ขอเกิดและตายบนแผ่นดินไทย
Group Blog
 
All blogs
 

เกือบตับแตกตายใน Plovdiv - Пловдив

อีกหนึ่งเมืองในบัลกาเรีย ที่เราใช้รถบัสเดินทางไป จากโซเฟียเรานั่งรถไปที่สถานีรถบัสกลาง (สถานีเดียวกับรถไฟ) มีรถบัสหลายบริษัทให้เลือกมากๆ ยังดีที่มีชื่อเมืองสะกดด้วยภาษาอังกฤษ (อักษรโรมัน) ให้เรารีบพุ่งเข้าไปติดต่อซื้อตั๋ว จากโซเฟียไปโพล้ฟติฟ รถบัสวิ่งใช้เวลาประมาณชั่วโมงนึง เพราะมันแวะจอดไปเสียทุกป้ายเลย ตอนที่เราไปเนี่ย อากาศร้อนมากๆ รถบัสคันนี้ไม่มีแอร์ด้วย แม้จะเปิดหน้าต่างแล้วก็ยังร้อน สองข้างทางถนน บ้านใครก็มักจะปลูกองุ่น มันคงใกล้จะสุกแล้ว ห้อยเป็นพวงน่าลักเด็ดกินซะนี่กระไร

Plovdiv เป็นเมืองแห่งภูเขา เดิมนั้นพวกโรมันเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ โพล้ฟติฟเลยมีสถานที่เก่าแก่หลายๆแห่ง ที่เหมือนกับไปโรม หรือไปเอเธนส์มาเลยเชียว แต่ข้อดีกว่าคือค่าเข้าชมถูกมาก แต่ละที่ไม่มีเกิน 3 lev เลย โพล้ฟดิฟเองเหมือนเป็นคู่แฝดของโรม คือมีฉายาที่แปลว่าเมืองแห่งเจ็ดภูเขา

เมืองนี้มีคนหนุ่มสาวเยอะ เพราะมีมหาวิทยาลัย จากสถานีรถบัส ถ้าคุณยังไม่มีที่พัก ไม่ต้องตกใจ ที่นี่มีโฮสเทลอยู่บนเขาในเมืองเก่า และชาวบ้านที่มีห้องให้เช่าที่บ้านก็จะมาหาลูกค้ากันแถวสถานีรถบัสและรถไฟ ห้องพักราคาถูกและได้อยู่กับคนท้องถิ่น บางที่ราคาแค่ 15-25lev เท่านั้นเอง มีอาหารเช้าให้ด้วย และคุณลุงคุณป้าที่ทำโฮมสเตย์ ส่วนมากจะพูดได้หลายภาษาด้วยค่ะ

เรามาถึงปั๊บก็หิวโซมาเลย พอลงรถบัสที่กลางตัวเมืองแล้ว เราก็หาที่กิน ที่กินที่ถูกและอร่อย ก็จะต้องเป็นสถานที่ที่คนท้องถิ่นไปกินกันเยอะๆ สรุปเราก็เลยเดินเข้าไปในปาร์คค่ะ เจอร้านอาหารแห่งนี้ เมนูเขามีเป็นภาษาอังกฤษแบบแปลออกมาทับศัพท์ เดายากซะไม่มี แต่เราก็ได้ของกินมาดังนี้

Photobucket

เบียร์ประจำเมือง ชื่อคาเมนนิตซ่า แก้วละ 1.5 lev

Photobucket

สลัดชีสและไข่ ชามใหญ่มาก 4lev

Photobucket

อกเป็ดย่างสไลส์ ราดน้ำจิ้ม 4lev เช่นกัน ทำให้มื้อนี้ท้องอิ่มแล้ว แบกกระเป๋าหาที่พักต่อ Hostel ของที่นี่โลเคชั่นดีเหลือหลาย อยู่ในเมืองเก่า (ที่อยู่บนเนินเขา) ระหว่างทางขึ้นเขาไป เราก็ผ่านพิพิธภัณท์ Etchnography ข้างในมีโชว์ชุดประจำชาติ และประวัติศาสตร์วัฒนธรรม น่าเข้าอีกที่หนึ่ง ค่าเข้าไม่ถึง 4lev เอง แค่เฉพาะตัวอาคารก็สวยได้ใจไปแล้วเต็มๆ

Photobucket

สไตล์บ้านแบบนี้เป็นลักษณะเด่นของบัลกาเรียเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะในเมืองเก่าโพล้ฟดิฟ จะเห็นบ้านใหญ่ๆหลายหลังหลบอยู่หลังรั้วสูง ตัวบ้านเป็นอิฐมีภาพวาดบนฝาผนัง และมีหน้าต่างเป็นไม้

โรงแรมรัสเซีย สร้างใหม่ แต่ด้วยสไตล์เดิมให้กลมกลืนไปกับเมืองเก่า (รู้สึกสีจะฉูดฉาดไปหน่อย เหมือนพวกสาวๆรัสเซียเวลาแต่งตัวอย่างไรก็ยังงั้น)

Photobucket

หน้าตาบ้านเรือนในเมืองเก่า

Photobucket

** เดี๋ยวมาต่อให้อีกจ้ะ ไปหารูปก่อน **




 

Create Date : 19 เมษายน 2552    
Last Update : 21 เมษายน 2552 2:16:52 น.
Counter : 666 Pageviews.  

Holasovice หมู่บ้าน Unesco



โฮลาโชวิชเซ่่อะ สำหรับเราไม่สามารถนับให้เป็นเมืองไ้ด้ เรียกว่าเป็นหมู่้บ้านซะยังดีกว่า หมู่้บ้านเล็กๆแห่งนี้ตั้งอยู่ทางใต้ของสาธารณรัฐเชค สามารถเดินทางไปได้จากเมืองใหญ่ Ceske Budajovice ที่เป็นเมืองหลวงของแคว้น South Bohemia โดยแต่ละวันจะมีรถบัสจำนวนรอบเดียวหรือสองรอบเท่านั้น วันเสาร์จะมีแค่รอบเดียวตอนบ่ายสองโมงกว่าๆ ถ้าคุณไปถึง ก็จะไม่มีรถขากลับ (อนาจจริงๆ) ว่าแต่แล้วจะไปกันทำไมที่แบบนี้

โฮลาโชวิซเซ่อะ นั้นเป็นหมู่บ้านที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของ UNESCO เนื่องจากความเป็นหมู่บ้านที่มีเอกลักษณ์ของตัวเองในปี 1998 หมู่บ้านนี้มีสถาปัตยกรรมการก่อสร้างพิเศษ ที่เรียกว่า Folk Baroque ปกติเรามักจะเห็นบาร็อคตามโบสถ์ และปราสาท ไม่ค่อยเห็นการก่อสร้างสไตล์นี้ในแบบบ้านเรือนธรรมดาค่ะ

Photobucket

นอกจากนั้น ที่นี่ยังเป็นหมู่บ้านแรกๆในประเทศที่ได้รับการยกฐานะขึ้นอย่างถูกกฏหมาย ประวัติศาสตร์อันยาวนานและน่าประทับใจของเมืองนี้ ยังมีให้คุณอ่านอีกมากมาย โดยเฉพาะที่เวบนี้ค่ะ //www.czechtourism.com/unesco/index.html และเวบการท่องเที่ยวของหมู่บ้านนี้โดยตรง ที่ //www.holasovice.eu

อย่างที่บอกว่า คุณจะไปโฮลาโชวิซเซ่อะได้อย่างสะดวกที่สุดในวันธรรมดา จันทร์-ศุกร์เท่านั้น สำหรับวันเสาร์และวันอาทิตย์การเดินทางไปกลับด้วยรถบัสนั้น จะเป็นไปไม่ได้เลย แต่ที่สะดวกที่สุดสำหรับคนที่แข็งแรง คือปั่นจักรยานไปค่ะ ส่วนคนที่มาด้วยกันเป็นกลุ่ม ให้เรียกใช้บริการแทกซี่ (ให้รีเซฟชั่นที่โรงแรมจัดหาให้ เพื่อจะได้ราคาที่สมเหตุสมผลนะคะ)

Photobucket

โฮลาโชวิซเ่ซ่อะตั้งอยู่ห่างจากเชสเก่อะ บูเดโยวิซเซ่อะไปประมาณ 15 กิโลเมตร การปั่นจักรยานไปกลับภายในหนึ่งวันแค่ 30 กิโลเมตรนั้นเป็นเรื่องที่พอทำได้ คนปั่นประจำแบบเรา เราไม่มีปัญหาค่ะ โดยเฉพาะถ้าอากาศไม่ได้ร้อนตับแตกเหมือนในเมืองไทย ระหว่างสองข้างทางที่ยังคงความเป็นธรรมชาติมาก เราก็มีโอกาสได้เห็นกวางน้อยมากินหญ้าริมป่าเป็นระยะๆ ค่ะ

เข้าไปถึง ตรงสามแยกทางเข้าหมู่บ้าน จะมีบ้านหลังหนึ่ง เป็นที่ให้ข้อมูลนักท่องเที่ยว และมีห้องน้ำไว้ให้บริการฟรีด้านในด้วยค่ะ ที่นี่ยังมีสินค้า(ทั้งขายและไม่ได้ขาย) ที่เป็นตัวอย่างของสินค้าพื้นบ้านที่นี่ และทั่วประเทศให้ชมกันอีกด้วย

