BlogGang.com : : BORNTOSUCCEED

ปัจจุบันสังคมไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติการแตกแยกความสามัคคีของคนในชาติอย่างรุนแรง

ในปัจจุบัน ประชาชนเกิดความแตกแยกทางความคิดออกเป็นหลายๆกลุ่ม โดยมีสองกลุ่มใหญ่ๆที่เราทราบคือกลุ่มคนเสื้อเหลือง และกลุ่มคนเสื้อแดง ทั้งนี้เนื่องมาจากการได้รับข้อมูลข่าวสารที่แตกต่างกัน ประกอบกับอคติและความเอนเอียงของผู้รับสารเอง การรับรู้ข่าวสารเพียงด้านเดียวของประชาชน อันเนื่องมาจากการนำเสนอข้อมูลข่าวสารเพียงด้านเดียวของฝ่ายต่างๆ การนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนความจริงของผู้ส่งสารที่อิงอยู่กับผล ประโยชน์ส่วนตน อคติส่วนบุคคลของผู้รับสาร และการรับสารเพียงด้านเดียวของผู้รับสาร เมื่อมีการปลุกกระแสชาตินิยมขึ้น ทำให้ความคิดที่แตกต่างของประชาชนเกิดความแตกแยกกันอย่างรุนแรง มีการใช้กำลังระหว่างกลุ่มที่มีความคิดชาตินิยมหัวรุนแรง กับกลุ่มที่มีความคิดที่แตกต่าง ต่างฝ่ายต่างมีอคติ ต่างมีความเชื่อที่แตกต่างกันในลักษณะการนำไปสู่การแตกแยกโดยมีผู้นำหรือแกนนำในกลุ่มต่างเป็นผู้ให้ข้อมูลข่าวสารเพื่อสร้างฐานอำนาจ สร้างพลังมวลชน เพื่อที่จะพาตนเอง และพวกพ้องไปสู่ซึ่งอำนาจเงินทอง ในส่วนของประชาชนที่อยู่ในกลุ่มต่างๆก็หลงเชื่ออย่างขาดสติบ้าง ขาดความเข้าใจ โดยต้องการหาเพียงแค่ใครผิด ใครไม่ผิด กลุ่มไหนโกง กลุ่มไหนไม่โกง ผู้ ที่มีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากในการส่งสารในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ได้แก่ กลุ่มนักการเมือง ส.ส. ส.ว. กลุ่มอิทธิพลทางการเมือง และสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ซึ่งในปัจจุบันยังคงมีการให้ข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนความจริง และอิงอยู่บนผลประโยชน์ส่วนตน หลายเหตุการณ์การปลุกบั่นให้ข่าวสารนำไปสู่การทำให้เกิดวิกฤติความรุนแรง ความแตกแยกในสังคม ในประเทศ นำไปสู่ความสูญเสียทั้งภายใน และภายนอกของประเทศอย่างมากมาย กรณีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนได้แก่ กรณีเหตุการณ์ที่เกิดความรุนแรงเมื่อวันเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาก็เกิดจากความแตกแยก เกดจากความเชื่อที่ผิดๆ ที่ขาดสติ ใช้อารมณ์มากกว่าใช้ปัญญา ทำตามอำนาจของเงินที่สามารถสั่งการ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายของผู้เสียอำนาจเองคือฝ่ายของอดีตนายกที่ถูกทำการรัฐประหารยึดอำนาจไป กับอีกฝ่ายคือฝ่ายอำมาตย์ที่อยู่ในอำนาจ ที่กำลังรักษาอำนาจอยู่โดยต่างฝ่ายต่างถือว่าตนถูก ต่างฝ่ายต่างเกลียดชัง ทำลายฝ่ายตรงข้ามโดยลืมไปอย่างขาดสติว่าทุกคนคือพี่น้อง ทุกคนคือคนไทย และต่างลืมไปว่าบ้านเมืองจะเสียหายอย่างไร อีกเหตุการณ์หนึ่งที่สามรถยกขึ้นมาในลักษณะของการแตกแยกความสามัคคีในชาติ ในสังคมไทยคือเหตุการณ์การปะทะกันระหว่างกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กับชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในชุมชนบริเวณปราสาทพระวิหาร เมื่อเดือนกรกฎาคมคม 2551 ที่ผ่านมาการ
ปัญหาจริยธรรมในสังคมไทยเป็นปัญหาที่สำคัญมาก ปัญหาหนึ่ง เกิดจากหลายเหตุปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการขาดมาตรฐานทางจริยธรรมของกลุ่มสังคม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มทางการเมืองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง ที่มีนักการเมืองขับเคลื่อนอยู่ หรือจะเป็นกลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่ปัจจุบัน คือกลุ่มคนเสือเหลือง และกลุ่มคนเสือแดง กลุ่มที่กระผมได้กล่าวมาทั้งหมดนั้น ล้วนแต่ทำเพื่อผลประโยชน์และอำนาจ เพียงเพื่อกลุ่มของตนและตนเองเท่านั้น
การแก้ปัญหาบ้านเมือง ณ ปัจจุบัน ที่เกิดปัญหาการแตกแยกความสามัคคี แบ่งพรรคแบ่งพวก แบ่งฝักแบ่งฝ่าย การแก้ปัญหาต้องแก้ปัญหาอย่างมีสติต้องค่อยๆแก้ปัญหาไป แก้ปัญหาแบบเชิงป้องกัน ป้องปราม การหาคำตอบว่าใครผิดไม่ผิดนั้นต้องค่อยๆหาข้อมูล หาความจริงในทุกเรื่องอย่างมีสติ อย่างสร้างสรรค์ ทำความจริงให้ปรากฏออกมาสู่สังคมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกจากการทำความจริงให้ปรากฏกระผมคิดว่าใช้หลักจริยธรรมสามารถนำมาใช้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ โดยการปลุกฝัก และรงณรงค์ให้คนในสังคมทุกกลุ่มมีจริยธรรม โดยนำทฤษฎีการทำความดีของ KOHLBERG มาใช้ผสมผสานกับหลักจริยธรรมพื้นฐานและจริยธรรมทางสังคม ซึ่งทฤษฎีการทำความดีของ KOHLBERG เป็นทฤษฎีที่กล่าวถึงระดับเหตุผลของระดับการทำดี โดยมีรายละเอียดแบ่งได้ตามเหตุหลดังนี้
เหตุผลส่วนตัวมี 3 ข้อ
1. ความกลัวถูกลงโทษ
2. ความต้องการรางวัล
3. ความต้องการการยอมรับ
เหตุผลที่สูงขึ้นโดยเห็นแก่คนอื่น
4. ความไม่ต้องการให้สังคมเสียระเบียบ
5. การปฏิบัติตามพันธะสัญญา และหน้าที่
6. ความมีจิตสำนึก ความรักในเพื่อนมนุษย์ และความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ข้อนี้เป็นเหตุผลสูงสุด
การรณรงค์และปลูกฝังของกระผม จะเริ่มต้นที่จริยธรรมพื้นฐานก่อน คือ ให้แต่ละกลุ่ม แต่ละฝัก แต่ละฝ่าย มาร่วมกันพัฒนาสัมพันธภาพทางสังคม เช่น ให้มาร่วมกันสวดมนต์ไหว้พระ ให้มาร่วมกันฟังเทศน์ อบรมให้มีคุณธรรมขั้นพื้นฐานร่วมกันในชีวิต เป็นต้น หลังจากเริ่มปลุกฝัง และรณรงค์จริยธรรมขั้นพื้นฐานแล้ว ก็จะมาสู่ขั้นจริยธรรมทางสังคม เริ่มต้นที่มารยาททางสังคม เน้นการเคารพรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกันอย่างมีสติ

