Group Blog
 
All Blogs
 

I MISS VENEZIA :)



เย็นวันก่อนได้แวะเข้าร้านหนังสือภาษาอังกฤษร้านหนึ่ง เดินไปมาจนถึงมุมของหนังสือท่องเที่ยว เผอิญเหลือบไปเห็นหนังสือเกี่ยวกับ “เวนิส” หน้าปกสวยมาก เป็นรูปของผู้เขียนขณะยืนอยู่ที่จัตุรัสซาน มาร์โค ผมหยิบมาพลิกดูพลางต้องถอนหายใจไปพลาง เพราะรูปในหนังสือเล่มนั้นทำให้คิดถึงเวนิสเหลือเกิน แม้ว่าจะเคยไปเที่ยวช่วงสั้นๆเพียง 3 คืน แต่ผมหลงรักทุกอณูของเมืองเวนิส...หลงรักการเดินตามตรอกซอกซอยเก่าๆ...หลงรักการล่องเรือตาม Grand Canal…หลงรักทัศนียภาพขณะที่ยืนอยู่บนสะพาน Accademia…หลงรักจัตุรัสซาน มาร์โค ยามค่ำคืน...หลงรักความสดใสของบ้านเรือนใน Burano…หลงรักความเงียบสงบใน Torcello…คงมีเพียงกรุงปารีส ที่ทำให้ผมตกหลุมรักใน “สถานที่” มากเท่าเวนิส...

ทิพย์วิมาน..อิตาลี..ที่เวนิส..
งามเพลินพิศ..พริ้งเพริด..บรรเจิดล้ำ
แจวเรือพาย..กอนโดล่า..ขับลำนำ..
จะจดจำ..ติดตรึงใจ..ไม่ลืมเลือน..



หนังสือเกี่ยวกับเวนิสที่ผมได้เก็บสะสมไว้
- A History of Venice (John Julius Norwich) ถือเป็นหนังสือประวัติศาสตร์เวนิสที่มีชื่อเสียงมากที่สุดเล่มหนึ่ง ผู้เขียนเป็นผู้มีความรู้เกี่ยวกับเวนิสในทุกแง่มุม หนังสือบอกเล่าจุดเริ่มต้นเรื่อยมาจนถึงจุดสิ้นสุดของ Venetian Republic ในปี 1797
- The World of Venice (Jan Morris) มอร์ริสเขียนถึงเมืองโปรดของเธอไว้ตั้งแต่ปี 1960 แม้จะผ่านมาเนิ่นนาน แต่นี่เป็นหนังสือที่น่าอ่านอย่างยิ่ง
- Venice..The Religion of Empire (Garry Wills) เป็นหนังสือที่อ่านค่อนข้างยาก เหมาะสำหรับคนสนใจงานศิลปะอย่างลึกซึ้งครับ




 

Create Date : 02 พฤศจิกายน 2549    
Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2551 16:02:50 น.
Counter : 871 Pageviews.  

รำลึกถึง เลสลี่ จาง...ดวงดาวที่พราวพร่างตราบนิรันดร์

“มีรายงานข่าวด่วนจากฮ่องกงแจ้งว่า นักแสดงชื่อดัง เลสลี่ จาง ได้กระโดดตึกจากชั้นบนของโรงแรมที่พัก และได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา สำหรับความคืบหน้าจะรายงานให้ทราบต่อไป”

นั่นเป็นประโยคที่ผมได้ยินจากข่าวทางวิทยุ ในค่ำคืนของวันที่ 1 เมษายน 2546 วินาทีที่ได้ยินรายงานข่าวนั้น รู้สึกใจหายวาบ ลมหายใจแทบหยุดนิ่ง เหมือนตัวเองได้สูญเสียเพื่อนสนิทไปอย่างไม่มีวันกลับ เป็นความรู้สึกผูกพันในฐานะคนที่เติบโตมาพร้อมกับความรุ่งเรืองของหนังฮ่องกง และเลสลี่ จาง คือหนึ่งในบุคคลสำคัญที่สรรค์สร้างรอยยิ้มและคราบน้ำตาให้กับแฟนหนังจีนทั่วโลก สำหรับผมแล้ว ถ้านึกถึงวงการบันเทิงฮ่องกงในส่วนของนักแสดงชาย ผมจะนึกถึง เลสลี่ จาง, โจวเหวินฟะ และเหลียงเฉาเหว่ย เป็นอันดับแรกๆเสมอ



