All Blog
Slow Time in Singapore... Day 4 we love Singapore
ท่องเที่ยว ท่องเที่ยวต่างประเทศ AEC สิงคโปร์ เซนโตซา แบ็คแพ็คเกอร์ บทสุดท้ายของรีวิว Singapore ทริปดองเค็ม Smiley

--------------------------------------------------------------------------------------------------------

วันที่ 4 ในสิงคโปร์ นอนหลับกันอย่างเต็มออิ่มจนถึงช่วงสาย นั่งคิดวนไปวนมาว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี สุดท้ายก็ลงตัวที่ City Tour แบบไม่ง้อไกด์ เพราะงานนี้เราพาคุณแฟนตะลอนทัวร์เองเลยค่ะ อิอิ Smiley

เริ่มจากที่แรก Merlion Park ที่อ่าว Marina Bay  โดยนั่งรถไฟฟ้าจากไชน่าทาวน์ไปลงที่ Dhoby Ghaut แล้วเปลี่ยนไปสายสีแดงลงที่สถานี Raffle Place แล้วเดินชมชีวิตหนุ่มสาวออฟฟิศไปด้วย เพลินดีค่ะ







ทางเดินริมแม่น้ำบรรยากาศดีมาก แดดอ่อนๆ แถมลมพัดมาตลอด เย็นสบายยยยย







ถึงแล้ว Merlion แสนขยัน พ่นน้ำบุ๋งๆๆๆๆๆ ไม่เหนื่อยบ้างเลย Smiley






จากนั้นก็นั่งรถไฟฟ้าไปยังสถานี Bugis ย่านคนเดิยอดนิยม  เจอคนไทยที่นั่นเยอะมากเลยด้วย









ด้านในขายเสื้อผ้า รองเท้าแฟชั่นคล้ายๆ บ้านเราเลยค่ะ แต่แพงกว่าประมาณ 20% ได้







แวะทานข้าวกันที่ฟู้ด คอร์ทดีกว่า  ที่นี่มีร้านข้าวมันไก่ร้านดังอยู่ด้วยล่ะ









ข้าวมันไก่แสนอร่อย Smiley





ข้าวมันไก่ย่าง อร่อยฝุดๆ Smiley





อันนี้ชื่อหมี่สยาม (ซื้อจากอีกร้าน) รสชาติแปลกๆ





ต่อด้วยไหว้พระที่วัดเจ้าแม่กวนอิมและวัดแขก



















หลังจากนั้นก็เป็นมหากาพย์เดินชมเมืองค่ะ เดินไปเรื่อยๆ เจออะไรสวยก็แวะถ่าย ระยะทางประมาณ 3 - 4 กม. ได้

หอสมุดแห่งชาติสิงคโปร์


St. Josephs Church


ถนน Seah












โรงแรม Raffles




CHIJMES










Good Sheperd Cathedral Chruch





Saint Andrews Cathedral Chruch


หลังจากนั้นก็เดินทางไปเอากระเป๋าที่ไชน่าทาวน์ ถือเป็นการจบทริปอย่างเป็นทางการค่ะ Smiley










Create Date : 15 เมษายน 2556
Last Update : 26 พฤษภาคม 2556 18:37:49 น.
Counter : 1992 Pageviews.

2 comment
Slow Time in Singapore... Day 3 Happy at Sentosa Island
ท่องเที่ยว ท่องเที่ยวต่างประเทศ AEC สิงคโปร์ เซนโตซา แบ็คแพ็คเกอร์ ดองเค็มมานานหลายเดือน ขอกลับมาต่อให้จบนะคะ

---------------------------------------------------------------------------------

วันที่ 3 ในสิงคโปร์ วันนี้เราจะไปตะลุยเกาะหรรษาเซ็นโตซ่ากันค่ะ เริ่มออกเดินทางกันตอน 9 โมงเช้า  แล้วก็นั่งรถไฟฟ้าสายสีม่วงจากChinatown ไปอีก 2สถานีก็จะถึงปลายทางที่ Habourfrount ครั้งนี้เราเลือกจะนั่ง cable car มากกว่ารถไฟฟ้า  เพราะอยากพาคุณแฟนดูวิวไปด้วยค่ะ



