All Blog
นอนสนามบินสิงคโปร์ได้มั๊ย.....ทำไมจะไม่ได้ ใครๆ เค้าก็นอนกัน
หนึ่งในคำถามยอดฮิตสำหรับนักท่องเที่ยวแบกเป้มือใหม่ ที่หลงใหลการท่องเที่ยวราคาประหยัด และมีจุดหมายที่ประเทศเล็กๆ ที่แสนเปี่ยมเสน่ห์อย่างสิงคโปร์ มักจะถามกัน  สาเหตุก็คงเป็นเพราะตั๋วโปรไฟลท์ดึกของ Tiger Air และ Jetstar ที่มักให้ราคาเร้าใจจนอดจองไม่ได้  







แต่ละไฟลท์ก็ landing ซะตีหนึ่ง กว่าจะผ่าน immigation ก็เกือบจะตีสองเข้าไปแล้ว  ครั้นจะโบกแท็กซี่เข้าเมืองก็เปลืองเกินไป “นอนสนามบินได้มั๊ย” จึงเป็นคำถามที่เกิดขึ้น  ขอตอบเลยว่า “นอนได้แน่นอน 100% ค่ะ”  เพราะสนามบินนานาชาติสิงคโปร์ หรือชางกีนี้ ได้รับการโหวตให้เป็นสนามบินที่สะดวกสบายที่สุดในโลกมาหลายปีดีดักแล้ว มีภาพมายืนยันด้วยนะ  


ประสบการณ์พาคุณชายนอน "พื้น" ครั้งแรกที่ชางกี







อันนี้ขั้นแอดวานซ์ มีผ้ามาเองเลย


ถึงจะนอนได้แต่มืออาชีพอย่างเราต้องไม่มั่วซั่ว  ต้องคิดด้วยว่าจะนอนตรงไหนถึงจะสบายที่สุด อิอิ  จากประสบการณ์ที่ฝากชีวิตไว้กับชางกีมาหลายครั้งหลายหน พอจะระบุพิกัดที่นอนแบบสบายๆ ได้ ดังนี้ 

Terminal 1 
พิกัดเจ๋งๆ ที่อยากแนะนำคือ ชั้นบนด้านหลังโซนร้านอาหาร  จะมีจุดชมเครื่องบินซึ่งกว้างขวางและไม่พลุ่กพล่าน มีแสงสว่างพอประมาณไม่จ้าเกินไปนักและมีเก้าอี้ยาวนอนสบายให้เลือกเยอะพอสมควร  แต่ข้อเสียก็คือจะมีเสียงเครื่องบินขึ้น – ลงบ่อยๆ อาจจะหนวกหูและนอนไม่หลับค่ะ 

อีกจุดที่เราชอบมากๆ ก็คือที่ร้าน Starbucks  เราชอบที่นี่เพราะว่ามีปลั๊กให้เสียบชาร์จไฟได้ ครั้งล่าสุดเรากับแฟนไปขอรหัส Wi Fi แล้วมานั่งเล่นเน็ตเพลินๆ ที่นี่  เน็ตแรงสะใจแถมบรรยากาศก็เงียบๆ ชิลๆ ดี จิบชาเขียวจิ้มชีสเค้กแป๊ปเดียวก็เช้า ลากกระเป๋าไปเช็คอินกลับบ้านได้เลย เริดค่ะ!!  (Starbucks ราคาเท่าๆ กับบ้านเราค่ะ)






Terminal 2 
ที่นี่เป็นจุดศูนย์กลางที่เราจะต้องมาต่อรถไฟเพื่อเข้าเมือง  จุดที่เราชอบมากคือบริเวณใกล้ๆ กับบันไดเลื่อนลงสู่สถานีรถไฟใต้ดินนั่นเอง  เนื่องจากรถไฟหมดตอนเที่ยงคืน บริเวณนี้จึงปิดไฟมืดเหมาะแก่การนอนหลับพักผ่อนที่สุด!!!  ตรงนี้มีพื้นที่ให้นอนเยอะพอสมควร การนอนก็คงต้องอาศัยนอนลงกับพื้นเลยนะคะ เราเองตอนนอนก็วางเป้เอาหัวพาด หลับสบายจนถึงตีห้า เมื่อรถไฟเปิดให้บริการแล้ว ตรงนี้จะมีคนเดินผ่านเยอะและไฟสว่างจ้ามากค่ะ  


