To kiss forehead is erase worry.. so I kiss you... To kiss eyes is convinced you to sleep.. so I kiss you

คิดถึง...

เฮ้อ
ตั้งแต่กลับมากะจิตกะใจก็ไม่เข้าที่เสียที
บางทีก็ร้องไห้ บางทีก็มีเศร้า ก็รู้นั่นแหละว่าเป็นเพราะอะไร
เวลาที่อยู่ด้วยกันมันเร็วจริง...
เวลานอนก็ไม่คุ้นเสียเลย กับการที่นอนคนเดียว
ตื่นตอนเช้า ก็ไม่มีใครคอยบอกกับเราเหมือนเคยว่า "good morning sunshine"
ไม่มีคนคอยทำอาหารเช้าให้
ไม่มีคนคอยชวนออกไปว่ายน้ำ ทั้งที่เราก็ว่ายไม่เป็น
ไม่มีคนคอยเรียก honey, sweetie ทุกห้านาทีหากหายหน้าไปไหน
ไม่มีคนคอยบังคับกินยาตอนเช้า และเขกกบาลเมื่อเราทำท่าทางเป็นลืม
กว่าเราจะทำใจให้กลับมาเหมือนเดิมว่า เวลาเราต่างกันนะ ห้าชั่วโมง
มันยากลำบากจริงๆ กับการอยุ่ไกลคนที่เรารัก
ในขณะที่เราต้อง good afternoon เขาเพิ่งจะ good morning
เรารู้ว่าเขาเป็นห่วงเรามาก ว่าจะต้องอดนอนรอคุยกับเขาแค่ไหน
เรารู้ว่าเธอทนไม่ได้ที่จะต้องอยุ่ไกลกันแบบนี้
วันศุกร์นี้แล้วที่เธอจะไม่ต้องทนทรมานอยู่ในค่ายทหาร
อยากให้เธอกลับมามีความสุขกับการทำงานอีกครั้ง
...แล้วเมื่อไหร่นะเราจะได้อยุ่ดัวยกันอีกครั้ง...
คิดถึง.....




 

Create Date : 04 กันยายน 2550    
Last Update : 4 กันยายน 2550 21:33:47 น.
Counter : 393 Pageviews.  

วันเรียนภาษานรกแตก

แกร๊กกก ว่าจะมาอัพบล็อกทุกวันเสียหน่อย แม่เจ้า ขวัญเรือนป่วย ง่อยไปเลยเจ้าค่ะด้วยความเป็นคนที่สุขภาพดีมาก ข้าวก็ไม่ค่อยกิน(เงินหมด) แถมไม่ตรงเวลาเวลาอยู่พัทยาคนเดียว ไม่สบายก็นอนแง่กอยู่ห้องได้ แต่พอไม่สบายดีนี่ โดนบังคับให้ไปหาหมอ ไปตรวจเลือด แว้ก..โหดสุดๆ แฟนฉัน ไม่ไปก็ไม่ได้ เพราะมีคุณแม่ คุณเพื่อนและคุณอื่นๆ คอยหนับหนุน ไปก็ไปฟะ เง้อ