มาถึงแล้วก็เดินมายังตึก World Trade Centre แล้วก็จัดการซื้อตั๋วก่อนเพราะไม่ได้เตรียมมาจากเมืองไทย สนนราคาคนละ 29 ดอลลาร์สำหรับนั่งไปและกลับภายในหนึ่งวัน จากนั้นก็ขึ้นลิฟท์ไปต่อคิวนั่งกระเช้าสู๊งงงง สูงกันเลย 



กระเช้า 1 อันต้องนั่ง 4 คนค่ะ เราร่วมทางไปกับคู่สามี – ภรรยาชาวจีนมาเลย์คู่นึง หลังจากผลัดกันถ่ายรูป 2 – 3 รอบก็ได้คุยกันนิดหน่อย เค้าทายว่าเราเป็นอินโดซะอย่างงั้น พอบอกว่าเป็นคนไทยก็แปลกใจพร้อมกับบอกว่าคนไทยไม่ค่อยพูดอังกฤษ เลยไม่นึกว่าเราจะเป็นคนไทย (แอบเจ็บเหมือนกันนะเนี่ย)









เกาะเซ็นโตซ่า เป็นเกาะกลางทะเลขนาดเล็ก มีพื้นที่ภายในเพียง 5 ตารางกิโลเมตร  แต่เดิมเคยเป็นฐานทัพของอังกฤษจนเมื่อสิงคโปร์ได้เอกราชคืนมาแล้ว ทางรัฐบาลจึงมีคำสั่งให้พัฒนาพื้นที่บนเกาะนี้ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก รวบรวมไว้ทั้งสวนน้ำ สวนสนุก ร้านอาหาร โรงแรมระดับ 5 ดาว  อควาเรียมขนาดใหญ่  รวมไปถึงถมพื้นที่ให้เป็นชายหาด เพื่อเป็นที่พักผ่อนของชาวสิงคโปร์เองด้วย



การเดินทางมายังเซ็นโตซ่า สามารถมาได้ทั้ง Cable Car รถรางไฟฟ้า Sentosa Express (ขึ้นที่ Vivo City) และทางรถเมล์  ซึ่งบนเกาะเองก็จะมีรถบัสบริการฟรี โดยมีทั้งหมด 3สายด้วยกัน วิ่งครอบคลุมทั่วทั้งเกาะเลยล่ะ



ลงจาก cable car เราก็ตระเวนไปทั่วเกาะเซนโตซ่า แต่ไม่ได้เข้า Universal นะคะเพราะคนเยอะขี้เกียจรอ อิอิ เริ่มเดินทางจาก Imbiah Station Sentosa  บริเวณโดยรอบก็จะมีทั้ง Luge & Skyline สวนผีเสื้อและแมลง และ Sky Tower  แต่เราไม่ได้แวะเล่นอะไรเลย เดินไปรอรถบัสฟรีที่ป้ายเพื่อไปยัง Resort World ค่ะ   
อธิบายก่อน ภายในเซ็นโตซ่าเค้าขะแบ่งออกเป็น 4 โซนใหญ่ๆ คือ Imbiah Station Sentosa, Beach, Siloso Point และResort World ค่ะ





เดินเล่น+ถ่ายรูปที่ Resort World












ถ่ายรูปกับ Daddy Merlion




Siloso Beach มีวัยรุ่นชาวสิงคโปร์มาพักผ่อนกันเยอะเลยค่ะ










หลังจากนั้นเรานั่งรถทัวร์ทั่วทั้งเกาะเลยค่ะ แต่แบตกล้องจะหมดเลยไม่ได้ถ่ายอะไรมาเลย (แหะ แหะ) ประมาณบ่ายสามเราก็นั่งกระเช้ากลับกันแล้ว เพราะค่อนข้างจะเหนื่อยมากๆ เลย





แอบไปงีบที่โรงแรมจนถึงหกโมงก็ออกไปถ่ายรูปไฟคริสต์มาสที่ถนนออร์ชาร์ตกันต่อค่ะ 
















เดินจนสุดถนนแล้วก็นั่งรถเมล์กลับมาไชน่าทาวน์  ไปหม่ำติ่มซำร้านดัง Tak Po กันดีกว่า







ข้าวน้าไก่ (คล้ายข้าวมันไก่)




ขนมจีบกุ้งมังกร



ฮะเก๋า


เกี๊ยวทอด


อร่อยสมคำร่ำลือจริงๆ สนนราคามื้อนี้  24 ดอลลาร์ค่ะ  อิ่มแล้วก็เข้าโรงแรมนอนเพื่อเอาแรง ก่อนถึงวันสุดท้ายในสิงคโปร์.......