Terminal 3 
จากที่เดินสำรวจมา เทอมินอลนี้ไม่เหมาะกับการนอนเลยค่ะ  เนื่องจากบนเพดานประดับด้วยกระจก(หรืออะไรสักอย่าง) ซึ่งช่วยสะท้อนแสงจากหลอดไฟจนสว่างจ้าไปทั่ว หามุมเหมาะจะพักสายตาไม่ได้เลย ( หรือเราหาไม่ดีเองนะ Smiley)  







พิกัดที่นอนนี้ คือพื้นที่ก่อนผ่านตม.เข้าไปเท่านั้นนะคะ (ถ้าขาไปก็คือเราต้องผ่านตม.ออกมาแล้ว) ไม่แนะนำให้นอนด้านในเพราะว่าจะมีจนท.เข้ามาถามและไล่ให้ผ่านตม.ออกมา เรียกว่ากวนใจจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนแน่ๆ  หรือถ้าไม่เจอจนท.ไล่ คุณจะโดนตั้งคำถามที่ตม.ว่าลงเครื่องตั้งนานแล้วทำไมเพิ่งเดินออกมา (อธิบายยาวอีก) เลยเลี่ยงที่จะไม่เสี่ยงดีกว่าค่ะ แต่ขากลับถ้าเช็คอินได้เร็ว แนะนำให้มาเล่นเน็ตฟรี+นั่งนวดเท้าเพลินๆ ระหว่างรอขึ้นเครื่องค่ะ


หลับกันให้เพียบ อิอิ








Create Date : 29 กรกฎาคม 2556
Last Update : 29 กรกฎาคม 2556 17:31:32 น.
Counter : 10244 Pageviews.

0 comment
3 วันมันส์ 2 ประเทศ.....โน่นนิดนี่หน่อย เที่ยวเล็กๆ น้อยๆ 2 คืนในสิงคโปร์ (ภาคนี้เกือบติดตม.แหนะ!!!)
ท่องเที่ยว ท่องเที่ยวต่างประเทศ AEC สิงคโปร์ แบ็คแพ็คเกอร์




นั่งรถ Coach ออกจากมะละกาตั้งแต่ 1 ทุ่ม ดูวิวสองข้างทางเพลินๆ  มีจอดแวะให้เข้าห้องน้ำตอนเกือบสามทุ่มครั้งนึง  แล้วรถก็วิ่งยาวๆ ต่อไปยัง Johor Bahru รัฐชายแดนมาเลเซีย – สิงคโปร์  อย่างที่บอกว่าวันที่เราเดินทางนั้น (5 พ.ค. 56)  เป็นวันเลือกตั้งใหญ่ ทำให้บนถนนมีรถมากกว่าปกติและการจราจรก็แน่นเป็นช่วงๆ ด้วยค่ะ  และหลังจากนั่งฟังคนขับบ่นๆ มานาน 4 ชั่วโมง  ประมาณ 5 ทุ่มกว่าๆ เราก็มาถึงด่านตม.จนได้


การข้ามแดนก็จะเหมือนกับด่านชายแดนทั่วไป คือ เราต้องลงมาประทับตรา 2 ครั้ง ที่ด่านตม.มาเลเซียครั้งนึง  จากนั้นก็เดินขึ้นรถข้ามไปยังด่านตม.สิงคโปร์  เพื่อประทับตราและยื่นใบขอเข้าเมือง  บรรยากาศตอนนั้นคือทุกคนรีบเร่งมาก เดินจ้ำๆๆๆ เพื่อจัดการธุระให้ไวที่สุด  ส่วนนึงอาจเป็นเพราะเรามาถึงดึกมากแล้ว ใกล้จะปิดให้บริการล่ะมั้ง  (เดาเอาล้วนๆ ฮ่าๆ)