Photobucket

ที่นี่มีบ้านอยู่ประมาณ 20 หลัง สวยๆทุกหลังเลยค่ะ

Photobucket

นี่ก็อีกฝั่งนึง

Photobucket

สำหรับคนที่ไม่ได้ซื้ออะไรติดมือมาด้วยเลย ที่นี่มีร้านอาหารอยู่ร้านนึงค่ะ คนไม่เยอะมาก (เพราะมันมาลำบากนี่นะ คนที่มาเีที่ยวกันก็เห็นมีแต่คนเชคด้วยกันค่ะ)

บ้านที่นี่เป็นบ้านฟาร์มนะคะ จะมีบ้านสองหลังมีหน้าจั่วรูปร่างแบบนี้อ่ะค่ะแล้วตรงกลางจะเป็นลาน ข้างในเป็นที่เก็บวัวและม้า และด้านหลังบ้านไปเป็นทุ่งโล่งเลี้ยงสัตว์ค่ะ บ้านแต่ละหลังไม่ได้สร้างในปีเดียวกันเป๊ะๆ จะห่างกันประมาณสองสามปี ไปจนถึงช่วงระยะเวลาประมาณสิบปี

Photobucket

นี่ก็เป็นหน้าจั่วอีกแบบหนึ่ง จะเห็นได้ว่า อย่างบ้านสีฟ้าหลังกลางนี้ จะมีตึกเตี้ยๆ สองชั้นสองหลังสร้างคู่ขนานกันแล้วมีประตูกลาง เป็นทางเข้าฟาร์ม

Photobucket

ที่นี่ยังมีนกนางแอ่นอยู่มาก โดยเจ้าบ้านเขาก็ไม่ไ้ด้ไปไล่หรือทำอะไรมัน หลายๆคนบอกว่า มันน่ารัก และเขาต้องเก็บรักษาบ้านของมันไว้ให้ เพราะพอหมดหน้าหนาว มันก็จะกลับมา ที่เห็นนี่ คุณยายบอกว่ามันกำลังเก็บสะสมดินโคลนที่เปียกคาบไว้เอากลับไปสร้างรัง นกนางแอ่นมีหลายแบบค่ะ แบบนี้เป็นแบบที่สร้างบ้านด้วยโคลน หาดูได้ทั่วไปตามนอกเมือง ในประเทศเชคนี่แหละค่ะ

Photobucket

นอกจากสัตว์ป่าแล้วก็มีสัตว์เลี้ยง นี่เป็นกระต่ายเลี้ยงไว้กินค่ะ คุณยายเจ้าของบ้านหลังหนึ่งชวนเราเข้าไปในบ้านและพาไปอวดกระต่ายที่คุณยายเลี้ยงไว้สำหรับทำอาหารประจำชาติ โถ่ คุณยาย จะกินลงหรือเนี่ย มันน่ารักกันขนาดนี้

เพราะว่าหมู่บ้านนี้นอกเมืองมากและคนหนุ่มสาวก็ไปทำงานในเมือง คนเฒ่าคนแก่จึงทำงานอยู่ที่บ้าน เช่นเพาะต้นไม้ ปลูกผักขาย ทำงานฝีมือและเลี้ยงสัตว์แบบที่คุณยายทำนี่ล่ะค่ะ

Photobucket

นี่คือชาวบ้านที่เราแวะเข้าไปคุย และขอเข้าไปดูข้างในบ้านค่ะ คุณยายอายุ 75 แล้ว ยังแข็งแรง และพูดเยอรมันเก่งมากๆ ค่ะ (ที่คุยกันรู้เรื่องก็เพราะได้ภาษาเยอรมันนี่ละ่ค่ะ ม่ายงั้นเมื่อยมือยิ่งกว่านี้อีก) ถ้าใครไปเที่ยว แล้วเจอสมาชิกครอบครััวนี้ ลองถามดู ขอเข้าไปดูในบ้านก็ได้นะคะ คิดว่าคุณยายและลูกสาวๆ คงไม่ขัดข้องแน่ๆค่ะ

Photobucket

บ้านหลังนี้ เราเห็นในโปสการ์ด คาดว่าเป็นหนึ่งในหลังที่สวยที่สุด คนจึงนิยมถ่ายรูปกันมาก บ้านส่วนมากจะทาสีขาว เพราะเดิมปูนขาวนั้นหาง่าย และมีหลังคาดินเผาสีแดงด้วยกันทั้งหมดเลยค่ะ แต่ละหลังก็จะมีปีที่สร้างบอกไว้ และมีสวนหน้าบ้าน (และหลังบ้าน) สวยไม่แพ้กัน ถ้าอยากเห็นต้องเดินอ้อมไป จะได้เห็นทั้งด้านหน้าและด้านหลังนะคะ

Photobucket

ถ่ายมาให้ดูกัน เพราะว่าแอบหลงชอบตู้รับจดหมายบ้านเขาค่ะ บ้านพวกนี้จะมีประตูไม้ใหญ่บานเดี่ยว ที่ไม่มีช่องจดหมาย หลายๆบ้านจึงมีตู้รับจดหมายน่ารักๆ ไว้หน้าบ้าน บางบ้านก็คงจะใช้วิธีเคาะประตูเรียกมารับจดหมายละมังคะ แต่ว่าเขาทำได้น่ารักดีเนอะ

Photobucket

อีกหลังที่เรียบๆ แต่มีสวนหน้าบ้านสวยมากๆ พร้อมกับอ่างน้ำ ทำจากหิน ที่เดิมใช้เป็นถังน้ำของพวกสัตว์เลี้ยงค่ะ เห็นนกไปกินน้ำกันเพียบเลย ที่เชคนี่ ช่วงนี้อากาศร้อนผิดปกติมาก ดอกไม้หน้าร้อนพากันบานสะพรั่งหมดแล้วค่ะ คนเฒ่าคนแก่ที่นี่(แหงละ คนอื่นเขาไปทำงานกันหมด) บอกว่า ปีนี้ร้อนจัง นี่ถ้าลุงป้าไปเมืองไทย มีหวังตายเรียบ อากาศที่นี่ วันนี้ร้อนแล้ว แต่แค่ 21 องศาเองนะ หึหึ

Photobucket บ้านหลังสุดท้าย ที่หัวมุม ที่มีภาพวาดบนฝาบ้าน และมีอยู่ในโปสการ์ดด้วยค่ะ ถ้าอยากถ่ายให้สวย เอาดอกไม้จากสวนบ้านนั้นบังหน้ากล้องไว้นิดนึง แล้วถ่ายเล็งมายังหลังทางขวามือนี้ ก็จะได้รูปสวยเป็นพิเศษค่ะ

ภายในรั้วบ้านของบ้านหนึ่งที่เราเห็นแต่ข้างนอก ข้างในเป็นแบบนี้ล่ะค่ะ สวยน่ารักน่าอยู่จริงๆ เริ่มจะเกิดกิเลสอยากมาเที่ยวที่นี่กันหรือยังคะ

Photobucket

แม้ว่าคุณจะไม่มีโอกาสได้เข้าไปดูภายในบ้านทุกหลัง แต่ที่แน่ๆ มีหลังนึงที่เปิดเป็นพิพิธภัณท์เล็กๆให้คนเข้าไปชม และมีแสดงเครื่องไม้เครื่องมือตั้งแต่สมัยโบราณด้วยค่ะ สังเกตบ้านประตูสีแดงเอาไว้ สนนราคาค่าเข้าชม คนละ 30 Kc ค่ะ คุณลุงเจ้าของบ้านได้รับมรดกมาจากคุณปู่ และจะมาเป็นไกด์สาธิต และบรรยายให้เราชม เป็นภาษาอังกฤษค่ะ

สุดท้ายแล้วค่ะ ไม่ว่าหมู่บ้านไหน ก็จะต้องมีศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยวใจ ถึงแม้ไม่มีโบสถ์ใหญ่โต ที่นี่ก็ยังมี Chapel เล็กๆ สำหรับทำพิธีไม่ว่าจะเป็นงานแต่งงาน งานศพ และศีลจุ่ม วันนี้ที่เราไป ก็มีคนพาลูกตัวน้อยมาโด๊ปพอดีเลย โชคดีจัง ได้มีโอกาสเข้าไปเป็นไทยมุงอีกแล้ว

เดิมนั้นคนที่นี่เป็นคนเชคทั้งหมด และกษัตริย์ผู้ปกครองปรากในเวลานั้น ได้ทำหนังสือยกเมืองนี้ให้ขึ้นอยู่กับ Vyssi Brod เพื่อให้ทำงานให้กับทางศาสนา เวลาจะผ่านมาเท่าไหร่ หมู่บ้านแห่งนี้ก็ยังคงเดิม และยังเป็นหมู่บ้านที่ล้ำหน้ามาตั้งแต่ยุคก่อน เพราะว่ามีช่างตีเหล็กเป็นของตัวเองด้วยค่ะ

Photobucket

หลงลืมไปหนึ่งรูป ตอนแรกเห็นว่าบ้านหลังนี้ ที่อีกมุมของหมู่บ้าน น่ารักดี แต่พอเข้าไปดูใกล้ๆ ถึงเห็นเขาเขียนรูปหมูแปะไว้ อันนี้เป็นเล้าหมูค่ะ แป่ว หน้าแตกอย่างแรง ถ้าคุณมีเวลาอยู่ที่นี่นานพอสมควร ให้ลองเดินเล่นชมเมือง แล้วเลยออกไปทางนอกหมู่บ้านด้วย จะมีวิวสวยๆ และบรรยากาศนอกเมืองดีๆ ให้ชมเยอะเลย โดยเฉพาะถ้าใครพูดเยอรมันได้ คนที่นี่ มีการศึกษาดีและหลายๆคนพูดเยอรมันไ้ด้เก่งมากๆค่ะ แถมยังมีน้ำใจอีกตังหาก

สถานที่สวยๆ มักจะไปถึงได้ยากค่ะ วางแผนให้ดีๆ เผื่อวันอากาศสดใสไว้ให้โฮลาโซวิซเซ่อะ แล้วคุณจะหลงรักบรรยากาศแบบเชคค่ะ ถ้าคุณคนอ่านอยากรู้ข้อมูลส่วนไหนที่เราไม่ได้บอก เพราะหลงลืมไป ทิ้งคำถามไว้แล้วเดี๋ยวเรามาดูค่ะ




 

Create Date : 19 เมษายน 2552    
Last Update : 21 เมษายน 2552 1:15:12 น.
Counter : 1198 Pageviews.  

