Group Blog
 
All Blogs
 

ขึ้นบอลลูน ชมวิว คัปปาโดเกีย ประเทศตุรกี

เคยใฝ่ฝันมานานแล้วว่า สักวันต้องไปเที่ยวประเทศตุรกีให้ได้
แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ โอกาสนั้นจะมาถึงเสียที จนวันหนึ่งได้ยินข่าวว่า
ทางประเทศตุรกียกเลิกวีซ่า ให้คนไทย ไม่รีรอจัดการวางแผนไปเที่ยวทันที
ซึ่งได้ค้นคว้าข้อมูลด้วยตัวเอง มานานแล้ว



สิ่งที่อยากทำมากที่สุดของการมาเที่ยวตุรกี ก็คือการขึ้นบอลลูนชม วิวคัปปาโดเกีย แสนสวยนี่แหล่ะ ราคาค่าตั๋วตกที่ 100 ยูโร ประมาณ 4,000 บาท กับเวลา ประมาณ 1 ชม. ของการชมวิวลัดเลาะไปตามหน้าผา















ลอยล่องไปเรื่อยๆ ช่างเป็นวิวทิวทัศน์ที่สวยแปลกตา อะไรแบบนี้
มองขึ้นไปบนท้องฟ้า เห็นบอลลูน ลอยเต็มท้องฟ้า เวลาลอยมาใกล้ๆกัน
ก็โบกไม้โยกมือทักทาย กันไปที่สนุกสนาน













ตลอดเวลา 1 ขม. เป็นสิ่งที่ตื่นตาตื่นใจมาก แล้วก็เตรียมตัวร่อนลงพื้นแล้ว








พร้อมกับดื่มแชมเปญฉลอง และแจกใบประกาศนียบัตร ให้เป็นที่ระลึก










สำหรับการขึ้นบอลลูน ชมวิวแสนสวยของ ดัปปาโดเกียกับราคา 4,000 บาท
ก็ถือว่าเป็นประสบการ์ณที่สร้างความประทับใจ ให้พอสมควร








เดินทางวันที่ 22-12-2555 - 27- 12- 2555





 




 

Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2556    
Last Update : 17 สิงหาคม 2562 11:56:03 น.
Counter : 2224 Pageviews.  

ไปเล่นสกีที่อิหร่าน

นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่ได้มาเยือนประเทศ อิหร่าน ครั้งแรกสร้างความประทับใจให้มากพอสมควร เป็นประเทศที่เดินทางไปแล้ว ไม่มีเวลาให้เหงาเลยจริงๆ แม้ว่าจะเดินทางคนเดียวก็เถอะ เพราtไม่ว่าจะไปที่ไหน จะได้รับความสนใจ จากคนอิหร่าน ตลอดเวลา คราวที่แล้วไปหน้าร้อน แต่คราวนี้ มาหน้าหนาวจึงได้สัมผัสกับอากาศหนาว และหิมะแบเต็มๆ ซึ่งใครหลายคนอาจจะงง ว่าอิหร่านมีหิมะด้วยเหรอ


นอกจากอิหร่าน จะมีหิมะแล้ว ยังมีสกีรีสอร์ท ถึง 16 แห่งเชียวนะ แต่ที่ขึ้นชื่อมากที่สุด คือ dizin ski resort ซึ่งใช้เวลาเดินทาง จากกรุงเตหะราน ประมาณ 4 ชั่วโมง ซึ่งอยู่ทางเหนือ ของกรุงเตหะราน




ตอนแรกกะว่า จะไป dizin ski resort ให้ได้ แต่ด้วยความจำกัดเรื่องของเวลา และความยากของการเดินทาง บวกกับค่าใช้จ่าย ที่ต้องเหมารถแท๊กซี่ไป เลยยอมตัดใจเลือกที่จะไป tochal ski resort แทนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเตหะราน เท่าไหร่ แค่นั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน ที่สถาณี Gheytarieh แล้วนั่งรถแท๊กซี่ไปลงที่เชิงเขา tochal แล้วต่อรถเมล์สีเหลือง ที่รับส่งนักท่องเที่ยว ไปส่งจนถีง สถาณีเคเบิ้ลคา เสร็จแล้วก็ซื้อตั๋ว ราคา 250,000 เรียล ประมาณ 250 บาทไทย ซึ่งอยู่ชั้น 8 ชั้นที่สูงที่สุด สำหรับคนที่จะไปเล่นสกี บนความสูง 3,650 เมตรซึงยอดเขาที่สูงที่สุด บนภูเขา tochal จะมีความสูงที่ 3,966 เมตร ซึ่งถือว่าสูงมากทีเดียว