Create Date : 13 เมษายน 2556
Last Update : 26 พฤษภาคม 2556 18:38:08 น.
Counter : 2465 Pageviews.

2 comment
Slow Time in Singapore...Day2 Shopping time
ท่องเที่ยว ท่องเที่ยวต่างประเทศ AEC สิงคโปร์ เซนโตซา แบ็คแพ็คเกอร์ เริ่มต้นกันด้วยอาหารมื้อแรกของเรา ที่hostel มีอาหารเช้าให้ด้วย เป็นขนมปังพร้อมเครื่องปิ้ง  แยม เนย ซีเรียล นม ผลไม้ 2-3 อย่าง โดยลงมาทานได้ตั้งแต่7 โมง ถึง10 โมง ส่วนชา-กาแฟนั้น สามารถดื่มได้ฟรีไม่อั้นตลอดทั้งวัน โดยกดจากเครื่องได้เลย  ขอบอกว่าชาจากเครื่องนั้นอร่อยสุดๆ เลย

ปล. เป็นช่วงทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ที่ดีด้วยนะ คุยกันไปทานกันไป เริดสุดๆ

หลังจากอิ่มจากอาหารเช้าและนอนต่อจนหนำใจแล้ว ก็ถึงเวลาออกเที่ยวซะที  โดยวันที่สองของเราขออุทิศให้กับการช้อปปิ้งอย่างเต็มที่ อิอิ  เริ่มที่แรกด้วยOutlet ยอดนิยมอย่าง Anchorpoint บนถนนAlexander  การเดินทางของเราคือMRT สีม่วงไปลงที่ Outram Park แล้วเปลี่ยนไปขึ้นสายสีเขียวมุ่งหน้าไปยังสถานี Queen town ซึ่งตลอดเส้นทาง รถไฟฟ้าจะสลับขึ้นมาวิ่งด้านบน ทำให้เราสามารถชมวิวทิวทัศน์ย่านชานเมืองได้เต็มที่ 

บรรยากาศบนMRT ตอนเช้าวันอาทิตย์


เมื่อถึงQueen town ก็ลงมารอรถเมล์สาย 33 ไปอีก 2ป้าย ลงที่ป้ายหน้า IKEA แล้วข้ามฝั่งไปได้เลย




ความจริงแล้วที่นีเป็นห้างเล็กๆ เท่านั้นเองค่ะ แต่......ไม้เด็ดอยู่ที่ร้านนี้ตะหาก Charles and Keith Outlet ที่ลดกว่าปกติถึง70% แม้จะมีรุ่นให้เลือกน้อยกว่าshopอื่นๆ ไปบ้างแตมันก็ดีที่ราคาถูกมากกกกก มาที่นี่เจอคนไทยเยอะเลยแหละ ฮี่ๆๆ



หลังจากนั้นก็ไปช้อปต่อกันที่IMM Building โดยขึ้นรถเมล์สาย33ที่หน้าAnchorpoint ไปลงที่MRT Queentown แล้วนั่งต่อไปลงที่สถานีJurong East แล้วยืนรอshuttle bus ฟรีของทางห้างได้เลย แต่เราใจร้อนไปนิดก็เลยเลือกจะเดินไปแทน(ติ๊ต่างเองว่ามันใกล้นิดเดียว) เล่นเอาเหนื่อยเกือบเป็นลมเลยลืมถ่ายรูปซะสนิท แหะแหะ  

ที่IMM Buildingนี้ เป็นห้างขนาดกลางรวมกับตึกออฟฟิศ ซึ่งมีoutletแบรนด์ดังอยู่มากถึง13 shopด้วยกัน แต่.......เอาเข้าจริงแล้วเรากลับไม่ได้อะไรติดมือเลยค่ะ เพราะราคามันไมได้ถูกซักเท่าไร แถมแบรนด์ที่เล็งๆ ไว้ก็ดันปิดหนีไปอีก เซ็งสุดๆ เลยหนีไปเดินDaiso ร้านดังจากญี่ปุ่นแทน ขอบอกว่าที่นี่ใหญ่และของเยอะมากเลย