Český Krumlov คืนวันโรแมนติก



เป็นเพราะเราชอบดองบ็อก (แบบเกาหลี) สุดท้าย ท้ายสุดก็ต้องเอามันออกมารีวิวอยู่ดี เพราะทนเพื่อนขอร้องไม่ไหว ดูมันสิ ขนาดจะไปยังต้องมาแอบขโมยข้อมูลจากเราไปใช้อีก (เพราะอยากไปโรแมนติกเหมือนกัน)



เราไปเช็คมาตั้งแต่ปี 2007 แล้ว อะไรๆมันคงเปลี่ยนไปเยอะ โดยเฉพาะเรื่องราคา และจำนวนนักท่องเที่ยว เมืองนี้อ่านชื่อว่าเชสกี้ ครุมโลฟ อีกเมืองที่นักท่องเที่ยวแห่แหนกันไปถึงแม้จะเป็นเมืองเล็กๆในหุบเขา ที่อยู่ในแคว้น South Bohemia เซสกี้ครุมโลฟมีปราสาทบนเขา ที่ได้รับการจดทะเบียนขึ้นเป็นมรดกโลกโดย Unesco เมื่อปี 1992 พร้อมๆ กับปรากซึ่งหลายๆคนไม่รู้หรอก ดูอย่างเดียว

การเดินทางไปเซสกี้ครุมโลฟนั้น ใช้เวลา(ถ้าไปกลับ) ก็จะหมดไปทั้งวัน และจะพลาดชมวิวสวยๆ ยามค่ำืคืน เราจึงต้องไปค้างเสียหนึ่งคืน ห้องพักราคาไม่ถึง 10 ยูโร เรายังงงอยู่ว่าทำไมเรามักได้ที่พักถูกทุกทีเลย (งกน่ะสิ)

เราก็มีเวบสวยๆของการท่องเที่ยวของเซสกี้ ครุมโลฟ //www.ckrumlov.info และอีกเวบไซต์มรดกโลกของประเทศเชค //www.czechtourism.com/unesco/ สวยมากๆเลย ลองเปิดชมดู

จากปราก เราไปพักกันก่อนที่ Ceske Budejovice เรื่องราคาค่าตั๋วรถที่ไปลง Český Krumlov เราก็เลยบอกไม่ถูก แต่จะแนะนำสำหรับคนที่เดินทางไปจากเซสเก้อะ บูเดโยวิซเซ่อะ แทนนะคะ

ท่ารถบัสของบุเดโยวิซเซ่อะอยู่บนตึกห้างสรรพสินค้า Mercury ชั้นบนสุด ที่หน้าทางเข้าประตูใหญ่จะมีออฟฟิสให้ข้อมูลรถโดยสารของ Csad Jihotrans บริษัทที่ทำการวิ่งเดินรถไปยังเมืองต่างๆ รอบ Ceske Budejovice (สถานีอยู่บนดาดฟ้าของห้างค่ะ)

รถบัสที่ไป Český Krumlov นั้น เราซื้อตั๋วไม่ได้ เพราะที่นี่ไม่มีที่ออกตั๋วเลย เราก็เลยไปซื้อกับคนขับรถโดยตรงค่ะ ตั๋วขาเดียวราคา 28 Kc เราออกรถรอบ 10.50 ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่่งชั่วโมงก็ไปถึง นับว่าเป็นการดี ที่ใช้บุเดโยวิซเซ่เป็นฮับสำหรับการเดินทาง เพราะจากเมืองนี้มีรถบัสไปยังอีกหลายสถานที่ท่องเที่ยวด้วยล่ะค่ะ

ท่ารถบัสที่นี่ อยู่บนฝั่งเดียวกับปราสาท แต่ค่อนข้างไกลจากตัวเซ็นเตอร์ เราต้องเดินขึ้นเนินเล็กน้อย และลงเขาไปอีกพักใหญ่ ใช้เวลาเดินไปจนถึงจตุรัสกลางเมือง 10 นาที คิดว่าถ้าคุณมีกระเป๋าคงเกินกันประมาณ 15-20 นาที ก็เผื่อเวลาไว้ก่อนนะคะ เราเป็นคนที่เดินเร็วมาก เพราะฉะนั้นคงจะประมาณแทนคนอื่นไม่ได้



ขามาถึง ตรงเนินหลังจากเดินออกจากป้ายรถบัส จะมีวิวที่มองเห็นเ้ข้าไปในเมืองได้ ถ้าวันฟ้าใสก็จะเป็นจุดถ่ายรูปที่ดีมากเลย (เพราะไม่มีใครแย่ง เขาไม่รู้กันนี่นะ)

จะเข้าสู่ตัวเมืองเราต้องลงเนินมาแล้วมาข้ามถนนไปอีกที ท่ารถบัสที่เราเพิ่งเดินจากมา คือถนนใหญ่ทางแยกที่เห็นทางขวามือล่างของแผนที่ในรูปค่ะ ถนนสายนี้ชื่อ Horni เราก็ไม่รู้จะออกเสียงยังไงล่ะ เอิ๊ก เราจะเดินเข้าสู่ตัวเมืองผ่านทางสะพานอาร์เขด ถ้าใครยังไม่ได้ช้อปปิ้งหาซื้อน้ำดึ่มและของกิน ตรงทางซ้ายมือหลังจากข้ามถนนใหญ่มา มีซุปเปอร์มาร์เก็ตท้องถิ่น ราคาไม่แพง มีของให้เลือกเยอะเลยค่ะ ถ้าเข้าไปในเมืองแล้วจะหาอะไรกินยาก มีแต่ร้านอาหารและบาร์



ตรงกลางคุ้งน้ำส่วนที่เป็นเมืองล่าง มีจตุรัสเล็กๆอยู่ ชื่อเมืองครุมโลฟ นั้นมาจากภาษาเยอรมัน แปลว่าุทุ่งรูปเคียวขอ (เพราะความที่แม้น้ำ Vltava ไหลคดเคี้ยวไปมา) จนสุดท้ายคำในภาษาเยอรมันนั้น กลายเป็น Krumlov ส่วนคำว่า Cesky ที่แปลว่า Czech เพิ่งมาเพิ่มไปทีหลัง เช่นเดียวกับ Ceske ใน Ceske Budejovice ที่ต้องตั้งอย่างนี้ก็เพราะมี Moravský Krumlov อยู่อีกเมืองหนึ่ง เวลาไปซื้อตั๋วรถบัสก็ต้องบอกเขาให้ดีๆ เพราะคนขายตั๋วบางคนทำเป็นมึนซะงั้น

ระหว่างทางเดินเข้าเมือง เราผ่านพิพิธภัณท์ District Museum ทางขวามือ ถัดจากพิพิธภัณท์ไปเป็นระเบียงชมวิวสวยๆของปราสาท แถมยังมีถังขยะตั้งไว้ในมุมดีๆที่จะช่วยให้คนที่ไปเที่ยวคนเดียวได้มีรูปสวยๆของตัวเองด้วยค่ะ เราก็ใช้บริการไปหลายรูปอยู่

เดินตรงต่อมาเรื่อยๆ ทางจะค่อยๆลาดลงๆ ทางขวามือมีตรอกเล็กๆตรอกนึงที่เห็นยอดปราสาทพอดี วิวสวยดีค่ะ ตรงปลายสุดถนนฝั่งซ้ายมือมันไดขึ้นไปสู่โบสถ์ St.Vitus ตรงหน้าเราก็จะมาออกที่จตุรัสกลางเมืองที่เห็นในแผนที่ด้านบน



ที่จตุรัส Namesti Svornosti มีคอลัมภ์อยู่หนึ่งอันชื่อ Marian Plague Column แุถวนี้มีร้านอาหารอยู่หลายร้าน ที่เราบอกได้เลยว่า ไม่อาหร่อย ไม่ต้องตามไปลองซ้ำค่ะ ร้านอร่อยมีมาแนะนำให้ด้านล่างนะคะ



นี่ที่พักของเราค่ะ จองผ่าน //www.hostelworld.com และเลือกที่นี่ เพราะอยู่ใจกลางเมืองดี ไม่มีบาร์อยู่ใกล้ๆ สงบเงียบ ริมน้ำ กลางคืนก็แทบจะไม่ได้ยินเสียงน้ำในแม่น้ำที่ไหลเอื่อยๆมาเข้าหูเลย โฮสเทลชื่อ Merlin ค่ะ โฮสเทลมีห้องสองคนและสามคนให้บริการด้วย ในราคาเดียวกับห้องรวมนั่นแหละค่ะไม่ถึงสิบยูโร ไม่มีอาหารเช้า แต่มีกาแฟ ชาให้กิน และมีครัวน่ารักๆ พร้อมถ้วยโถโอชามทุกชั้น แต่ละชั้นมีห้องน้ำเป็นของตัวเองจำนวนเพียงพอ มีปัญหาเดียวคือ รีเซฟชั่นจะหยุดพักเที่ยง และกลับมาอีกทีตอนบ่ายโมง เพราะงั้นถ้ามาระหว่างนี้ก็แวะหาอะไรกินที่ร้านข้างๆก่อนนะคะ