หากใครไม่อยากไปเล่นสกี จะเดินขึ้นเขา โดยไม่นั่งเคเบิ้ลคาก็ได้ ตั้งแต่ชั้น 1 ไปจนถึงชั้น 6 ส่วนใครที่อยากจะเรียนเล่นสกี ก็มีโรงเรียนสอน ซึ่งอยู่ที่ชั้น 1 ส่วนชั้น 8 จะเป็นลานเล่นสกี ซึ่งอนุญาตให้เฉพาะคนที่เล่นสกี เท่านั้น
คนที่จะเรียนต้องไปเรียนที่ชั้น 1 ชั้น 8 มีไว้สำหรับเล่นสกีเท่านั้น และยังมีโรงแรม ให้พักด้วย หากใครอยากจะพักที่นี่





ราคาค่าห้องจะตกคืนละ 900,000 เรียล ประมาณ 900 บาทไทย ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำสุด สำหรับนอนคนเดียว ห้องไม่มีหน้าต่างชมวิว ส่วนห้องที่มีหน้าต่าง ราคาจะสูงกว่านี้ เริ่มต้นที่ 1,000,000 เรียล ประมาณ 1,000 บาท ราคานี้จะรวม อาหารเช้าด้วย พร้อมกับตั๋วเคเบิ้ลคาร์ ขาลง โดยทางโรงแรมจะออก คูปองแทนตั๋วให้
















ส่วนใครที่ไม่มีอุปกรณ์เล่นสกี ก็สมารถมาเช่า ที่ร้านเช่าอุปกรณ์
เล่นสกีที่ชั้น 8 ได้ แต่เสียดายวันนี้ลมแรง และหนาวมาก ประกอบกับร้านอุปกรณ์ให้เช่า ปิด ก็เลยไม่มีโอกาสได้เล่นสกี





พอช่วงประมาณ 4 โมงเย็น นักเล่นสกีก็นั่งเคเบิ้ลคาร์ กลับบ้านกันหมดแล้ว
เหลือแต่ความเงียบเหงา เดินย่ำเล่นหิมะ เล่นแล้วกลับเข้าโรงแรม ซึ่งมีแขกพักไม่ถึง 10 คน และพนักงานอีกประมาณ 10 กว่าคน




เช้าวันรุ่งขึ้นเตรียมตัวกลับเตหะราน นั่งเคเบิ้ลคาร์ กลับลงไปชมวิว ที่ ชั้น 6 ซึ่งเป็นชั้นที่สวยเหมือนกัน จึงได้รู้ว่า มีคนเดินขึ้นมาจากชั้น 1 จนถึงชั้น 6
มองลงไป วิวข้างทางช่างสวยเหลือเกิน อยากจะเดินลงเหมือนกัน แต่คงจะเสียเวลามาก เวลายิ่งน้อยๆอยู่
















ตอนมาอิหร่านครั้งแรก มาหน้าร้อน ภูเขามีแต่ความแห้งแล้ง ต้นไม้ก็ไม่มี
นึกภาพไม่ออกเลย ว่าพอปกคลุมไปด้วยหิมะ มันจะเป็นแบบไหนนะ
วันนี้ได้มาเห็นกับตาแล้วว่า ภูเขาหิมะที่อิหร่าน ก็สวยไม่แพ้ประเทศอื่นเหมือนกัน






เดินทางวันที่ 28- 12- 2555 - 4 -01-2556



 




 

Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2556    
Last Update : 17 สิงหาคม 2562 11:56:30 น.
Counter : 1939 Pageviews.  

ท่องแดนอิหร่าน

เอ่ย ประเทศอิหร่าน คิดว่าน้อยคนนักที่อยากจะไปเยือน ด้วยความที่
เป็นประเทศที่มีชื่อเสียงในด้านลบ เป็นประเทศที่ถูกคว่ำบาตรจากสหประชาชาติ ทั่วโลกต่างมองว่า อิหร่านคือผู้ก่อการร้ายของโลก

หลายคนคงคิดว่าประเทศนี้ คงมีแต่ทะเลทราย แต่พอได้ไปเห็นกับตาแล้ว
ถึงได้รู้ว่าประเทศ อิหร่าน นั้นอุดมสมบูรณ์มาก ทั้งการเกษตร การประมง