นอกจากนั้นต้องมีการกำหนดบทลงโทษที่มีความรุนแรงมากขึ้นสำหรับผู้ที่ สร้างกระแสข่าวที่บิดเบือนความจริง โดยเฉพาะข่าวที่มีผลต่อความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติ ต้องมีบทลงโทษที่ศักดิ์สิทธิ์ และยุติธรรม ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจทางสังคมด้วย ก็ต้องเป็นผู้มีคุณธรรมและจริยธรรม รวมทั้งให้ความยุติธรรมกับทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมกันด้วย สำหรับการแก้ไขปัญหาในระยะยาว คือ การสร้างค่านิยมในการวิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้อมูลข่าวสารจากหลายแนวคิด หลายแง่มุม จากหลายแนวความคิด ที่มาจากหลายๆหลุ่มก่อนที่จะนำเสนอข้อมูลข่าวสารสู่สาธารณชน การสร้างจิตสำนึกในการตระหนักถึงคุณธรรมจริยธรรมของผู้ส่งสาร และที่สำคัญที่สุดคือ การปลูกฝังให้ผู้รับสารรู้จักคิดวิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้อมูลข่าวสารที่ได้รับมาอย่างรอบด้าน รับข้อมูลหลายด้าน ไม่เชื่อโดยที่ยังไม่ได้พิสูจน์หรือยังไม่มีหลักฐาน นอกจากบทลงโทษที่รุนแรงและศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็ต้องมีการให้รางวัล ให้การยอมรับ เป็นแรงจูงใจสำหรับบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่กระทำความดี เพื่อจะได้เป็นตัวอย่างให้บุคคล หรือกลุ่มบุคคลได้เห็นว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มีอยู่จริงอย่างชัดเจน หลังจากปลุกฝัก รณรงค์ในเรื่องจริยธรรมแล้ว ก็จะทำให้สังคมที่เกิดการแตกแยก ขาดระเบียบวินัยอยู่ในปัจจุบัน ก็จะกลับเข้ารูปเข้ารอย กลับเข้ามาอยู่ในระเบียบวินัย การรณรงค์ให้กลุ่มบุคคลต่างๆ มาทำดีร่วมกัน ทำกิจกรรมเพื่อประโยชน์แก่สังคมร่วมกัน จัดให้มีการพูดคุย พบปะสังสรรค์ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ อย่างจริงใจ อย่างยุติธรรม ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น ก็จะก่อให้เกิดมีจิตสำนึกสาธารณะร่วมกัน ทำให้สังคมเกิดความรักกันในเพื่อนมนุษย์ และทำให้สังคมมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมได้ในที่สุด...วีระพงษ์ พิกุลประยงค์...Weerapong Pikunprayong...

