113 ข้อเรื่องจริงของเด็กไทย และการศึกษาไทย
1.โรงเรียนรัฐบาล เรียนหนัก วันละ 7-8 คาบ

2.เมื่อมีคาบว่าง คุณครูวิชาใดวิชาหนึ่ง มักขอ

3.รร.เอกชน เด็กนักเรียนไม่เคร่งกฏ

4.รร.ที่เก่าแก่ ยึดติดศักดิ์ศรีมากเกินไป บ่มเพาะให้เด็กเป็นศัตรูกับสถาบันอื่น

5.รร.รัฐบาล เข้าแถวหน้าเสาธง ฟัง ผอ.ให้โอวาทก่อนเข้าคาบแรก
แต่กิน เวลาไป 10-20 นาที

6.เด็กต้องตากแดด ร้อน หน้ามืดเป็นลม

7.บาง รร. ผิดกฏนิดหน่อย ก็เรียกผู้ปกครอง ทั้งๆที่ควรจะตักเตือนก่อน

8.เด็กไทยขนหนังสือในกระเป๋าเป็นสิบกิโล หลังงอไปโรงเรียน
(รวมทั้งนิยายและการ์ตูน หนังสือโ ป๊)

9.การบ้าน งานต่างๆ ฝึกให้นักเรียนรับผิดชอบก็จริง แต่สั่งทีเยอะ
แล้ววันนึงเรียนกี่วิชา ครูคนนึงสั่งกี่อย่าง? เด็กตายห่ า พอดี

10.มา รร. เช้า ลอกการบ้าน แล้วเด็กได้อะไร จากการสั่งงานเยอะ

11.หลับตี 1-2 พิมพ์รายงานส่ง

12.เนื้อหารายงานมาจากอินเตอร์เน็ต หามา ก็อปใส่เวิด ปริ้น เข้าเล่ม ส่ง

13.พรีเซนต์งานโดยการออกมาอ่าน

14.ครูแก่ เกินรับได้ โบราณ

15.คนเก่งไปเรียนหมอ แล้วใครมาเป็นครู?

16.รร.ในไทย แต่งยูนิฟอร์ม ชุดนักเรีย ชุดพละ ชุดลูกเสือ ทั้งที่อากาศร้อนจัด

17.มีเด็กที่ไม่ได้เรียนหนังสือเยอะแยะ

18.มีเด็กที่ได้เรียน แต่ไม่อยากเรียน

19.พ่อแม่เสียเงินค่าเรียนพิเศษ มากว่า ค่าเทอม มากเป็นเท่าตัว

20.ต่างประเทศ ปิดเทอม ไปเที่ยว ทำงานพิเศษ ทำกิจกรรม

21.เด็กไทยเรียนพิเศษเป็นบ้าเป็นหลัง

22.มหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทย ไม่ติดใน 100 มหาวิทยาลัยโลก

23. บาง รร.จ่ายค่าเรียนคอมพิวเตอร์ทุกปี แต่ว่า ได้เรียนแค่ ม.1และม.4 = =

24.ครูบางคน การสอนคือการอ่านให้เด็กฟัง

25.ครูบางคน สอนไม่รู้เรื่อง ออกข้อสอบหิน เด็กตก ไม่ยอมให้แก้

26.ครู ขายของแก่นักเรียน ทำธุรกิจ ทดลองสินค้าในห้องเรียน ตั้งแต่ของเล็กๆน้อยๆ ยันถึงกิฟฟารีน แอมเวย์

27.ครูไม่สอน นั่งบ่นเรื่องที่ไม่ในตำรา แต่นักเรียนชอบฟัง(เพราะไม่ได้เรียน)

28.เวลาว่างที่ รร. นร.นั่งนินทาครู

29.ปัจจุบัน ทั่วไปคิดว่า ครู แค่คือ คนที่รับจ้างสอน ไม่ใช่แม่พิมพ์ที่แท้จริง

30.สอนไป ทุก10 นาที โทรศัพท์ดัง

31.ครูใช้เด็กซื้อกับข้าว ซื้อโอเลี้ยง ซื้อส้มตำ

32.ครูสนใจ เด็กที่เรียนพิเศษด้วยมากกว่า

33.ช่องว่างระหว่างครูและเด็ก เยอะมาก เนื่องจากจำนวนเด็กในห้อง เฉลี่ย 50 ขึ้น ครูจำนักเรียนได้ไม่หมด ยิ่งครูแก่ๆก็....

34.รร. นานาชาติ มีความผูกพัน กับครูที่สอน ทั้ง รร.รักกันดี

35.บางคนเกรด 4.00 สอบไม่ติดก็มี เพราะการศึกษาไทย
เก็บคะแนนสอบแค่ 15-30% นอกนั้นงาน การบ้านที่สั่ง

36.ครูบางคนตั้งใจสอน แต่ไม่มีเทคนิค ทำให้เด็กเบื่อที่จะเรียน

37.ความรู้ที่ใช้สอบ มาจากที่เรียนพิเศษ

38.กวดวิชาแต่ละจังหวัดมากกว่า 50 แห่ง

39.ครูบางคนชอบโอ้อวดว่าจบที่นั่น เอกอย่างนี้ ได้เกียรตินิยม แต่สอนไม่รู้เรื่อง

40.เด็กในห้องมี 50 คน เก่งสุดๆแค่ 1-2 คน

41.นอกนั้น เรียนๆเล่นๆ เที่ยวๆ

42.เด็ก ม.3 สะกดคำว่า family house ศัพท์อังกฤษง่ายๆไม่ได้

43.โรงเรียน ประจบผู้ปกครองที่มีเงิน

44.โรงเรียนหญิงล้วน มีทอมดี้เยอะ โรงเรียนชายล้วน มีเกย์ ตุ๊ดเต็ม

45.ต่างประเทศ เรียนวันละ 3-5 ชม. หลังจากนั้นก็สนามบาส สระว่ายน้ำ ห้องดนตรี ไม่ก็กลับบ้าน ทำกิจกรรม ไปอ่านหนังสือเอง

46.ถ้าเด็กเรียนที่ไทย ก็ไปกวดวิชา เรียนเลิก3 -4 ทุ่ม


47.เด็กเที่ยวนั่งรถไฟฟ้าไปสยาม

48.เด็กใส่แว่นเนื่องจากเล่นคอม มากกว่าเรียน

49.ครูคาดหวังกับเด็กห้องคิงเกินไป ทำดีนิดหน่อย ชมเว่อร์ๆ
ทำผิดนิดเดียว คือเรื่องคอขาดบาดตาย

50.เอาใจใส่เด็กแต่ละห้องไม่เท่ากัน

51.รร.รัฐ ให้เด็กทำป้าย เดินรณรงค์ยาเสพติด เลือกตั้ง ฯ
ตามนโยบาย ทำเอาหน้าตา รร. เด็กต้องเดิน 2-3กิโล แดดก็ร้อน หน้ามืดเป็นลม

52.วิชาอาจารย์ฝรั่ง ดูเหมือนจะมีความสุข จะหลับก็ได้ คุยกันไป
แต่ก็เรียนไม่รู้เรื่อง

53.เด็กไทยอวดฉลาด

54.เด็กไทยตามกระแส แฟชั่น

55.เด็กไทยบ้าเที่ยว บ้าเรียน บ้าใช้เงิน บ้าดารา

56.วัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์เป็นธรรมดา

57.ท้อง แท้ง ฆ่าตัวตาย ใจแตก ติดยา คือ ปัญหาวัยรุ่นไทยที่แก้ไม่ได้

58.เด็กส่วนใหญ่ฝันมี รร.ที่กว้าง ต้นไม้ สบายๆ บรรยากาศดี การเรียน สนุก
มีกิจกรรมทำ

59.ความฝันห่างไกลความจริง(เหลือเกิน) รร. อากาศร้อนไม่มีพัดลม เสียงรถที่ถนนดัง
ห้องเรียนติดห้องน้ำ ครูสอนก็ดุ แก่ โหดคะแนน น่าเบื่อ ครูลามก

60.มีพ่อแม่ บังคับ อนาคตวาแผนให้ลูกเสร็จสรรพ โดยไม่ถามว่าลูกชอบหรือไม่

61.พ่อแม่ชอบกดดัน ซึ่งความจริงในยุคนี้ การเลี้ยงลูกแบบนี้ หัวโบราณมาก
เด็กไทย ฆ่าตัวตายเพราะเครียดเยอะขึ้นทุกปี