เป็นประเทศที่แม้ว่าจะโดนคว่ำบาตร แต่ก็สามารถเลี้ยงตัวเองได้แบบสบายๆ
ไม่จำเป็นต้องพึ่งพา นานาประเทศ ไปเสียทุกอย่าง




มีการทำนาเหมือนเมืองไทย การประมงก็มีทะเลสาบแคสเปี้ยน ซึ่งขึ้นชื่อมากในเรื่องของคาร์เวีย คุณภาพดีที่สุดในโลก และยังมีทะเลเปอร์เซียซึ่งเป็นทะเลด้านทิศใต้ของประเทศ








นอกจากภาคการเกษตรที่สมบูรณ์ แล้ว ประเทศอิหร่านยังมี อารยธรรมเก่าแก่ กว่า 6,000 ปี มีมรดกโลกอยู่หลายแห่ง รวมทั้งหมู่บ้าน masuleh ที่มีอายุกว่า 2,000 ปี แห่งนี้ซึ่งอยู่ทางเหนือของประเทศ ชื่อเมือง Rasht ซึ่งเมืองนี้เองมีทะเลสาบแคสเปี้ยน ภูมิประเทศเมืองนี้ เหมือนแถวทางภาคเหนือของบ้านเรามาก




มาเที่ยวเหนือแล้ว มุ่งหน้าลงภาคใต้ของประเทศที่เมือง shiraz ภูมิประเทศจะแห้งแล้ง เป็นทะเลทราย แต่ทว่ากลับปลูกผักผลไม้ได้ผลดี ซึงเมืองนี้จะขึ้นชื่อในเรื่อง องุ่นพันธุ์ดี ลองกินดูแล้วรสชาติดีมาก หวานช่ำ ราคาแค่ 15 บาทต่อกิโลกรัม เท่านั้นเอง







นอกจากนั้นยังมี สถานที่น่าสนใจมากๆคือเมืองเก่า ที่มีอายุกว่า 2,000 ปี
คือเมือง persepolis เมืองแห่งอาณาจักรเปอร์เซียในอดีต






ออกจาเมือง shiraz ขึ้นไปที่เมือง yazd เมืองที่เก่าแก่อีกเมือง เมืองที่สร้างด้วยดิน และสมัยก่อนเคยนับถือศาสนา ไซโรเอสเตอร์ ศาสนาเก่าแก่ ก่อนที่จะมาหันมานับถือศาสนาอิสลาม






เมืองนี้เป็นเมืองที่โรแมนติคมากๆ เหมาะที่จะเดินชมเมือง แบบสบายๆไม่เร่งรีบ ออกจากเมือง yazd มุ่งหน้าต่อเมือง esfahah หรือ isfshan แล้วแต่ว่าจะสะกดและออกเสียงแบบไหน ได้ทั้งสองแบบ เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่อง พรมสวยงาม และโบสถ์อิสลามสวยๆ









ตลอดการเดินทางคนเดียวในประเทศอิหร่าน เป็นทริปที่น่าประทับใจมากๆ เป็นประเทศที่อารยธรรมเก่าแก่ เป็นประเทศที่ปลอดภัยที่สุดประเทศหนึ่งในโลก ไม่ได้น่ากลัว แม้แต่นิดเดียว จริงอย่างที่เขาพูดได้ ไม่มีผิด อ่านหนังสือ 100 เล่มก็สู้การเดินทางครั้งเดียวไม่ได้ จงอย่าเชื่อในสิ่งที่เห็นจากสื่อ ตราบใดที่เรายังไม่ได้สัมผัสด้วยตัวเราเอง

อ่านเรื่องเต็มได้ที่ 


https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=butterflyangel&month=17-08-2019&group=2&gblog=25






 




 

Create Date : 12 ตุลาคม 2555    
Last Update : 17 สิงหาคม 2562 13:41:09 น.
Counter : 2312 Pageviews.  

เวียดนามใต้ ไซ่ง่อน นาตรัง ดาลัด มุ้ยเน่ ความเหมือนที่แตกต่าง

แล้วผมก็กลับมาไซ่ง่อนอีกครั้งจนได้ เพราะเตรียมทริปไปที่อื่นไม่ทัน ด้วยความที่ค่าใช้จ่ายไม่มาก
และไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากมาย วีซ่าก็ไม่เรื่องมาก ประกอบกับเดี๋ยวนี้ประเทศกัมพูชา ไม่เก็บค่าวีซ่าคนไทยแล้ว จึงเลยถือโอกาศเดินทางข้ามไปทางประเทศกัมพูชา จากตลาดโรงเกลือ ไปพนมเปญ ไปไซ่ง่อน นั่งรถหลังขดหลังแข็งอีกครั้ง
คราวนี้ตั้งใจจะไปซ่อมที่ ที่ยังไม่ได้ไป มุ่ยเน่ นาตรัง ดาลัด คราวที่แล้วไปหยุดแค่ไซ่ง่อนเท่านั้น การเดินทางทริปนี้ เดินทางคนเดียวเหมือนทุกทริปที่ผ่านมา