มาอยู่ที่นี่ครบหนึ่งอาทิตย์ คุณแฟนที่เคารพรักก็คอมแมน (แดะมาก ภาษาปะกิต)ว่าไปเรียนเหอะไอ้ลิงน้อยเพราะอยู่บ้านอย่างเดียวแม่บ่นหล่อนขี้เกียจแน่ๆ (ใจน่ะอยากเรียนภาษาที่สามอยู่แล้วแต่ไม่ยักกะเคยคิดถึงภาษาเยอรมัน เหอเหอ) เริ่มต้นวันแรกดีหน่อย เพราะคริสที่รักของเราพาเดินลงเขา (เล็กๆ)ของบ้านหลังน้อยคอยรัก(แหวะ) สักสามนาทีแล้วก็เจอป้ายรถเมล์ รถเมล์มาเวลา 7.52งี้ 8.07 งี้ นับเวลาถอยหลังได้เลยท่่านพี่มาตรงเวลาจริงๆ อย่าได้ทำเป็นเล่นไป สู้รถกรุงเทพฯ พัทยาก็ไม่ได้ (เค้าจะด่าฉันไหมเนี่ย) นั่งจากพัทยาไปบางแสน ฮ่วย ล่อไปชั่วโมงครึ่ง (มีบ่นๆ เค้าให้นั่งก็ดีแล้วแกนี่) รถออกจากป้ายไปถึงในเมืองลูเซิร์นใช้เวลา19 นาทีขอรับ..จอดแทบทุกป้าย (คราวนี้รู้ย่ะ ว่าจะต้องกดกริ่งด้วย) เวลานั่งออกจากบ้าน เราก็ไปลงที่ Bannhoaf ซึ่งก็คือสถานีรถไฟเลย จอดปุ๊บ ข้ามถนนปั๊บ เดินข้ามสะพาน (ที่มีสัญลักษณ์ของเมือง)ไปแว๊บนึง เดินทะลุซอยนิดหน่อยก็ถึง MIGROW สถานที่เรียนที่น่าจะเป็นสวรรค์ของขวัญเรือนในการเรียนวันแรก(MIGROW จะมีสารพัดสิ่งให้เลือกสรร เหมือน พาต้า เซนทรัล บ้านเรายังไงอย่างนั้น แต่ทว่า..ท่านมีโรงเรียนสอนภาษาด้วยค่ะ และที่สำคัญปิดเป็นเวลามาก กร๊ีด นอกเรื่องนิด มีอยู่วันหนึ่ง เราไปชอปปิ้งซื้อของเข้าบ้านกันแฟนมันบ่นว่าหล่อนไม่มีรองเท้าวิ่งเลยนะ ไปซื้อกัน ฮ่วย ณ เวลานั้นเป็นเวลา 15.50 แว้ว มันบอกลองรองเท้่าเร็วๆ หน่อยสิเว้ย รีบเลือกคู่โน้นคุ่นี้มาให้ เราก็งง มึงจะรีบไปไหนวะ แล้วในที่สุดมานก็เฉลยมาว่าฮ่วย $5%@3 บลา บลา ห้างจะปิดแล้วเว้ย เลือกเร็วๆ หน่อย อ้าวววววว กรูจะรู้เหรอ แล้วใครใช้ให้เมิงพากูมาตอนนี้ ตกลงซื้อรองเท้าวิ่งคู่สวยมาได้หนึ่งคู่ มานบอกว่า ยูเลือกดีมากเลยนะขวานนนน เพราะส่วนใหญ่รองเท้าตรงนั้นมันลดราคา แต่ยูเลือกคู่ที่ไม่ลดราคามา เหอเหอ กรั่กๆๆๆๆๆ)ข้าเรื่องเหอะ (กว่าจะเขียนการเรียนภาษาวันแรกได้ วันนี้ปาไปอาทิตย์ที่สองของการเรียนแล้ว)ไปวันแรก เหอเหอ มีเพื่อนเรียนอีก สิบคน เราไปคนแรกเลย (เห่อมาก ไม่ใช่อะไรกลัวหลง เพราะคุณแฟนมันโยนแผนที่ให้และบอกยูไปกะคริสนะ กลับบ้านเองด้วย โห น่าทึ่งมาก) เข้าเรื่องอีกรอบ เพื่อนที่มาเรียนภาษาด้วยกัน มีคนไทยหนึ่งคน กรี๊ดดด ขวัญเรือนรอดตายแล้วเพราะเพื่อนคนนี้เรียนรู้ไวมาก ไปอยู่มาหลายประเทศแล้ว นิสัยดีมาก และมีประสบการณ์ชีวิตที่น่าสนใจให้ลิงน้อยอย่างเราทำตาละห้อยเรียนรู้ไปด้วย ส่วนเพื่อนๆ คนอื่นๆที่มาเรียนนับประเทศไม่หมดเลย เพราะไม่เหมือนกันสักที่ ทั้งอูเอสอาร์ (เมกา) บราซิล ออสเตรเลีย อิหร่าน ฟิลิปปินส์
และนานาประเทศ เหตุผลคล้ายๆ กันคือมีแควน สามี ภรรยา เป็นชาวสวิส ฟลัฟฟี่ กิกิกิ เหตุผลหลักที่เรามาเรียนก็คืออยากเข้าใจประโยคง่ายๆ สำหรับพูดกับพ่อแม่แฟน เพื่อนสนิทที่อยู่ด้วยกันและอยากจะใช้เวลาให้เป็ประโยชน์ เพราะต้องรอยอดชายทำงาน และเดือนหน้าจะได้ไปเที่ยว เย้...กร๊าก มาถึงวันแรกคุณอาจารย์ก็ให้เราเริ่มใช้ประโยค(ง่ายๆ)เลย แต่โคตรยากสำหรับเราที่เพิ่งเคยพูดภาษาเยอรมันเป็นครั้งแรก ทั้ง "วี ไฮเส่นซี้" "โว โว้นท์ ซี้" ฮ่วย ...มันไม่คุ้นหูเลยกะแถมต้องกางโฉนดดูตลอด จำคำถามคำตอบก็ไม่ได้ อะไรกันว้อย ขวัญเรือนจริงๆว่าตัวเองก็ไม่ถึง "โมรอน" นี่หว่า กว่าจะรอดสามชั่วโมงเดนตายในการเรียนวันแรกมาได้แทบแย่ พอวันที่สองวันที่สามเริิ่ม แย่ (อีก อย่าหวังว่าจะดีขึ้น) เจ็บใจตัวเองทำไมจำไม่ได้เสียทีดันไปคาดหวังว่าเค้าจะเริ่มสอน อา เบ เซ เด ตั้งแต่แรก เชอะ เค้านึกว่าฉันปัญญาดีละสิเนี่ย