62.ไฮโซ ต้องให้ลูกเรียนเอกชน นานาชาติ รร.รัฐสุดโด่งดัง

63.ไปเรียนพิเศษต่างประเทศ ตอนปิดเทอม

64.รู้ไหม คนต่างชาติคิดว่า วัยรุ่นไทยที่รวย พ่อแม่ คุณทำงานใหญ่โต
นักการเมือง นักธุรกิจส่งลุกมาใช้เงิน นั้น เราคิดว่า พ่อแม่คุณคอรัปชั่น
และคุณทำตัวไร้สาระ

65.ประเทศไทยเป็นประเทศด้อยพัฒนา แต่เรียกตัวเองว่า กำลังพัฒนา

66.วัยรุ่น ไม่เคารพผู้ใหญ่ ด่าได้ก็ด่า ก็พ่อแม่ฉันยังไม่ว่า คุณเป็นใครมาว่า

67.แต่งตัว ใช้เงิน ซื้อของอวดกัน

68.ตบกันแย่งผู้หญิง ผู้ชาย ทอมดี้ เกย์

69.มีเพื่อนในชีวิตจริงและสังคมอินเตอร์เน็ต

70.เล่นเกมออนไลน์ เล่นmsn ทุกวัน หลับดึก

71.เที่ยวจัด จนบางวันไม่กลับบ้าน พรุ่งนี้มีสอบ เอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยน
ที่ห้องน้ำ รร.แล้วเข้าสอบ ก็มี

72.พ่อแม่เลี้ยงลูกดีเกินไป แย่เกินไป โอ๋ลูกเกินไป ด่าลูกเกินไป เด็กเก็บกด

73.เด็กที่ไม่ได้รับการศึกษา มีคุณภาพชีวิตที่แย่ บางคนยอมขายตัวเพือเอาเงินมาเรียนก็มี

74.ครูแนะแนว ตือครูที่เด็กชอบมากที่สุด

75.เด็กไทย เกรด 4.00 เอ็นเข้าคณะอินเตอร์ไม่ติด เด็กนานาชาติไม่เก่งเท่าเด็กรัฐบาล แต่นั่งฝนข้อสอบฉลุย เมื่อจะเอ็นเข้าคณะอินเตอร์

76.ต่างประเทศ อเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น เรียนน้อยกว่าไทย แต่ทำไมฉลาดกว่า
มีคุณภาพกว่า?

77.เด็ก คืออนาคตของชาติ แต่มีตัวอย่างบุคคลชั้นนำของประเทศที่เห็นได้ตามหน้า หนังสือพิมพ์ว่า...แค่ไหน เป็นแบบนี้ คุณยังจะหวังอะไรกับเด็กไทยศตวรรษที่ 21 อย่างเราไหม

78.วัยรุ่นไทยไม่อยากรับรู้เรื่องข่าวสารของประเทศไท ยที่มีแต่อะไรที่ชวนทำให้
น่าเบื่อ เกิดการแอนตี้ ไม่อยากรู้

79.เด็กไทยไปโรงเรียน และ มหาวิทยาลัย จากการสำรวจแล้ว พบว่า
ปัจใจคือ เพื่อน เท่านั้น

80.โลกก้าวหน้าไปทุกวัน แต่การศึกษาไทย ยังอยู่กับที่

81. การศึกษาในปัจจุบันทำให้เด็กไทย บ้าเรียนพิเศษ ไปติวที่นั่นที่นี่ สอบมหาลัยได้ จบมาไม่ได้เอาความรู้มาใช้ มันมีประโยชน์อะไร

82.เด็กห้องเรียนพิเศษ ถ้าไม่แยกรั้วโรงเรียนแล้ว จะอยู่ร่วมกับห้องเรียนปรกติไม่ได้

83.ในโรงเรียน รัฐบาลมีการแบ่งแยกชนชั้น ฝ่าย สี(พวกเสื้อแดง-เหลือง) ทำให้สิ่งไร้สาระพวกนี้มาเป็นเกณท์ให้คะแนนนักเรียน

84.GAT-PAT คือการสอบที่ไม่มีใครตอบได้ว่า

สอบทำไม สอบเพื่ออะไร และเด้กจะได้อะไร ใครเป็นคนคิด คิดเพื่อใคร และคิดมาทำไมเพื่ออะไร

85.เด็กนักเรียนห้องเรียนภาษาอังกฤษเป็นสื่อจะเรียนห นักกว่าห้องเรียนอื่นๆ แต่สอบวัดผลโรงเรียน
กลับได้คะแนนน้อยกว่าห้องปรกติ

86. 80% ของผู้ปกครองเด็กไทย อยากให้ลูกเรียนจบเร็วๆ

87.ช่วงชีวิตที่เรียนระดับ มัธยม คือช่วงที่มีความสุขที่สุด

88. นักเรียนที่ผู้ปกครองเลี้ยงปล่อย(ไปเที่ยวได้กับเพื่ อนๆ ไปไหนก็ได้ พ่อแม่ไม่จู้จี้จุกจิกและอื่นๆ)
จะใช้ชีวิตในสังคมได้ดีกว่า คนที่พ่อแม่เลี้ยงแบบ ให้อยู่แต่ในบ้าน

89.เด็กบ้าเรียนมักจะไม่มีเพื่อนแท้และเพื่อนสนิท

90.คนเราเกิดมามีความสามารถต่างกัน แต่การศึกษาในปัจจุบันไม่สนับสนุกความสามารถพิเศษ ของนักเรียน

91.ผุ้ปกครองหลายคน วาดอนาคตให้ลูก และดูถูกสิ่งที่ลูกใฝ่ฝัน

92.ในปัจจุบันมีผู้ปกครองที่ เลือกที่เรียนให้ลูก เลือกอาชีพให้ลูก แม้แต่เลือกคู่ครองให้ยังมี

93.วัยรุ่นมักจะมีแฟนตั้งแต่อายุ 13ปี ขึ้นไป

94.ในปัจจุบันยังมีผู้ปกครองที่หัวโบราณมากกว่าผู้ปก ครองสมัยใหม่

95.ปัจจุบัน โลกกำลังวิปริต ประเทศไทยในตอนนี้มี ทอม ดี้ และเลสเบี้ยนเยอะมาก ในขณะที่ผู้ชายหลายคนแห้วกับการจีบผู้หญิงหันไปคบผู้ หญิง

96.มาตรฐานการศึกษาในประเทศไทยคือ พ.ศ. 2544 แต่นี่คือปี 2552

97.ผู้ปกครองให้ลูกไปเรียนพิเศษ เพียงแค่ไม่ให้เด็กเล่นเกม หารู้ไม่ว่าเสียเงินโดยใช้เหตุ เพราะเด็กบางคน
ไปเรียนแต่ไม่รับอะไรกลับมาเลย

98.ทุกโรงเรียนในประเทศไทย จะมี 1ใน 10 ที่จะเป็นนักเลง และผู้มีอิทธิพล

99.ในปัจุจบันมีการตีกันและฆ่ากัน ปัจจุยหลักมาจาก แย่งผู้หญิงกัน

100.ประชุมผู้ปกครอง คือให้ผู้ปกครองมาออกความเห็นว่าจะให้ โรงเรียนเป็นยังไง

ผู้ปกครองออกเสียงให้เรียนหนักเพิ่มขึ้น มีการบ้านเพิ่มขึ้น

แต่ไม่เคยถามนักเรียนว่า เรียนแต่ลพวันเป็นยังไง

101.ผู้ปกครองที่บ่นว่าอยากให้มีการบ้านเยอะๆมาก จะโดนอ.ประชด โดยการให้การบ้านนักเรียนเยอะๆ และทุกวัน แม้กระทั่งใกล้สอบ

102.ผู้ ปกครองทำเหมือนมาเรียนกับนักเรียนเอง โดยมากำหนดเพิ่มคาบพิเศษ เรียนเสริมเข้าไป โดญที่ทุกวันจะเลิกเรียน 5 โมง 2 ทุ่มกันอยู่แล้ว

103.ห้องเรียนพิเศษบางที่ไม่ค่อยมีความเป็นประชาธิปไ ตย (ผู้ปกครองและครูเป็นใหญ่)

104.สภาพแวดล้อมในปัจุบันทำให้เด็กไทยแข่งกันเรียน

105.เด้กไทยแข่งกันเรียนมาก จนทำให้เป็นคนเห็นแก่ตัว

106.โรงเรียนทุกโรงเรียน สอนให้นักเรียนเป็นคนเก่งไ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับโรงเรียน

107.เส้นสายระบาด จนทำให้คนเก่งมีฝีมือและความสามารถ ไม่มีงานทำ

108. คนที่บ้าเรียนจะมีวิถีชีวิตประจำวันที่น่าเบื่อมากกว่า คนปรกติ

109.เด็กไทยเรียนไม่เก่ง สอบไม่ผ่าน พ่อแม่มักจะโทษ ครูและเกม

110. พ่อแม่ไม่เห็นความสามารถของลูกและไม่สนับสนุนสิ่งที่ ลูกชอบ

111.พ่อแม่อยากจะให้ลูกเป็นไปตามคนอื่น ทำให้ไร้ซึ้งความเป็นตัวของตัวเอง

112.การ เรียนไม่ได้มีผลเสีย และการเรียนมีข้อดีมากมาย แต่คนที่ทำให้มันมีข้อเสียคือ ผู้ใหญ่และพวกหัวโบราณ ที่ปลูกฝังความคิดไร้สาระ ใส่ในหัวของเด็ก

113. 5 อันดับ สิ่งที่ทำให้โรงเรียนไม่น่าเบื่อที่สุดคือ
1.เพื่อน
2.กิจกรรม
3.บรรยากาศ
4.วิชาเรียนน้อย
5.เรียนไม่หนัก



Create Date : 16 ตุลาคม 2554
Last Update : 16 ตุลาคม 2554 22:26:46 น.
Counter : 399 Pageviews.

0 comment
วิธีหุงข้าวสวยให้เก็บไว้ได้หลายวันโดยไม่บูด
วิธีหุงข้าวสวยให้เก็บไว้ได้หลายวันโดยไม่บูด

ตอน นี้พื้นที่น้ำท่วมเยอะมากบางที่ท่วมจนไม่สามารถจะทำอาหารได้ หรือไม่มีอุปกรณ์ เพราะน้ำพาไปหมดของที่บริจาคช่วยน้ำท่วมที่เราเห็นเยอะคือ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหรือข้าวสาร ซึ่งต้องทำให้สุกก่อนทาน หรือจะเป็นอาหารสำเร็จรูปบรรจุกระป๋องอย่าง ปลากระป๋องซึ่งทานอย่างเดียวก็ไม่อิ่มท้อง

ข้าวสวยบรรจุกระป๋อง ก็มีราคาแพงและน้อย

ที่ บ้านเรา เวลาหุงข้าวสวย จะใส่น้ำส้มสายชูลงไปด้วยข้าวสาร 3 กระป๋อง ใช้น้ำส้มสายชูประมาณ 1 ช้อนชา ซึ่งจริงๆ ก็กะเอาค่ะ ไม่ได้ตวงข้าวสวยที่หุง โดยการเติมน้ำส้มสายชูลงไป สามารถอยู่ได้โดยไม่บูดหลายวัน


เราเคยหุงแล้วตักมาทาน แล้วปิดฝาทิ้งไว้ ลืมไป 4 วัน มาเปิดหม้อดูอีกที ก็ไม่บูดค่ะ ไม่แฉะด้วยเรา ทดลองหุงแล้วตักมาทาน แล้วปล่อยทิ้งไว้คาหม้อ 4-5 วัน มาไม่ต่ำกว่า 5 ครั้งแล้วค่ะ

เพื่อพิสูจน์ว่ามันจะไม่บูดจริงๆ โดยเปิดฝาดูทุกวัน
ข้าว ที่หุงทิ้งไว้ 4-5วัน เราก็เอามาทานจริงๆ ไม่มีกลิ่นบูด ไม่แฉะ เรา เลยคิดว่า อยากให้หุงข้าวด้วยการเติมน้ำส้มสายชูดังกล่าวแล้วบรรจุถุงแกง อาจจะรัดด้วยหนังยาง หรือซีลด้วยเครื่องซีลถุง เอาไปบริจาคให้ผู้ที่อยู่ใน พื้นที่น้ำท่วมซึ่งไม่สามารถประกอบอาหารได้ทานข้าวสวยกับปลากระป๋อง อร่อยและอิ่มท้องกว่าทานปลากระป๋องอย่างเดียวค่ะ


ส่วน ตัวเราเอง ตอนนี้ทยอยหุงข้าวแล้ว pack ใส่ถุงพลาสติกเก็บไว้เป็นเสบียงแล้วค่ะ เพราะอยู่ในพื้นที่เสี่ยงน้ำจะเข้า ท่วมในอีก2-3วัน เก็บของเตรียมพร้อมเรียบร้อยเอกสารสำคัญ ยา อาหาร ของจำเป็นในการดำรงชีวิต พร้อมลุย ไม่ต้องรอถุงยังชีพ


ขอบคุณ :  ลูกหมูใจดี @ pantip



Create Date : 12 ตุลาคม 2554
Last Update : 13 ตุลาคม 2554 16:17:32 น.
Counter : 518 Pageviews.

3 comment
14 สุดยอดบทเรียนระดับปรมาจารย์ จาก Steve Jobs


ความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงในการสร้าง Apple ให้เป็นบริษัทไฮเทคที่ทรงคุณค่ามากที่สุดในโลก ทำให้ Steve Jobs กลายเป็นตำนานและวีรบุรุษแห่งกรณีศึกษาในบรรดามหาวิทยาลัยธุรกิจชั้นนำไปจนถึงบนเวทีสัมมนา

และต่อไปนี้คือสุดยอดทักษะและกลยุทธ์ 14 อย่างของ Steve Jobs ที่ทำให้เขาสามารถกอบกู้ Apple จากบริษัทที่ใกล้ล้มละลาย ให้กลายเป็นบริษัทที่มีค่าที่สุดในโลกได้ ซึ่งได้มาจากการวิเคราะห์ของบรรดาผู้เชี่ยวชาญ อันประกอบไปด้วยบรรดาอดีตเพื่อนร่วมงานของ Jobs คู่เจรจาธุรกิจ นักออกแบบชื่อดัง และนักวิเคราะห์วิจารณ์สังคม คุณจะได้เรียนรู้บทเรียนจากความเป็นปรมาจารย์ด้านนวัตกรรมของ Jobs จากทักษะในการสร้างความเกรียวกราว จากความเป็นอัจฉริยะทางการตลาด และจากความพยายามของ Jobs ที่ต้องการสร้าง Apple ให้เป็นบริษัทที่ “หิวและโง่”



1. อย่ามองปัจจุบัน

เหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนเชิดชู Apple เหนือกว่าบริษัทอื่นใด เป็นเพราะ Apple เป็นบริษัทที่เปลี่ยนแปลงและสร้างทุกอย่างใหม่หมด ในขณะที่สิ่งที่บริษัททั่วๆ ไปทำ คือการปรับเปลี่ยนสิ่งเดิมๆ ที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ Apple สร้างความต้องการที่เราไม่เคยรู้ตัวมาก่อนว่าเรามีอยู่ และทำให้เราเกิดความรู้สึกว่าเราต้องมีบางอย่าง ถ้าหากว่าเราอยากจะมีความสุข Steve Jobs เป็นผู้ประกอบการที่เหนือกว่าผู้ประกอบการทั่วๆ ไป เพราะเขามองว่า ผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่มีใครสร้างขึ้น เป็นเพียงสิ่งสะท้อนถึงความดาษดื่นและการขาดไร้ซึ่งจินตนาการเท่านั้น Jobs มองเห็นความเป็นไปได้ ในสิ่งที่คนอื่นเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ เขาสามารถจับเอาความไม่พอใจและความโหยหาของคน มาเปลี่ยนให้เป็นสินค้า



2. ลูกค้ายอมจ่ายแพง ถ้าคุ้มค่า

เป็นที่รู้กันดีว่า Jobs นั้น เป็นเมธีทางด้านสุนทรียศาสตร์ เขาชอบความงามและความประณีตในทุกรายละเอียด ทั้งวัสดุและการออกแบบที่สามารถสนองความรู้สึกของผู้ใช้ Jobs ยังเป็นนักมนุษยนิยม ที่ชอบใส่ความมีชีวิตชีวาและความเป็นมนุษย์ ลงไปในสิ่งที่เขาสร้าง การได้สุดยอดนักออกแบบอย่าง Jonathan Ive มาร่วมงานในปี 1997 ทำให้ทั้งสองได้ตระหนักในความจริงง่ายๆ ที่ว่า ต้องเริ่มต้นด้วยสิ่งที่เรารัก แล้วจึงค่อยคิดเรื่องเทคโนโลยีทีหลัง ผลิตภัณฑ์ทุกตัวของ Apple เป็นมากกว่าแค่เครื่องจักร ทั้งๆ ที่ผลิตภัณฑ์ของ Apple ประกอบขึ้นด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงที่สลับซับซ้อน ทว่ากลับใช้งานง่าย ราวกับเป็นอุปกรณ์ในยุคอะนาล็อก คติของ Jobs คือ อย่าถามลูกค้าว่าพวกเขาต้องการอะไร เพราะพวกเขาเองก็ไม่รู้