หลังจากนั้นก็แว้บไปทานข้าวกันที่Food Court ของห้าง  เจอเมนูแปลกเลยขอลองซะหน่อย คือร้านจะให้เราหยิบพวกลูกชิ้น เนื้อสัตว์ เต้าหู ผัก ฯลฯ ตามที่เราต้องการ แล้วเอาไปต้มจนสุกและราดด้วยน้ำซุป(ซุปใสหรือแกงเผ็ดแบบแขก) ทานคู่กับข้าวหรือหมี่ลวก  เซตนี้สนนราคาSGD8.50 ทานได้สองคนเลยค่ะ รสชาติดีด้วย เผ็ดนิดๆ ทานกับหมี่คลุกซอสแล้วเยี่ยมมากเลย




หลังจากอิ่มแล้วก็นั่งshuttle Busฟรีไปลงที่อีกหน้านึง ชื่อว่าJ Cube (ก็ห้างธรรมดานี่แหละ) ที่หน้าห้างเป็นต้นทางรถเมล์สายJurong East ทุกสาย สามารถไปได้ทั่วทุกทิศตามต้องการเลยค่ะ  เดินออกมาหน่อยฝนก็เทลงมาซะแล้ว  เลยยืนรอรถเมล์ไปดูฝนตกไปด้วย  โดยรถที่เราขึ้นก็คือสาย97 จุดหมายปลายทางที่Marina Bay  ซึ่งเราจะใช้เวลาช่วงเย็น-ค่ำที่นั่นกันค่ะ  





มาถึงแล้วก็ต้องช้อปปิ้งก่อนตามคอนเซ็ปต์  มุ่งหน้าเข้าไปในThe Shoppes by Marina Bay Sand ห้างซึ่งรวมแบรนด์ดังๆ และหรูหราจากทั่วโลกไว้ที่นี่ที่เดียวเลย ข้อเสียก็คือ ที่นี่ไม่มีเคาท์เตอร์Tax Refund ให้บริการค่ะ ซื้อของแล้วต้องขอใบrefundเพื่อไปยื่นที่สนามบินอีกที



ภายในห้างตกแต่งน่ารักดี คนก็เยอะมากสมเป็นบ่ายวันอาทิตย์  เจ๋งตรงมีเรือที่คล้ายๆ กับกอนโดร่าให้นั่งด้วยล่ะ




โชว์ปล่อยน้ำลงมาจากอ่างด้านบน



ร้านสุดเลิฟของสาวๆ หมดตัวกันที่นี่แหละ






ช้อปจนตัวเบาแล้ว ก็ออกมาเดินเล่นริมแม่น้ำกัน 





แอบซูมขึ้นไปที่จุดชมวิวหัวเรือMarina Bay Sand คนเยอะใช้ได้นะเนี่ย



ซูมไปที่ฝั่งตรงข้าม Merlion เพื่อนเก่ากำลังทำงานอย่างตั้งอกตั้งใจ




นั่งกินลมชมวิวจนแสงอาทิตย์มืดลง อาคารโดยรอบเริ่มเปิดไฟสว่างสใสกันแล้ว เราก็เริ่มออกเดินไปยัง The Helix Bridge สะพานรูปเกลียว สถานที่ยอดนิยมอีกแห่งของสิงคโปร์  ด้วยดีไซน์ที่แปลกตาและเก๋ไก๋ทำให้ที่นี่เป็น 1 ใน 12 สะพานที่น่าทึ่่งของโลก 



สะพานไม่ยาวมาก เดินไปเก็บภาพไปไม่เหนื่อยเท่าไรก็มาถึงฝั่งตรงข้ามแล้ว



เมื่อข้ามมาก็เจอกับ Esplanade หรืออาคารหนามทุเรียน วันที่เราไปมีคอนเสิร์ตเล่นที่แพริมน้ำด้วย คนแน่นเช่นเคย


ฝั่งถนนRaffle


จากนั้นก็เดินข้ามสะพานเพื่อไปยัง Merlion Park ระหว่างนั้นก็ถึงเวลาแสดงโชว์ของMarina Bay Sand เรือลำยักษ์ริมอ่าวพอดี....สวยสมคำร่ำลือจริงๆ




ทักทายMerlion เพื่อนเก่าซะหน่อย




Baby Merlion


แล้ววันนี้ก็จบทริปที่Merlion Park กับบรรยากาศชิลๆ สบายๆ ของริมแม่น้ำ~ ~ ~






Create Date : 12 มกราคม 2556
Last Update : 26 พฤษภาคม 2556 18:39:05 น.
Counter : 5740 Pageviews.