ตอนประทับตราออกจากด่านมาเลย์ผ่านฉลุย  แต่ที่ด่านตม.สิงคโปร์ดันมีปัญหาจนได้  เรากับแฟนเดินแยกกันเข้าแถวตามปกติ ของเราเจอจนท.ผู้หญิงที่สามารถพูดไทยได้ชัดเจน  ก็มีขอดู boarding pass ไฟลท์กลับและถามว่า 2 คืนนี้เราพักที่ไหนบ้าง (คืนที่สองนอนสนามบิน แกขำกระจายบอกเรางก)  หลังจากหยอกล้อจนหนำใจแล้ว จนท.ก็ประทับตราให้เราผ่านโดยไม่ติดขัดอะไรค่ะ  ทีนี้แฟนเราไปเจอจนท.ผู้ชายซึ่งดูดุและถามคำถามเยอะมาก (คนก่อนหน้าแฟนก็โดนหนักมาก)  แฟนเราก็เดินงัวเงียๆ ไปยื่นพาสปอร์ตและใบขอเข้าเมืองตามปกติ  จนท.ถามโน่นนี่แฟนเราเยอะมากพอสมควร ซึ่งแฟนเราก็ตอบได้  แถมจนท.ที่ประทับตราให้เรายังไปช่วยพูดๆ ให้ด้วยเรื่องคืนที่สองที่เรานอนสนามบินเพื่อรอบินกลับไฟลท์เช้า  แต่จนท.ตะคอกและพูดรัวๆ ใส่แฟนเราเหมือนทำอะไรผิดสักอย่าง  เราก็เลยเดินเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น  และก็พบความผิดพลาดที่แฟนเรากรอกข้อมูลในช่อง Have you ever been prohibited from entering Singapore ? คุณแฟนเจ้ากรรมง่วงจัดกรอกผิดไปว่า Yes  ทำให้จนท.ถามหนักเลยว่าเคยติดตม.เรื่องอะไร  เราเลยต้องแก้ใบตม.และขอโทษจนท.ให้เป็นการใหญ่  เรื่องนี้จำจนตายเลยค่ะ ง่วงๆ งงๆ นี่ห้ามกรอกใบเข้าเมืองเด็ดขาด  พลาดนิดนึงนี่จบเห่เลย (ถ้าเป็นเกาหลีคงโดนส่งกลับแล้วมั้งเนี่ย...)



Singapore Immigration Form

ผ่านด่านมหาภัยมาแบบลุ้นระทึก ประมาณเที่ยงคืนเราก็มาถึงจุดหมายที่ถนน Geylang จนได้  ลงจากรถก็ข้ามถนนมาซื้อของกินจาก 7 -11 แล้วโบกแท็กซี่ไป South Bridge Road ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Woke Home Capsule Hostel  ที่พักแนวแคปซูลของเรา หาไม่ยากเลยเพราะอยู่บนตึกเดียวกับ Five Stone Hostel อันโด่งดัง (แต่ของเราอยู่ชั้น 3, 4, 5, 6 ต้องกดลิฟท์ขึ้นมาเช็คอินที่ชั้น 6 ก่อน)  มาถึงแล้วก็รีบเช็คอิน อาบน้ำ และเข้านอนอย่างไว จนลืมถ่ายรูปที่พักเลย (ลงอินสตาแกรมไว้ 2 รูปเท่านั้น แหะๆๆ) ขอยืมรูปจากเว็บไซด์โรงแรมมาลงเพิ่มเติมให้ดูนะคะ



ในแคปซูลกว้างขวางใช้ได้ค่ะ





ข้อดีของ Woke Home Capsule
คือ ใกล้รถไฟฟ้าทั้งสายสีม่วงสถานี Clarke Quay และสายสีแดง - เขียว ที่สถานี Raffles Place ทำให้เดินทางเที่ยวและไปสนามบินได้สะดวกสบายมากๆ ค่ะ  ราคาก็ไม่สูงคนละ 700 กว่าบาทต่อคืนเท่านั้น  ในห้องพักจะเงียบและเป็นส่วนตัวมากกว่า Hostel ทั่วไปนิดหน่อยด้วย


ส่วนข้อเสียก็คือ ห้องน้ำ (ห้องส้วม) ไม่ค่อยสะอาดเลยค่ะ  อาจเป็นเพราะชั้นนึงมีห้องน้ำแค่ 4 -5 ห้องซึ่งถือว่าน้อยมาก (ชั้นนึงมี 5 ห้องพัก ห้องนึงนอนได้ 20 กว่าคน) แต่เพราะที่นี่แยกส่วนห้องน้ำ อ่างล้านหน้า และห้องอาบน้ำ ทำให้ใช้งานได้สะดวกดี   อีกหนึ่งข้อเสียสำคัญก็คือ แม่บ้านมารยาทแย่มาก เค้าเข้ามาเจอเรากับแฟนเก็บของและแต่งตัวตอนเกือบๆ 11 โมง  เค้าก็ถามว่า Cheach out? ซ้ำไปซ้ำมาเกือบ 5 รอบเป็นเชิงไล่ อาจจะเพราะต้องการทำความสะอาดเตียงรอบเดียวให้เสร็จ แต่ควรมีมารยาทและไม่ล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของผู้เข้าพักอย่างนี้ค่ะ  เราคอมเพลนกับฟร้อนท์ไปแล้ว เค้าก็ขอโทษขอโพยเป็นอย่างดี แต่คงไม่กลับมาพักที่นี่แล้วค่ะ ไม่ค่่อยโดนใจสักเท่าไรเลย