3. ให้พนักงานของคุณได้พบปะพูดคุยกัน

Jobs ซื้อ Pixar Animation Studios มาจากผู้กำกับฮอลลีวู้ดคนดัง George Lucas เมื่อปี 1986 โดยที่เขาไม่ได้มีความสนใจในสร้างภาพยนตร์การ์ตูนแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่เขาสนใจใน Pixar คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ Pixar Image Computer ราคา 135,000 ดอลลาร์ ซึ่งสามารถสร้างภาพกราฟฟิกที่ซับซ้อนได้ แต่ด้วยราคาที่แสนแพง ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์นี้ขายไม่ออก Jobs จึงนำเจ้าเครื่องนี้มาใช้สร้างภาพยนตร์การ์ตูนจากคอมพิวเตอร์ ผลปรากฏว่า เขาทำให้ Pixar กลายเป็นหนึ่งในบริษัทภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดตลอดกาลทั้งเงินและกล่อง จนสุดท้าย Jobs สามารถขาย Pixarให้แก่ Walt Disney เป็นเงินถึง 7,400 ล้านดอลลาร์ จากบริษัทที่เขาซื้อมาด้วยเงินเพียง 5 ล้านดอลลาร์เท่านั้น

เหตุผลสำคัญเบื้องหลังความสำเร็จแบบถล่มทลายของ Pixar คือการออกแบบสถานที่ทำงานของ Jobs ในตอนแรก Pixar studios จะแยกออกเป็น 3 ตึก สำหรับนักคอมพิวเตอร์ นักวาดการ์ตูนและฝ่ายบริหาร แต่ Jobs ฉีกแผนการสร้างสำนักงานแบบนี้ทิ้ง แทนที่จะแยกเป็น 3 ตึก กลับมีเพียงตึกเดียวที่โล่งกว้างโดยมีโถงใหญ่อยู่ตรงกลาง และรวมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้แม้กระทั่งห้องน้ำ ปรัชญาเบื้องหลังการออกแบบสถานที่ทำงานของ Jobs คือ ส่วนงานที่สำคัญที่สุด ต้องตั้งอยู่ใจกลางของตึก และส่วนงานที่สำคัญที่สุดของ Pixar คือการได้พบปะพูดคุยกันของพนักงาน Jobs เชื่อว่า การพบปะพูดคุยที่ดีที่สุด มักเกิดขึ้นโดยบังเอิญ และเขาคิดถูก พนักงานของ Pixar ค้นพบว่า ไอเดียดีๆ มักจะเกิดขึ้นในเวลาที่พวกเขานั่งคุยกันในช่วงพักเบรก หรือบังเอิญเจอกันในห้องน้ำ



4. รู้จักทุกซอกทุกมุมของธุรกิจอย่างถ่องแท้

หลักการของ Jobs คือ

-เคารพธรรมชาติ เพราะเราเป็นเพียงส่วนหนึ่งของธรรมชาติ อย่าขัดขืนธรรมชาติ แต่ให้น้อมรับ ธรรมชาติมีคำตอบให้กับทุกสิ่ง ดอกทานตะวันคือแรงบันดาลใจในการออกแบบเครื่อง iMac จงใส่ความงาม จิตวิญญาณและความเป็นมนุษย์ลงไปในสิ่งที่คุณสร้าง ทำตลาดและขาย

-ใส่ใจรายละเอียด กล้าลงมือแก้ปัญหาที่คู่แข่งยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีอยู่ กล้าแตะปัญหาที่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง และหาวิธีแก้ปัญหาที่สามารถเปลี่ยนความรู้สึกของลูกค้าที่มีต่อวิธีใช้งานผลิตภัณฑ์

-ทำตัวให้มีค่า ไม่ก็ “ไสหัวไป” เมื่อ Jobs กลับมากอบกู้ Apple ในปี 1997 นั้น ราคาหุ้นของบริษัทตกลงต่ำสุดในรอบ 12 ปี สิ่งแรกที่เขาทำคือ ตัดทุกอย่างที่ไม่จำเป็นทิ้งไปให้หมด รวมถึงคนที่ไม่มีค่า

-อย่าหยุดทำทุกอย่างให้ดีขึ้น Snow Leopard เป็นระบบปฏิบัติการที่สมบูรณ์แบบที่สุด แต่ Jobs ไม่เคยหยุดแก้ไขปรับปรุงมัน แม้ในจุดที่ไม่มีใครเห็นว่าเป็นปัญหา ถ้าหากว่า การปรับปรุงนั้นจะทำให้มันทำงานได้เร็วขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

-อย่าอยู่บนหอคอยงาช้าง Jobs คงเป็น CEO เพียงไม่กี่คนในโลกนี้ ที่ตอบ email ลูกค้าด้วยตัวเอง เขาให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้า เขาไม่เคยยอมให้กลุ่มตัวอย่างเล็กๆ มากำหนดทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะเขาตระหนักถึงความสำคัญของปฏิกิริยาจากลูกค้า

-อย่าเสียเวลากับหลักการสวยหรูบนกระดาษ ซึ่งไร้ความหมาย แต่จงเปลี่ยนความคิดของคุณให้กลายเป็นการกระทำ

-ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม ไม่จำเป็นต้องเป็นคนแรกในตลาด ตราบใดที่ผลิตภัณฑ์ของคุณยอดเยี่ยมกว่าคนที่มาก่อนทั้งหมด

-น้อยคือมาก หลักการ “less is more” ชนะในทุกวงการ บรรจุภัณฑ์ของ Apple ใช้พลาสติกและกระดาษน้อยมาก นอกจากจะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง ทำให้ลูกค้าสะดวกและมีความสุขมากขึ้น และหมายถึงผลกำไรที่มากขึ้นด้วย

-คลุกวงใน ผู้บริหารต้องคลุกวงในและใส่ใจทุกรายละเอียด และต้องรู้จักทุกแง่ทุกมุมของบริษัทอย่างถ่องแท้



5. เริ่มจากศูนย์

Jobs มีพรสวรรค์ในการจินตนาการสร้างสิ่งใหม่ โดยไม่ต้องเริ่มจากสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน เขาสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นจากศูนย์ และผลก็คือ เขาทำให้วัตถุที่ไร้ชีวิตกลายเป็นสิ่งที่เกือบจะมีชีวิต ตัวอย่างที่น่าทึ่งที่สุดก็คือ การที่ Jobs คิดเครื่อง iPod ขึ้นมา ในช่วงเวลาที่ Sony กำลังครองตลาดเครื่องเล่นเพลงด้วย Walkman อย่างชนิดที่เกือบจะไร้คู่แข่ง และยังมี CBS เป็นผู้คอยสร้างเนื้อหาให้ การจะเอาชนะคู่แข่งแบบนี้ เกือบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่ Jobs ชนะเพราะเริ่มต้นด้วยความคิดว่า เครื่องเล่นเพลงที่ “ควรจะเป็น” ควรจะเป็นอย่างไร แล้วจึงค่อยสร้างสิ่งอื่นๆ เติมเข้าไปในเครื่องเล่นเพลงของเขา



6. เอาอย่าง อย่าลอกเลียน

คุณเป็นคนหนึ่งที่อยากจะเป็น the next Jobs หรือไม่ ต่อไปนี้คือ 4 หลุมพรางของคนที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็น Jobs คนต่อไป

- อย่าเลียนแบบ Jobs แต่เปลือก แค่แต่งตัวให้เหมือน Jobs ผู้นิยมสวมเสื้อคอเต่าสีดำและกางเกงยีนส์ ไม่ได้ทำให้คุณสามารถเป็น Jobs คนต่อไปได้ แต่หากคุณเอาอย่าง Jobs ที่ใช้สไลด์ ซึ่งเน้นภาพและมีข้อความเพียงเล็กน้อย ในการนำเสนองาน คุณอาจมีโอกาสพัฒนาตัวเองให้เป็นนักพูดที่สุดยอดเหมือนกับ Jobs ได้