0 comment
Slow Time in Singapore...Day1 Chinatown - Clarke Quay
ท่องเที่ยว ท่องเที่ยวต่างประเทศ AEC สิงคโปร์ เซนโตซา แบ็คแพ็คเกอร์ ทริปนี้เป็นการbackpackไปต่างประเทศด้วยตัวเองครั้งแรกค่ะ จริงๆ แล้วทริปนี้มีครั้งแรกหลายต่อหลายอย่างด้วยกัน ทั้งบินLow-costครั้งแรก  เที่ยวตปท.กะแฟนครั้งแรก(ฮิ้วววว)   เดินทางโดยใช้Thai Passport ครั้งแรก  ดังนั้นเราจึงเตรียมตัวเยอะมากกกกกกเป็นพิเศษ  

แม้จะเคยไปเรียนที่สิงคโปร์มา2ปีก็จริง  แต่ระยะเวลา5ปีก็ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างในสิงคโปร์เปลี่ยนไปมากเหมือนกันนะ(สำหรับเราเอง) อีกอย่างนึง นิสัยที่หลงทางได้ทุกที่ทุกเวลาของเรามันก็ซึมรากลึกเกินกว่าจะหายได้แล้วด้วย  อิอิ

ทริป4วัน4คืนที่สิงคโปร์รอบนี้ เราจะแบ่งรีวิวที่ละวันนะคะ  แม้จะไม่ได้โดดเด่นอะไรมากมายแต่ก็อยากให้เห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของเมืองน่ารักแห่งนี้ด้วยค่ะ  ผิดพลาดหรือขาดตกบกพร่องยังไง ต้องขออภัยล่วงหน้าด้วยนะคะ


Day1 BKK-CHANGI-Chinatown-Mustafa-Clarke Quay

เดินทางสูสิงคโปร์ด้วยเที่ยวบินTR2115 ของTiger Air เที่ยวสุดท้าย 3ทุ่ม45นาที ของศุกร์ที่7 ธ.ค.ที่ผ่านมา  เรียกว่าเลิกงานก็เปลี่ยนชุด สะพายเป้ แล้วออกเดินทางกันเลย (ที่ออฟฟิศตกใจกันพอสมควร แบบว่าที่นี่เค้าไม่รู้จักการBackpack กันเลย)  วันนี้น้องเสือไม่งอแงไม่เกเร แม้จะเลื่อนเวลาเปิดgate เล็กน้อย  แต่ไฟลท์นี้ไม่มีDelay อิอิ  สภาพในเครื่องก็ประมาณนี้ค่ะ 

จริงๆ เตรียมใจมาพอสมควรเพราะเพื่อนเล่าให้ฟังว่าTiger น้อยไม่ค่อยสะอาดเท่าไร  แต่เท่าที่ดูแล้วเราโอเคมากๆ ล่ะ  กัปตันบินนิ่ม พนักงานน่ารัก ไม่พูดเยอะจนเรานอนไม่ได้ด้วยค่ะ เราก็หลับสบายยาวๆ ไป คร่อกกกกก (ภาพยืนยันจากที่วางขา ไม่แย่นะขอบอก)


ถึงสิงคโปร์ประมาณตีหนึ่งเศษที่T2  ทำเรื่องและผ่านต.ม.ในเวลาไม่นาน หลังจากนั้นก็ตะเวนหาที่นอนหลับพักผ่อน จนมาลงตัวที่โซนทางลงMRTเข้าเมือง ตรงนี้จะมืดๆ หน่อยและมีที่ว่างมากพอสมควร มีBackpackerนอนเป็นหลักให้ก่อนแล้ว เราก็ไม่รอช้าวางเป้แล้วเอาหัวพาดหลับโลด