เมื่ออาทิตย์ก่อนได้มีโอกาสดูหนังเก่าเรื่อง Rouge ซึ่งกำกับโดยแสตนลีย์ กวาน เรื่องนี้ผมเคยดูมานานมากแล้ว จำรายละเอียดแทบไม่ได้ รู้แต่ว่าเขาแสดงกับ เหมยเยี่ยนฟาง พอได้ดูอีกครั้ง รู้สึกประทับใจมาก ทำให้เกิดความคิดถึง เลสลี่ จาง ขึ้นมาทันทีทันใด

อีกทั้งเมื่อปีที่แล้ว ในโอกาสครบรอบ 100 ปี ภาพยนตร์จีน ทางฮ่องกงได้มีการจัดอันดับภาพยนตร์และดารานักแสดง ผลปรากฏว่า เลสลี่ จาง ได้รับการเลือกเป็น “Most Favorite Chinese Actor in 100 years of Chinese Cinema” ซึ่งหมายความว่า เขาเป็นที่ชื่นชอบโปรดปรานมากที่สุด เหนือกว่า เฉินหลง, บรู๊ซ ลี และโจวเหวินฟะ โดยหนังซึ่งได้รับการคัดเลือก 6 อันดับแรกนั้น ยังเป็นหนังที่เลสลี่ จาง แสดงถึง 5 เรื่อง (ไม่ได้แสดงเฉพาะ อันดับ 4 Infernal Affairs) ดังนี้

1. Farewell My Concubine
2. Days of Being Wild
3. A Better Tomorrow
4. Infernal Affairs
5. Happy Together
6. Rouge

ครั้งนี้จึงถือโอกาสเขียนถึงหนังเรื่องต่างๆของเลสลี่ จาง ที่ประทับใจ และอยากรู้ว่าเพื่อนๆชอบหนังเรื่องไหนของเลสลี่ จาง เป็นพิเศษบ้าง?

สำหรับคลิปที่รวบรวมหนังเด่นๆของเลสลี่ จาง ดูได้ที่
https://www.youtube.com/watch?v=a8mgPwh02eU



ประเด็นของหนังเรื่อง Rouge เกี่ยวพันกับความรักและความตาย เรื่องนี้ เลสลี่ จาง และเหมยเยี่ยนฟาง แสดงได้โดดเด่นมาก เนื้อเรื่องบอกเล่าเรื่องราวของ คุณชายผู้ร่ำรวย (เลสลี่ จาง) ซึ่งมาตกหลุมรักโสเภณีสาว (เหมยเยี่ยนฟาง) แต่เนื่องจากทางบ้านไม่เห็นด้วย ทางออกของทั้งคู่ก็คือการฆ่าตัวตาย ดูหนังเรื่องนี้จบแล้วผมอดขนลุกไม่ได้ เพราะทั้งเลสลี่ จาง (ฆ่าตัวตาย) และ เหมยเยี่ยนฟาง ต่างเสียชีวิตในปีเดียวกัน (ปี 2546) ทำไมชีวิตจริงบางครั้งช่างดุจดั่งละคร?



สำหรับเรื่อง Farewell My Concubine (1993) เป็นหนึ่งในหนังเรื่องโปรดของผม จำได้ว่ามีโอกาสดูครั้งแรกที่โรงหนังรามา พระราม 4 (ซึ่งปัจจุบันเลิกฉายหนังไปแล้ว) ในตอนนั้นยังไม่รู้จักผู้กำกับ เฉินไข่เก๋อ ที่ไปดูเพราะทราบข่าวว่าเรื่องนี้ได้รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่เมืองคานส์ รวมทั้งมีดารานำแสดงอย่าง เลสลี่ จาง และ ก่งลี่