ร้านอาหารเล็กๆ ฝั่งตรงข้ามกับโฮสเทล ถ่ายจากหน้าต่างห้องพักตัวเองค่ะ เราได้พักในห้องใต้หลังคา (ชั้นสามจะเป็นห้องพักของห้องสองคนและสามคน) ที่นี่มีึคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ทให้ใช้ฟรีด้วย ด้านหลังมีระเบียงไว้นั่งชมวิวริมแม่น้ำ และไม่ต้องห่วงเพราะมีเครื่องซักผ้าอบผ้าให้ใช้อีกตังหาก (รู้งี้พักสักสามคืนเลย)

ร้านอาหารฝั่งที่ตรงข้ามกับโฮสเทลนี้มีกาแฟน้ำผึ้งอร่อยมาก และสลัดก็จานใหญ่บะเริ่ม แถมขนมปังอีก เรากินทูน่าสลัดไป 130 Kc กะขนมปังอีกสามอัน ปรากฏว่ามื้อเย็นฟาดอาไรไม่ลงเลยค่ะ พอเราเข้าไปจับจองที่นั่งได้แป๊บเดียว คนเหมือนจะรู้ก็แห่กันมาเพียบ กินเสร็จก็มีไอติมตบท้าย โลเคชั่นดีมากเพราะว่าติดริมแม่น้ำ เย็นสบายค่ะ



กินอิ่มได้เวลาเดินสำรวจเมืองค่ะ ข้างๆ โฮสเทล มีสะพานเล็กๆข้ามไปยังอีกฝั่งของคุ้งน้ำ ชื่อสะพาน Dr.Benese Most เราข้ามไปยังอีกฝั่ง แล้วก็เดินขึ้นบันไดไต่ขึ้นไปสูงเรื่อยๆ ไปเดินตามถนนเส้นทางที่ล้อมด้วยกำแพงสูง ถนนนี้ชื่อ Dulni มันจะพาอ้อมไปทางขวาเรื่อยๆ และจะพาเราไปยังสวนของปราสาทด้านบนค่ะ ระหว่างทางจะมองเห็นวิวโบสถ์ St.Vitus เป็นหอคอยเดียวที่สูงขึ้นมาท่ามกลางหมู่หลังคาบ้านสีส้มน้อยใหญ่



สวนของปราสาท มีรั้วปิดเปิดค่ะ ถ้ามาหลังห้าโมงครึ่งก็จะเข้าไปไม่ได้แล้ว แต่ถนนที่จะพาเราไปยังปราสาทก็ยังเปิดอยู่ค่ะ ถนนสายนี้ก็อยู่ข้างๆทางเข้าสวนนั่นเอง เลี้ยวขวาเดินลงเนินไปได้เลย แต่ตอนเที่ยงวันอย่างนี้เราไปเดินชมสวนเล่นเย็นๆใจกันก่อน



จากสวนมีทางเดินเชื่อมต่อมา แต่เข้าไปไม่ได้หรอกนะคะ ประตูปิด เราก็ต้องเดินลงไปตามทางเดินที่เขามีไว้ให้ ระหว่างทางเห็นคุณตาคุณยายจูงมือกันเดินขึ้นมา น่ารักเป็นที่สุด เห็นแล้วก็แอบอิจฉา



พอเราเข้ามถึงประตูเข้า Courtyard ด้านหลังของปราสาท จะเห็นว่าตึวตึกที่เห็นที่เราเพิ่งเดินผ่านมานั้นคือ Castle Theatre ค่ะ มีทางเดินยาวๆ ต่อเชื่อมมาจากปราสาท



รูปนี้เป็นวิวมองผ่านรูที่กำแพงปราสาทน่ะค่ะ ไม่มีอะไรพิเศษแต่มันเก๋ดีนะ



เดินทะลุใต้ตัวปราสาทเข้าไปเรื่อยๆ จะมาออกตรงจตุรัสน้ำพุนี้ค่ะ อันนี้เป็น Courtyard แรก ทางขวามือมีบันไดเล็กๆ สีเทาซ่อนอยู่ บันไดนี้จะพาเราขึ้นไปสู่ยอดหอคอยที่เห็นในรูปเนี่ยล่ะค่ะ แต่สำหรับคนที่ปีนเขามาแล้วจนถึงตรงนี้ ก็ไม่ค่อยมีอะไรพิเศษน่าตื่นตาตื่นใจอีกแล้ว

ด้านนอกกำแพงปราสาทส่วนที่ติดกับหอคอย มีบ่อเล็กๆ ที่มีหมี (แบบเดียวกับที่เบิร์นเล้ย) เดินอยู่สองตัว แต่ส่วนที่อยู่ของหมีที่ี่นี่ ดูแล้วสวยงามเป็นธรรมชาติน่าอยู่กว่าบ่อหมีที่เบิร์นเยอะเลยค่ะ



ขอสับหว่างด้วย บรรยากาศหอคอยปราสาทในยามค่ำคืน มองจากด้านล่างที่เป็นสะพาน



สะพาน Plastovy ฝั่งที่เชื่อมตัวตึกด้านบนกับโรงละครของปราสาท เวลากลางคืน ดูโรแมนติคดีไปอีกแบบ ตรงส่วนนี้เดินผ่านได้ตลอดค่ะเขาเปิดประตูทิ้งไว้ทั้งคืน

ประตูหลักทางเข้าปราสาทนั้นอยู่ทางฝั่งเมืองใหม่ และเป็นเหล็ีกสีแดง ระยะเวลาในการก่อสร้างปราสาทแห่งนี้เกือบหกร้อยปี และใหญ่เป็นอับดับสองของประเทศเลยค่ะ



อันนี้คือด้านล่างของสะพาน Plastovy ที่เราเดินผ่านไป (รูปข้างบน) ช่องที่เราเดินคือช่องใหญ่สุดที่มีอนุสารีย์ตั้งอยู่ตรงช่องหน้าต่างค่ะ ด้านบนเป็นส่วนของทางเดินเชื่อมตึก และด้านล่างถึงจะเห็นเป็นช่องหน้าต่างก็ทำไว้สวยๆงั้นค่ะ ถ้าอยากขึ้นไป ด้านหลัง มีบันไดหินและเนินที่พอจะปีนป่ายขึ้นไปได้ (ก็เอาิเถิด)



เจอแล้วๆๆ ฝาปิดท่อ ของ Cesky Krumlov อุตส่าห์เดินหาไปตลอดทางเลย เห็นแล้วประทับใจจ๊อดจริงๆ นึกว่าเมืองเล็กๆแบบนี้จะไม่มีแล้วเสียอีก



วิวเมืองต่ำ Rozmberk มองจากปราสาท ตรงมุมซ้ายล่าง เห็นสะพานแอบๆอยู่นิดๆ ร่องน้ำของ Vltava ที่นี่ไหลเอื่ยๆ แต่ก็ยังมีคนมาล่องแก่งและพายแคนูเล่น ถ้าสนใจสอบถามได้จากที่โฮสเทลที่คุณพักค่ะ ราคาประมาณ 700 Kc เขามีบริการรถไปรับส่งเราเรียบร้อย แต่ถ้าไม่ใช่หน้าน้ำหลากจะไม่สนุกเลยค่ะ



โคลสเตอร์เล็กๆ ทางฝั่งตะวันตกของปราสาท อยู่ในย่าน Nove Mesto ชื่อ Minorite Monastery ทางเข้าไปเป็นตรอกเล็กๆ มีประตูไม้ปิดกั้น อยู่ตรงถนน Klášterní ulice สวนที่เรียกว่า Tramín

วิวของโคลสเตอร์จากสะพานที่เดินเข้าเมือง ด้านหลังมีหอคอยที่เป็นส่วนหนึ่งของ Bastion ป้อมคุ้มกันเมือง



ถ้าเราเดินออกจากเมืองทางฝั่งนี้ จะมีสะพานที่ข้ามแม่น้ำวัลตาว่าไปยังฝั่งท่ารถบัสได้ด้วย ตรงนี้ก็จะมีท่ารถบัส (ที่รถจะแวะ) อยู่บนเนินเขานี่แหล่ะค่ะ

หมดเมืองแล้วค่ะ มีอีกหลายที่ ที่เราไม่ได้แปะรูปที่นี่ ก็ต้องไปใช้บริการเวบไซต์สำหรับบริการนักท่องเที่ยวที่เราแนะนำไว้ด้านบนนะคะ




 

Create Date : 19 เมษายน 2552    
Last Update : 21 เมษายน 2552 1:20:07 น.
Counter : 786 Pageviews.  

