์ธ แครอไลนา


ในภาพยนตร์เรื่อง It Came From The Sky (1999) Kevin ที่ตอนนั้นอายุได้ 13 ปีรับบทเป็นเด็กที่สติไม่ปกติที่ได้รับการมาเยี่ยมเยือนจากคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งที่เป็นเหมือนเทวดามาโปรด และใน Four Days (1999) Kevin ก็ได้รับบทเด็กชายไร้ชื่อที่ทำทุกอย่างเพื่อพ่อผู้เป็นโจรปล้นธนาคารของเขา และ Kevin ก็พูดถึงประสบการณ์ในภาพยนตร์แคนาดาเรื่องนี้ว่า “ผมเคยแต่เล่นหนังที่ผมต้องอยู่กับหมาหรือลิง หรือไม่ก็เล่นบาสเก็ตบอล” เขากล่าวพลางหัวเราะว่า “Four Days เป็นหนังที่ค่อนข้างฮาร์ดคอร์ทีเดียวครับ ซึ่งมันเป็นเรื่องท้าทายมากขึ้นสำหรับผมในฐานะนักแสดงด้วย”



พออายุได้ 15 หนทางการเป็นนักแสดงของ Kevin ก็สว่างไสวขึ้นอีกครั้งเมื่อเขาได้รับการเลือกจากโปรดิวเซอร์โทรทัศน์ชื่อดัง Aaron Spelling ให้ร่วมแสดงในซีรีส์โทรทัศน์เรื่องใหม่ Titans ซีรีส์เรื่องกล่าวทำให้เขาได้รับบทประจำในซีรีส์โทรทัศน์เป็นครั้งแรก และเขาก็ได้ร่วมแสดงกับ Yasmine Bleeth, Casper Van Dien และ Victoria Principal แม้ว่าซีรีส์ช่วงไพรม์ไทม์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวคนนี้จะมีอายุสั้น แต่บทบาทนี้ก็ก็ทำให้ Kevin โด่งดังขึ้นด้วย



หลังจาก Titans Kevin ก็ได้ผันตัวเองไปเล่นภาพยนตร์สยองขวัญอย่างต่อเนื่อง เริ่มต้นจาก Fear of the Dark (2002) ภาพยนตร์เขย่าขวัญเกี่ยวกับปีศาจร้ายที่เร้นกายในความมืด, Wrong Turn (2003) เรื่องราวเกี่ยวกับวัยรุ่นห้าคนที่เลี้ยวผิดจนไปเจอจุดจบสยอง ที่เขาร่วมแสดงโดย Eliza Dushku, The Hollow (2004) ภาพยนตร์เกี่ยวกับตำนานสยองของท้องถิ่นที่ร่วมแสดงโดย Nick Carter นักร้องหนุ่มจากวง BSB และ Dawn of the Dead (2004) รีเมกจากภาพยนตร์สยองขวัญคลาสสิกฝีมือ George A. Romero เจ้าพ่อซอมบี



ล่าสุด Kevin ที่ตอนนี้อายุ 19 ก็ได้รับบทบาทที่น่าจดจำที่สุดบทบาทหนึ่งของเขา Toby Osbourne หนุ่มน้อยที่ออกตามหาพ่อที่แท้จริงโดยไม่รู้ว่า พ่อของเขากำลังจะผ่าตัดแปลงเพศเป็นผู้หญิง โดยในเรื่องนี้ เขาได้ร่วมแสดงกับ Felicity Huffman หนึ่งสาวจากซีรีส์ดัง Desperate Housewives ซึ่งได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในปีนี้ด้วย ถ้าใครอยากรู้ว่า หนูน้อยน่ารักจาก Air Bud โตขึ้นมาแล้วจะหล่อเหลาใช้การได้ขนาดไหน ขอบอกว่าพลาดเรื่องนี้ไม่ได้เด็ดๆ






เล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับ Kevin

นามสกุลของเขาอ่านว่า "ziggers" ไม่ใช่ “zeegers”