มาถึงไซ่ง่อนทุกอย่างยังเหมือนเดิม ราคาอาหารก็แพงกว่าเมืองไทยมาก ผลไม้ มังคุด เงาะ มะม่วงราคากิโลละ 40,000 ด่องประมาณ 60 บาทไทย ในขณะที่เมืองไทยราคาประมาณ 25 บาทเองแถมรสชาติยังดีกว่าของเวียดนามมาก ราคาก๋วยเตี๋ยวก็จานละ 45 บาทเลยทีเดียว









ไม่รู้เขาอยู่ได้ยังไง ในขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำ วันละ 60 บาทเอง ข้าราชการเงินเดือน ประมาณ3,000 บาท ทั้งๆที่เป็นประเทศเกษตรกรรมเหมือนเมืองไทยแต่ทำไม ราคาถึงแพงนัก กับเงินเดือน รายได้แค่นี้ เขาจะอยู่กันยังไง แต่เห็นเขาบอกว่า ราชการส่วนใหญ่ มีอาชีพเสริมจำพวกค้าขายกันทั้งนั้น คงจะเหมือนๆกับเมืองไทยที่ข้าราชการบางคนก็ทำงาน ขายประกัน ขายตรงหรือค้าขายเป็นอาชีพเสริม บางคนก็ทำไร่ ทำนา ตามแต่ความถนัดของแต่ละคน






ไม่ว่ามากี่ครั้งไซ่ง่อนก็ยังเต็มไปด้วยรถมอเตอร์ไซด์เต็มถนน กว่าจะข้ามได้เล่นเอาเสียวเหมือนกันการข้ามถนนในเวียดนาม เขาบอกว่าให้เดินไปเรื่อยๆ ไม่ต้องหยุด รถจะขับหลบเราเอง เป็นประสบการ์ณที่แปลกใหม่ หาไม่ได้ในที่อื่นนอกจากเวียดนามแห่งนี้




สำหรับไซ่ง่อน ไม่มีอะไรน่าสนใจมากสำหรับผม เพราะเคยมาเที่ยวแล้ว จึงมุ่งหน้าสู่เมือง นาตรัง เมืองตากอากาศชายทะเลที่มีชื่อเสียงของเวียดนาม  พอมาถึง
ไปเที่ยว 4 เกาะ ทะเลก็ไม่ได้สวย ไม่มีอะไรให้ประทับใจเอาซะเลย  ยกเว้นเกาะ
Mun ที่เดียวที่น้ำใสหน่อย มีกิจกรรม ดำน้ำดูประการัง นั่งเรือกระจกดูชีวิตใต้ท้องทะเล 




นี่ถ้าไม่มาให้เห็นกับตาก็คงบอกไม่ได้ ว่านาตรัง ดีอย่างไร สวยขนาดไหน จริงอย่างที่เขาพูดจริงๆอ่านหนังสือ 1,000 เล่มก็สู้การเดินทาครั้งเดียวไม่ได้





แต่นาตรังก็มีเสน่ห์ในแบบของมัน ก็ยังพอจะหาความงามได้บ้าง เพียงแต่เคยไปเที่ยวเกาะแก่งในทะเลอันดามันมาเกือบทุกเกาะแล้ว พอมาเจอทะเลที่นี่ก็เลยเฉยๆ เพราะความสวยห่างกันมากมายเหลือเกิน ความได้เปรียบของทะเล เวียดนามคือ ความสด ใหม่ เพราะเพิ่งเปิดประเทศ อาจจะทำให้น่าค้นหาบ้างสำหรับชาวตะวันตก แต่สำหรับคนไทย ที่มีทะเลสวยติดอันดับโลก คงจะเป็นสิ่งที่น่าเบื่อไม่น้อย ที่ต้องมาเที่ยวทะเลที่นี่ ในเมื่อเที่ยวประเทศตัวเองก็ได้ จะดั้นด้นมาทำไม ถึงต่างบ้านต่างเมือง แถมผู้คนวัฒธรรม ภมูิอากาศ และ อาหารการกิน ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากมายกับเมืองไทย





แต่ดูจากสิ่งก่อสร้างของนาตรังที่ผุดขึ้นยังกะดอกเห็ดตอนหน้าฝน คงเป็นดรรชนีชี้วัดได้ว่า นาตรังกำลังเปิดรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกแล้ว และที่นี่ก็เคยเป็นสถานที่ประกวด นางงามจักรวาล มาแล้วภาพทะเลของนาตรัง คงออกสู่สายตาชาวโลก ไม่มากก็น้อย





อยู่แค่วันเดียวก็ขอลาแล้ว และคิดว่าที่คงจะไม่ได้กลับมาอีกแน่นอน มุ่งหน้าไปเมืองตากอากาศบนเขา ดาลัด ดีกว่า กว่าจะมาถึงต้องนั่งรถใต่เขาไล่ความสูงมาเรื่อยๆ อากาศที่นี่หนาวเย็นทั้งปี จึงไม่แปลกที่จะมีดอกไม้สวยๆ เต็มเมือง ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็เจอดอกไม้





และก็ผลไม้เต็มตลาด ละลานตาเต็มไปหมด แต่ราคาก็แพงเหมือนเดิม แถมรสชาติยังเทียบไม่ได้กับผลไม้ไทยเลยสักนิด







แม้เมืองนี้จะสวย อากาศเย็นสบาย แต่ก็ขออยู่แค่คืนเดียว จะว่าไปแล้วมันก้ไม่ต่างจากเมืองไทยมากนัก ความกระตือลือล้น ความตื่นเต้นมันเลยไม่มีเท่าไหร่ จึงขอดินทางมุ่งหน้าสู่ มุ่ยเน่ ในวันรุ่งขึ้นเลย





ทะเลของที่นี่ก็ไม่ได้ต่างกับทะเลที่อืนของเวียดนาม น้ำก็ยังเป็นสีเดิม ด้วยความที่ลมทะเลที่นี่พัดแรงตลอดจึงมีกิจกรรม เล่นว่าวโต้ลม กลางทะเล ดูแล้วก็น่าสนุกเหมือนกัน แต่ค่าเรียนแพงเหลือคอร์สละ 6,000 บาท กว่าจะเรียนจนเล่นได้ คงหมดเงินไปเยอะ  แต่คงจะได้รับควมนิยมจากนักท่องเที่ยวจึงมีโรงเรียนสอนเล่นว่าว เยอะแยะเต็มไปหมด  ตลอดตามความยาวของชายหาด


สิ่งที่น่าสนใจที่สุดของมุ่นเน่ คงไม่พ้น การไปเที่ยวชม เนินทราย นั่นเอง 
ที่มุ่ยเน่มีเนินหลายหลายแห่ง แต่ที่สวยที่สุดและใหญ่ที่สุดก็คือ เนินทรายสีขาวแห่งนี้ (white sand dunes )






การเดินบนเนินทราย ที่แดดเปรี้ยงๆแบบนี้ ช่างร้อนและกระหายน้ำเหลือเกิน แต่เมื่อเห็นเนินทรายอยู่เบื้องหน้าแล้ว ยอมรับว่าทำให้หายเหนื่อยไปเหมือนกัน ตั้งแต่เดินทางมาเที่ยวเวียดนามใต้ หลายวัน ที่นี่แหล่ะสร้างความประทับใจให้มาก ไม่ว่าจะถ่ายรูปมุมไหนก็สวยไปหมด





หลายอย่างในเวียดนามไม่ค่อยมีอะไรที่แตกต่างจากเมืองไทย แต่สำหรับที่นี่ เนินทรายแห่งนี้ แบบนี้เมืองไทยไม่มีแน่นอน จึงไม่แปลกที่จะรู้สึก ตื่นเต้น และสนุกสนาน ประทับใจมากกว่าทุกที่ ที่ไปมา จึงเดินปีนเนินทราย อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย




นี่คือครั้งที่ 3 ที่มาเที่ยวเวียดนาม สำหรับผมแล้ว พยายามนึกว่าประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นคู่แข่งของประเทศไทยแทบจะทุกอย่าง มีอะไรบ้างที่เวียดนามเหนือกว่าไทย ไม่ว่าจะเป็นอาหาร อาหารเวียดนามอร่อย อันนี้ต้องยอมรับ ว่าคนไทยมาเที่ยวเวียดนามแทบไม่ต้องปรับตัวอะไรเลย แต่รสชาติความหลากหลาย ความอร่อย ความเป็นเอกลักษณ์ ความมีชื่อเสียงในระดับโลก อาหารไทยได้รับความนิยม และได้รับการยอมรับ ทิ้งอาหารเวียดนามแบบไม่เห็นฝุ่น แถมยังราคาแพงกว่าเมืองไทยอีก ทั้งๆที่เป็นประเทศเกษตรกรรมเหมือนกัน 