Create Date : 26 กุมภาพันธ์ 2553

1 comment

Last Update : 26 กุมภาพันธ์ 2553 10:39:52 น.

Counter : 463 Pageviews.

Share
Tweet

ประเมินนโยบายสาธารณะสุขของ America จากภาพยนตร์เรื่อง Sicko

       ผมได้มีโอกาสดูภาพยนตร์เรื่อง Sicko อยากให้คนไทยได้ดูเพราะมีเนื้อหา สาระที่ดี เข้าใจง่าย มองเห็นภาพ จับต้องความรู้สึกของภาพยนตร์ได้ มีการนำเสนอที่ดีมากครับ...

       Sicko เป็นภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับระบบสาธารณสุขของอเมริกา โดยเน้นลงไปดูที่ระบบการจัดการ และอุตสาหกรมมทางด้านยา ในความคิดที่ว่าคนที่เจ๊บไข้ได้ป่วยไม่ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองแต่ให้รัฐนำภาษีที่ได้รับกลับมาดูแลประชาชนเมื่อรัฐสามารถนำเงินไปดูแลเรื่องทำสงครามที่ก่อให้เกิดการสูญเสียได้ ทำไมรัฐจะเอาเงินมารักษาคนไม่ได้ โดยหลักการผมคิดว่าแนวคิดอย่างนี้เป็นเรื่องที่ดีที่สมควรจะสนับสนุน งบประมาณทางด้านการรบ การสงครามต้องลดลง แล้วควรเอาต้องนั้นเอามาเพิ่มในเรื่องการดูแลประชาชน แต่รัฐบาล USA ไม่คิดอย่างนั้น PhRMA(สมาคมอุตสาหกรรมยาต้นแบบของสหรัฐ)ไม่คิดอย่างนั้น รัฐที่ทำเรื่องรัฐสวัสดิการจะต้องใช้งบด้านสาธารณสุขเพิ่มขึ้น ต้องมีการออกแบเพื่อที่จะควบคุมราคายา ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่กลุ่มษริษัทยาเกลียดมากที่สุด ตรงนี้เองจึงทำให้กลุ่มษริษัทยาในสหรัฐต้องจ้างกองทัพลอบบี้ยีสต์(lobbyist)เพื่อมาจัดการโครงการที่ชื่อ Medicare ในสหรัฐฯ