-สิ่งที่บริษัททำหลังจากประสบความสำเร็จ อาจไม่ใช่สิ่งเดียวกับที่เคยทำให้บริษัทประสบความสำเร็จ Apple ควบคุมโปรแกรมใช้งานต่างๆ บน iPhone และ iPad อย่างเข้มงวด และสร้างรายได้มหาศาลจากการขายโปรแกรมเหล่านี้ผ่านร้าน iTunes Store ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับที่ Apple เคยทำกับเครื่อง Macintosh ในยุคทศวรรษ 80 ซึ่งเป็นช่วงที่ Apple เปิดเผยข้อมูลระบบ เพราะในตอนนั้น Apple กำลังต้องการให้คนอื่นๆ มาช่วยพัฒนาซอฟต์แวร์ให้อย่างมาก

-เส้นทางที่จะประสบความสำเร็จมีหลายเส้นทาง เส้นทางที่เคยทำให้ Jobs ประสบความสำเร็จ ไม่จำเป็นว่าจะใช้ได้ผลกับคุณด้วย ความจริงแล้ว Apple ทำหลายอย่างที่คนอื่นๆ ไม่เข้าใจ หรือแม้กระทั่งส่ายหน้า เช่น ไม่ฟังลูกค้า ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับสื่ออย่างเปิดเผยหรือเป็นมิตร ไม่ได้เข้าถึงลูกค้าผ่านสื่อ Social Media และไม่ได้บริหารพนักงานแบบเป็นประชาธิปไตยหรือมีส่วนร่วม แต่ Apple ก็ยังเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงมาก

-บางครั้งเฮงอาจดีกว่าเก่ง กว่าจะถึงวันที่คุณสามารถทำความเข้าใจกับสิ่งที่ทำให้ Apple ประสบความสำเร็จได้ทั้งหมด ก็อาจจะสายไปแล้วที่จะทำอย่างเดียวกับที่ Apple เคยทำ เพราะโอกาสที่เคยทำให้ Apple ประสบความสำเร็จ อาจหมดไปแล้ว


ต่อไปนี้คือ 3 บทเรียนที่คุณควรเอาอย่าง Jobs

-ให้ในสิ่งที่ลูกค้าอยากได้ ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูด

-ให้ความสำคัญมากที่สุด กับการใช้งานที่ง่ายและการออกแบบให้สวยงาม

-จัดสถานที่ทำงานที่จะทำให้คนทำงานได้ดีที่สุด



7. สำคัญที่สุดคือการออกแบบ

Jobs ให้ความสำคัญกับการออกแบบอย่างมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ทำให้คนอยากซื้อ การออกแบบเป็นส่วนหนึ่งของ Apple มาตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม โลโก้รูปแอปเปิลสีรุ้งที่แหว่งด้วยรอยกัด คืองานออกแบบยุคแรกสุด Apple อาจเริ่มต้นด้วยการเป็นบริษัทคอมพิวเตอร์ ที่มีลูกค้าเป็นพวกคลั่งไคล้เทคโนโลยี แต่สิ่งที่ทำให้ Apple ประสบความสำเร็จ กลับเป็นการที่สามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นเหมือนสินค้าแฟชั่น ที่แทบไม่ต่างจาก Prada หรือ Paul Smith และคำว่า “คอมพิวเตอร์” ก็ได้หายไปจากชื่อของบริษัท

ทุกวันนี้ Apple ไม่ได้ผลิตคอมพิวเตอร์ แต่สร้างสิ่งต่างๆ หรือพูดให้ถูกคือ “ออกแบบ” สิ่งต่างๆ ที่ทำงานให้เรา การออกแบบทำให้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ Apple กลายเป็นวัตถุที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจ และพาเราก้าวเข้าสู่โลกใหม่ยุคหลังวัตถุ (post-object world) คือโลกที่สิ่งสำคัญไม่ใช่รูปร่างหน้าตาของวัตถุสิ่งของอีกต่อไป หากแต่เป็น “ความรู้สึก” ที่เจ้าของมีต่อวัตถุนั้นและการใช้งานมัน ดังเช่นที่ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ Apple ได้เปลี่ยนแปลงวิธีที่เราสื่อสารถึงกัน วิธีที่เราเชื่อมความสัมพันธ์กัน และอื่นๆ โดยสุดท้ายแล้ว การเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดก็คือ Apple ได้เปลี่ยนวิธีที่เรามองโลกและเข้าใจโลก



8. ทำให้ผู้ฟังเคลิบเคลิ้ม

3 เทคนิคที่ทำให้ Jobs เป็นนักเล่าเรื่องตัวฉกาจที่หาตัวจับยาก

-อธิบายความเจ๋งของผลิตภัณฑ์ในประโยคเดียว Jobs บอกว่า iPod เป็น “1,000 เพลงในกระเป๋าของคุณ” MacBook Air คือ “คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คที่บางที่สุดในโลก” และ iPad คือ “มหัศจรรย์แห่งการปฏิวัติคอมพิวเตอร์” หลักการของ Jobs คือ ให้ภาพใหญ่ก่อน ด้วยการอธิบายถึงผลิตภัณฑ์ด้วยประโยคเดียว ที่มีความยาวไม่เกิน 140 ตัวอักษรหรือน้อยกว่า

- อธิบายด้วยภาพ Jobs ชอบใช้สไลด์ที่มีแต่ภาพและข้อความเพียงเล็กน้อยไม่เกิน 40 คำ เพราะว่าเขาคิดเป็นภาพ สไลด์ของ Jobs จะไม่มีข้อความที่แบ่งเป็นหัวข้อๆ เด็ดขาด วิธีการที่ Jobs ใช้เรียกว่า Picture Superiority ซึ่งหมายความว่า คนจะรับข้อมูลข่าวสารได้ดีกว่า ถ้ามีทั้งภาพและข้อความ แทนที่จะมีแต่ข้อความเพียงอย่างเดียว ซึ่งบังเอิญถูกต้องตามหลักการทำงานของสมองมนุษย์ โดยคนจะจำข้อมูลที่มีแต่คำพูดได้เพียง 10% เท่านั้น หลังจากผ่านไป 3 วัน แต่จะจำได้มากถึง 65% ถ้าหากข้อมูลนั้นมีภาพด้วย

-กฎไม่เกิน 3 Jobs บอกว่า iPad2 “บางกว่า เบากว่า และเร็วกว่า” iPad1 ตามหลักจิตวิทยาแล้ว ความจำระยะสั้นจะดีขึ้น ถ้าหากข้อมูลที่ได้รับมาไม่เกิน 3 ส่วน แล้วจึงค่อยขยายรายละเอียดของแต่ละส่วน แต่ “ภาพใหญ่” จะต้องไม่เกิน 3



9. จากปาก Steve Jobs


“การสามารถคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ไม่เกี่ยวกับการทุ่มเงินไปกับการวิจัยและพัฒนาให้มากๆ ตอนที่ Apple คิดเครื่อง Mac นั้น IBM ทุ่มเงินไปกับ R&D มากกว่าเรา ไม่ต่ำกว่า 100 เท่า แต่มันไม่เกี่ยวกับเงิน แต่เกี่ยวกับคนที่คุณมี คุณมีผู้นำอย่างไร และคุณเข้าใจเรื่องการสร้างสรรค์มากน้อยแค่ไหน”

Fortune 9 พฤศจิกายน 1998


“เป็นเรื่องยากมากที่จะออกแบบผลิตภัณฑ์โดยอาศัยแค่กลุ่มตัวอย่าง เพราะคนมักจะไม่ค่อยรู้ว่า อะไรที่พวกเขาต้องการ จนกว่าคุณจะทำมันออกมาให้เขาเห็น”

BusinessWeek 25 พฤษภาคม 1998


“(นวัตกรรมของ Apple) เกิดมาจากการปฏิเสธ 1,000 สิ่ง เพื่อให้แน่ใจว่าเราไม่ได้เดินไปผิดทาง หรือพยายามมากเกินไป”

BusinessWeek online 12 ตุลาคม 2004


“ไม่มีใครพยายามจะกลืนเรา ตราบใดที่มีผมอยู่ที่นี่ ผมคิดว่าพวกเขาคงกลัวเรื่องรสชาติ”