เขาเป็นนักกีฬาตัวยงเลยล่ะ (แม้ว่าหลายคนที่เห็นกล้ามอกเขาจากใน Transamerica คงจะพอรู้กันมาบ้างแล้ว) เขาอยู่ในทีมฟุตบอลและบาสเก็ตบอลของโรงเรียน และเขายังเล่นกอล์ฟ ยกน้ำหนักและฮ็อคกีด้วย และเวลาไหนที่เขาไม่เล่นกีฬา เขาก็มักจะนั่งอยู่หน้าจอดูช่อง ESPN ชนิดไม่กะพริบตา

อีกอย่างหนึ่ง สำหรับสาวแท้หรือสาวเทียมที่หลงใหลได้ปลื้มหนุ่มหน้าหวานคนนี้ เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่าตัวเขาเป็น “เมโทรเซ็กชวล” จ้ะ





 

Create Date : 05 มิถุนายน 2550    
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2550 15:51:08 น.
Counter : 2466 Pageviews.  

Johnny Depp



ชื่อจริง: John Christopher Depp III

ชื่อเล่น: Mr. Stench

วันเกิด: 9 มิถุนายน ปี 1963

สถานที่เกิด: โอเวนส์โบโร, เคนตั๊กกี

ส่วนสูง: 5 ฟุต 10 นิ้ว

ครอบครัว:
พ่อ: John Christopher Depp (วิศวกรโยธา)
แม่: Betty Sue Palmer (พนักงานเสิร์ฟ)
พี่สาว: Christie Dembrowski (ผู้จัดการส่วนตัวของ Johnny), Debbie Depp พี่ชาย: D.P. Depp (มือเขียนบท)

ความสัมพันธ์ : เขาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับ Vanessa Paradis นักแสดงหญิงชาวฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 1998 มีลูกด้วยกันสองคนคือ ลูกชาย: Jack John Christopher Depp III และ ลูกสาว: Lily-Rose Melody

การศึกษา: ลอฟท์ สตูดิโอในลอสแองเจลิส, แคลิฟอร์เนีย




ถึงแม้ว่า Johhny Depp จะเป็นหนึ่งในนักแสดงที่ได้รับการยกย่องสูงสุดของฮอลลีวูด แต่เขาก็ไม่ใช่นักแสดงที่เรียกได้ว่าทำเงินให้สตูดิโอเป็นกอบเป็นกำ (เว้นแต่ใน Pirates of the Caribbean) สาเหตุหนึ่งก็เป็นเพราะบทบาทส่วนใหญ่ที่เขาเลือกจะเป็นบทที่แปลก
พิสดารหรือพิลึกพิลั่น แต่นั่นก็เป็นเพราะเขาตั้งใจที่จะพิสูจน์ความสามารถในฐานะนักแสดงของตัวเองด้วยการรับบทที่ท้าทายต่างหากล่ะ

John Christopher Depp II เกิดเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ปี 1963 ในโอเวนส์โบโร, เคนตั๊กกี ครอบครัวของเขาย้ายไปอยู่มิรามาร์, ฟลอริดา ตั้งแต่เขายังเป็นเด็กๆ ตอนครบรอบวันเกิดปีที่ 12 แม่ซื้อกีตาร์ให้เขา และ Johnny ก็หมกมุ่นอยู่กับการเล่นกีตาร์มากเสียจนเขามักจะขังตัวเองในห้องเพื่อเล่นกีตาร์อยู่บ่อยๆ