ภาพจาก //www.wokehomehostel.com



ภาพจาก //www.wokehomehostel.com



ชา กาแฟ ขนมปัง ทานได้ทั้งวันค่ะ ภาพจาก //www.wokehomehostel.com



ภาพจาก //www.wokehomehostel.com


ประมาณ 11 โมงครึ่ง หลังจากทานอาหารเช้า - เช็คเอาท์ - ฝากกระเป๋าเรียบร้อย  เราก็ออกเดินทางไปช้อปที่ Orchard  ด้วยการเดินดูบรรยากาศย่าน Boat Quay ซึ่งมีร้านนั่งดื่มยอดนิยมของหนุ่มสาวพนง.ออฟฟิศหลายร้านเลย เผลอแป๊ปเดียวก็ถึง MRT Raffles Place  แล้วค่ะ ยังไม่เหนื่อยเลย




















มาคราวนี้เรามีเวลาเที่ยวแค่วันเดียว ตัดสินใจซื้อบัตรแบบ One Day Pass ใช้เดินทางได้ทั้งรถไฟฟ้าและรถเมล์ สนนราคา SGD 22 ค่ะ  เก็บบัตรไว้เป็นที่ระลึกได้เลย 










จาก Raffles Place นั่งรถไฟฟ้าสายสีแดงไป Orchard ช้อปที่ห้างหรูยอดนิยม Ion ตั้งใจไปสอยนาฬิกาที่ River Island แต่ชอปดันปิดไปแล้ว  เลยแห้วตามระเบียบ





สักพักคุณแฟนก็เริ่มงอแง  นางขอไปเดิน Outlet สอยของถูกๆ แทนเดินห้างไฮโซ เราก็เลยต้องจัดให้  นั่งรถไฟฟ้าย้อนกลับมา Raffles Place แล้วนั่งสายสีเขียวไปลง Jurong East (สถานีนี้นั่งสีแดงไปก็ได้ แต่เรามีเวลน้อยไม่อยากนั่งอ้อมค่ะ)  จากนั้นเดินไปยังห้าง J Cube รอรถ Shuttle Bus ไปยังศูนย์รวม Outlet ที่ห้าง Imm

เที่ยวสิงคโปร์คราวก่อน ก็มาช้อปที่นี่ค่ะ  //www.bloggang.com/mainblog.php?id=bongbongstory&month=12-01-2013&group=11&gblog=2






เป็นห้างที่เรามาทีไรฝนตกทุกที Smiley  มาถึงก็เดิน Daiso ก่อนเหมือนเดิม  ต่อด้วย Outlet ทั้ง Timberland, New Balance, Cotton On, Hush Puppies, Bossini, Coach ราคาค่อนข้างถูกมากเลยค่ะ หลายๆ ชอปก็เริ่มเคลียร์สินค้าเตรียมรับมหกรรม Singapore Grand Sale ช่วงปลายเดือนพ.ค. กันแล้ว


















ช้อปปิ้งจนตัวเบาแถมหิวท้องกิ่วแล้วด้วย ประมาณบ่ายสาม เราก็นั่งรถไฟฟ้ากลับมาลงสถานี Outram Park แล้วนั่งสายสีม่วงไปลงสุดสายที่ Harbour Front  แวะมาหม่ำมื้อกลางวันกันที่ Vivo City  ในร้านสุดหรูยอดนิยมกันค่ะ