 

Create Date : 14 มิถุนายน 2550    
Last Update : 22 สิงหาคม 2550 0:27:05 น.
Counter : 273 Pageviews.  

โอ้หนอตะละแม่ขวัญเรือน ณ Horw ลูเซิร์น

กลับมาโม้ต่อ หลังจากไปร่ำเรียนเพียรศึกษาภาษาเยอรมันมาเป็นวันที่สอง กร๊ากกก ดูยิ่งใหญ่มากเจ้าค่ะ พอวันที่มาถึงบ้านที่นี่ Felmiss-Allee บ้านอยู่เนินเขานิดๆ ใกล้เขาหน่อยๆ พอโดนบังคับไปวิ่งตอนเช้า(มาสองวัน) และ
เดินป่าได้ (บ้านตรงไหนก็ใกล้เขาอะกะ ที่นี่) ดาร์ล้ิงก็แนะนำให้ดูทุกซอกทุกมุมของบ้าน เป็นบ้านหลังเล็กๆ น่ารัก พอมีที่จอดรถสองคัน มีสวนเอาไว้นั่งเล่นอย่างที่กล่าวเอาไว้ในตอนที่แล้ว คิดดูขนาดห้องน้ำยังแนะนำ (น่านนะ >>ชี้ไปที่ห้องน้ำแล้วบอกว่า ยูเอาไว้นอนเล่นละกัน ว่างๆ เวลายูขี้งอนน่ะ)
ที่บ้านนี้มีเพื่อนผู้น่ารักอยู่ด้วยอีกสองคน นามหนึ่งเรียกว่า หนูคริส และอีกนามหนึ่งคือลูคัส หนุ่มนามหลังนี่บางวันก็อยู่บางวันก็อยู่บ้านตัวเองที่ซูริค เรารู้สึกว่าดีเหมือนกันนะ ที่เขาได้อยู่ร่วมกับเพื่อน ทำกับข้าวด้วยกัน นั่งคุยกัน ที่ชอบมากๆ ก็คือเวลาต่างคนต่างทำงานของตัวเองหรือไม่ก็อ่านหนังสือเรียน ซึ่งปกติแล้วในวิชาเรียนในระดับมหาลัย จะมีชั่วโมงเรียนที่เรากลับมานั่งทบทวนเองอยู่เช่น 3-2-4 ซึ่งหมายความว่าเรียนในห้องเรียนสามขั่วโมง ปฏิบัติสองชั่วโมงและเรียนรู้ด้วยตัวเองสี่ชั่วโมง (ใช่ไหมคะ ห่างเหินจากการเรียนมานาน เหอเหอ) ซึ่งเพื่อนๆ เขาจะให้เวลากับการเรียนรู้ตรงนี้เองจริงๆ
กรี๊ดดดด กลับมาดูเมื่อวานพิมพ์เอาไว้หายไปไหนฟะ ส่วนหนึ่ง แว๊กๆๆๆ ไม่เป็นไร อุตส่าห์คิดว่าเซฟเอาไว้แล้วนะ พูดถึงสิ่งดีๆ อีกอย่างในสวิสที่หาไม่ได้แถวพัทยากลางซอยสิบหก (บ้านฉัน) รถทุกคนจะหยุดให้คนเดินข้ามถนนก่อนเสมอ (ส่วนสามแยกบ้านฉันละก็ อย่าหวัังเชียวละ แถมฝรั่งบางผู้บางคนไม่เคยได้ทำอะไรบ้าๆ แหกกฎเขาก็มาทำกันที่นี่แหละคุณเอ๋ย สงสาร"พัทยา"จัง เอะอะอะไรก็ว่าเค้าจริงๆ แล้วคนต่างหากที่เป็นคนทำและกำหนด เชอะ