หรือว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เวียดนามไม่มีอะไรมาเทียบไทยได้เลย ไม่ว่าจะเป็นความหลากหลายทางธรรมชาติ ทะเล น้ำตก โบราณสถาน หรือแม้แต่การบริการ คนเวียดนามยังห่างชั้นกับคนไทยมาก เพราะเพิ่งเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยว ในขณะที่ประเทศไทยมีชื่อเสียงด้านนี้มานาน







เวียดนามได้เปรียบก็แค่เรื่อง ความสด ใหม่ น่าค้นหา เท่านั้นเอง ในขณะที่เมืองไทยไม่มีที่ไหนที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง เพราะต้องต้อนรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก กว่าปีละ 15 ล้านคน จึงอาจจะบอบช้ำและเสื่อมโทรมไปบ้างเป็นธรรมดา พยายามนึกว่า 
เวียดนามมีอะไรที่เหนือไทยบ้าง ก็ยังมองไม่เห็น แต่ก็ต้องยอมรับว่าคนเวียดนามนั้นขยันมากๆ ตรงนี้แหล่ะที่น่ากลัวที่สุด ในขณะที่คนไทย โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่นี่
รักความสบายกันเหลือเกิน ไม่มีความอดทน ชอบอยากจะทำแต่งานที่สบายๆได้เงินเดือนเยอะๆ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ 


แต่ก็ใช่ว่า เวียดนามจะแซงไทยไม่ได้ เพราะคนไทยเองนั่นแหล่ะ ที่หยุดพัฒนาตัวเองทั้งที่ประเทศไทยเองมีของดีมากมาย ได้เปรียบเวียดนามแทบจะทุกด้าน แต่ถ้าไม่รู้จักรักษา ไม่เห็นคุณค่าในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ ก็ยากที่จะไม่มีความก้าวหน้า ต้องเหลียวมองประเทศเพื่อนบ้านด้วยความอิจฉา แล้วคนไทยจะปล่อยให้มันเป็นแบบจริงๆนั้นเหรอ





เดินทาง วันที่ 8 เมษายน - 17 เมษายน 2555













 

Create Date : 19 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 19 พฤษภาคม 2555 16:19:20 น.
Counter : 5751 Pageviews.  

อินเล ทะเลสาบมีชีวิต

ไม่เคยรู้เลยว่า ทะเลสาบอินเล มีอะไรน่าสนใจบ้าง กว้างใหญ่แค่ไหน
รู้เพียงแต่ว่าอยู่ในประเทศพม่า และสิ่งหนึ่งที่จดจำได้ไม่ลืมเลือน เป็นเอกลักษณ์ของทะเลสาบอินเล ก็คือการใช้เท้าพายเรือของชาวประมง การที่ชาวประมงใช้เท้าพายเรือก็เพราะว่า เวลายืนจะมองเห็นฝูงปลา ส่วนมือก็ใช้ในการกางตาข่ายดักปลา เท้าก็พายเรือแจวไป แค่นี้ก็คงจะทำให้ทะเลสาบอินเล แห่งนี้น่าสนใจแล้ว



นอกจากนั้น ทะเลสาบอินเล ยังมีแปลงผักบนน้ำด้วย ซึ่งการปลูกผักที่นี่เลี้ยง
คนได้ทั้งประเทศทีเดียว โดยเฉพาะมะเขือเทศ ตอนเช้าจะเห็นเกษตรกรชาว
อินเล ขนมะเขือเทศใส่เข่งสีแดงเต็มลำเรือหางยาว มุ่งหน้าสู่ตลาดบนบก




น้ำคือคือจุดเริ่มต้นของสิ่งมีชีวิตอย่างแท้จริง เราจึงได้เห็นวิถีชีวิตของคนที่นี่
ผูกพันกับสายน้ำ เสมือนว่าน้ำเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของคนที่นี่จริงๆ การสัญจรของคนที่นี่จึงต้องพึ่งเรือเป็นหลัก ทั้งเรือหางยาว และเรือแจวที่ใช้กำลังในการพาย โดยไม่ต้องสนว่าน้ำมันตลาดโลกจะขึ้นไปเท่าไหร่แล้ว
เราจึงได้เห็นคนที่นี่ ไม่ว่ามุมไหนของอินเลก็มีคนพายเรือทุกที่ ทั้งแม่ค้าที่ขายของให้นักท่องเที่ยว และชาวประมง




