ตอนที่ 3 เด็กข้างถนนกับวันฝนตก
จำได้ว่า เดือนนั้นเป็นฤดูฝน ฝนตกมองไปทางใดก็มีแต่ความเย็นฉ่ำชื่นชุ่มไปทั่ว ต้นไม้ใบหญ้าระบัดใบผลิยอดอ่อนออกมาเต้นรำร่ารับสายฝน บนภูดอยยอดสูงดูจะงามด้วยเมฆขาวที่แต่งริ้วเป็นเส้นเหมือนกลุ่มใยไหม ภาพนอกหน้าต่างงดงามเหมือนภาพของจิตรกรประจงแต้มสีด้วยพู่กันขนกระต่าย ในความงามผมได้เรียนรู้คำว่า เหงา เหงาจนไม่อยากออกไปไหนเลย...ฤดูฝนปีนี้ เป็นฤดูแห่งการอยู่เฉยของผม ถึงจะเฉยแต่ไม่ชินชา มีแต่ความเจ็บๆ เหงาๆ อย่างอธิบายไม่ได้ เหมือนชีวิตที่ขาดอะไรบางอย่างไป นอกจากความเหงาจะเข้ามาแทนที่ในชีวิต ความเบื่อหน่ายที่ต้องออกไปข้างนอกก็ดูเหมือนว่าช่วยสนับสนุนชีวิตในบ้าน ดูไร้สีสันจืดชืดเหมือนภาพขาวดำ ไม่อยากไปไหน...เซ็ง...ที่สำคัญผมไม่ชอบความเปียก แถมพื้นดินกลับแฉะเปรอะไปด้วยโคลนตม ยามย่ำไปทางใดก็ติดเต็มขาแข้ง หรือไม่ก็ทำให้ทั้งเท้าจมลงไปจนถึงครึ่งน่องก็มี ขี้เกียจล้างเท้า... เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ผมรู้สึกชีวิตนี้ไร้ค่า ไม่รู้นานเท่าใดกัน ที่ต้องทนทรมาน วันหนึ่งยามฝนปรายปลิวเป็นฝอยละเอียด ขณะกำลังนั่งทำมิวสิคอยู่นั้น ผมสะดุ้งกับเสียงที่นานแล้วไม่ได้ยิน เสียงโทรศัพท์จากเพื่อนผู้แสนดี มาช่วยคุยคลายเหงา เฮ้ย เป็นไงแก... เซ็ง ขี้เกียจ เบื่อ... ผมตอบแบบห้วนๆ อาทิตย์หน้าว่างหรือเปล่า...ทั้งอาทิตย์เลยนะ ทำไมวะ มีอะไร... อ่อ จะชวน ไปออกค่ายกัน เออ เอาสิ ว่าแต่จะไปไหนวะ ไปใต้... เออ ได้ ใต้ คำนี้จุดไฟผมให้ลุกขึ้นมา หัวใจดูพองโตสดชื่น คิดถึงน้ำทะเลที่เห็นแต่ในทีวี ไม่เคยไป...น่าอายชะมัด ถ้าจะบอกคำนี้กับใครสักคน ผมอยากลองไปสักครั้งจริงๆ ชีวิตเหมือนมีสีสันมากขึ้นมาอีกนิด จากสีขาวดำ ก็มีสีจางๆมาช่วยแต้มแต่งระบายให้ความคิดเหงา มันกลายเป็นความวุ่นวายที่จะเตรียมตัว...จินตนาการถึงทะเลสีคราม เสียงคลื่นซัดสาดบนผืนทรายสีขาวละเอียด ทำให้ผมคิด คิดมากจนตื่นเต้น นึกฝันถึงการได้เอาเท้าสัมผัสผืนทราย ล้มกายลงดูดาว ดูน้ำ คงสุขใจมากกว่าการอยู่เฉยเป็นไหนๆ เออ แกอย่าลืมนะ ลืมอะไรวะ ก็อย่าลืมหายใจไง เห็นแกบ่นเรื่องอยากไปทะเล คราวนี้คงสมใจอยากแล้ว...แต่แกอย่าลืมนึกนะบัว ว่าแกไปออกค่าย ไม่ได้ไปเที่ยวพักผ่อน เรื่องนี้รู้อยู่แล้ว...