มาเว่าต่อกันถึงสวิสเซอร์แลนด์ บ้านแควนฉัน สิ่งที่ทำตะละแม่อย่างเราละลานตาระเริงใจคือ ทำไมเขาใช้แต่รถแพงๆ กัน(วะ) มีคนจนบ้างหรือเปล่า (มองตาปริบๆ แล้วก็คิดว่าเมื่อไหร่เราจะซื้อรถได้) อย่าหาว่าอวดรวยเลยฮ่ะ กิกิ บ้านนี้มีรถ 5 คน (ใช้กันยังไงวะ) แถมรถบัสก็ไม่เคยขึ้นกันอีกตะหาก ได้ยินแต่ว่าการขนส่งของเมืองเขาสะดวกสบาย ไอ้เราก็อยากลอง กิกิ เมื่อวานไปซื้อตั๋วเดือนมาใช้ เพราะต้องเป็นนักเรียนไปโรงเรียน (เอง)ทุกวัน ถูกมาก (แต่อย่านึกเป็นเงินไทย) 61.5ฟรังก์ (คูณ 26บาทเข้าไปนะคะ) ใช้ได้หนึ่งเดือน นั่งรถบัสกี่เที่ยวก็ได้ ขึ้นลงตรงไหนตามป้ายนะขอบอก ขนาดขึ้นเขายังมีป้ายรถเมล์เลย หากจะนั่งรถไฟก็จะเป็นอีกราคา ไว้จะต้องไปนั่งให้ได้ ตอนไปซื้อตั๋วเดือน ในที่สุดตะละแม่ขวัญเรือนก็ได้ใช้รูปสวยของตัวเองแบบไม่เป็นทางการ (ที่เวลาถ่ายรุปเป็นทางการเมื่อไหร่อย่าได้หวังจะเหมือนคน) ไปแปะบนสมุดเล็กๆ เล่มเหมือนพาสปอร์ต
และเขียนวันหมดอายุเอาไว้ให้ เวลาขึ้นรถเมล์ก็เดินขึ้นไปเฉยๆ ไม่ต้องไปเดินไปโชว์บัตรอะไร แต่หากมีพนักงานมาขอดูสมุด เราก็ต้องมีให้เขาดู อีกอย่าง คนที่นี่ซื่อสัตย์ หากไม่มีตั๋วก็เดินไปจ่ายเงินกับคนขับรถ และรับใบเสร็จมา ค่ารถครั้งแรกตอนเรายังไม่ได้ซื้อตั๋วคือ 2.5 ฟรังก์ คิดดู ไปกลับวันละ 5 ฟรังก์ ซื้อตั๋วเดือนถูกกว่าเป็นไหนๆ เนอะ กร๊ากๆๆ กลับมาถึงความเปิ่นเป๋อของสาวบ้านนอกทั้งในและต่างประเทศ จริงๆ วันนี้รถที่จะขึ้นเป็นเวลา 8.07 น.(จากบ้านเข้าเมืองลูเซิร์นใช้เวลา 19นาที) พอดีรถเวลา 7.52 มาก่อน เราก็เลยจะขึ้น พอเดินถึงประตู แว๊ก ทำไมไม่เปิดวะ (สงสัยคนขับไม่เห็น) เดินไปอีกประตู โอ้แม่เจ้า ฟ้าส่งมาโปรด คนขับเปิดให้ พอนั่งรถมาสักพัก พระเจ้าก็เปิดทางสว่างให้ขวัญเรือน เพราะเห็นคนอื่นที่กำลังจะขึ้นรถ เขาเอามือกดปุ่มตรงประตูให้มันเปิด ฮ่วย...