หนังเรื่องนี้นอกจากสะท้อนภาพประวัติศาสตร์จีนในศตวรรษที่ 20 อันแสนวุ่นวายแล้ว ยังให้แง่มุมจิตวิทยาของตัวละคร การกะเทาะเปลือกแก่นแท้ของมนุษย์ (เช่น สมัยปฏิวัติวัฒนธรรม) ไม่น่าแปลกใจที่ใครต่อใครชอบหนังเรื่องนี้ เพราะเป็นหนังที่มีความสมบูรณ์พร้อม แฝงด้วยสาส์นอันลุ่มลึก…

จำได้ว่า ตอนท้ายเรื่องหลังจากที่ตัวเอกทั้งสอง ได้ผ่านช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์จีนอันยาวนาน ในที่สุดได้มีโอกาสพบกันอีกครั้ง เป็นฉากจบที่ติดตรึงอยู่ในความทรงจำของผู้ชม...



Days of Being Wild (1991)

สาเหตุที่ชอบเรื่องนี้มากๆ คือ
- ชอบหนังของหว่องการ์ไว คนทำหนังที่ดีที่สุดของฮ่องกงในยุคปัจจุบัน
- ชอบการถ่ายภาพของคริสโตเฟอร์ ดอยล์
- ชอบบรรยากาศฮ่องกงครั้งวันวาน (เหมือนกับที่ชอบเรื่อง In the Mood For Love)
- ชอบนักแสดงนำ ซึ่งมีทั้ง เลสลี่ จาง, จางมั่นอวี้, หลิวเจียหลิง, หลิวเต๋อหัว, เหลียงเฉาเหว่ย (ฉาก 1 นาทีท้าย) และจางเซียะโหย่ว

เลสลี่ จาง แสดงเป็นเพลย์บอยหนุ่ม ซึ่งเปรียบเสมือน “นกไร้ขา” ต้องบินไปตลอดชีวิต ไม่มีวันหยุดพัก เรื่องนี้เขาแสดงได้ดีเช่นเดิม..



โหด เลว ดี (A Better Tomorrow, 1986)

ใครชอบหนังฮ่องกงต้องรู้จักหนังเรื่องนี้อย่างแน่นอน เพราะหนังของ จอห์น วู เรื่องนี้ได้กลายเป็นตำนานหนังแอ็คชั่นไปแล้ว ฉากการต่อสู้ การดวลปืน ได้ถูกลอกเลียนแบบเป็นประจำ ในเรื่อง เลสลี่ จาง แสดงเป็นตำรวจ บทอาจไม่มาก เพราะต้องแชร์กับตัวละครหลักอีก 2 คน คือโจวเหวินฟะ และตี้หลุง หนังสนุกมาก ที่สุดของความบันเทิง ไม่ได้ดูมาหลายปี อยากหามาดูอีกครั้ง...



Happy Together (1997)

หนังของหว่องการ์ไว ที่ได้นักแสดงยอดฝีมืออย่าง เลสลี่ จาง และเหลียงเฉาเหว่ย มาถ่ายทอดชีวิต 2 หนุ่มชาวเกย์ในกรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนติน่า เรื่องนี้ดูครั้งแรกแล้วรู้สึกตกใจไม่น้อย ไม่อยากเชื่อว่าทั้งคู่จะกล้าแสดงขนาดนั้น 5555



โปเย โปโลเย (A Chinese Ghost Story, 1987)

ไม่เคยสนใจเวอร์ชั่นที่เป็นซีรีส์ทาง TV เพราะสำหรับผมแล้ว โปเย โปโลเย ต้องเป็นเลสลี่ จาง กับหวังจู่เสียน เท่านั้น คนอื่นไม่มีทางเทียบได้



ตีแสกตะวัน (Once a Thief, 1991)

ชอบเรื่องนี้ตรงที่เลสลี่ จาง ได้มาร่วมแสดงกับ โจวเหวินฟะและจงฉู่หง หนังว่าด้วยเรื่องการโจรกรรม ดูเพลินดีครับ



หนังดังของฮ่องกงมากมายหลายเรื่องในยุค 80-90 มีเลสลี่ จาง เป็นผู้แสดงนำ ดังนั้นการตายของเขาไม่เพียงเป็นการตายของนักแสดงคนหนึ่ง แต่ยังเป็นการสูญเสียครั้งสำคัญของวงการบันเทิงฮ่องกง ซึ่งปัจจุบันยังหาใครมาทดแทนเขาไม่ได้




 

Create Date : 15 กันยายน 2549    
Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2551 16:05:20 น.
Counter : 6036 Pageviews.  

