Google
Group Blog
 
All blogs
 
เมื่อความเงียบมีคุณค่ากว่าคำพูดใดๆ



เสียงชื่นชมที่มีต่อหนังเรื่อง Little Miss Sunshine นั้นมีมากมายหลายกระแส บ้างก็บอกว่าเนื้อหาดี แม้จะเป็นหนังเล็กๆ แต่เดินเรื่องด้วยบทภาพยนตร์ที่ไม่ธรรมดา บ้างก็บอกว่าการแสดงของทุกคนในเรื่องเป็นธรรมชาติราวกับว่าเป็นตัวละครนั้นจริงๆ โดยเฉพาะหนูน้อยคนสำคัญที่ทำให้เกิด family road trip ครั้งนี้ขึ้นมาได้ ถึงแม้จะไม่ใช่เด็กที่มีบุคลิกภาพโดดเด่นหรือหน้าตาสวยอย่างดาราเด็กคนอื่น แต่เธอมีสิ่งหนึ่งที่กินขาดคือความเป็นธรรมชาติเหมือนไม่ได้กำลังแสดงหนัง แต่ก็ไม่ถึงกับแข็งทื่อเหมือนเล่นหนังไม่เป็น

เราก็คงไม่พูดถึงมุมมองที่มีคนกล่าวถึงมาแล้วมากมาย แถมยังมีโอกาสได้ดูช้ากว่าคนอื่นๆตั้งสองปีหลังจากหนังออกฉาย พูดไปก็คงซ้ำหรือไม่งั้นก็ spoil ภาพยนตร์เรื่องนี้เสียเปล่าๆ คุณๆที่ยังไม่ได้ดู และชอบหนังเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในครอบครัว ขอแนะนำว่าให้ไปหามาดูค่ะ แล้วคุณจะรู้ว่าทำไมมีคนชื่นชมหนังเรื่องนี้มากมาย โดยไม่เกี่ยวกับที่ว่าหนังได้เข้าชิงออสการ์ด้วยซ้ำไป

สิ่งดีๆในภาพยนตร์เรื่องนี้มีอยู่แทบตลอดทั้งเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับสายสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่าง generation เช่น ปู่กันหลาน พ่อกับลูก น้ากับหลาน หรือความสัมพันธ์ใน generation เดียวกัน เช่น พี่กับน้อง สามีกับภรรยา

ครอบครัวในหนังเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของสมาชิกครอบครัวทุกรุ่นตั้งแต่รุ่นปู่ลงมาจนถึงรุ่นหลาน บทสนทนาของตัวละครทุกคนบ่งบอกว่าพวกเขาขาดการสื่อสารที่ดีระหว่างกัน ไม่ว่าจะเป็นลูกชายที่ไม่ยอมแม้แต่จะพูดกับใคร พ่อที่พยายามจะพูดให้กำลังใจแต่กลายเป็นบั่นทอน แม่ที่พยายามจะประสานรอยร้าวในครอบครัว น้องสาวที่ยังโตไม่พอที่จะเข้าใจความแปลกแยกของคนในบ้าน และปู่ที่มักจะสอนเรื่องที่ไม่เหมาะกับวัยของหลานๆ ส่วนน้าชายที่ดูเหมือนจะปกติที่สุดแต่ก็มีความหลังที่ขมขื่นเสียจนไม่มีกำลังใจจะไปทำอะไรกับความสัมพันธ์แปลกๆในบ้านหลังนี้ เพราะเพียงประคองตัวเองให้รอดเขาก็แทบแย่อยู่แล้ว

คงไม่เล่ารายละเอียดของเรื่องมากไปกว่านี้ แต่คนที่ยังไม่ดูขอให้ข้ามช่วงสุดท้ายนี้ไปได้เลยค่ะ ไม่งั้นอาจจะ spoil ได้