 

Create Date : 12 มิถุนายน 2550    
Last Update : 22 สิงหาคม 2550 0:13:34 น.
Counter : 305 Pageviews.  

ชีวิตหนอชีวิตในสวิสเซอร์แลนด์ ครั้งแรกในชีวิตกะลิงน้อย

ชีวิตของขวัญเรือนจะต้องระหกระเหเร่ร่อนมาถึงลูเซิร์น ดินแดนแห่งความฝันของใครหลายๆ คน (อุ๊บส์..รวมถึงเราด้วยหรือเปล่าหนอ อาจจะเป็นหนุ่มสวิสมากกว่านะ กิกิ) มาถึงวันแรกตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนา อย่างไม่คาดฝัน เพราะเปลี่ยนไฟลท์กะทันหัน แถมยังเป็นการเดินทางออกนอกประเทศสารขัณฑ์ครั้งแรกของข้าพเจ้า.. อย่าให้เล่าถึงความเป็นมาเลย ชีวิตมันรันทด ชะเอิงเอย
มาถึงที่นี่ตอนบ่ายโมงกว่าๆ ทันใดที่ออกจากประตู (ผ่านตม.มาได้อย่างฉลุย เนื่องจากตม.สวิสเคยมาเมืองไทยเป็นแน่แท้ เราด้วยความอ่อนน้อม ยกมือไหว้ทันทีทันใด ด้วยมารยาทของสาวงามที่ดี กิกิ จึงได้รับการฉีกยิ้มของตม.วัยกลางคน แล้วทักทายเราอย่างน่ารัก ใจจริงกลัวอยู่เหมือนกันเพราะคนก่อนหน้าเราท่าทางจะเป็นสาวรัสเซีย โดนถามอะไรอยู่นานสองนาน เอาละวุ้ย เราก็ฉีกยิ้มและยกมือไหว้แบบออโต้สู้เขาจนผ่านไปได้ แต่ขอบอก ขอบอก ว่าผ่านตม.เมืองไทยดูเหมือนจะยากกว่าด้วยซ้ำ หน้าดุมาก โดนยิงคำถาม ไปไหน ไปทำอะไร ไปนานแค่ไหน บลา บลา บลา ดุมากกะ)กรี๊ดดด กลับมาที่ประตูต่อนะ เดินออกมาก็ได้รับการฉีกย้ิมจากชายหนุ่มที่เราเฝ้ารอเจอมัน อุ๊บสสส์
มาสามเดือนในที่สุดเราก็ได้เจอกัน..ไม่กล้าแสดงความรักมากเดี๋ยวคนแถวนั้นจะหมั่นไส้ อ้อ ระหว่างต่อเครื่องที่ดูไบ ได้ทำความดีสมศักดิ์ศรีตะละแม่ขวัญเรือน เพราะมีพี่คนไทย (รุ่นแม่) โดนเจ้าหน้าที่ที่นั่นถามโน่นถามนี่ พี่เขาก็ตอบคำถามเป็นภาษาอังกฤษไม่สะดวก ไอ้เราก็เจือกทันที เพราะได้คุยกับพี่เขาก่อนหน้าเขาไปเยี่ยมหลานที่ซูริค แต่ตอบชื่อเมืองกับเจ้าหน้าที่ไม่ทันใจ เราหรือ ก็อุตส่าห์ช่วย ผ่านได้คนนึง อีกคนนึงมานยึดพาสปอร์ตของพี่เขาไปเฉยเลย ปล่อยให้เรารอ ถ่วงเวลา ทำท่าไม่สนใจจนตรวจพาสปอร์ตของผู้โดยสารทั้งหมด แล้วถึงคืนให้ก่อนหน้านั้นมีชายหนุ่มคนนึง คล้ายๆ แอฟริกันอเมริกัน แต่จำไม่ได้ว่าชาติใด โดนส่องพาสปอร์ตเชียวละ มานปล่อยให้รอเหมือนกัน โดยไม่ได้ถามคำถามใดๆ เพิ่มอีก (ข้อหาหมั่นไส้หรือเปล่าหนอ เข้าใจอะนะว่าต้องการรักษาความปลอดภัยและตรวจสอบให้แน่ใจ เง้อ)