วัยเด็กของเขาไม่ได้เปี่ยมสุขเหมือนเด็กๆ ทั่วไป ครอบครัวของเขาย้ายที่อยู่บ่อยมากจนก่อให้เกิดรอยร้าวฉานระหว่างพ่อแม่ของเขา และด้วยความที่เขาเป็นน้องคนเล็กสุดของครอบครัว เขาก็เลยยังมีวุฒิภาวะไม่เพียงพอในการรับมือกับเรื่องที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวได้ โดยเขาเคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสารเพลย์บอยเกี่ยวกับวัยเด็กของเขาว่า “จนผมได้ไปเที่ยวบ้านเด็กคนอื่นๆ ได้กินอาหารเย็นร่วมกับพวกเขา ได้เห็นครอบครัวเขาทำในสิ่งที่เขาทำกัน ผมถึงรู้ว่า ครอบครัวเราไม่ปกติ” การแยกทางกันระหว่างพ่อแม่ของเขา เมื่อเขาอายุ 15 เป็นสิ่งที่หลายคนคาดไว้อยู่แล้ว “มันมีวี่แววมานานแล้วครับ” Johnny พูดถึงเหตุการณ์นี้ “ผมแปลกใจที่พวกท่านอยู่ด้วยกันได้นานขนาดนี้ ผมคิดว่าพวกท่านพยายามทนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเพื่อลูกๆ แต่ในที่สุด พวกท่านก็ทนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว”

ในช่วงนี้นี่เองที่เขาออกจากโรงเรียนด้วยความฝันที่จะเป็นนักดนตรีร็อค เขาเริ่มต้นจากการเล่นตามคลับในฟลอริดากับวง Flame ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น The Kids และหลังจากพวกเขาได้ร่วมตระเวนทัวร์ไปกับ Iggy Pop วงพังค์ในตำนานแล้ว The Kids ก็ได้ย้ายไปตั้งหลักที่แอลเอ เพื่อหาโอกาสด้านงานดนตรีต่อไป

หากแต่ไม่นานหลังจากที่มาถึงลอสแองเจลิส Johnny ก็เริ่มรู้สึกว่า The Kids เป็นเพียงหนึ่งในบรรดาเด็กๆ ที่อยากจะเป็นร็อคสตาร์แบบง่ายๆ หลังจากที่สมาชิกแต่ละคนต้องหางานทำเพื่อเลี้ยงตัวเอง จนแทบไม่ได้เล่นดนตรี พวกเขาจึงตัดสินใจยุบวงและแยกย้ายกันไปตามทางของตน ส่วน Johnny นั้นก็ต้องทำงานเซลส์แมนขายปากกาลูกลื่นทางโทรศัพท์เพื่อหาเลี้ยงเขาและ Lori Anne Allison ภรรยาในตอนนั้น แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอจะไม่ยืนยาวนัก แต่เธอก็เป็นคนที่แนะนำให้เขาได้รู้จักกับ Nicolas Cage ผู้เปิดประตูสู่การเป็นดาราให้กับเขา แม้ว่าในตอนแรกพวกเขาจะไม่ชอบหน้ากันนัก พวกเขาก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันอย่างรวดเร็ว และ Nicolas ก็เป็นคนชี้ชวนให้เขาลองการแสดงดู การออดิชันครั้งแรกของเขาคือการออดิชันสำหรับบทในภาพยนตร์ของ Wes Craven เรื่อง A Nightmare on Elm Street (1984) และมันก็ทำให้เขาได้รับบทบาทการแสดงครั้งแรกเป็นเหยื่อฆาตกรรม



ในปี 1999 Johnny มีผลงานทริลเลอร์สามเรื่อง เริ่มจาก The Astronaut's Wife ที่เขารับบทคนดีที่เปลี่ยนไปภายใต้อิทธิพลจากเอเลียน ตามมาด้วย The Ninth Gate ทริลเลอร์เหนือธรรมชาติที่กำกับโดย Roman Polanski ที่เขารับบทคนขายหนังสือที่กำลังค้นหาหนังสือที่ร่วมเขียนโดยซาตานในศตวรรษที่ 17 และ Sleepy Hollow ของผู้กำกับ Tim Burton ที่เขารับบท Ichabod Crane นักสืบที่ถูกส่งตัวเข้ามาสืบคดีการถูกฆ่าตัดหัวของผู้ชายสามคน ที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นการกระทำของ “The Headless Horseman”

