Group Blog
 
All Blogs
 

12 คำถามทดสอบคนที่หลงรัก "กรุงปารีส"



ผมเป็นหนึ่งในคนที่หลงใหลกรุงปารีสและประเทศฝรั่งเศส (ชอบวรรณกรรม, ศิลปะ, สถาปัตยกรรม, ภาพยนตร์ ฯลฯ) พอได้เห็นแบบทดสอบจากเว็บนี้ จึงอดคลิกเข้าไปลองไม่ได้

//www.budgettravel.com/bt-srv/quiz/0807_ParisTrivia/index.html

จากทั้งหมด 12 ข้อ ตอบถูก 10 ข้อ ไม่ทราบคำตอบในข้อ 7 และ ข้อ 9 (ข้อ 9 ตัดชอยส์ไปแล้ว ยังลังเลใจในตัวเลือกที่หนึ่งและสอง)

สำหรับข้อ 10 (ซึ่งถามเกี่ยวกับภาพยนตร์) ตอบถูก เพราะเคยดูมาแล้ว 3 เรื่อง จึงตัดชอยส์ไปได้หมด เหลือคำตอบที่ถูก ซึ่งเป็นหนังเพียงเรื่องเดียวที่ไม่ได้ชม

ใครสนใจลองทดสอบดูครับ




 

Create Date : 26 กันยายน 2551    
Last Update : 26 กันยายน 2551 22:31:31 น.
Counter : 621 Pageviews.  

Brideshead Revisited : Evelyn Waugh ความหลังฝังใจที่ไบร์ดสเฮด



นี่เป็นหนังสือที่เขียนได้อย่างงดงาม บรรยายได้วิจิตรบรรจงเหลือเกิน

Brideshead Revisited เป็นนิยายชิ้นเอกของเอฟลิน วอห์ (1903-1966) เนื้อเรื่องเปิดฉากในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ตัวเอก ชาร์สส์ ไรเดอร์ เป็นทหารในกองทัพอังกฤษ เขาได้เดินทางมาตั้งค่ายทหารในแถบชนบทอังกฤษ ที่แห่งนั้นมีคฤหาสน์หรูหราขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ไรเดอร์หวนนึกย้อนไปในอดีตสมัยวัยเยาว์ เพราะคฤหาสน์แห่งนี้เป็นของครอบครัวตระกูลไฟลท์ ที่ไรเดอร์เคยเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยสมัยเรียนอ๊อกซ์ฟอร์ด

เรื่องราวทั้งหมดใน Brideshead Revisited เป็นการเล่าย้อนกลับไปในอดีตของไรเดอร์

ไรเดอร์มาจากครอบครัวชนชั้นกลาง แต่สามารถเข้าเรียนที่อ๊อกซ์ฟอร์ดได้ ชีวิตเขามาถึงจุดสำคัญเมื่อได้รู้จักกับเซบาสเตียน ไฟลท์ ตระกูลไฟลท์เป็นครอบครัวเก่าแก่ที่มีฐานะดี มีคฤหาสน์ไบร์ดสเฮดหลังโตในครอบครอง พ่อของเซบาสเตียนย้ายไปอยู่เวนิสกับภรรยาน้อย ปล่อยให้เซบาสเตียนอยู่กับแม่ และพี่น้องอีก 3 คน คือ ไบรดี้, จูเลีย และคอร์เดเลีย

วอห์เขียนถึงบรรยากาศ ความหรูหรา รสนิยมทางศิลปะของชนชั้นสูงอังกฤษในสมัยนั้นได้อย่างสวยงามมาก อ่านแล้วผมรู้สึกตัวเองเดินทางย้อนเวลาไปอยู่ในสภาพแวดล้อมตอนนั้น ในหลายตอนบทบรรยายของวอห์ให้อารมณ์ถวิลหาอดีต ความรุ่งโรจน์เรืองรองของชนชั้นสูงที่ผ่านพ้นไป และไม่มีวันหวนกลับชั่วนิรันดร์

สาส์นสำคัญอย่างหนึ่งที่วอห์ต้องการพูดถึงในนิยายเรื่องนี้ได้แก่ ความศรัทธาในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก หลายฉากในหนังสือได้สะท้อนศรัทธาในศาสนาอย่างชัดเจน แม้แต่ตอนจบ สถานที่สุดท้ายที่ไรเดอร์เข้าไปเยือนก็คือโบสถ์ประจำคฤหาสน์

Brideshead Revisited เคยได้รับการสร้างเป็นซีรีส์ทางโทรทัศน์ในปี 1981 ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นฉบับดัดแปลงที่เยี่ยมยอดมาก เสียดายผมยังไม่มีโอกาสชมฉบับนั้น และในปีนี้นิยายเล่มนี้ได้ถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ นำแสดงโดย Matthew Goode, Ben Whishaw และ Emma Thompson




 

Create Date : 15 กันยายน 2551    
Last Update : 15 กันยายน 2551 18:23:13 น.
Counter : 3283 Pageviews.  