       สหรัฐฯ ไม่มีระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทุกคนต้องจ่ายตรง ถ้าคุณไม่อยู่ในระบบหลักประกันของเอกชน คุณก็ไม่มีระบบประกันสุขภาพเลย ขณะที่โครงการ Medicare ที่ว่าออกมาตั้งแต่สมัยเบบี้บูม (baby boomers เป็นกลุ่มคนที่เกิดในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1946 - 1964 หรือระหว่างหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงจนถึงปี ค.ศ. 1964 )

โครงการที่กล่าวถึงนี้เป็นโครงการที่ใหญ่มาก คนแก่จะได้เงินอุดหนุนจากรัฐ โครงการจะมีระบบจัดซื้อยาที่ละมากๆ ทำให้สามารถควบคุมราคายาได้ กลุ่มบริษัทยาก็เลยใช้วิธีลอบบี้เพื่อแก้กฏหมายนี้ซะ ทุ่มเงินจำนวนมหาศาล จ้างlobbyist 8 คนเพื่อประกบ ส.ส.1คน หรือ ส.ว.1คน ยอมทุ่มเงินเป็นหมื่นๆล้านดอลลาร์ ซึ่งก็สำเร็จผลที่พวกเค้าทำไป เงินที่พวกเค้าทุ่มไปคุ้มค่า ต้องบอกว่าคุ้มมาก...เพราะในที่สุดโครงการนี้ก็ต่อรองราคายาไม่ได้ คือถ้าผู้เชียวชาญเรื่องยาบอกว่าต้องใช้ยาตัวนี้คุณก็ต้องใช้ยาตัวนี้ แล้วถ้ายามันแพงไประบบก็จะบีบคุณให้เป็นคนจ่ายเป็นคนจ่ายเพิ่มเอง เรียกว่าการร่วมยาค่ารักษาพยาบาล(co-payment)ซึ่งถามว่าถ้าคุณไม่มีปัญญาจ่าย...คุณก็ต้องดิ้นรนหาเงินมาจ่ายให้ได้เพื่อที่จะได้รับการรักษา หรือไม่คุณก็ต้องรอเวลาตายอย่างเดียว...

       ดูแล้วนโยบายสาธารณสุขของสหรัฐฯทำให้ระบบบริการสุขภาพของสหรัฐฯเป็นระบบเพื่อธุรกิจ คนอเมริกันที่ยากจนไม่ได้รับบริการที่ดีเอาเปรียบผู้รับประกัน โดยมีเป้าหมายเบื้องหลังเป็นกำไรสูงสุดของบริษัทประกัน บริษัทยา และผลประโยชน์ใต้โต๊ะที่บริษัทเหล่านี้ยื่นให้บรรดานักการเมือง นโยบายสาธารณะสุขของสหรัฐฯทำให้ระบบสุขภาพอเมริกันตกลงไปอยู่อันดับที่ 37 ของโลกเท่ากับโคโซโว...อย่างที่เราๆท่านๆรู้กันดีว่าประเทศอเมริกาเป็นประเทศทุนนิยม เป็นประเทศมหาอำนาจทุนนิยมอันดับต้นๆของโลก แต่ในทางกลับกันกลับมีระบบสวัสดิการสังคมตำ มีน้อย ท่านทราบไหมครับว่าค่ารักษาพยาบาลที่สหรัฐฯแพงที่สุดในโลกเพราะระบบที่นั้นเปิดเสรีเอื้อต่อเอกชน ไม่คำนึงถึงประชาชน และส่วนรวมเป็นหลัก อเมริกามองค่าความเท่าเทียมกันของมนุษย์ตำมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆอย่างในประเทศอังกฤษ ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนกับคนรวยมีน้อยกว่าเยอะมากเมื่อเทียบกับอเมริกา...ประเทศที่มีรัฐสวัสดิการดี ทำให้เกิดช่องว่างทางสังคมน้อย และเปิดโอกาสให้ทุกคนมีโอกาสทางสังคมมากขึ้นอย่างเท่าเทียม สามารถใช้ความสามารถของตัวเองในการทำงานได้มากขึ้น ลูกคนจนมีสิทธิ์ได้เรียนสูงๆ...อย่างในประเทศอังกฤษ ระบบ National health service ประชาชนของเค้าทุกคน ไม่ว่าจะรวยล้นฟ้า หรือจนติดดิน ทุกคนจะอยู่ในระบบเดียวกัน ใช้เงินภาษีประกันสุขภาพให้กับทุกคนอย่างเท่าเทียม และยังมีอีกหลายประเทศที่มีระบบ และนโยบายทางด้านสาธารณะที่ดีมากเหมือนยังกับประเทศอังกฤษ เช่น ฝรั่งเศส แคนาดา แม้แต่ในประเทศคอมมิวนิสต์อย่างคิวบา ก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบสวัสดิการทางสุขภาพ และสังคมที่ดีมากประเทศหนึ่ง...