ที่ประชุมผู้ถือหุ้น Apple 22 เมษายน 1998


“เราออกแบบปุ่มบนหน้าจอให้ดีซะจนคุณนึกอยากจะเลียมัน”

Fortune 24 มกราคม 2000 ในการเปิดตัว Aqua user interface ของ Mac OS X


“(iTune) จะเข้าไปอยู่ในประวัติศาสตร์ในฐานะจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมเพลง”

Fortune 12 พฤษภาคม 2003


“ผมอยากจะเป็นเจ้าของและควบคุมเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดในทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ”

BusinessWeek online 12 ตุลาคม 2004


“(Android) อยากจะฆ่า iPhone แต่เราไม่ยอม”

ตอบคำถามพนักงาน Apple 28 มกราคม 2010


(เกี่ยวกับความล้มเหลว) “การเป็นคนรวยที่สุดที่นอนอยู่ในสุสาน ไม่มีความหมายอะไรกับผม แต่ถ้าได้เข้านอน ด้วยความรู้สึกว่า ได้ทำอะไรที่แสนวิเศษ นั่นจึงจะมีความหมาย เวลาที่คุณคิดสิ่งใหม่ๆ คุณมักจะทำผิด ต้องรีบยอมรับความผิดนั้นโดยเร็ว และปรับปรุงแก้ไขในครั้งต่อไป”

The Wall Street Journal 25 พฤษภาคม 1993



10. ท้าทายความคาดหวังของคนอื่น

Apple ไม่ใช่ทั้งบริษัทผลิตคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่บริษัทโทรศัพท์ ไม่ใช่โปรแกรมเมอร์ที่เขียนซอฟต์แวร์ และไม่ใช่บริษัทออกแบบแฟชั่น ถ้าเช่นนั้น Apple คืออะไร และความเป็นอัจฉริยะที่แท้จริงของ Jobs อยู่ตรงไหน คำตอบคือ ค้าปลีก ร้าน Apple Store มียอดขายสูงลิ่วทำลายสถิติ ลูกค้าสามารถแวะเวียนไปพักผ่อนหย่อนใจที่ Wi-Fi Clubhouse ได้ทุกเมื่อ ในขณะที่อุตสาหกรรมเพลงขายเพลงไม่ได้ แต่ Steve Jobs ขายได้ เขายังขายหนังสือและโปรแกรมซอฟต์แวร์ และมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่จะรู้ว่า เขาจะขายอะไรต่อไป อาจจะเป็นแฟชั่น Apple บ้าน Apple รถ Apple และเชื่อเถอะว่า มีคนมากมายที่เต็มใจจะรอซื้อ บทเรียนจาก Jobs ในข้อนี้คือ อย่ายอมรับความคาดหวังของคนอื่นที่มีต่อคุณ ที่คาดหวังให้คุณต้องเป็นอย่างนั้น หรือทำอย่างนี้ อย่ายอมให้คนอื่นตัดสินคุณค่าของตัวคุณ



11. เป็นคู่แข่งของตัวเอง

Jobs เชื่อมั่นตั้งแต่แรกว่า Apple สามารถจะประสบความสำเร็จในตลาดอุปกรณ์สื่อสารพกพาได้ เพราะ Apple เป็นเพียงบริษัทเดียวที่เป็นบริษัทซอฟต์แวร์ ในขณะที่คู่แข่งทั้งหมดล้วนแต่เป็นบริษัทฮาร์ดแวร์ และบริษัทน้องใหม่ในอุตสาหกรรมอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่อย่าง Apple ก็สามารถสอนมวยและให้บทเรียนระดับ MBA ให้แก่รุ่นพี่ๆ ทั้งอุตสาหกรรมได้จริงๆ ถึงวิธีที่จะทำให้ลูกค้าบริโภคข้อมูลบนอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่ ด้วยความสวยงามของผลิตภัณฑ์ ความน่าทึ่งของแบรนด์ และประสบการณ์ของผู้ใช้ที่แตกต่าง สมแล้วที่ Jobs คืออัจฉริยะทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุค เขาสามารถสร้างความแตกต่างอย่างชาญฉลาด ให้แก่สินค้าที่ดูเหมือนๆ กันไปหมด และยังนำความมหัศจรรย์ของเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา ในรูปแบบที่เข้าถึงได้ง่าย พึ่งพาได้ และสร้างแรงบันดาลใจ Jobs มีความสามารถในการคิดสร้างสิ่งที่เราจะต้องการ ก่อนที่เราจะรู้ตัวว่าเราต้องการมัน และสร้างสิ่งนั้นให้ง่ายต่อการใช้งาน



12. ปิดแล้วเปิดใหม่

Jobs นำเทคนิคของ Hollywood มาใช้กับ Silicon Valley อย่างได้ผล ผู้ยิ่งใหญ่ของ Hollywood ในสมัยก่อน ได้ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ที่เน้นแต่เรื่องเทคนิคและเคร่งขรึมจริงจังในทศวรรษ 1910-20 ให้กลายเป็นอุตสาหกรรมบันเทิง Jobs ก็ทำในสิ่งเดียวกัน เขากำลังปฏิวัติอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และโทรคมนาคม ให้กลายเป็นอุตสาหกรรมบันเทิงอิเล็กทรอนิกส์ ด้วย 3 วิธีการเดียวกับ Hollywood ได้แก่ หนึ่ง Jobs เข้าใจลูกค้า เขาเข้าใจดีว่า คนส่วนใหญ่ชอบบริโภคเนื้อหา มากกว่าจะเป็นผู้สร้างเนื้อหา ดังนั้นทั้ง iPad, iPhone และ iPod จึงถูกสร้างขึ้นอย่างดีที่สุด เพื่อส่งเสริมการบริโภคให้ง่ายที่สุด

ข้อ 2 Jobs ผู้เป็นเอตทัคคะด้านสุนทรียศาสตร์ เข้าใจดีว่า สิ่งที่ถูก “ตัด” ออกไป สำคัญมากกว่าสิ่งที่ใส่เข้ามา เขาจะไม่เพิ่มสิ่งใดแม้แต่เพียงสิ่งเดียว หากว่ามันจะทำลายความงามของผลิตภัณฑ์ของเขา ข้อสุดท้าย Jobs เข้าใจดีถึง “พลังดารา” คือการที่คนเข้าไปชมภาพยนตร์ เพียงเพราะมีดาราคนโปรดเพียงคนเดียว Jobs ทำให้ผลิตภัณฑ์ทุกตัวของเขาเป็นเหมือน “ดารา”



13. ความลับ คือโฆษณาที่ดีที่สุด

Jobs รู้ดีมานานแล้วว่า โฆษณาที่ดีที่สุดไม่ใช่จะใช้เงินซื้อหาได้ และโฆษณาที่ดีที่สุด ก็คือเรื่องใหม่ๆ Jobs เปิดตัวผลิตภัณฑ์ทุกตัวของเขา เหมือนกับมันเป็นข่าวใหม่ๆ ข่าวหนึ่ง วิธีการของเขาประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เขาได้โฆษณาฟรีๆ บนสื่อ ที่ต่างพากันรายงานการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของเขาในฐานะของข่าว เคยมีการประเมินว่า Jobs ได้โฆษณาฟรีๆ ที่สามารถคิดเป็นเม็ดเงินได้ถึง 400 ล้านดอลลาร์ ในการเปิดตัว iPhone จากการที่สื่อทั่วโลกต่างพากันทำข่าวนี้ จริงๆ แล้ววิธีการของ Jobs เป็นหลักจิตวิทยาง่ายๆ แต่ฉลาด เขาแค่บอกว่า เขามีความลับ

1 สัปดาห์ก่อนหน้าการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ Jobs จะส่งคำเชิญให้ไปร่วมงานที่ลึกลับ ทำให้คนรู้สึกอยากรู้อยากเห็น เกิดการคาดเดากันอย่างใหญ่โตและข่าวลือ สื่อก็ร่วมเล่นเกมค้นหาความลับด้วย แต่ Jobs ก็จะปกปิดความลับของเขาอย่างยิ่งยวด จนกว่าจะเฉลยในวันสุดท้าย Jobs ใช้วิธีการนี้อย่างได้ผลมาตลอด 20 ปีแห่งการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของ Apple