Literature Lost : John M. Ellis “เกรงสิ่งที่มีคุณค่าอันยิ่งใหญ่จะสูญสิ้นไปตราบนิรันดร์”



“Our society and our literature and our culture are being dumbed down, and the causes are very complex. I'm 73 years old. In a lifetime of teaching English, I've seen the study of literature debased. There's very little authentic study of the humanities remaining. My research assistant came to me two years ago saying she'd been in a seminar in which the teacher spent two hours saying that Walt Whitman was a racist. This isn't even good nonsense. It's insufferable….I fear that something of great value has ended forever."

Harold Bloom


จำได้ว่าเพื่อนผมคนหนึ่งซึ่งรู้ว่าผมชอบวรรณกรรมมาก เคยถามผมว่า “ทำไมตอนเรียนมหาวิทยาลัยถึงไม่เรียนวรรณคดี กลับไปเรียนวิศวะแทน”

มองย้อนหลับไป ผมคิดว่าตัวเองโชคดีที่ไม่ได้ศึกษาด้านวรรณคดีโดยตรง แม้เรียนวิศวะ แต่กลับใช้เวลา 4 ปีในมหาวิทยาลัยหมดไปกับการอ่านวรรณกรรมตะวันตก เป็นการอ่านอย่างเพลิดเพลินใจ ช่วยเปิดโลกทัศน์ ชีวทัศน์ ในแบบที่ไม่เคยคิดถึงมาก่อน ผมจดจำความรู้สึกที่อ่านหนังสือของดอสโตเฟสกี้และกามูส์เมื่อครั้งอายุ 17 ไม่มีวันลืมว่าพลังจากวรรณกรรมชั้นยอดเหล่านี้ได้เปลี่ยนชีวิตผมเช่นไร

ก่อนหน้านั้นในวัยเด็ก ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่า วรรณกรรมจะเป็นศิลปะที่ลึกซึ้งจริงจังขนาดนั้น

การที่ไม่ได้เรียนหลักสูตรวรรณคดีโดยตรง ทำให้ผมเลือกอ่านหนังสืออย่างอิสระ ไม่ต้องศึกษาทฤษฎีวรรณคดีวิจารณ์ต่างๆ ซึ่งในยุคหลังสาขาวิชาภาษาและวรรณคดีเต็มไปด้วยแนวคิดในแขนงต่างๆ อาทิ Post-modernism, Feminism, Deconstruction, Marxism ฯลฯ

ในหนังสือ Literature Lost : Social Agendas and the Corruption of the Humanities ผู้เขียน John M. Ellis (อาจารย์วรรณคดีภาษาเยอรมัน) อธิบายถึงที่มาของปัญหาการศึกษาวรรณคดีในมหาวิทยาลัย สาเหตุใดที่การศึกษาวรรณคดีได้ถูกลดทอนคุณค่า โดยใช้เป็นเครื่องมือทางสังคมจากพวก Political Correctness

Ellis กล่าววิจารณ์ "race-gender-class critics" ในมหาวิทยาลัย เขาเหล่านั้นอ่านวรรณคดีเพื่อตีความตามแนวทางทฤษฎีที่ตนเองสนใจ (Ellis ย้ำว่า ไม่ใช่ทฤษฎีเป็นสิ่งไม่ดี แต่ ”ทฤษฎีแย่ๆ” เป็นสิ่งที่ควรเลี่ยง)

บรรดา "race-gender-class critics" เชื่อใน Cultural Relativism เชื่อว่าทุก Culture เท่าเทียมกัน ไม่มีใครเหนือกว่าใคร Ellis ให้ความเห็นว่า แนวคิดแบบนี้เหมือนกับแนวคิดพวกสังคมนิยม ที่เชื่อในสังคมอุดมคติเท่าเทียมกัน ในที่สุดก็จะอับจนข้นแค้นเท่าเทียมกันหมด เฉกเช่นความเชื่อที่ว่า Culture เท่าเทียมกัน สิ่งล้ำค่าก็จะถูกดึงลงมาเท่ากับสิ่งอื่น