...รัคมานินอฟ...



ได้อ่านข่าวในเว็บผู้จัดการว่า จะมีคนสร้างหนังอิงประวัติของเซอร์เก รัคมานินอฟ (Sergei Rachmaninov, 1873-1943) คีตกวีชาวรัสเซียที่โด่งดัง

//www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9490000034305

ผมคงไม่เขียนถึงประวัติชีวิตของเขา เพราะสามารถหาอ่านได้ตามเว็บต่างๆ รวมทั้งหนังสือเกี่ยวกับคีตกวีและดนตรีคลาสสิค แต่อยากบอกเล่าแง่มุมของความประทับใจ และภาพยนตร์ที่นำดนตรีของเขามาประกอบ

สำหรับผมแล้ว รัคมานินอฟเป็น “รัสเซียโรแมนติคคนสุดท้าย” ดนตรีของเขาไม่แฝงอภิปรัชญาเหมือนมาห์เลอร์ ไม่แหวกล้ำนำสมัยอย่างสตราวินสกี้ ไม่ยิ่งใหญ่โอฬารอย่างชอสตาโกวิช แต่ดนตรีของเขาเฉกเช่นเดียวกับไชคอฟสกี้ผู้เป็นแบบอย่าง คือ ฟังไม่ยาก แต่สัมผัสถึงห้วงลึกของหัวใจ เนื่องด้วยชีวิตของเขามีจุดเปลี่ยนมากมาย ไม่ว่าผลงานที่ถูกวิจารณ์อย่างหนัก จนต้องเข้ารับการบำบัดทางจิต และการจากพรากแผ่นดินรัสเซียที่รักยิ่งจากการปฏิวัติของบอลเชวิกในปี 1917 สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างสูง ทำให้เขาถ่ายทอดความรู้สึกเศร้าสร้อยเปลี่ยวเหงาลงสู่บทเพลงได้อย่างกินใจ แม้นักวิจารณ์ดนตรีรุ่นหลังจะประเมิน “คุณค่า” ทางดนตรีของเขาต่ำกว่าคีตกวีในศตวรรษที่ 20 อีกหลายท่าน แต่ความนิยมในบทเพลงต่างๆของเขายังคงมีอย่างต่อเนื่อง และนี่คือตัวอย่างภาพยนตร์ที่นำดนตรีของเขาไปประกอบ..



Somewhere in Time

เชื่อว่าทุกคนจดจำฉากที่คริสโตเฟอร์ รีฟ เดินเข้าไปหารูปภาพของนางเอก เจน ซีมัวร์ ที่ติดบนผนัง กับบทเพลง Variation No. 18 จาก Rhapsody on a theme of Paganini บทเพลงอันหวานซึ้งกินใจนี้สอดแทรกอยู่หลายตอนในเรื่อง



Brief Encounter

หนังโรแมนติคคลาสสิคของปรมาจารย์ เดวิด ลีน ใช้บทเพลงเปียโนคอนแชร์โต หมายเลข 2 ของรัคมานินอฟประกอบ เปียโนคอนแชร์โตที่มีชื่อเสียงบทนี้ยังถูกดัดแปลงมาเป็นเพลงสากล “Full Moon and Empty Arm” อีกด้วย



Shine

เรื่องราวของนักเปียโน เดวิด เฮลฟ์กอตต์ กับความมุมานะในการเล่นเปียโนคอนแชร์โตหมายเลข 3 ของรัคมานินอฟ ซึ่งเป็นบทเพลงที่ท้าทายความสามารถของนักเปียโนอย่างมาก นี่เป็นเปียโนคอนแชร์โตของรัคมานินอฟที่ผมชอบที่สุดครับ โดยเฉพาะแผ่นการบรรเลงสดของ Martha Argerich ฟังแล้วแทบหยุดลมหายใจ...