ฮ่วย เมื่อไหร่จะถึงฉากนางเอกพระเอกเจอกันเสียทีวะ อุ๊บส์ ในที่สุดเราก้ได้เจอที่รักของเรา ทำหน้าหล่อรออยู่ตรงหน้าประตูทางออกเชียว (จำแทบไม่ได้ หล่อวิ๊งๆๆๆๆ มาเชียว รังสีออร่อแผ่กระสานซ่านเซ็น ใส่สูทมาเชียว ข้าพเจ้าแต่งตัวทำมะดามาก)
พอดาร์ลิ้งเห็นกระเป๋าขวัญเรือน ฮีต๊กกระใจว่า ทำไมยูเอาของมาแค่นี้เอง(ฟะ)มาอยู่สองเดือนนะ(เฟ้ย) ไม่ใช่สองวัน พี่คนอื่นที่เคยมาเยี่ยมเยียนมาสองอาทิตย์ยังขนมามากกว่าหล่อนเล้ย ดูมันบ่นสิ ...ฮ่วย แต่เราก็เอาเสื้อผ้าไปน้อยจริงๆ นะ ก็เค้ามะค่อยมีนี่นา นี่ยังยืมเสื้อผ้าบางส่วนกับพี่อีกคนมาเล้ย พอออกนอกประตู กันสายตาคนอื่นมองเราสองคนหวานแหวว (ใครไปดูเอ็งสองคนฟะ) เราก็เดินแอบๆ เพราะเอียงอายขวยเขินชายหนุ่มของเรา กิกิ ไปซื้อชอกโกแลตกลับบ้าน..พอออกมานอกสนามบิน ก็ตื่นตาตื่นใจกับวิวทิศทัศน์รอบนอก แม่เจ้า สวยอะไรขนาดนี้ฟะ โหๆๆๆ แต่ดันฝนตก ดาร์ล้ิงบอก โห ยูมาวันที่อากาศโคตรดีเลยนะ มาถึงก็ฝนตก (อ้าว แหมๆๆๆ อากาศบ้านหล่อนน่ะ มันเป็นอย่างนี้ไม่ใช่เหรอ) กรุณาติดตามตอนต่อไปค่ะ




 

Create Date : 12 มิถุนายน 2550    
Last Update : 20 สิงหาคม 2550 1:10:59 น.
Counter : 707 Pageviews.  

1  2  

เค้าว่าหนูเป็น borderline
Location :
ตาก Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ไม่มีเหตุผลในการจากไป
ไม่มีสาเหตุใดที่ทำให้เราจากกัน
ใช่..ดูเหมือนไม่มีเหตุผลเพียงพอ
ความรักนั้นยิ่งใหญ่....
กว่าเสียงระฆังในชานชาลา
ทั้งวันเวลาแห่งความสัมพันธ์
ผ่านเนิ่นนานยาวกว่าขบวนรถไฟ
แต่ชีวิตกลับมุ่งหน้าไปเช่นขบวนรถ
ในคืนเหยียบหนาว
โดดเดี่ยว..ฝ่าความมืดดำ
..ไม่มีเหตุผลในการจากไป....
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เค้าว่าหนูเป็น borderline's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.