ผมรู้สึกเหมือนกับ Harold Bloom ที่เคยบอกว่า “เกรงสิ่งที่มีคุณค่าอันยิ่งใหญ่ (วรรณคดี-ศิลปะ) จะสูญสิ้นไปตราบนิรันดร์” อันที่จริงศิลปะอันเลอค่ายังคงดำรงอยู่ แต่การรับรู้ของมนุษย์ต่อสิ่งนั้นได้เลือนหายไป เหมือนกับที่ Oswald Spengler เขียนไว้ :

“One day the last portrait of Rembrandt and the last bar of Mozart will have ceased to be — though possibly a colored canvas and a sheet of notes will remain — because the last eye and the last ear accessible to their message will have gone.”




 

Create Date : 09 กันยายน 2551    
Last Update : 9 กันยายน 2551 12:40:07 น.
Counter : 564 Pageviews.  

Danny Boy : Romantic Ireland's dead and gone



มีน้องคนหนึ่งส่ง link เพลง Danny Boy มาให้ (เวอร์ชั่นเสียงร้อง Celtic Woman) นี่เป็นหนึ่งในเพลงโปรดของผม เป็นเพลงที่ชาวไอริชแทบทุกคนต้องรู้จัก

คลิกไปเจอเสียงร้องของ Michael Londra ประกอบทัศนียภาพไอร์แลนด์ ผมยังไม่มีโอกาสไปเยือนไอร์แลนด์เลย ฝันว่าสักครั้งในชีวิตต้องมีโอกาสไปเยือนบ้านเกิดของเยตส์, จอยซ์ และเบ็คเก็ตต์ ให้ได้

ในเพลงมีภาพหลุมศพของ Yeats ที่ Drumcliff ด้วย

Oh Danny boy, the pipes, the pipes are calling
From glen to glen, and down the mountain side
The summer's gone, and all the flowers are dying
'Tis you, 'tis you must go and I must bide.
But come ye back when summer's in the meadow
Or when the valley's hushed and white with snow
'Tis I'll be here in sunshine or in shadow
Oh Danny boy, oh Danny boy, I love you so.

And if you come, when all the flowers are dying
And I am dead, as dead I well may be
You'll come and find the place where I am lying
And kneel and say an "Ave" there for me.

And I shall hear, tho' soft you tread above me
And all my dreams will warm and sweeter be
If you'll not fail to tell me that you love me
I'll simply sleep in peace until you come to me.

I'll simply sleep in peace until you come to me.


เพลงจาก DVD แผ่นนี้ครับ อยากได้มาฟังจัง




 

Create Date : 03 กันยายน 2551    
Last Update : 3 กันยายน 2551 20:22:13 น.
Counter : 935 Pageviews.  

Meditations : Marcus Aurelius ปรีชาญาณของจักรพรรดินักปราชญ์



เมื่อครั้งที่ผมมีโอกาสไปเยือนกรุงโรม อิตาลี ในบรรดาสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์ต่างๆในกรุงโรม สถานที่หนึ่งซึ่งผมอยากไปเยี่ยมชมคือ “จัตุรัสคัมปิโดกลิโอ“ จัตุรัสนี้มีชื่อเสียงโด่งดัง ยอดศิลปินอย่างมิเคลันเจโลเป็นผู้ออกแบบทั้งพระราชวังที่ล้อมรอบ และบันไดทางเดิน “Cordonata” อันงดงาม (คอหนังคงจำได้ว่าที่นี่เป็นฉากท้ายเรื่องในหนัง Nostalghia ของอังเดร ทาร์คอฟสกี้)

สำหรับผมแล้ว จุดสำคัญที่สุดของจัตุรัสแห่งนี้คือรูปปั้นคนกำลังขี่ม้าที่ตั้งอยู่ตรงกลางลาน เพื่อนที่ไปด้วยกันไม่รู้จักว่าเขาคือใคร ผมต้องบอกว่า “นี่คือจักรพรรดินักปราชญ์สมัยโรมัน มาร์คุส ออเรลิอุส ผู้เขียน Meditations”