คนไปออกจะเยอะแยะ ไม่มีเราคงไม่เป็นไรหรอก ผมคิดอยู่ในใจ วันฟ้าใสไร้ฝน มันคงเป็นวันที่ประหลาดที่สุดของฤดูฝน ไม่มีเค้าเมฆ ลมหรือว่าสิ่งใด ดูเหมือนว่าทุกสิ่งนิ่งหยุด ดวงตะวันผุดจากภูเขาที่โอบเมืองเล็ก ผมตื่นแต่เช้า ก่อนตะวันจะขึ้น จริงๆไม่ใช่ผมตื่นเช้าหรอก แต่ผมนอนไม่หลับต่างหาก เพียงแค่หลับตา และรอเวลาให้นาฬิกาดังขึ้นเท่านั้น เสร็จยังวะ บัว เสร็จแล้ว ผมเดินสะพายเป้ออกจากบ้าน เจ้าพวกเพื่อนๆ เอารถตู้มารอที่หน้าบ้านผม เราใช้รถตู้สองคันเดินทางไปภาคใต้ เพื่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่จังหวัด สุราษฎร์ธานี และกระบี่ รถค่อยๆเคลื่อนอย่างรวดเร็วตัดผ่านขุนเขา เพราะเราต้องใช้เวลาถึงสองวันในการเดินทางจากเหนือไปยังใต้ ความตื่นเต้นที่ได้เห็นข้างทางทำให้ผมนอนไม่ค่อยหลับ ในขณะที่เพื่อนผมหลับ แต่ความง่วงได้เข้ามาครอบงำผมจนผมเผลอไปไม่รู้ตัว...ราวบ่ายสี่โมงเย็น คณะเรามาจอดพักกันที่พระปฐมเจดีย์ เดินเที่ยวกราบไหว้พระ ขอพรให้การเดินทางปลอดภัย หลังจากไหว้พระเสร็จเราก็ออกเดินทางต่อทันที ราวสี่ทุ่ม ผมก็ได้เห็นทะเล และเสียงคลื่นซัดเป็นครั้งแรก พวกเพื่อนหลายคนถอดเสื้อวิ่งลงเล่นน้ำที่หัวหินกันอย่างสนุกสนาน จริงๆผมอยากลงเล่นน้ำ เหมือนกัน แต่ว่ามีลางประหลาดทำให้ผมไม่อยากลงเล่น หรืออาจจะเป็นความกลัวส่วนตัวก็ได้ ระยะทางไกลสุดสายตา เห็นเรือประมงปลาหมึกเปิดไปล่อปลา ดูวิบวับเรียงเป็นสาย ใกล้ริมฝั่งผมเห็นเงาดำๆ เคลื่อนไหวมันเหมือนปลาตัวใหญ่กระโจนเล่นน้ำ... เฮ้ย ! ตื่นได้แล้ว เพื่อนผมปลุก เพราะผมนอนหลับไปไม่รู้ตัวบนเตียงให้เช่า จริงๆ เราไม่ได้จ่ายเงินหรอก เห็นเขาเอาพับเก็บไว้เราก็ไปเอาออกมานอน...ผมลุกขึ้นงัวเงีย...เมื่อกี้เห็นตัวประหลาดอยู่...สงสัยผมจะหลับฝันไปแน่ๆ ผมคิด เดี่ยวเราจะเดินทางกันต่อ เพื่อให้ถึงสุราษฎร์ตอนเช้า จะได้เข้าที่พัก เออ เออ ผมงัวเงียลุกขึ้นมา พร้อมเก็บเก้าอี้พับไว้ที่เดิม ตอนนั้นเป็นเวลาราวตีหนึ่งได้...เราเล่นเดินทางแบบนี้น่ากลัวเหมือนกัน ไม่รู้คนขับรถจะเหนื่อยแค่ไหน และแล้วฝนก็ค่อยๆหยดลงมาชโลมแผ่นดิน เรารีบวิ่งขึ้นรถ...เนื้อตัวเปียกเล็กน้อย เมื่อเจอกับแอร์เย็นๆก็ทำให้รู้สึกหนาว แย่ จริงๆ ผมลืมเอาผ้าห่มมาด้วย... กลางสี่แยกแห่งหนึ่งเด็กหนุ่มตัวดำ นุ่งผ้าโจงสีแดง เจ็ดแปดคน นั่งอยู่ในศาลาพักคนริมทาง บางคนเอามือเท้าคาง บางคนหยิบฉิ่งฉาบกลองออกมาตี บางคนเอาปี่ออกมาเป่า แต่ดูท่าทางเล่นไม่เป็นสักอย่าง แต่พวกเขาทำตัวหัวเราะร่าอย่างมีความสุข... ฝนยังคงตกหนัก...