ฉากที่ตัวเองชอบมากที่สุด เป็นตอนที่พี่ชายรู้ตัวว่าตาบอดสีแล้วก็เกิดอาการสติแตก กระโดดออกจากรถ แล้วก็วิ่งไปนั่งอยู่คนเดียวที่กลางทุ่ง พ่อแม่ก็พยายามที่จะเรียกลูกชายให้กลับขึ้นรถด้วยความกลัวที่จะไปไม่ทันงานประกวดของลูกสาว แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ลูกชายก็ยืนกรานที่จะนั่งอยู่ตรงนั้น เหมือนที่เคยยืนกรานว่าจะไม่พูดกับใครจนกว่าจะสอบเข้าเรียนการบินได้ พ่อแม่จนปัญญาจึงต้องให้ลูกสาวคนเล็กไปคุยกับพี่ชายแทน ตอนที่ดูก็คิดไปต่างๆนานาว่า น้องสาวจะไปพูดอะไรกับพี่ชาย จะหว่านล้อมยังไง หรือจะร้องไห้อ้อนวอน เราลืมไปค่ะว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กที่ไร้เดียงสา ไม่มีมารยา และเป็นตัวของเธอเองจริงๆอย่างไม่น่าเชื่อว่าเกิดมาในครอบครัวที่มีปัญหาซับซ้อนขนาดนี้ น้องสาวเดินไปหาพี่ชายที่นั่งกอดเข่าอยู่คนเดียว แล้วก็เอามือโอบไหล่พี่ชายพร้อมกับเอาศีรษะพิงที่ไหล่ของเขา เป็นฉากสั้นๆประมาณไม่เกิน 5 วินาที แต่ได้ใจเราไปจนหมด

วิธีการแสดงออกของน้องสาวแบบนี้ ย่อมมีความหมายกว่าการที่พ่อแม่เพียรพยายามจะเรียกให้ลูกชายกลับไปขึ้นรถ เพียงเพราะจะไปงานประกวดให้ทัน เพราะงานประกวดไม่ใช่เรื่องของเขา เด็กวัยรุ่นขนาดนี้จะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับอะไรนอกจากความเป็นตัวของตัวเอง (identity) เมื่อน้องสาวมากอดไหล่เขาไว้ด้วยอาการอ่อนโยนแบบเด็กๆ ก็เท่ากับการแสดงความเข้าใจที่พี่ชายกำลังเสียใจ ทั้งยังแสดงนัยว่าตัวเองก็ต้องการที่พึ่งเช่นกัน

ฉากนี้ไม่มีคำพูด ไม่มีเสียงเพลงประกอบ ไม่มีอะไรเลย แต่กลับเป็นการสื่อสารที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุด มีอำนาจมากพอที่จะทำให้เด็กชายวัยรุ่นคนนึงลุกขึ้นมาจากความทุกข์ของตัวเอง จูงน้องสาวกลับไปขึ้นรถเพื่อไปงานประกวดให้ทัน

บางครั้งเรานึกถึงการสื่อสารในรูปแบบของคำพูด ซึ่งหลายครั้งยิ่งพูดเรื่องก็ยิ่งบานปลาย ยิ่งอธิบายก็ยิ่งไม่เข้าใจกัน ความเงียบ (silent) และฟังอย่างเข้าใจ (active listening) กลับกลายเป็นเครื่องมือสื่อสารที่ใช้ได้ผลยิ่งกว่าถ้อยคำสวยงามเสริมสร้างกำลังใจใดๆ เพราะบางครั้งคนเราก็ไม่ได้ต้องการคำปลอบใจ แต่เพียงแค่มีใครสักคนจับมือเราไว้ยามอ่อนล้า หรือมีไหล่ของใครสักคนไว้ให้เราพักพิง คำพูดจะกี่ล้านคำก็คงไม่มีความหมายเท่าภาษาใจที่สื่อสารกันได้ชัดเจนยิ่งกว่า

คงไม่เล่าต่อว่าเรื่องจบลงอย่างไร หากคุณต้องการรู้ว่าครอบครัวที่พร้อมจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆนี้เดินทางไปสู่จุดหมายอย่างไร พวกเขาจะรักษาความสัมพันธ์ระหว่างกันเอาไว้ได้หรือไม่ ควรรีบหาหนังดีที่ไม่ธรรมดาเรื่องนี้มาดูกันแล้วล่ะค่ะ




Create Date : 11 ตุลาคม 2551
Last Update : 11 ตุลาคม 2551 4:02:49 น. 3 comments
Counter : 207 Pageviews.

 
ต้องไปหาดูบ้างเสียแล้ว


โดย: แม่หญิงไฮเทค (patthanid ) วันที่: 11 ตุลาคม 2551 เวลา:4:40:04 น.  

 
เคยดูแล้วค่ะ ชอบเหมือนกัน


โดย: iSIs_OsiRis วันที่: 11 ตุลาคม 2551 เวลา:6:17:17 น.  

 
คุณแม่หญิงไฮเทค ถ้าได้ดูแล้วคิดยังไง มาแลกเปลี่ยนกันก็ได้นะคะ
คุณ iSIs_OsiRis ชอบตอนไหนบ้างคะ พอจะบอกได้ไหม


โดย: อย่างไรก็ดี วันที่: 11 ตุลาคม 2551 เวลา:23:23:55 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

อย่างไรก็ดี
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add อย่างไรก็ดี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.