ในบรรดาจักรพรรดิโรมันทั้งหมด บุคคลที่ผมชื่นชอบเป็นพิเศษคือ ฮาเดรียน และมาร์คุส ออเรลิอุส ทั้งสองเป็นจักรพรรดิที่ได้รับการยกย่องจากคนรุ่นหลัง ผมเคยอ่าน Meditations นานมาแล้วตั้งแต่สมัยเรียน ในตอนนั้นสำนวนแปลที่อ่านค่อนข้างเก่า จนเมื่อเดือนก่อนเพิ่งมีโอกาสซื้อฉบับแปลใหม่โดย Gregory Hays (สำนักพิมพ์ Modern Library, ปี 2003)

มาร์คุส ออเรลิอุส (ค.ศ.121-180) เขียนหนังสือเล่มนี้ในช่วงท้ายของชีวิต ซึ่งเป็นช่วงที่ประสบวิกฤตหลายอย่าง อาทิ การสู้รบกับอนารยชนที่รุกรานเข้ามา, การตั้งตนเป็นใหญ่ทางฝั่งตะวันออกของนายพล Cassius, การเสียชีวิตของ Faustina ผู้เป็นภรรยา, การประพฤติตัวในทางลบของ Commodus ผู้เป็นบุตรชาย

ออเรลิอุสรับอิทธิพลปรัชญาสโตอิค ซึ่งเชื่อในการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกลมกลืนกับธรรมชาติ ซึ่งสะท้อนออกมาในหลายตอนของหนังสือเล่มนี้ เขาตั้งใจเขียนขึ้นมาเพื่อสนทนาทางความคิดปรัชญาภายในจิตใจของตัวเอง ไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อให้คนอื่นอ่าน โชคดีที่หนังสือได้ตกทอดถึงคนรุ่นหลังอย่างพวกเรา

เคยมีคนบอกว่า ขณะที่เราอ่านหนังสือคลาสสิค หนังสือเล่มนั้นก็อ่านตัวเรา ช่วงวัยที่เปลี่ยนไป ประสบการณ์ชีวิตที่เพิ่มขึ้น เมื่อผมอ่านหนังสือเล่มนี้อีกครั้ง ก็ได้พบความลุ่มลึกทางใจบางอย่างที่แตกต่างจากการอ่านครั้งแรก

ข้อเขียนบางส่วนจากหนังสือเล่มนี้ครับ :

People try to get away from it all - to the country, to the beach, to the mountains. You always wish you could get away too. Which is idiotic, because you can get away from it any time you like - by going within. Nowhere you can go is more peaceful - and more free of interruptions - than your own soul.

When you wake up in the morning, tell yourself: the people I meet today will be meddling, ungrateful, arrogant, dishonest and surly. They are like this because they can't tell good from evil. But I have seen the beauty of good and the ugliness of evil, and have recognized that the wrongdoer has a nature related to my own - not of the same blood or birth but the same mind, and possessing a share of the divine. And so none of them can hurt me. No one can implicate me in ugliness. Nor can I feel angry at my relative, or hate him. We were born to work together, like feet, hands, and eyes, or the two rows of teeth, upper and lower. To obstruct each other is unnatural. To feel anger at someone, to turn your back on him: these are obstructions.

If you do the job in a principled way, with diligence, energy and patience, and keep the spirit inside you undamaged, as if you may have to give it back any moment - if you can embrace this without fear or expectation - can find fulfillment in what you're doing now, as Nature intended, and in superhuman truthfulness (every word, every utterance) - then your life will be happy. No one can prevent that.

Your ability to control your thoughts - treat it with respect. It's all that protects your mind from false perceptions - false to your nature and that of all rational beings. It's what makes thoughtfulness possible, and affection for other people, and submission to the divine.

Forget everything else, keep hold of this alone and remember it: each of us lives only now, in this brief instant. The rest has been lived already, or is impossible to see.

To accept this event with humility
To treat this person as he should be treated.
To approach this thought with care, so that nothing irrational creeps in

Everywhere, at each moment, you have the option

Objective judgment, now, at this very moment.
Unselfish action, now, at this very moment.
Willing acceptance - now, at this very moment - of external events.
That is all you need.

Think of yourself as dead, you have lived your life. Now take what is left of it and live it properly.




 

Create Date : 29 สิงหาคม 2551    
Last Update : 29 สิงหาคม 2551 15:03:03 น.
Counter : 2059 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  

BlueWhiteRed
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




Friends' blogs
[Add BlueWhiteRed's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.