สำหรับรัคมานินอฟแล้ว ดนตรีคือส่วนสำคัญของชีวิต ชีวิตของเขาทั้งหมดคือดนตรี เขาเคยบอกไว้ว่า “Music is enough for a whole lifetime, but a lifetime is not enough for music.”




 

Create Date : 15 มีนาคม 2549    
Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2551 16:06:52 น.
Counter : 3712 Pageviews.  

หนังสือ 10 เล่ม ที่ชื่นชอบมากที่สุด

ผมชอบคุยกับเพื่อนคนหนึ่ง ถึงหนังสือเล่มโปรด เล่มที่ให้แง่คิด เป็นแรงบันดาลใจ หรือช่วยเรียนรู้แง่มุมชีวิตมากขึ้น หนังสือดีอ่านกี่ครั้งก็ไม่ล้าสมัย ถึงแม้จะผ่านมาหลายร้อยปีก็ตาม หนังสือเหล่านั้นก็ยังทรงคุณค่า เป็นภูมิปัญญาอันสูงล้ำที่คอยยกระดับจิตใจมนุษย์

ลองนึกทบทวนถึงหนังสือที่เคยอ่านผ่านมาในชีวิต นี่คือ 10 เล่มโปรดของผม : )




1. Anna Karenina, Tolstoy
ครอบคลุมทุกอย่างเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ ฉากเลวินตอนท้ายเรื่องเป็นฉากแห่งความทรงจำ

2. The Brothers Karamazov, Dostoevsky
ที่สุดของอภิปรัชญา ไม่มีใครสามารถเขียนได้ในระดับนี้อีก

3. Crime and Punishment, Dostoevsky
ดอสโตเยฟสกี้เขียนทำนายศตวรรษที่ 20 ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19!

4. Walden, Thoreau
หนังสืออเมริกันที่ล้ำค่าที่สุด ปรีชาญาณของธอโร

5. Madame Bovary, Flaubert
ไม่มีนิยายเล่มไหนที่เขียนได้สวยงามกว่านี้

6. Essays, Montaigne
อ่านความเรียงของ Montaigne เหมือนกับสนทนากับครูผู้รอบรู้ประสบการณ์ชีวิต

7. Short Stories, Chekhov
อ่านเรื่องสั้น The Lady with the Dog แล้วจะหางานของเชคอฟอ่านตลอดไป ^^

8. Thus Spake Zarathustra, Nietzsche
ทุกเล่มของนิตช์เช่ มหัศจรรย์!

9. One Hundred Years of Solitude, Gabriel Garcia Marquez
หนังสือเล่มโปรดของนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่

10. The Trial, Kafka
หนังสือตัวแทนศตวรรษที่ 20




 

Create Date : 30 สิงหาคม 2548    
Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2551 16:07:28 น.
Counter : 1852 Pageviews.  

100 ปี "Jean-Paul Sartre" Public Intellectual ที่โด่งดังที่สุดในศตวรรษที่ 20

ปี 2005 เป็นปีที่มีความสำคัญในแวดวงศิลปวัฒนธรรมหลายประการ ที่สเปนได้มีการจัดนิทรรศการเฉลิมฉลองการครบรอบ 400 ปี ของวรรณกรรมอมตะ Don Quixote ส่วนเมื่อตอนต้นปีที่ผ่านมา The Last Intellectual อย่าง Susan Sontag ได้เสียชีวิตด้วยโรคลูคีเมีย ท่ามกลางความเสียใจของหนอนหนังสือทั่วโลก



ปีนี้ยังเป็นปีที่ครบรอบ 100 ปี ของ Jean-Paul Sartre (1905-1980) แม้ว่าบุคคลรุ่นหลังจำนวนมากไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนาม ส่วนบุคคลที่รู้จักก็ตำหนิถึงความผิดพลาดในจุดยืนทางการเมือง แต่เขาก็เป็นปัญญาชนสาธารณะชาวฝรั่งเศสซึ่งเป็นที่รู้จักมากที่สุดในศตวรรษที่ 20