14. จงเป็นคนที่หิวและโง่

โอวาทอันโด่งดังที่ Steve Jobs ซึ่งไม่เคยเรียนจบปริญญา ได้กล่าวแก่บัณฑิตจบใหม่ของมหาวิทยาลัย Stanford University เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2005 เขาได้เล่าเรื่อง 3 เรื่อง เรื่องแรก เกี่ยวกับการเรียนมหาวิทยาลัยของเขา หลังจากเข้าเป็นนักศึกษาใหม่ที่มหาวิทยาลัย Reed College ใน Portland รัฐ Oregon ได้เพียง 6 เดือน Jobs ก็พบว่ามันช่างไร้ประโยชน์ เขาตัดสินใจลาออก ซึ่งทำให้เขาไม่ต้องเรียนวิชาที่ถูกบังคับให้เรียนโดยที่เขาไม่สนใจ และสามารถเรียนวิชาที่เขารู้สึกสนใจได้ หนึ่งในนั้นคือวิชา “อักษรวิจิตร” (calligraphy) เกี่ยวกับการการออกแบบตัวอักษรให้สวยงาม แม้ว่าในตอนนั้นเขาเอง ยังมองไม่เห็นเลยว่า วิชานี้จะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตเขาอย่างไร แต่ 10 ปีให้หลัง ในขณะที่ Jobs กำลังออกแบบเครื่องคอมพิวเตอร์ Macintosh เครื่องแรก วิชานี้กลับเป็นประโยชน์อย่างมหาศาล และทำให้ Mac เป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในโลกที่มีตัวอักษรสวยงาม ที่แม้แต่ Windows ยังลอกเลียนไปใช้

Jobs บอกกับบัณฑิตใหม่ในวันนั้นว่า คุณไม่รู้หรอกว่า “จุด” ต่างๆ ในชีวิตของคุณ จะไปเชื่อมต่อกันได้อย่างไรในอนาคต เพราะคุณจะสามารถลากเส้นต่อจุดเหล่านั้นได้ ก็ต่อเมื่อเวลาที่คุณได้มองย้อนกลับไปข้างหลังเท่านั้น คุณจึงต้องเชื่อมั่นว่า จุดต่างๆ เหล่านั้น จะเชื่อมต่อกันเองในอนาคต คนเราต้องมีความเชื่อมั่นศรัทธาในบางอย่าง ไม่ว่าบางอย่างนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม ความกล้าในตัวคุณเอง โชคชะตา หรือกรรม เพราะความเชื่อมั่นศรัทธาว่าจุดต่างๆ ในชีวิตของคุณ จะเชื่อมต่อกันเป็นถนนที่คุณจะเดินในอนาคต จะทำให้คุณบังเกิดความเชื่อมั่นที่จะเดินตามหัวใจของคุณ แม้ว่าอาจจะต้องเดินออกไปจากหนทางที่คุณคุ้นเคย แต่คุณจะค้นพบสิ่งที่แตกต่าง

เรื่องที่สองคือเรื่องที่เขาถูกไล่ออกจาก Apple บริษัทที่เขาก่อตั้งขึ้นมาเองกับมือ แต่ Jobs บอกว่า นั่นล่ะ คือสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของเขา ความหนักของความสำเร็จ ถูกแทนที่ด้วยความเบาสบายของการได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง และได้ปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ จนสามารถก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาที่สร้างสรรค์ที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตของเขา ช่วงนั้น Jobs ได้สร้างบริษัท NeXT และ Pixar และได้พบรักกับภรรยา

เรื่องสุดท้ายเกี่ยวกับความตาย ตอนที่เขาเป็นมะเร็งตับอ่อน Jobs บอกว่า การคิดว่าตัวเองกำลังจะตาย เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดที่เขาเคยพบมาในชีวิต ที่ช่วยให้เขาสามารถตัดสินใจเรื่องยากที่สุดในชีวิตได้ การรู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย ทำให้เกือบทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเคยคิดว่าสำคัญ ความคาดหวัง ความหยิ่งทรนง ความกลัวว่าจะอับอายและล้มเหลว ล้วนกลายเป็นสิ่งที่ไร้ความหมายไปสิ้น เมื่ออยู่ต่อหน้าความตาย คงเหลือแต่เพียงสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างแท้จริงเท่านั้น การรู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย ทำให้เขารอดพ้นจากกับดักความคิดที่ว่า เขามีอะไรต้องสูญเสีย คนเราทุกคนเกิดมาในโลกนี้อย่างตัวเปล่า จึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่เดินตามหัวใจตัวเอง

Jobs ปิดท้ายโอวาทของเขาด้วยคำแนะนำสุดท้าย ที่เขานำมาจากคำบรรยายใต้ภาพปกนิตยสารชื่อ Whole Earth Catalog ฉบับสุดท้าย ก่อนที่นิตยสารฉบับนั้นจะปิดตัวลง ซึ่งเขาได้อ่านเมื่อตอนอายุเท่าๆ กับบัณฑิตจบใหม่ในวันนั้น เป็นประโยคที่เขาหวังให้ตัวเองทำได้เสมอมา และประโยคนั้นคือ “จงเป็นคนที่หิวและโง่อยู่เสมอ”



Create Date : 08 ตุลาคม 2554
Last Update : 8 ตุลาคม 2554 18:53:12 น.
Counter : 774 Pageviews.

1 comment
คำคมจาก Steve Job CEO คนเก่งที่จะเป็นตำนานตลอดไป
เมื่อวานช่วงค่ำๆ ฝนตกหนักมากๆที่กรุงเทพ ท่ามกลางบรรยากาศรถติด ชนิดที่ว่าไม่ขยับไปไหนเลย ผมก็ได้แต่นั่งนิ่งๆ อยู่ในรถ พร้อมกับอ่านหนังสือ Be Magazine ผมก็ไล่อ่าน ไปเรื่อยๆตั้งแต่หน้าแรก จนไปสดุดกับบทความหนึ่งที่มีเรื่องราวของ Steve Jobs อดีัต CEO คนเก่งของบริษัทแอปเปิ้ล ที่นำเสนอโดย คุณอารันดร์ อาชาพิลาส โดยได้คัดลอกข้อความบทหนึ่งจากหนังสือ วิชาสุดท้าย ที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน (เล่ม1) ซึ่งแปลโดย คุณ สฤณี อาชวานันทกุล

ทันทีที่ผมอ่านบทความเรื่องนี้จบ ผมก็ตั้งคำถามกับตัวเองเล่นๆว่าหลายคนก็มีความคิดแตกต่างแต่ทำไมไม่ประสบความสำเร็จ? ผมว่าคิดต่างอย่างเดียวไม่พอ ต้องใส่ความพยายาม และใส่ใจในรายละเอียดด้วย ไม่แน่เพื่อนๆที่อ่านอยู่ก็อาจจะประสบความสำเร็จเหมือน สตีฟ จ๊อบส์ ก็เป็นได้

วันนี้ผมขอหยิบประโยคทองที่ผมอ่านแล้วรู้สึกว่ามันมีความหมายดีๆซ่อนอยู่มาให้เพื่อนๆได้อ่านแล้วลองคิดตามดูครับ

1. อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความซื่อ

2. ผมถูกไล่ออก แต่ผมยังมีความรักอยู่นั่นทำให้ผมตัดสินใจเริ่มต้นใหม่

3. อย่้าตกเป็นทาสของกฎเกณฑ์-นั่นคือการใช้ชีวิตตามความคิดของคนอื่น อย่าปล่อยให้เสียงของคนอื่นดังกลบเสียงของหัวใจเราเอง

4. เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตเราจะหมดไปกับงาน วิธีเดียวที่จะทำให้เรามีความสุขกับงานที่ทำก็คือ เมื่อเราทำงานที่ยอดเยี่ยม และวิธีเดียวที่จะทำให้ได้งานออกมายอดเยี่ยม คือ เมื่อเรารักงานที่เราทำ

5. ความตายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ธรรมชาติให้เรามา เป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลงกำจัดของเก่าเพื่อสละพื้นที่ให้กับของใหม่

เพิ่มเติมจากที่เคยอ่านมา

6. คิดอย่างแตกต่าง

7. "คิดต่าง" อย่า "มัวแต่ยืนอยู่ในแถวเหมือนพวกแกะ"

8. คุณอยากใช้ชีวิตที่เหลือขายน้ำหวาน หรืออยากมีโอกาศเปลี่ยนแปลงโลก?