แต่....บุญมีแต่กรรมบังเล็กน้อย พอถึงตี5 เค้าก็เปิดไฟสว่างจ้าจนต้องลุก เลยตกลงว่าจะไปถ่ายรูปเล่นที่T3กันก่อนเข้าเมือง  คิดแล้วก็แจ้นไปขึ้นรถไฟที่เดินทางระหว่างT2 และT3  ซึ่่งเป็นTerminalล่าสุดของสนามบินนานาชาติชางกี และเรายังไม่เคยขึ้นเครื่องที่นี่มาก่อน ใหญ่โตอู้ฟู่สุดพลัง ได้ภาพมาประมาณนี้...








หลังจากถ่ายรูปจนหนำใจแล้ว เราก็นั่งรถไฟกลับสู่T2 เพื่อขึ้นMRTเข้าเมืองกัน ซึ่งตลอดทางก็ทำให้เราได้เห็นวิวยามเช้าของสิงคโปร์ที่เงียบสงบ(แน่ล่ะ เช้าวันเสาร์ใครเค้าจะแหกขี้ตาตื่นล่ะ!!) และในที่สุดก็ถึงจุดมุ่งหมายที่สถานีChinatown นั่นเอง





เดินเล่นถ่ายรูปจนหนำใจแล้วก็เข้าที่พักกันค่ะ ทีพักของเราในคราวนี้คือ5 FootwayInn Project Chinatown1 ซึ่งอยู่บนถนนPagoda เอาง่ายๆ เลยก็ออกจากMRT Chinatown มาปุ๊บ เดินออกมาซัก30 ก้าวก็ถึงแล้วค่ะ 5555+++  เป็นHostel เล็กๆ สะอาดสะอ้านดี เมื่อก่อนเราทำงานพิเศษที่ร้านอาหารจีนในChinatown เคยเดินมาส่งอาหารที่นี่บ่อยๆ Smiley



หลังจากพยายามอ้อนวอนขอเช็คอินก่อนเวลาเพราะง่วงมากๆ (ที่จริงเมลมาแจ้งไว้กอนแล้ว) พนักงานที่น่ารักก็ไม่สามารถให้เราเข้าห้องพักได้ เนื่องจากห้องพักเต็มแน่นมาก ต้องรอเช็คอินบ่ายสามเท่านั้น เศร้าจริงๆ Smiley แต่ไม่เป็นไรยังไหวอยู่  เอาเป้ฝากไว้แล้วไปทานข้าวเช้ากันดีกว่า




Nanyang Old Coffee ร้านกาแฟและของว่างชื่อดัง ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องแวะมาทาน ของขึ้นชื่อได้แก่Kopi(กาแฟโบราณแบบสิงคโปร์แท้ๆ ) และKaya(สังขยาทาขนมปัง) แต่บังเอิญว่าแฟนเราไม่ทานทั้งสองอย่าง เราเลยเปลี่ยนมื้อเช้าเป็นพวกนี้แทน...

Bak Kuh Teh น้ำสีออกดำรสเครื่องยาจีนเข้มๆ (แต่ไม่เข้มเท่าที่มาเลย์นะ)  พร้อมข้าวสวยร้อนๆ



Bau ไส้หมูสับลูกบิ๊กเบิ้มไส้เยิ้มๆ  Swee Kueh แป้งก้อนโตทานคู่กับไชโป๊วเค็มๆ (อันนี้แฟนอยากลองของแปลก)



และShu Mai ไส้หมูลูกโต (กินไปจนเหลือถ่ายรูปอันเดียวเอง) และIced Roselle น้ำกระเจี๊ยบเย็นๆ เพราะไม่ดื่มกาแฟกันทั้งคู่เลยเลี่ยงมาดืมอะไรเปรี้ยวๆ จะได้ตื่น อิอิ


อิ่มแล้วก็เดินเตร็ดเตร่ต่อ เริ่มจากBuddha Tooth Relic Temple กันก่อนเลย เป็นวัดที่สวยมากๆ





หลังจากนั้นก็ไปช้อปที่มุตตาฟาให้ตาสว่างเล็กน้อย(ไม่ได้ถ่ายรูปเพราะคนเยอะเกิ๊นนน) ก่อนกลับมาเตร็ดเตร่ที่Chinatown ประมาณบ่ายสองโมงกว่าๆ เพื่อฆ่าเวลาก่อนเช็คอินตอนบ่ายสาม บรรยากาศคึกคักมาก คนเยอะร้านค้าก็เปิดกันแน่นเต็มถนนเลย