ติดเกาะ Santorini

ไปเอเธนส์อย่างเดียว มันก็กระไรเลย ยังพอมีเวลาเหลือ ให้เอาไปนอนผึ่งพุง และซิ่งมอเตอร์ไซต์บนเกาะได้ (เด็กเกาะภูเก็ตเก่าอย่างเรามีหรือจะพลาดโอกาส)

Photobucket

ก่อนอื่นขอบอกว่าเราไม่ได้ไปฮันนีมูนนะ เราจึงไม่ได้จองโรงแรมสุดหรูริมหน้าผาไว้ แต่เราจองโรงแรมวิลล่าเล็กๆ ชื่อ Villa Manos ไว้ โรงแรมนี้มีบริการขับรถรับส่งจากท่าเรือ และมีบริการเช่ารถมอเตอร์ไซต์(เวฟ) วันละ 12 ยูโร ถ้าเป็นโฟร์วีลวันละ 15 ยูโร ส่วนรถยนต์วันละ 20 ยูโรขึ้นไป ร้านที่เช่านั้นก็อยู่ในเมืองที่ Thira นี่เอง ทางร้านเขาส่งรถมารับจากที่พัก และวันส่งรถคืนก็มีรถยนต์กลับมาส่งเราถึงที่พักด้วย สะดวกมากๆ ใครพักที่ไหนให้ติดต่อทางโรงแรมเลย เขามีบริการทุกที่จ๊ะ

Photobucket

วิลล่ามานอสที่เราพัก ตั้งอยู่นอกฟิร่าออกมา ตรงเมืองเล็กๆกว่าที่ชื่อ Karterados เดินออกมาสองนาทีมีถนนใหญ่ และป้ายรถเมล์อยู่หน้าซอยเลย สะดวกมาก ใกล้ๆก็มีซุปเปอร์มาร์เก็ต ปั๊มน้ำมัน และหมู่บ้านเล็กๆน่ารัก กลางคืนเงียบสงบดี ทางโรงแรมมีบริการอาหารเช้าด้วย คนละ 5 ยูโร(แต่เราไม่เคยกินข้าวเช้าอ่ะนะ) จากท่าเรือใหญ่ Athinios ที่เฟอรี่เข้ามาจอด รถบัสที่ไปรับเราก็ขับไต่ขึ้นหน้าผาไป มาถึงที่พักใช้เวลา 15 นาทีเอง ค่าห้องคู่ 25 ยูโรเท่านั้นถูกมากๆ ถ้ามากันสี่คนก็มีห้องสี่คนให้บริการด้วย แต่ราคานี้เป็นราคานอกฤดูกาลท่องเที่ยวล่ะ เพราะถ้าเดือนพฤษภาคมมาถึงเมื่อไหร่ ค่าที่พักก็จะพุ่งพรวดเผลอๆ ห้าสิบเปอร์เซ็นต์นี่ก็จะน้อยไป ใครอยากไปเที่ยวเกาะอย่ารอให้ถึงหน้านักท่องเที่ยวหลากเลย เอาหละดูรูปที่พักสักหน่อยแล้ว มาดูวิธีการเดินทางไปที่เกาะกันดีกว่า

Photobucket

ทีนี้จะไปเกาะได้ ก็มีสองวิธีคือไปเรือ กับนั่งเครื่อง สนามบินเล็กๆของซานโตรินี่ตั้งอยู่บนที่ราบด้านหลังของเกาะ แต่เราไม่นั่ง เพราะตั๋วแพงตั้งแปดสิบยูโรต่อคน (แพงนะยะ) ปกติแล้วทางโรงแรมก็จะมีบริการไปรับแขกที่สนามบินด้วย ไม่ต้องเป็นห่วงว่ามาถึงเกาะแล้วจะไปที่พักได้ยังไง สนามบินนั้นมีสองสายการบินหลักคือ Olympic Airways และ Aegean Airlines ปัจจุบันมี EasyJet และ Air Berlin และสายการบินโลว์คอสอื่นๆร่วมบินด้วยในฤดูกาลท่องเที่ยว

Photobucket

เราได้ตั๋วเรือเฟอรี่ Blue star ferry ชั้น Economy มาในราคาคนละ 10 ยูโรเอง ใครที่อยากได้ราคานี้ วิธีการจองตั๋วไม่ยาก ไปดูเส้นทางและวันเดินเรือได้จากเวบ //www.bluestarferries.com ราคาพิเศษนี้เราใช้วิธีอีเมล์ไปจอง เขาขอข้อมูลบัตรเครดิต แล้วก็ทำการตัดเงิน เราได้อีเมล์คอนเฟิร์มมา พอถึงวันเดินทาง เราก็แวะเข้าไปที่ออฟฟิสเขาที่ท่าเรือนั่นเองไปรับตั๋ว เจ้าหน้าที่คนสวยยิ้มหวาน แค่บอกชื่อเขาก็หยิบซองตั๋วให้ทันที ง่ายๆ และที่สำคัญถูก (จ่ายแพงกว่าทำไมล่ะ) ตั๋วก็เป็นกระดาษธรรมดา หนึ่งเที่ยวจะมีหลายส่วน สำหรับผู้โดยสาร คนตรวจเรือและตม.ด้วย คนตรวจตั๋วดูตั๋วเราแล้วดูอีก สงสัยจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง ว่ายัยนี่ไปซื้อตั๋วมาได้ยังไงราคานี้ (เราดูแล้วราคาจริงมัน 33.50 ยูโรแน่ะ)

Photobucket

จากเอเธนส์ ใครที่มีเฟอรี่เที่ยวเจ็ดโมงเช้า ไม่จำเป็นต้องไปหาที่นอนที่ Piraeus ก็ได้ เพราะเมโทรวิ่งจาก Monasteraki ตั้งแต่ตีห้ากว่าๆ เราเองเลือกเที่ยวหกโมงครึ่ง ตอนเช้าแว้บมาคว้ากาแฟที่ร้านตรงจตุรัสแล้วยังมีเวลาเหลือเฟือให้ไปเดินจ่ายตลาด หาของกินไว้ไปกินบนเฟอรี่ต่อได้ด้วย จากโมนาสเตียรากิ ถึงปิเรียอัส ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ค่าตั๋วเมโทรนั้น 1 ยูโร ซื้อง่ายๆจากตู้ขายที่สถานีนั่นแหละ เวลาจะใช้ก็เอาไปเสียบที่ประตูกั้นให้ประตูหมุน แล้วเดินผ่านไป ง่ายๆเท่านี้เอง

Photobucket

จากสถานีเมโทร Piraeus (สุดสายสีเขียว) เดินออกมาก็จะเจอสะพานลอย ข้ามไปยังที่จอดเรือเฟอรี่ ส่วนทางซ้ายมือถ้าเดินต่อไปเรื่อยๆ ก็จะเจอตลาดนัด และย่านร้านค้า ร้านเบเกอรี่ที่นี่ขยันเปิดแต่เช้าตรู่มากๆ รับรองไม่อด ไม่งั้นก็ไปกินบนเฟอรี่ เขาก็มีอาหารขาย (แม้ว่าจะแพงสักหน่อย) แหม อยู่บนเรือตั้งแปดชั่วโมงแน่ะ จะทำอะไรดี

คนติดเน็ทอย่างเรามีหรือจะพลาด ไปทำการสอย log-in code มาจากรีเซฟชั่นทันที หลังจากได้มุมไม่สูบบุหรี่สบายๆในชั้นประหยัด เราก็จัดการเสียบปลั๊กเจ้าพิงกี้ เน็ตบุ๊คตัวน้อย แล้วก็เล่นเน็ทไร้สายที่จ่าย 3 ยูโร สำหรับสองชั่วโมง เน็ตไวมาก อ้ะชอบจริงๆบริการแบบนี้บนเรือ ถ้าใครคิดว่า 2 ชั่วโมงไม่พอ ก็ซื้อได้ตลอดที่หน้าเคาน์เตอร์ reception ค่ะ ส่วนอาหารการกินมีขายเกือบตลอดเวลา จากร้านฟาสฟู้ดที่ขึ้นมายึดพื้นที่ในบริเวณสำหรับชั้นประหยัด การเดินทางระหว่างวัน แทบไม่ได้นั่งอยู่กับที่ค่ะ เพราะแดดดี และทะเลสวย คนที่อยู่ชั้นประหยัดพากันเดินว่อนทั่วเรือไปหมด

Photobucket

ระหว่างทางแปดชั่วโมง เรือก็จะแวะส่งและรับคนตามเกาะต่างๆ ลำที่เรานั่งนี้ จะแวะสามเกาะคือ Paros, Naxos และ Ios ก็ตามชื่อเรือ Blue Star Paros กว่าจะถึงเกาะแรกปารอส ใช้เวลาเกือบสี่ชั่วโมงแน่ะ แต่ละเกาะก็สวยไม่ต่างกัน คือมีบ้านหลังน้อยใหญ่ที่แน่ๆคือส่วนใหญ่จะสีขาว ถ้ามีโบสถ์ ก็จะเป็นโดมสีฟ้าๆ เหมือนกันไปหมด แต่รูทนี้จะไม่ผ่าน Mykonos เราละเสียดายมาก อยากเห็นว่าสวยแค่ไหนกัน เพราะเห็นรีวิวคนอื่น

Photobucket

เรือเลยเกาะ Ios ไปแล้ว เราก็เริ่มมองเห็นหิมะขาวๆบนหน้าผา หมู่บ้านแรกที่เรือจะผ่านก็คือ Oia (อ่านว่าเอีย) หมู่บ้านที่ตามการตัดสินของเราแล้ว สวยที่สุดบนเกาะ ด้านล่างมีถนนคดเคี้ยวลงไปยังท่าเรือเล็กๆ Ammoudi เป็นท่าเรือประมงของชาวบ้าน และมีเรือเล็กออกไปยังเกาะ Thirasia ที่อยู่ใกล้ๆด้วย ถ้าไม่ขับรถลงไปยังท่าเรือ ก็มีทางเดินลัดเลาะไหล่เขาลงไป เราขอแนะนำอย่างหลัง ถ้าคุณๆผู้อ่านยังพอมีเวลาก่อนจะต้องปีนกลับขึ้นมารอชมวิวเอียเมื่ออาทิตย์ตก ดูทางลงซะก่อน