การประมงที่นี่ยังคงใช้อุปกรณ์แบบดั้งเดิม ไม่ได้มีเครื่องมือที่ทันสมัย
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดก็คือการใช้ สุ่มกรวยตาข่ายทรงสูงอันใหญ่ ครอบลงไปในน้ำ ให้ลึกถึงพื้นดิน แล้วใช้ฉมวกแทงหาปลา ถ้าโชคดีก็จะได้ปลาติดปลายคมฉมวกมาด้วย บางคนก็จับปลาด้วยวิธีใช้ตาข่ายดักปลา แล้วก็ใช้ไม้ตีน้ำไล่ให้ปลาตื่นตกใจ ว่ายน้ำไปติดตาข่าย




นอกจากการประมงแล้ว ที่นี่ยังมีงานฝีมือประเภทหัตถกรรมสิ่งทอด้วย โดยใช้วัสดุธรรมชาติเช่นไหม หรือผ้าที่ทอจากใยบัว ทำให้เห็นเบื้องหลังการผลิตเลย สินค้าก็จำพวก ผ้าถุง ผ้าพันคอ ผ้าคลุมไหล่ เทคไน สื้อผ้า สีสันสวยงามทีเดียว ใครได้เป็นของฝากคงจะสร้างความพึงพอใจได้ไม่น้อย



งานพวกโลหะ เครื่องเงิน งานตีเหล็กเผาไฟเป็นภาชนะ ของที่ระลึก ก็มีเช่นกัน การทำกระดาษสาแบบเชียงใหม่ ซึ่งมีแรงงานชาวกะเหรี่ยงคอยาวมาทำงานที่หมู่บ้านอินเลเช่นกัน นอกจากจะมารับจ้างทำงานแล้ว ยังเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวไปในตัวด้วย ซึ่งบ้านของพวกเธออยู่ไกลลึกเข้าไปในเขา ชีวิตแบบอาดั้งเดิมของพวกเธอ คงเปลี่ยนไปเยอะจากเมื่อก่อนเยอะทีเดียว เมื่อการท่องเที่ยวของที่นี่มีชื่อเสียง





เห็นแล้วก็นึกถึงชาวกะเหรี่ยงคอยาวที่เมืองไทย ในหมู้บ้านในสอย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เคยเข้าไปนั่งคุยกับพวกเธอตั้งนาน กับสาวงามประจำหมู่บ้านที่ชื่อ มะดะ เธอพูดภาษาไทยได้ชัดมาก เพราะเธอมาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ 7 ขวบ ในโปสการ์ดก็มีรูปเธอตั้งหลายรูป แม้กระทั่งรูปตอนเด็ก 7 ขวบ ที่เธอมาเมืองไทยใหม่ๆ โดยที่เธอให้น้องชายตัวเล็กขี่หลัง ภาพพนั้นถ่ายโดยนักท่องเที่ยวต่างชาติเพื่อไปทำโปสการ์ด การที่เธอต้องต้อนรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก ทำให้เธอพูดได้ถึง 5 ภาษา เธอบอกว่าชื่อมะดะ แปลว่าผู้หญิงเก่ง " แต่มะดะไม่เก่งหรอกนะ" เธอพูดอายๆ ดูเธอถ่อมตัวมากๆ เธอเป็นคนที่อัธยาศัยดีมาก เพราะเธอคือตัวแทนของกะเหรี่ยงคอยาว ที่คอยต้อนรับคนทั่วโลกมาเยี่ยมเยือน แบบนี้จะบอกไม่เก่งได้ไง ก่อนที่เธอจะย้ายมาอยู่เมืองไทย เธอเล่าให้ฟังว่า ทหารพม่า โหดร้ายมากจับไก่ หมูสัตว์เลี้ยงของพวกเธอไปหมด
ผู้หญิงบางคนก็โดนลากไปข่มขืน เธอและครอบครัวจึงหนีภัยสงครามมาอยู่ที่เมืองไทย จนทุกวันนี้