9. คุณ ไม่สามารถเพียงถามลูกค้าว่าพวกเขาต้องการอะไร แล้วพยายามมอบสิ่งที่พวกเขาต้องการให้พวกเขา เพราะกว่าคุณจะผลิตของสิ่งนั้นสำเร็จ พวกเขาก็อยากได้ของใหม่แล้ว

10. ผมเชื่อว่าครึ่งหนึ่งของสิ่งที่แยกระหว่างเจ้าของกิจการที่ประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จคือ ความไม่ยอมแพ้ล้วนๆ

ผมมั่นใจว่า Steve Job จะเป็นแรงบันดาลให้ใครๆอีกหลายคนในโลกนี้ครับ




Create Date : 06 ตุลาคม 2554
Last Update : 6 ตุลาคม 2554 19:56:20 น.
Counter : 445 Pageviews.

0 comment
ภารกิจลับ " NASA " จริงรึไม่ !
มาอัพเดตเรื่องราวใหม่ๆ กับ ซีรี่ยส์ใหม่อีกครั้งกับ Secrets of The Moon หรือเรื่องเร้นลับของดวงจันทร์ คราวนี้จะพามารับชมกันถึงเรื่องการสำรวจดวงจันทร์ของโครงการอพอลโล 20 ซึ่งโครงการนี้ไม่มีอยู่ในฐานข้อมูลระบบปกติของนาซ่าครับ เหตุผลว่าทำไมถึงไม่มีรายชื่อของโครงการนี้อยู่นั้นเพราะว่าโครงการนี้ลับสุดยอดและถูกปกปิดมานานกว่า 30 ปี เรามาติดตามกันดูครับว่าเรื่องราวมันเป็นมายังไง




การสำรวจอวกาศนั้นมีการปฏิบัติภารกิจกันอยู่หลายองค์กร หลายประเทศอยู่ครับ หลักๆ ที่เรารู้จักเลยก็คือ นาซ่า
(NASA) หรือองค์กรบริหารการบินและอวกาศ ของประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งเมื่อเดือนกรกฏาคม ปี ..1958 มีพันธกิจคือโครงการวิจัยบุกเบิกด้านอวกาศ นาซ่านั้นปฏิบัติภารกิจโครงการสำรวจและวิจัยด้านอวกาศมาอย่างต่อเนื่องยาว นานครับ ทั้งส่งมนุษย์ สัตว์และยานสำรวจขึ้นไปยังอวกาศ ยานโครจรรอบดวงดาวต่างๆ และอื่นอีกมากมาย แต่ผลงานภารกิจของนาซ่าที่เป็นที่จดจำและโด่งดังไปทั่วโลก ก็เห็นจะเป็นภารกิจของนาซ่าสำหรับโครงการลงจอดบนดวงจันทร์ (Lunar landing) ของโครงการ อพอลโล 11 (Apollo 11) ครับ ที่ส่ง นีล อาร์มสตรองและเอ็ดวิน บัซ อัลดรินลงไปเดินเล่นบนดวงจันทร์ได้สำเร็จ (แต่ไมเคิล คอลลินส์ไม่ได้ลงไปเดินด้วยนะครับ) ในวันที่ 20 กรกฏาคม และกลับสู่โลกเมื่อวันที่ 24 กรกฏาคม ปี ค..1969 ครับ โดยมีประโยคอันเป็นที่จดจำมาจนถึงทุกวันนี้ครับกับ One small step for a man, one giant leap for a mankind หรือ "นี่เป็นก้าวเล็กๆ ของมนุษย์คนหนึ่ง แต่เป็นก้าวอันยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติ" ก็เป็นประโยคที่ นีล อาร์มสตรองกล่าวเอาไว้เมื่อตอนที่เขาเหยียบลงบนดวงจันทร์






นับจากความสำเร็จของโครงการอพอลโล
11 แล้ว ก็ยังเกิดโครงการ อพอลโลตามมาอีก 6 โครงการครับ ไล่ตั้งแต่ อพอลโล 11 ถึง อพอลโล 17 ซึ่งเป็นโครงการสำรวจเกี่ยวกับดวงจันทร์ทั้งหมด แต่หลังจากนั้นแล้วโครงการอพอลโล 18-20 และ โครงการสำรวจดวงจันทร์ก็ถูกยกเลิกไปครับ นาซ่าหันไปให้ความสนใจกับการสำรวจดาวอังคารแทนดวงจันทร์ เกิดอะไรขึ้นกับภารกิจบนดวงจันทร์ครับ ทำไมนาซ่าถึงยกเลิกโครงการสำรวจดวงจันทร์ ทั้งๆ ที่กำลังก้าวหน้าในการสำรวจ นาซ่าพบอะไรที่นั่นหรือเปล่า คำตอบของคำถามเหล่านี้ค่อยๆ ออกมาปรากฏแล้วครับ ว่าทำไมนาซ่าถึงยกเลิกภารกิจสำรวจดวงจันทร์ทั้งหมด จากหลักฐานข้อมูล คำบอกเล่าและบรรดาพยานหลายคนที่เคยทำงานให้กับนาซ่า ได้ทยอยกันเปิดเผยถึงข้อมูลลึกลับบางส่วนที่องค์กรนาซ่าไม่นำออกเผยเพร่ให้ ประชาชนได้รับทราบเกี่ยวกับภารกิจลับที่ได้ทำมาหลายอย่าง โดยมีทั้งวิดีโอ (Footage) และภาพนิ่ง และข้อมูลที่ว่าโครงการอพอลโลตั้งแต่โครงการ 18-20 นั้น ไม่ได้ถูกยกเลิกแต่อย่างใดครับ แต่กลับถูกปฏิบัติภารกิจอย่างลับๆ ไม่ได้เปิดเผยให้ประชาชนได้รู้กัน เนื่องจากมีเหตุผลบางประการที่ทำให้การสำรวจดวงจันทร์นี้ต้องเป็นไปอย่างลับ สุดยอดครับ ซึ่งเหตุผลที่ว่านั้นก็คือ นาซ่าค้นพบ บางสิ่งบนดวงจันทร์ครับ ซึ่งหลังจาก อพอลโล 11 ที่นีล อาร์มสตรอง ได้ส่งสัญญาณกลับมาทางฮูสตันว่า เขาพบ บางสิ่งอยู่ บนนี้ และพบวัตถุบินได้ที่ไม่ใช่ดาวตกหรือดาวหาง บินอยู่บนพื้นผิวของดวงจันทร์ ไม่ใช่เพียง นีล คนเดียวครับที่ประสบเหตุการณ์ บัซ อัลดริน ก็เป็นอีกคนที่เห็นปรากฏการณ์เช่นเดียวกันนี้ (แน่ นอนครับว่า นาซ่าได้สั่งให้พวกเขาปิดปากเรื่องราวที่ได้พบบนดวงจันทร์ ในภายหลังจากนั้นอีกหลายสิบปี อัลดรินถึงได้ออกมาให้สัมภาษณ์ครับ ว่าเขาพบอะไรบางอย่างอยู่บนนั้น)




หลังจากนั้นนาซ่าเริ่มทำการสำรวจดวงจันทร์ โดยใช้ชื่อโครงการว่า อพอลโล
11 ถึงอพอลโล 17 ซึ่ง เป็นภารกิจที่ลงจอดบนดวงจันทร์ทั้งหมดและได้ขยายพื้นที่การสำรวจออกให้กว้าง มากขึ้น แต่สิ่งพิเศษที่นาซ่าค้นพบนั้น อยู่ในโครงการอพอลโล 15 ครับ ซึ่งยานลูนาร์โรเวอร์สำรวจพื้นผิวดวงจันทร์ได้มีการถ่ายภาพ บางสิ่ง ที่อยู่ในหลุมเครเตอร์ในด้านมืดหลังดวงจันทร์ เจ้าบางสิ่งที่ว่าไม่ใช่ก้อนหินหรืออุกกาบาตที่ไหนครับ แต่มันดันดูคล้าย ยานอวกาศขนาดยักษ์ น่ะซิครับ งานนี้นาซ่าถึงกับต้องเก็บผลการสำรวจครั้งนี้ไว้อย่างลับสุดยอด และนำมาวิเคราะห์กันอย่างหนักเลยครับ ซึ่งว่าจะปล่อยโครงการอพอลโล 16 อีกครั้งก็กินเวลาไปอีกว่า 1 ปีเลยทีเดียว



 


อ่านบทความนี้แล้วชอบเลยนำมาฝากกันค่ะ


 


ขอบคุณที่รับชมค่ะ^^~












Create Date : 11 กันยายน 2554
Last Update : 11 กันยายน 2554 5:01:43 น.
Counter : 1147 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  

iFreeZero
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



All Blog