Photobucket

ต้องขอโทษด้วยที่รูปของเราไม่เรียงตามลำดับ ตอนแรกก็ว่าจะเรียง แต่พอเล่าถึงที่ใดที่หนึ่ง ก็อยากจะเอาให้ครบๆไปเลย จะได้ไม่ต้องย้อนไปย้อนมา ถ้าคุณคนอ่านไปรอชมพระอาทิตย์ตกที่เอียนี่ละก็ จากป้ายรถเมล์ให้เดินเข้ามาทางหน้าผา จะเห็นเส้นทางพาไปยังป้อมปราการอิฐแดงๆเก่าๆ ตรงนั้นแหละค่ะ จุดชมวิว ป้อมที่นักท่องเที่ยวมักจะไปจับจองหามุมสวยๆถ่ายรูปแสงอาทิตย์ทาบบนกังหันลมสองตัวของเอียเนี้ย ก็เป็นป้อมปราการเก่าเดิมมาแล้ว ป้อมอย่างนี้ยังมีอีกแห่งหนึ่ง เดี๋ยวเราจะพาไปดู และปีนด้วยค่ะ

Photobucket

เราไม่รอให้พระอาทิตย์ตกเพราะเราหิว ปีนเขาทั้งวัน เลยอ้อมไปถนนสายหลัง เจอร้านอาหารโปแลนด์ร้านเล็กๆน่ารักชื่อร้าน Polski Lokal สั่งอาหารมากินซะอิ่ม เจ้าของร้านมาจาก Lublin ร้านนี้ก็เต็มไปด้วยคนโปล ตามที่เราคาด แต่อาหารที่เรากินก็เป็นอาหารอินเตอร์เนชั่นนอล เวียนนาสนิชเซิ่ลยังคงตามมาหลอกหลอนเรา ทั้งที่หนีออกจากเวียนนามาตั้งหลายวันแล้ว กินหมดไปมื้อนี้ 10 ยูโรเอง อิ่มมาก เดินกลับมายังจุดชมวิวก็มืด คนเริ่มทะยอยกลับกันแล้ว เพราะรถบัสเที่ยวสุดท้ายประมาณทุ่มสี่สิบ หลายๆคนยังเดินเตร็ดเตร่ตามตรอกเล็กๆที่ได้แสงไฟจากร้านค้าและโรงแรมที่อยู่บนไหล่เขา ส่วนเราเองก็ต้องกลับไปบึ่งมอเตอร์ไซต์อ้อมเขากลับที่พัก (ถนนมืดมากเลยขอบอก ไม่มีไฟเลย เราก็ไม่กล้าขับเกิน 50)

ปิดท้ายด้วยรูปพระอาทิตย์ตก วันที่ 2 เราจะพาไปขี่มอเตอร์ไซต์รอบเกาะกัน

Photobucket

เป็นเพราะที่พักเราอยู่กึ่งกลางเกาะพอดี ไปทิศไหนก็สะดวกมากๆ แผนที่ไม่จำเป็นเลยสำหรับเกาะนี้ พอได้แวะซุปเปอร์มาร์เก็ตหาอาหารเที่ยงไว้กินระหว่างทางแล้ว เราก็ซิ่งมอเตอร์ไซต์ไปทางใต้ของเกาะทันที แม้ว่าดูตามแผนที่แล้วเราน่าจะลงเขาเพราะมันมีหาด แต่ถนนกลับพาเราไต่เนินสูงขึ้นๆ เพื่อไป Akrotiri ที่ตั้งเดิมของอารยธรรมมิโนอัน ถนนทางไปเลียบริมผา มีจุดให้เราแวะชมวิวเยอะมาก เวลาจอดรถตรงไหน ก็มักจะมีคนที่ขับรถสวนมาถามว่าวิวสวยไม๊ๆ ตลอดทางเลย (จะแอบจีบเราก็บอกเหอะ คริๆๆ)

Photobucket

มาทะเลก็ต้องไปเที่ยวหาด แต่เราเองไม่เคยเห็นว่าหาดที่ไหนในยุโรปจะสวยเท่าที่เมืองไทยมาก่อน โดยเฉพาะหาดสีดำ สีแดงเพราะหินภูเขาไฟแบบที่ซานโตรินี่นี่ เราเน้นว่ายน้ำเล่นมากกว่า กินน้ำเข้าไปหลายอึก เอ๋ ทำไมมันเค็ม โถ่เอ๊ยเรา เคยแต่ว่ายน้ำในทะเลสาบ มาเจอทะเลจริง ลืมไปเลยจริงๆนะ ว่ามันต้องเค็มสิ

เดือนมีนาคม น้ำยังเย็นอยู่ หาดที่เราไป สมบุกสมบันมาก ไม่มีป้ายชื่อบอกทาง และถนนยังไม่ได้ลาดยาง (ดีนะที่เราขับมอเตอร์ไซต์โฟร์วีล ไต่เขาสบายมากๆเลย) ไปถึงหาดไม่มีคนเลย น้ำใสปิ๊งๆๆ มองเห็นทรายสีดำและกรวดหลากสี เรามันขี้หนาว ก็เลยต้องไปหลบลมแถวริมผาโน่น พอไม่มีลม น้ำก็ไม่เย็นอย่างที่คิด

Photobucket

ในหน้าร้อน เราว่าแถวนี้ต้องคนเป็นล้านแน่นอนเลย ถึงหาดจะไม่สวย แต่น้ำที่นี่ใส วิวก็ดีน่าเล่นมากๆ ขึ้นจากน้ำแล้วเราก็ไปขับรถหลงทางต่ออยู่ในหมู่บ้านเล็กๆน่ารักระหว่างทาง (แกล้งหลงไปยังงั้นเอง ไม่อยากออกเลย บ้านเรือนที่นี่น่ารักมาก คนก็ใจดี แวะขอเข้าห้องน้ำไม่มีใครรังเกียจเลย เงินก็ไม่เก็บ) ทุกหมู่บ้านจะต้องมีโบสถ์อย่างน้อยสองแห่ง เราชอบหอระฆังที่นี่มาก สวยไม่ซ้ำใครเลย คริสต์ของชาวกรีซส่วนมากจะเป็นนิกายออธอด็อกซ์ (แปลว่าคริสเตียนแท้)

Photobucket

ใครที่งบประมาณไม่มากนัก เราขอแนะนำให้ทำอย่างเรา ถ้าคุณไม่ได้มาฮันนีมูนนะคะ คือไหนก็จะมาฮันนีมูนแล้ว ยอมเสียเงินเพิ่มสักหน่อยคงไม่เป็นไร แต่ถ้าต้องประหยัดหน่อยก็คือหาที่พักไม่ต้องแพงมาก และเช่ารถมอเตอร์ไซต์ขับ เราเติมน้ำมันไป 6 ยูโรเต็มถัง ขับสองวันยังเหลือน้ำมันอีกเลย ขนาดเราขึ้นเขาลงห้วยไปเสียเกือบทุกสายแล้ว หลังจากเที่ยวดูเมืองเก่าที่อาโครติรี่แล้ว (ซึ่งเราไม่แนะนำ ถ้าคุณชอบดูของเก่า ที่พิพิธภัณท์แห่งชาติที่เอเธนส์มีรวบรวมไว้เยอะกว่ามาก) แล้วเราก็ขับรถกลับไปทางท่าเรือเฟอรี่แล้วเลี้ยวขวา ขึ้นเขาอีกไปทาง Pyrgos ระหว่างทางผ่านโบสถ์ออธอด็อกซ์หลังคาสีแดง เสียดายที่เราไม่ได้แวะเพราะคนเยอะมากๆ มีรถทัวร์มาจอด แล้วเราก็ไม่ค่อยชอบกรุ๊ปทัวร์คนเยอะๆ เลยขับต่อไม่ได้จอดเลย ลงเขาไปอีกทีเปลี่ยนใจก็ไม่ทันแล้ว

Photobucket

โบสถ์ที่นี่จะเป็นรูปโดมสไตล์ออธอด็อกซ์ ดูแล้วอย่าคิดว่าเป็นมัสยิดล่ะค่ะ

Photobucket

นอกจากลา และฬ่อ (ที่เป็นสัตว์ลูกผสมม้ากับลาแล้ว) แมวหมาข้างถนนที่นี่เยอะมาก ส่วนใหญ่จะมีคนคอยให้อาหารมัน ทำให้มันคุ้นกับคนและไม่กัด เราไปแวะเข้าห้องน้ำที่บ้านนี้ นอกจากแมววิเชียรมาศแล้ว เขาก็ยังมีแมวขาวมณีตาสีอำพันข้างหนึ่ง สีฟ้าข้างหนึ่ง สวยมากๆ ถ้าใครชอบสัตว์ ให้แวะเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตแล้วสอยอาหารแมว (หมาก็กิน) ไปสักถุง จะได้รูปสวยๆกับเจ้าสัตว์เล็กๆพวกนี้ง่ายๆเลยล่ะค่ะ เราเองก็ให้เงินคนท้องถิ่นไปด้วย ช่วยค่าอาหารแมว เพราะเห็นคุณยายแก่ๆ เดินเอาอาหารแมวใส่ถาดแจกจ่ายแมวข้างถนน แล้วเราคิดถึงหมาแมวที่เมืองไทยสุดๆ

Photobucket

กว่าจะขับรถกลับมาถึงที่พักได้ เราผ่านพิพิธภัณท์ไวน์มา แบบลงแล้วไม่รู้จะไปดูอะไร ใครที่มีเวลาเหลือจะแวะเข้าไปดูหน่อยนึงก็ไปตามเส้นทาง Vothonas ค่ะ จะเห็นป้ายไม้ใหญ่ๆ และถังไวน์ทางขวามือ เลี้ยวเข้าไปเลยที่จอดรถเยอะแยะค่ะ สนามบินก็อยู่ไม่ไกลเลี้ยวขวาไปนิดนึง ส่วนเราเลี้ยวซ้ายไป Firostefani ต่อค่ะ