         นโยบายทางด้านสาธารณสุขของสหรัฐฯเป็นนโยบายที่ไม่ได้คิดถึงหลักประสิทธิภาพ(Efficiency)ในการสร้างมนุษย์ หรือดูแลมนุษย์ให้มีความสามารถในการผลิต(Productivity)สูงๆ...ไม่ได้คิดถึงความเป็นธรรมและความยุติธรรม(Equity and Justice)นโยบายต่างๆที่เกี่ยวกับสาธารณสุขเกี่ยวกับสุขภาพของประชาชนมีผลประโยชน์เอื้อต่อบริษัทยา บริษัทประกันฯ และนักการเมืองที่มีผลประโยชน์ร่วมกับเรื่องเหล่านี้ทั้งสิ้น ผลประโยชน์ไม่ได้ตกถึงประชาชนทั้งหมดอยางแท้จริง คนจน คนไม่มีโอกาสก็จะจนก็จะขาดซึ่งโอกาส ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้โอกาสใช้ชีวิตที่มีคุณภาพอย่างมนุษย์พึงจะได้รับ มองค่าความเป็นมนุษย์ต่ำ...และท้ายที่สุดนโยบายทางด้านสาธารณสุขเหล่านี้ไม่ได้คิดถึง มองถึงเสรีภาพส่วนบุคคล(Individual Freedom)ทุกคนในอเมริกาไม่ได้มีสิทธิ์ ไม่ได้มีเสรีภาพที่จะเข้าถึงสวัสดิการสังคม ที่จะเข้าถึงการบริการทางด้านสาธารณสุขได้อย่างเท่าเทียมเสมอภาค คนที่มีเงินเท่านั้นถึงจะอยู่ในสังคมอเมริกันนี้ได้ ถึงได้รับการคุ้มครอง คนจน คนไม่มีเงิน รอวันตายอย่างเดียว...นั้นเป็นเรื่องราวในอเมริกา...แล้วสำหรับทุกท่านที่เป็นประชาชนชาวไทยละ ขอถามทุกท่านว่า"Who are we"ถามว่าพวกเราเป็นใคร ถามว่าพวกท่านเป็นใคร ท่านเป็นประชาชนชาวไทย ท่านควรจะได้รับการดูแลอย่างประชาชนชาวไทยควรจะได้รับอย่างไร ลูกหลาน พ่อแม่ของท่านควรจะได้รับการมองค่าความเป็นมนุษย์แบบไหน...ท่านพอใจรึยัง ที่ท่านเสียภาษีแล้ว ท่านได้ใช้ชีวิตแบบนี้...ท่านจ่ายภาษีไปทำไม จ่ายให้ใคร จ่ายเพื่อใคร...ต่อไปประเทศไทยจะเป็นอย่างไร...อำนาจ เงินภาษี และผลประโยชน์ของประชาชนจะตกไปอยู่ในมือของคนกลุมไหน หรือทั้งหมดจะตกกลับมาสู่มือประชาชน อย่างเราๆ ท่านๆอย่างแท้จริง...วีระพงษ์ พิกุลประยงค์..งWeerapong Pikunprayong..."

Free TextEditor

Create Date : 09 กันยายน 2551

1 comment

Last Update : 26 กุมภาพันธ์ 2553 10:01:16 น.

Counter : 222 Pageviews.

Share
Tweet