ในระหว่างที่เขาถ่ายทำ The Ninth Gate เขาก็เริ่มเดทกับนักแสดงหญิงชาวฝรั่งเศส Vanessa Paradis ซึ่งเขาพูดถึงว่าเป็น “ชีวิตของผม” หลังจากนั้นไม่นาน Lily-Rose Melody Depp ลูกสาวของทั้งคู่ก็ถือกำเนิดขึ้นและ Johnny พูดถึงความรู้สึกของตัวเองว่า “ผมรู้สึกเหมือนมันมีหมอกปิดบังสายตาผมอยู่ตลอด 36 ปีและในวินาทีที่เธอเกิดมา หมอกนั้นก็สลายตัว และทุกสิ่งทุกอย่างก็ชัดเจนขึ้นครับ”

ความสำเร็จของ Sleepy Hollow ไม่ได้ทำให้ Johhny เลือกเล่นภาพยนตร์เมนสตรีมมากขึ้นเลย เพราะเขาก็ยังรับเล่นแต่ภาพยนตร์ที่ห่างไกลจากคำว่าพาณิชย์ ไม่ว่าจะเป็น Before Night Falls (2000) เรื่องราวเกี่ยวกับ Reinaldo Arenas กวีชาวคิวบา, The Man Who Cried (2000) ดรามาเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สองและ Blow (2001) เรื่องราวเกี่ยวกับโลกยาเสพติด หลังจากนั้น Johnny ก็รับบทนักสืบชาวลอนดอนผู้ติดฝิ่น Frederick Abberline ที่คอยตามสืบคดี Jack the Ripper ในภาพยนตร์เรื่อง From Hell (2001) ที่ดัดแปลงจากซีรีส์การ์ตูนโดย Alan Moore และ Eddie Campbell





แม้ว่าบทบาทของเขาในเรื่องนั้นจะมีเสน่ห์แค่ไหน ก็ไม่อาจเทียบเท่าได้กับบทกัปตัน Jack Sparrow โจรสลัดมาดเซอร์ตัวเอกของ Pirates of the Caribbean: Curse of the Black Pearl (2003) ภาพยนตร์ดิสนีย์ซึ่งสร้างขึ้นจากเครื่องเล่นในดิสนีย์แลนด์ได้ ด้วยการใส่ฟันทองและแสดงท่าทีเลียนแบบนักร้องร็อค Keith Richards แห่งวง Rolling Stones การแสดงที่สนุกสนานของ Johnny ได้ช่วยทำให้ภาพยนตร์ผจญภัยเรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างสูงในซัมเมอร์ปี 2003 และนอกจากนั้น มันยังทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมอีกด้วย และในปีเดียวกันนั้นเอง Johnny ได้รับบท Sands เจ้าหน้าที่ซีไอเอขี้ฉ้อที่ล่อลวง El Mariachi มารับภารกิจเสี่ยงตายในภาพยนตร์ภาคที่สามเกี่ยวกับมือปืนของผู้กำกับ Robert Rodriguez เรื่อง Once Upon a Time in Mexico

บทบาทนักเขียนที่ถูกกล่าวหาว่าลอกเลียนผลงานคนอื่นในภาพยนตร์ฮอร์เรอร์ที่ดัดแปลงจากนิยายของ Stephen King เรื่อง Secret Window (2004) ได้รับความสนใจเพียงน้อยนิด แต่ปลายปีนั้นเอง เขาก็ได้สร้างความประทับใจให้กับทั้งนักวิจารณ์และผู้ชมในบท J.M. Barrie ชายหนุ่มผู้ไม่อยากเติบโตขึ้น ผู้เขียนเรื่อง Peter Pan ในภาพยนตร์ขวัญใจนักวิจารณ์เรื่อง Finding Neverland และบทบาทนี้ก็ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมเป็นครั้งที่สอง