Photobucket

ฟิรอสเตฟานี่เป็นอีกหมู่บ้านเล็กๆถัดไปจากฟิร่า วิธีการเดินเที่ยวให้ทั่วคือคุณเลือกลงบันไดของโรงแรมไหนก็ได้ที่อยู่ริมผา แล้วก็ค่อยๆไต่ลงไปเรื่อยๆ จนลงต่ำไปกว่านั้นไม่ได้ ก็เงยกลับขึ้นมาดูว่ามีทางเลี้ยวไปไหนได้อีก ก็ค่อยๆเดินไปเรื่อยๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะหลง ข้อดีของการที่เรามาในเดือนมีนาคมคือยังเดินเล่นแถวระเบียงหน้าห้องพักโรงแรมได้ เพราะยังไม่มีคนมาพัก ถ้าคนเข้าพักเต็มแล้วก็คงอดแน่ๆ

พอเดินจนหมดทั้งฟิรอสเตฟานี่ เราก็กลับมาเอารถที่จอดไว้ เรื่องที่จอดรถนี่มีอยู่มากมายตามถนนสายหลังค่ะ เพราะถนนสายเลียบผานั้นเป็นถนนสายคนเดินล้วนๆ จะเอามอเตอร์ไซต์มาขับให้เป็นที่รำคาญชาวบ้านก็ไม่ได้ ได้รถแล้วฝนก็โปรยลงมา ฝนบนเกาะนี่นี่น่ากลัวมากค่ะ เม็ดมันใหญ่และออกพ้นชายคาไม่ได้เลย เปียกจริงๆ

Photobucket

เรารอฝนประมาณห้านาทีเอง ก็ขับรถต่อไปยัง Imerovigli เพื่อไปปีนป้อมเก่า Skaros ความเห็นส่วนตัวเราว่าพระอาทิตย์ตกที่อิมเมอโรวิกลินี่ สวยมากกว่าที่เอียอีก ชื่อหมู่บ้านนี้แปลว่าวัน สการอสนั้นเป็นเขาที่ติดกันยื่นออกจากหน้าผาไป มีบันไดหินเล็กๆวน พอเดินได้ ไต่เขาได้ แต่ถ้าจะขึ้นไปบนยอดที่เห็นราบเรียบนั้นจะต้อง"ปีน" กันจริงๆ เราก็ปีนขึ้นไปยืนใจสั่น ขาสั่นอยู่นาน เพราะกลัวความสูง รวมระยะเวลาตั้งแต่จากฝั่งหมู่บ้านไปจนถึงยอดเขา เกือบ 20 นาทีเหมือนกันนะ แต่วิวสวยมาก ที่ด้านหลังมีโบสถ์แอบอยู่หลังหนึ่ง ถ้าจะเดินไปก็ระวังๆนิดนึง บนเขาลูกนี้มีซอกมีหลืบ ที่อดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของบ้านเรือน และกำแพงด้วย เวลาเดินต้องระวังอิฐถล่ม แต่โดยรวมปลอดภัยค่ะ ไม่อันตราย อย่าลืมพกน้ำดึ่มด้วย เราพกไปขวดเดียวไม่พอดึ่มเลย เหนื่อยมั่กๆ พอไปเห็นวิวหายเหนื่อยทันที

Photobucket

เที่ยวเสร็จเราก็กลับมาที่ฟิร่า อย่างที่บอก เราไม่ชอบที่ที่นักท่องเที่ยวพลุกพล่าน (เพราะของมันจะแพง) ฮ่าๆๆ เลือกได้ที่จอดรถตรงโบสถ์ใหญ่ ข้างโรงแรม Atlantis แล้วเราก็ไปเดินลุยร้านขายของ ด้านล่างมีทางลงไปยังท่าเรือเก่า (ที่จะมีเรือไปเกาะภูเขาไฟ พาทัวร์เวลา 11 โมง) เราเห็นลาแล้วสงสารมันเลยไม่กล้านั่งเลย ทั้งที่จริงๆแล้วราคาพอๆกับการนั่งเคเบิ้ลคาร์นั่นแหละค่ะ ลาและฬ่อเป็นสัตว์ที่เขาฝึกมาใช้แบกของอยู่แล้ว เดิมสมัยยังไม่มีรถเข้ามาถึงบนเกาะ ก็ได้ลาพวกเนี้ยเองช่วยแบกขนสัมภาระ อ้อ ค่าขึ้นเคเบิ้ลต่อขา 4 ยูโรค่ะ

หากใครที่เช่ารถ พอได้รถเช่าแล้ว อย่าลืมขอแผนที่ปั๊มน้ำมันทั้งหมดบนเกาะ และเบอร์โทรศัพท์ของร้านเช่ารถไว้ด้วย จะได้ไม่มีปัญหาน้ำมันหมด หรือรถเสียระหว่างทางไปไหนไม่ได้ ใครที่อยากได้ข้อมูลของอะไรที่เราไม่ได้แปะบอกไว้ ทิ้งคำถามไว้ได้ค่ะ เราจะมาอัพเดทเรื่อยๆ ช่วงนี้ไม่ค่อยอยู่บ้านนะจ๊ะ




 

Create Date : 19 เมษายน 2552    
Last Update : 19 เมษายน 2552 3:11:57 น.
Counter : 1205 Pageviews.  

Athens - เอเธนส์

เมื่อวันก่อน นั่งๆนอนๆ อยู่ดีๆ สายการบินโลว์คอสหนึ่งส่งอีเมล์โปรโมชั่นมาให้ ทำเอาใจสั่นนอนไม่หลับ ต้องลุกขึ้นมาตอนเที่ยงคืน ทำการจองตั๋ว แล้วสุดท้าย เราก็ได้ไปเหยียบเมืองหลวงของกรีซสักที กระเตงเอาคนร่วมบ้านไปอีกหนึ่งคน

ไม่มีเสียหลอกจ๊ะ ที่จะเอารูปสวยๆมาอวดอย่างเดียว เราเอาวิธีการไปมาบอก รับรองโลนลี่พลาเน็ตมาอ่านแล้วก็ยังต้องอาย เพราะวิธีการไปของคุณนายเธอ ทั้งสะดวกทั้งประหยัดจริงๆ อ่านแล้วก็บอกต่อด้วยนะคะ อย่าเก็บไว้คนเดียว เที่ยวคนเดียวเดี๋ยวจะแช่งให้ไม่มีหนุ่มๆมองนะเออ

เอเธนส์ มีชื่อเพราะๆมาจากเทพธิดากรีก ผู้เป็นลูกสาวของเซอุส และที่แน่นอนล่ะ ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของกรีซนั้นเก่าแก่กว่าหลายๆประเทศในยุโรป ถ้าอยากจะเรียนเทพกรนัมกรีก ก็คงต้องไปหาอ่านจากบล็อกอื่นก่อน เพราะว่าวันนี้เราจะพาไปเที่ยวเอเธนส์กัน

Photobucket

มองจากบนฟ้า เอเธนส์เป็นเหมือนกองหิมะสีขาวตั้งแต่ริมเขา ยาวไปจรดทะเล เครื่องบินสกายยุโรปบินข้ามเอเธนส์พาเรามุ่งไปสู่ขอบฟ้า ที่มองไม่ออกว่าไปจรดกับน้ำทะเลที่ตรงไหน ก่อนจะตีโค้งอ้อมกลับเข้ามาจอด ณ สนามบินนานาชาติ สนามบินชื่อย๊าวยาว Eleftherios Venizelos ที่ไม่ยักกะใหญ่อย่างที่คิด เราเลือกเดินทางในช่วงเดือนมีนาคม (โชคดีที่เลือกได้เดือนนี้เพราะอากาศไม่หนาวอย่างที่หลายๆคนคิด และไม่ร้อนตับแตกเหมือนช่วงเดือนกรกฏาคม) เมื่อเครื่องลงจอด ใครที่อยากจะเข้าห้องน้ำ ฉันขอเตือนเลยว่า เห็นห้องน้ำตรงไหนให้รีบไปรอเข้าซะ เพราะสนามบินใหญ่โตแห่งนี้ หาห้องน้ำได้ยากมาก เดินกันขาแทบหลุด สุดท้ายยอมยกธงไม่เข้าแล้วก็ได้ (ใครว่าสุวรรณภูมิห้องน้ำน้อย ให้มาที่นี่ จะกลุ้มเลยทีเดียวเชียว)

Photobucket

จากสนามบินเข้าเมือง มีตัวเลือกมากมาย ใครที่ชอบเร็วๆ ให้ไปขึ้นรถไฟ Suburban Rail ที่จะวิ่งขนานไฮเวย์ไปเชื่อมกะจุดที่จะต่อกับรถเมโทร ซึ่งเรางบน้อย และไม่ชอบต่อรถวุนวาย เราจะแนะนำให้คุณนั่งรถบัสแทน รถบัสสายหลักๆ มีสองสายคือสาย x95 สายนี้จะไปจอดที่จตุรัส Syntagma ตรงที่เป็นลานหน้ารัฐสภา และอีกสายสำหรับคนที่จะไปท่าเรือ เพื่อต่อเรือไปยังเกาะ ใช้บัส x96 รถจะไปจอดที่ท่า Piraeus ขึ้นเฟอรี่ต่อได้เลย ตั๋วรถบัส Xpress นี้ซื้อได้ที่บูธ ตรงข้างป้ายจอดรถบัสที่สนามบินนั่นเอง เดินตามป้ายคำว่า Bus ไป หลงอีกก็แย่แล้วนะ ตั๋วขาเดียวนี้ราคา 3.20 ยูโร ถูกกว่ารถไฟ และแทกซี่เยอะเลย