ลองนึกดู ถ้านึกถึง Sartre ผมจะหวนนึกถึงอะไรมั่ง : )

1. นิยายของเขา : Sartre เขียนนิยาย, เรื่องสั้น และบทละครไว้จำนวนหนึ่ง เรื่องที่โด่งดังเป็นที่รู้จักกันมากที่สุด คงจะเป็น La Nausea ซึ่งเป็นเรื่องราวอันโดดเดี่ยวแปลกแยกของอังตวน โรก็องแตง Antoine Roquentin จะว่าไปแล้ว ฝีมือทางการประพันธ์ของเขาสู้ของ Camus ไม่ได้ อ่านงานเขียนของ Camus จะประทับใจมากกว่า อย่างที่มีคนเคยว่าไว้ “Sartre เป็นนักปรัชญาที่บังเอิญมาสนใจวรรณกรรม ส่วน Camus เป็นนักประพันธ์ที่บังเอิญมาสนใจปรัชญา”

2. งานเขียนทางปรัชญา : เล่มที่สร้างชื่อให้เขา คือ Being and Nothingness ซึ่งผมเองไม่เคยอ่าน นักวิจารณ์หลายคนบอกว่า Sartre ได้รับอิทธิพลมาจาก Being and Time ของมาร์ติน ไฮเด็กเกอร์

3. Existentialism : ปรัชญาที่ทำให้ Sartre โด่งดัง จนกลายเป็นกระแสนิยมในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

4. ร้านกาแฟ Café de Flore : ร้านกาแฟในฝั่งซ้ายของแม่น้ำแซนในปารีส เป็นร้านที่เขา, ซีโมน เดอ โบวัวร์ และเหล่าสาวกเอ็กซิสฯมานั่งถกปัญหาพูดคุยกัน ครั้งที่ผมไปเที่ยวปารีสได้เดินผ่านร้านนี้ สังเกตเห็นคนเยอะมาก และที่จัตุรัสเล็กๆข้างร้าน ใช้ชื่อให้เกียรติว่า “จัตุรัสญอง ปอล ซาร์ตร์ และ ซีโมน เดอ โบวัวร์”

5. ซีโมน เดอ โบวัวร์ : คู่ชีวิตของเขา ผู้เขียนหนังสือคลาสสิค “The Second Sex”

6. การเคลื่อนไหวทางการเมือง : ในขณะที่ Camus ไม่เชื่อว่า “มือที่เปื้อนเลือด” จะเปลี่ยนแปลงสังคมให้ไปสู่สังคมในอุดมคติได้ Sartre มีความเชื่อว่าเราต้องยืนอยู่บนพื้นฐานความจริง ความรุนแรงบางครั้งมิอาจเลี่ยงได้ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่เคยวิจารณ์ Mao และ Stalin ในทางลบ เขาเชื่อในการต่อสู้ปลดปล่อย ทำให้มีมิตรสหายเป็นนักปฏิวัติจำนวนมาก ซึ่งสองคนในนั้นก็คือ ฟิเดล คาสโตรและเช เกวาร่า...

เมื่อปี 1980 ที่ Sartre เสียชีวิต ชาวปารีสหลายหมื่นคนได้ร่วมเดินขบวนส่งศพเขาไปตามท้องถนน ปีนี้ครบรอบ 100 ปีเกิดของเขา รัฐบาลฝรั่งเศสจะย้ายศพของเขาไปไว้ที่โบสถ์ Pantheon ซึ่งเป็นสถานที่ฝังศพบุคคลที่สร้างคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ อาทิเช่น รุสโซ, วอลแตร์ และอูโก

ห้วงความคิดสุดท้ายเมื่อนึกถึง Sartre พลันคิดขึ้นมาว่า Public Intellectual ในปัจจุบันหายไปไหนหมด....




 

Create Date : 17 สิงหาคม 2548    
Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2551 16:08:03 น.
Counter : 1340 Pageviews.  

1  2  

BlueWhiteRed
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




Friends' blogs
[Add BlueWhiteRed's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.