และแล้วในเวลาบ่ายสามโมงครึ่งเราก็ได้เข้าห้องพักจนได้ เย้!!! ครั้งนี้เราจองห้องDormแบบ 6 เตียงเอาไว้ค่ะ ห้องสะอาดสะอ้านดีมาก คู่เราได้นอนเตียงตรงประตู  ซึ่งทางพนง.จัดให้เองโยที่เลือกไม่ได้ค่ะ  ตอนแรกเราแอบไม่พอใจนะเพราะอยากนอนเตียงด้านในซึ่งใกล้หน้าต่าง แต่มารู้ทีหลังว่านอนเตียงตรงประตูทำให้ไม่มีคนนอนเตียงตรงข้ามและแอบดูเรานอนไม่ได้ด้วย (ที่จริงคนที่มาพักห้องเดียวกันเล่าว่า พนง.แจ้งเลยว่าในห้องมีผู้หญิงนะ ให้เกียรติเธอด้วย อะไรแบบนี้) ถือว่าใส่ใจกันเกินร้อยเลยล่ะ





ข้างๆ เตียงเป็นประตูเข้าห้องและกระจกแบบนี้


มีล็อกเกอร์ใส่ของให้ด้วยนะคะ โดยทางพนง.จะเก็บมัดจำตู้ละ10เหรียญ พร้อมกับเงินมัดจำคีย์การ์ดอีกอันละ10เหรียญ และจะคืนเงินให้ตอนเราเช็คเอาท์ค่ะ


วิวนอกหน้าต่าง...


หลังจากนั้นเป้นมหากพย์นอนยาวววววว ของเราค่ะ อิอิ  ตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวอีกทีก็ทุ่มนึงโน่นนน ซึ่งพวกเราเลือกจะไปเดินตะลอนๆ ริมแม่น้ำที่Clarke Quay โดยข้ามไปขึ้นรถที่หน้าตึกPeople Complex  นั่งรถสาย124 ไปป้ายนึงก็ถึงแล้ว!! มีวิวสวยๆ ให้ดูระหว่างเดินด้วย





แล้วก็ถึงClarke Quay ในที่สุด เดินสำรวจและเก็บภาพสวยๆ ไปเรื่อย เหนื่อยก็นั่งรับลมริมแม่น้ำกันไป









แล้วก็เจอกับของโปรด นั่นคือไอติมตัดอันละ1เหรียญ วิธีก็คือคุณลุงคนขายจะตัดไอติมเป็นชิ้นแล้วประกบบน-ล่างด้วยเวเฟอร์ อร่อยอย่าบอกใครเลย มาสิงคโปร์แล้วไมได้หม่ำเจ้านี เราว่าเหมือนมาไม่ถึงเลยล่ะ Smiley


mint choc


สักสี่ทุ่มเราก็นั่งMRTกลับมายังChinatown แล้วเดินย้อนไปที่Smith Street เพื่อทานมื้อค่ำกัน เพราะทริปนี้เราเน้นกินเที่ยวชิลๆ ไม่ได้ทานหรู+นอนห้องแพงๆ แต่อย่างใด มื้อนี้เราก็เลยทานMini Pot ร้อนๆ พร้อมข้าว+บะหมี่ผัดซอส สนนราคาก็8.50 เหรียญด้วยกัน (ไม่ได้ถ่ายของกินมาเลย.....)  ปิดท้ายคืนแรกที่สิงคโปร์ด้วยภาพถนนอาหารSmith Street นะคะ Smiley






Create Date : 05 มกราคม 2556
Last Update : 26 พฤษภาคม 2556 18:39:21 น.
Counter : 3485 Pageviews.

1 comment
1  2  3  

ต๊องต๊อง กะ บ๊องบ๊อง
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



Just a little step in the Big World
โลกกว้างใหญ่ มีอะไรให้เรียนรู้อีกมาก

ต๊องต๊อง กะ บ๊องบ๊อง
All rights reserved
[สงวนลิขสิทธิ์ ตาม พรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539]