Photobucket

สำหรับคนที่จะเลือกที่พัก ขอบอกว่าเลือกไปเลย ไม่ว่าโรงแรมไหนในเอเธนส์ก็จะบอกว่าเห็นวิวของอะโครโปลิสทั้งนั้น ก็มันเล่นตั้งอยู่บนภูเขากลางเมือง ส่วนตัวเราเที่ยวง่ายๆไปไหนคนเดียว เราพักที่โฮสเทล Athens style ที่เพิ่งสร้างใหม่ สะอาดดูดี มีห้องน้ำภายในห้องรวม และไม่ไกลจากแหล่งอาหารค่ำถูกๆ และสถานีเมโทรหลัก Monasteraki ใกล้ซะจนตอนเช้าแทบไม่ต้องเผื่อเวลาสำหรับการออกไปขึ้นเมโทรไปยังท่าเรือเลย

ร้านกาแฟที่เอเธนส์เปิดตั้งแต่หกโมงเช้า(จริงๆ) คนที่นี่กินกาแฟกันหวานมาก ไม่น่าแปลกใจที่กาแฟเย็นของเขามีชื่อเสียงจริงๆ เพราะเข้มข้นหวานมัน (แต่ราคานี่ ไม่ต้องแพงซะขนาดนั้นก็ได้นะ แหม)

สำหรับคนที่มีเวลาน้อย ขอบอกว่าให้รีบขึ้นไปบนอะโครโปลิสเสียก่อนเลย เพราะว่ามันปิดเร็วมาก อย่างหน้าประตูบอกว่าปิด 15:30 แต่ไปถึง 15:00 เจ้าหน้าที่ก็ปิดประตูแล้ว (ซะงั้นแหละ) วิธีการจะขึ้นไปเนี่ย มีทางเข้าแค่ทางเดียว บูธจำหน่ายตั๋วไม่ได้อยู่ตรงหน้าประตูรั้ว แต่ตั้งอยู่ตรงลานหน้าประตูนั่นแหละ ค่าตั๋ว 12 ยูโร แต่ตั๋วยาวๆนี้ ประกอบไปด้วยตั๋วแยกย่อยของอีกหลายสถานที่ และใช้เข้าได้สองวัน (เราไปไม่หมด ก็เลยยกตั๋วที่เหลือให้เด็กๆที่โฮสเทลไป น้องเขาจะได้ไม่ต้องซื้อตั๋ว ใจดีน้อ)

Photobucket

ใครที่โชคดีถูกแจ็คพ็อตอย่างจัง จัดวันเที่ยวให้มาลงวันอาทิตย์ ให้รีบพุ่งไปเที่ยวยังสถานที่เก่าแก่พวกนี้เสียให้ไว เพราะวันอาทิตย์เป็นวันเดียวที่ทุกอย่างเข้าฟรี หากถามว่าเข้าไปแล้วคุ้มค่าไหม คุณคิดว่าเข้าไปดูเสาหักๆ เศษหิน กองหินมันคุ้มไหมล่ะ หากไม่ได้ศึกษาประวัติความเป็นมาของสถานที่มาก่อน แต่หากใครอยากเข้าไปถ่ายรูปกับความอลังการ เราก็ไม่ห้ามกัน เพราะเมื่อเข้าไปแล้ว ทำให้รู้สึกว่าอารยธรรมของมนุษย์เรามันช่างสั้นมาก เมื่อเทียบเสาหินใหญ่เบ้อเริ่ม กับโทรศัพท์มือถือรุ่นที่เรากำลังควักมันออกมาถ่ายรูปอยู่ (อืม เนอะ)

Photobucket

สิบเอ็ดโมงเช้าวันอาทิตย์ ทหารที่หน้ารัฐสภาจะเดินขบวน(อย่างใหญ่) ถ้าอยากดูต้องรีบมาให้ไว เพราะไม่งั้นรถทัวร์จะเอาคนมาลง แล้วคุณจะหมดที่แทรกตัวเข้าไปดู ใครๆก็อยากมาดูกันเพราะทั้งอาทิตย์มันมีแค่วันเดียว (แถมแป๊บเดียวเองด้วย) เมื่อชมเสร็จ ให้ลงไปในสถานีเมโทร Syntagma ตรงระเบียงรอบๆ ห้องโถงใหญ่ ก่อนทางลงบันไดเลื่อน มีนิทรรศการแสดงความเป็นมาของเอเธนส์ แบบกำลังดี ไม่ละเอียดเว่อร์ชวนปวดหัว ก่อนจะใช้บริการรถไฟใต้ดิน ก็แวะลงไปเดินชมพิพิธภัณท์เล็กๆนี้ได้ ไม่เสียตังค์

Photobucket

สำหรับมื้อกลางคืน เราเรียกว่าเลือกไม่ผิด เพราะโฮสเทลตั้งอยู่ในดงแหล่งร้านอาหารถูก(ที่มีคนท้องถิ่นมาใช้บริการกันเพียบ) ย่านนั้นอยู่ระหว่าง Keramikos กับ Monasteraki ร้านแรกที่เราไปลอง ตั้งอยู่ในตรอกแคบๆ สองข้างแน่นเอี๊ยดไปด้วยร้านอาหาร อย่าถามว่าถนนชื่ออะไร ให้เข้าไปในดงนั้น แล้วรับรองเลือกไม่ถูกเลย อาหารร้านนี้ไม่แพง ถ้าเทียบกับบรรยากาศ แต่ระวังไว้นิด เวลาสั่งอาหาร มักจะได้น้ำเปล่ามาขวดหนึ่ง และขนมปังอีกหนึ่งตะกร้า ซึ่งไม่ว่ากินหรือไม่กิน ก็โดนชาร์จอย่างแน่นอน เผลอๆไม่ต่ำกว่าสามยูโร เพราะฉะนั้นให้ตัดอกตัดใจ แล้วก็กินมันเข้าไปเสียเถิด อย่างหนึ่งที่เราชอบมากๆในเอเธนส์ก็คือ ห้องน้ำหาง่าย และไปแวะเข้าตามโรงแรม และร้านอาหารได้ โดยไม่เสียเงิน (ไม่เหมือนที่เวียนนา) ทำให้เราไปไหนไม่เคยต้องอั้นฉี่ แหมมันมีความสุขอะไรเช่นนี้

มาถึงเรื่องไปรษณีย์กันบ้าง ที่ทำการหลักนั้น อยู่ตรงจตุรัส Syntagma ฝั่งทางเข้าตัวเมือง สัญลักษณ์ไปรษณีย์ที่กรีซจะเป็นตู้เหลืองๆ ถ้าจะติดแสตมป์เพื่อส่งโปสการ์ดกลับเมืองไทย 70 เซนต์ เท่ากับส่งในยุโรปด้วยกัน (เออ ถูกผิดปกติ)

ถนนสายช้อปปิ้งที่ลากยาวจาก Plateia Syntagmatos ก็ไม่มีรถวิ่ง เดินชมของสบายใจน่าดู ถ้าไม่เดินสายนั้นก็ขยับไปอีกหนึ่งบล็อกทางซ้ายมือ ก็จะเจอถนนสายของกิน สองข้างทางแคบๆ จะเต็มไปด้วยร้านอาหาร(ของนักท่องเที่ยว) ซึ่งเราไปลองชิมแล้ว รสชาติก็งั้นๆ ราคาแพงอีกตังหาก

Photobucket

หากเลี้ยวซ้ายจากตรงนี้ไปก็จะเจอร้านค้าเล็กๆขายของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว และบ้านเรือนเก่าๆ ย่านนี้เรียกว่า Plaka สังเกตเวลาเดิน ทางเดินจะค่อยๆสูงขึ้นๆ เผลอแป๊บเดียวขึ้นไปเดินชมวิวอยู่บนถนนคนเดินเล็กๆเรียบริมผา Acropolis ไปได้ ใครที่มีเวลาอยู่ในเอเธนส์ไม่มากนัก สองวันเต็มๆ ก็พอแล้ว สำหรับคนที่ไม่บ้ากองหินและซากปรักหักพัง แม้ว่าเอเธนส์จะเป็นเมืองใหญ่ แต่สถานที่ท่องเที่ยวจะอยู่ไม่ไกลกัน ใช้การเดินเท้าได้แสนสะดวกสบาย (อย่ามาตอนหน้าร้อนก็แล้วกัน)

Photobucket

ใครที่อยากให้เขียนเรื่องอะไรบอกเราละกันนะ สำหรับชื่อร้านอาหาร เดี๋ยวต้องไปค้นบิลก่อน เพราะเราจำไม่ได้จริงๆเลยอ่ะ แต่ละคืน กินไม่ซ้ำร้านกัน ซึ่งร้านแถวนั้นก็อร่อย แถมถูกพอๆกันทุกร้านเลยเนี่ย กลุ้มจริงๆ อยากกินอีกแต่ไม่มีเงินจะกลับไปแล้ว ฮ่า รูปสุดท้าย คือหน้าตาตั๋วรถบัสจ๊ะ





 

Create Date : 18 เมษายน 2552    
Last Update : 19 เมษายน 2552 0:22:58 น.
Counter : 974 Pageviews.  

1  2  

buaart
Location :
สงขลา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add buaart's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.