จากนั้น Johnny ก็ได้รับบทเป็นตัวละครพิลึกพิลั่นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งก็คือเจ้าของโรงงานช็อคโกแลตมหัศจรรย์ Willie Wonka ภายใต้การกำกับของ Tim Burton ในภาพยนตร์เรื่อง Charlie & the Chocloate Factory (2005) ซึ่งดัดแปลงจากนิยายเด็กชื่อเดียวกันของ Roald Dahl ก่อนที่เขาจะร่วมงานกับ Burton อีกครั้งหนึ่งด้วยการพากย์เสียง Victor Van Dort เด็กหนุ่มที่ถูกพรากตัวไปยมโลกเพื่อแต่งงานกับเจ้าสาวศพสวยในภาพยนตร์อนิเมชันเรื่อง Tim Burton's Corpse Bride (2005)

แม้ว่า The Libertine (2005) ภาพยนตร์ดรามาที่เขารับบทเป็นเอิร์ลแห่งโรเชสเตอร์ผู้มีชีวิตเหลวแหลกแห่งศตวรรษที่ 17 จะไม่ประสบความสำเร็จและแทบไม่เป็นที่รู้จักเลยก็ตาม Johnny ก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นอีกครั้งเมื่อเขากลับมารับบทกัปตัน Jack Sparrow ผู้น่ารักอีกครั้งหนึ่งในซีเควล Pirates of the Caribbean: Dead Man’s Chest (2006) ซึ่งน่าสนใจมากขึ้นจากแนวโน้มรักสามเส้าระหว่างกัปตัน Jack, Elizabeth Swann ที่รับบทโดย Keira Knightley และ Will Turner ที่รับบทโดย Orlando Bloom และที่เรากำลังจะได้ชมในเร็วๆ นี้คือ Pirates of the Caribbean 3: At World’s End ที่เขาจะกลับมารับบทเดิมอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้ เขาจะตกอยู่ภายใต้อำนาจของปีศาจโจรสลัดแห่งท้องทะเล Davy Jones ที่ต้องรอคอยการช่วยเหลือจากคณะพรรคแบล็คเพิร์ล สำหรับใครที่อดใจหายไม่ได้ที่จะไม่ได้เห็นกัปตันคนดีบนจอเงิน ขอบอกว่าอย่าเพิ่งตัดใจไปเพราะทีมผู้สร้างออกมาบอกแล้วว่า ถึงภาคนี้จะเป็นบทสรุปของไตรภาค แต่มันอาจจะไม่ใช่บทสรุปของซีรีส์นี้ก็เป็นได้ ขอให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ เถอะ


Johnny said:

“ถ้ามีข้อคิดอะไรที่ผมอยากจะฝากไว้ ผมก็อยากจะบอกว่า การแตกต่างจากคนอื่นเป็นเรื่องปกติ และเราควรจะมองดูตัวเราเองก่อนที่เราจะเริ่มวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นที่มีหน้าตา ทำตัวหรือพูดแตกต่างออกไป หรือมีสีผิวไม่เหมือนเรา ผมอยากจะสานต่อในสิ่งที่ John Lennon ทำเอาไว้ แม้เพียงน้อยนิด ถ้าผมสามารถทำได้อย่างเขา ถ้าผมสามารถมีส่วนร่วมกับการขจัดความเกลียดชังระหว่างพวกเราได้ มันคงเยี่ยมนะครับ”





ขอสงวนลิขสิทธิ์บทความนี้ ให้อ่านและเผยแพร่ใน blog นี้เท่านั้น ห้ามผู้ใดคัดลอกหรือเผยแพร่ไปยังสื่อต่างๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของเรื่องนี้นะคะ





 

Create Date : 04 มิถุนายน 2550    
Last Update : 4 มิถุนายน 2550 17:48:51 น.
Counter : 2906 Pageviews.  

1  2  3  

ลูกเตะวายุกระซิบ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




blog นี้สำหรับคนรักภาพยนตร์และคนหล่อๆ ค่า
มีอะไรมาพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นเย็นๆ ใจนะคะ
Google
Hold me close and hold me fast The magic spell you cast This is La vie en rose
This gonna be my wedding song!
Friends' blogs
[Add ลูกเตะวายุกระซิบ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.