หมู่บ้านในสอยที่เธออยู่ไม่มีไฟฟ้า เธออยากดูทีวี แต่ทางการไม่ยอมติดตั้งให้ เพราะอยากให้หมู่บ้านของเธอมีชีวิตแบบเรียบง่ายดั้งเดิม เพื่อให้นักท่องเที่ยวมาเรียนรู้ชีวิตของพวกเธอ เมื่อไม่นานมานี้ได้อ่านข่าวจากอินเตอร์เน็ตว่าเธอเสียชีวิตแล้ว ตั้งแค่ปี 2549 เพราะไปค้นหาข้อมูลกะเหรี่ยงคอยาวในเมืองไทยใน google ไปเจอเนื้อข่าวโดยบังเอิญ ดูเนื้อหาของข่าวแล้ว มันต้องเป็นมะดะคนเดียวที่ผมได้รู้จักแน่นอน เพราะข้อมูลเนื้อข่าวกับเรื่องที่ฟังจากปากเธอ ไม่ได้ต่างกันเลย เพราะเธอเป็นคนสำคัญคนหนึ่งของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ในเรื่องการดึงดูดประชาสัมพันธ์ชนเผ่าของเธอ และการท่องเที่ยวในจังหวัด ข่าวว่าเธอตรอมใจตาย เพราะหมู่บ้านของเธอกำลังจะถูกย้ายไปรวมกับหมูบ้านกะเหรี่ยงคอยาวอีกกลุ่มในจังหวัดแม่ฮ่องสอน น่าเสียดายมากๆที่จากไปก่อนวัยอันควร อายุแค่ 25 ปีเอง ด้วยความสงสัยผมจึงโทรไปสอบถาม ทาง ททท. แม่ฮ่องสอน ก็ได้คำตอบที่ตรงตามกับข่าว
ที่ลงในอินเตอร์เน็ต มะดะไม่น่าจากโลกไปก่อนวัยอันควรเลย
ขอให้เธอไปสู่สุขคติเถิด




แต่สำหรับกะเหรี่ยงคอยาวที่นี่ ผมไม่รู้เลยว่าเธออยู่ดีมีสุข หรือไม่ ตอนถ่ายรูปกับพวกเธอ ก็ดูเธอมีความสุขดี ไม่ต่างกับตอนที่ผมถ่ายรูปคู่กับมะดะ ที่หมู่บ้านในสอย แม่ฮ่องสอน


ทะเลสาบอินเล อันกว้างใหญ่แห่งนี้ยังมีรีสอร์ทน่ารักๆ ให้ดื่มด่ำกับสายน้ำเสมือนว่า เป้นส่วนหนึ่งของชาวอินเล แบบกลมกลืน





ชีวิตของชาวพม่าไม่ว่า มุมไหนของประเทศ จะมีเจดีย์อยู่ทุกที่เป็นศุนย์รวมจิตใจของคนพม่า ไม่เว้นแม้แต่ชาวอินเล ศาสนาพุทธคือเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของคนพม่าอย่างเหนียวแน่น ซึ่งต่างกับเมืองไทยมาก แม้ว่าจะมีศาสนาเดียวกันก็ตาม




ตลอด 6 ชั่วโมงที่นั่งเรือหางยาวชมวิถีชีวิต ชาวอินเล ช่างเป็นเวลาที่น่าประทับใจจริงๆ วิถึชีวิตที่ผูกพันธ์กับน้ำ ที่แทบจะแยกกันไม่ออกทีเดียว

อินเลทะเลสาบมีชีวิต







เดินทางวันที่ 26-10-2554 - 2 -11-255






 

Create Date : 11 พฤศจิกายน 2554    
Last Update : 18 ธันวาคม 2554 1:52:38 น.
Counter : 4768 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

butterfly angel
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




สวัสดีครับเพื่อนร่วมโลกทุกคน
ข้อความทั้งหมดที่ผมเขียนก็แค่อยากเขียน อยากเล่า อยากถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือ ตามแบบฉบับของตัวเอง ไม่ได้ยึดหลักการเขียนแบบนักเขียนมืออาชีพ เพราะก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าแบบเขียนที่ดีเป็นแบบไหน อยากเขียนแบบไหนก็เขียน หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ให้ความรู้และความบันเทิง ไม่มีมากก็น้อย

ข้อมูลหรือความคิดทั้งหมด เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น อาจไม่ถูกต้องทั้งหมด หากใครแวะมาอ่าน โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน

ล๊อกอินนี้ใช้ร่วมกับหลานสาวและครอบครัวนะครับ
บางกระทู้ ก็เป็นคนในครอบครัวใช้นะครับ
แต่บล๊อกเป็นงานเขียนของผมคนเดียว




Friends' blogs
[Add butterfly angel's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.