จนทางข้างหน้ามองไม่เห็น เราชะลอความเร็วของรถลง นั่นก็หมายความว่าเราจะไปถึงปลายทางช้าไปอีกสองชั่วโมง ผ่านเข้าเขตสุราษฎร์แล้ว ดีใจจัง... ใกล้ถึงสี่แยกไฟแดงแห่งหนึ่ง ใกล้อำเภอพุนพิน จู่ๆรถสองแถวคันหนึ่งเสียการทรงตัวเนื่องจากถนนลื่นมาเฉี่ยวกับรถตู้อักคันหนึ่งที่มาด้วยกัน ทำให้รถเราต้องจอดที่สี่แยก พร้อมเปิดไฟคู่ไว้...รถคู่กรณีแล่นไปจอดที่ศาลาใกล้ๆแยกนั้นเอง คุ้นๆ ผมนึกอยู่ในใจเมื่อเห็นศาลา คนขับรถของผมเอารถไปจอดเทียบกับรถตู้ของเราที่หยุดกลางถนน ขณะนั้นเป็นไฟแดง คนขับรถเลยออกไปดูที่ท้ายรถและกลับเข้ามานั่ง ขณะนั้นเอง น้องคนหนึ่งเหลียวหลังไป ก็ร้องลั่น... ระวัง ! โครม ! ผมหันไปตามเสียงนั้นก็เห็นรถสิบล้อคันหนึ่งวิ่งมาแบบไม่ชะลอความเร็วชนกับรถตู้ที่ผมนั่งอย่างจัง ขณะนั้นผมรู้สึกว่า รถตู้ที่จอดนิ่งอยู่วิ่งข้ามสี่แยกไปและไปหมุนสองสามทีแล้วหยุด กระจกหลังแตกละเอียด...ผมรู้สึกมึนงง... ฝนตกปรอยๆ พี่คนหนึ่งหน้าผากเลือดไหลไม่หยุด คนขับรถหัวแตกต้องเย็บแผลด่วน...ผมโบกรถสองแถวเข้าไปอำเภอพุนพิน ไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ตามที่รู้มา โรงพยาบาลอยู่ใกล้สถานีรถไฟ มีน้องอีกสองสามคนไปด้วยเพราะฟกช้ำ แขนเคล็ด โชคร้ายคนขับรถยังไปโรงพยาบาลไม่ได้เพราะว่าต้องไปสถานีตำรวจก่อน...โชคดีคนขับรถสิบล้อ และขับรถสองแถวไม่หนีไปไหน ผมพาพวกพ้องไปโรงพยาบาลเสร็จก็โทรหาพี่คนที่เราติดต่อไว้ที่สุราษฎร์ เขาเอารถมารับเราไปที่สถานีตำรวจ... คนขับรถสองแถวเป็นเพิ่งเสร็จจากการเล่นหนังตะลุงที่ชุมพร กล่องเหล็กใส่ตัวหนังครูบุบ แต่ไม่เป็นอะไรมาก...เขาบอกว่าอยู่ดีๆ ก็บังคับรถไม่ได้... คนขับรถสิบล้อให้การกับเจ้าหน้าที่ว่าถนนลื่นมาก หยุดรถไม่ทัน...โชคดีที่มีประกัน แต่รถที่นั่งมา...ไม่เหลือเลยข้างหลังบุบยุบไป ดีตรงนั้นไม่มีใครนั่ง แถวหลังสุดเราใส่แต่เครื่องดนตรีไว้ ผมถ่ายรูปเป็นหลักฐาน และก็แงะเอาเครื่องดนตรีมาตรวจสอบว่ามีอะไรชำรุดไปบ้าง...ฉิ่งบิ่น ฉาบร้าว ที่สำคัญปี่หักไปทั้งลำ ! เจ้าพวกเด็กในฝันแน่ๆ ผมนึก ผมได้แต่จับพระคเณศขึ้นมายอสาที่หน้าผาก โอม วิฆะเณศะวารายะ นะมัส !
น่ากลัวว่ะ เจ้ากิ่งร้องบอก ไปใต้คราวนั้นมันไม่ใช่แค่ เราไปเจอแค่นี้ กิ่งรู้มะ
รูปจากเหตุการณ์ ถ่ายที่โรงพัก...
Create Date : 09 ธันวาคม 2548 | | |
Last Update : 13 ธันวาคม 2548 18:20:35 น. |
Counter : 626 Pageviews. |
| |
|
|
|