No Signboard Seafood  ภัตตาคารอาหารจีน – อาหารทะเล  ซึ่งถือได้ว่าเป็นร้านรับแขกบ้านแขกเมืองของสิงคโปร์   ความจริงร้านนี้คนเต็มร้านแทบจะทั้งวัน  แต่บังเอิญว่าเราไปถึงตั้งแต่ยังไม่ 4 โมงเย็นและเป็นวันธรรมดาอีกตะหาก  เรากับแฟนเลยเป็นลูกค้าโต๊ะแรกและโต๊ะเดียวในช่วงนั้น  บริกร 4 -5  คนเลยมาจับจ้องแต่โต๊ะเราอย่างเดียว  อึดอัดน่าดูเลยล่ะกว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น – ไต้หวันมาช่วยลดบรรยากาศมาคุลง











เมนูสุดฮิตที่ห้ามพลาดของที่นี่ก็คือปู ซึ่งมีให้เลือกหลายแบบด้วยกัน  แน่นอนว่าเราตั้งใจมากินปูศรีลังกาตัวใหญ่บิ้มและเลือกเป็นผัดซอส (น้ำซอสมันเข้มข้นโดนใจกว่า อิอิ)  นอกจากนั้นก็สั่ง Crystal Pawn  หมั่นโถวมินิ  และข้าวเปล่ามาด้วยค่ะ  ตอนแรกคิดว่าคงไม่อิ่มและต้องสั่งเพิ่ม  ที่ไหนได้ แค่ปูอย่างเดียวก็ใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงกว่าจะทานหมด  สนนราคามื้อนี้จ่ายไป SGD 128 (เฉพาะปู SGD 64)
















มันหญ่ายยยยยยยมาก


อิ่มแล้วก็นั่งรับลมที่จุดชมวิวของ Vivo City อีกสักแป๊ปก่อนไปดูไฟที่ Garden by The Bay


















เมื่อฟ้าเริ่มมืด เราก็เดินทางไป Garden by The Bay กันต่อ  นั่งรถไฟสีม่วงไปลง Dhoby Ghaut นั่งสายสีแดงไปลงสุดสายที่ Marina Bay  และต่อสายสีส้ม CE ไป 1 สถานีเพื่อลงที่ Bayfront ดูยุ่งยากไปนิดแต่เราจะมาโผล่ที่ทางเข้าสวนพอดิบพอดีโดยไม่ต้องนั่งแท็กซี่ค่ะ  ประหยัดดีใช่ม๊าาา Smiley














เดินจากรถไฟฟ้านิดหน่อย ข้ามสะพานไปก็เข้าสู่สวนในจุดที่มี Super Tree มากที่สุด  เพราะคราวนี้เรามีเวลาน้อยเลยมาดูการแสดง Light and Sound อย่างเดียว ไม่ได้เดินชมเทศกาลดอกทิวลิป น่าเสียดาย แต่การแสดงแสงสีเสียงก็สวยมากจริงๆ ค่ะ






































จบการเที่ยวสิงคโปร์แบบประทับใจ  เดินทางกลับไปเอากระเป่าที่ Hostel แล้วนั่งรถไฟฟ้าสีเขียวเข้าสู่สนามบินนานาชาติ Changi  เนื่องจากเราเดินทางที่ Terminal 1  คืนนั้นเลยฝากชีวิตไว้ที่ Starbucks ทั้งคืน  ไปรับ password Wi Fi ฟรีที่เคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ แล้วนั่งจิบ Green Tea Frappuccino ไป นั่งเล่นเน็ตชิลๆ ไป (แน่นอนว่าที่ Starbucks ชาร์จไฟได้ยาวๆ ) ง่วงก็งีบเป็นพักๆ ไป สบายใช้ได้เลยล่ะ










พอตี 5 ก็เช็คอินไฟลท์ 3K511 เดินช้อปใน Duty Free เล็กน้อย  ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพด้วยเครื่อง Airbus A320  ถึงสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ 8.45น. แล้วเราก็บึ่งไปทำงานต่อเดี๋ยวนั้น  จบทริปแน่นๆ 3 วัน 2 ประเทศแบบอิ่มอกอิ่มใจ และหวังว่าจะได้กลับไปเยือนอีกในไม่ช้า

เพจหน้าจะเขียนเกี่ยวกับการนอนที่สนามบิน Changi บ้าง หวังว่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆ ที่จะไปสิงคโปร์แบบประหยัดบ้างนะคะ Smiley (มีคนถามมาในหลังไมค์เยอะเลย)





Create Date : 08 มิถุนายน 2556
Last Update : 9 มิถุนายน 2556 2:59:56 น.
Counter : 8960 Pageviews.

1 comment
3 วันมันส์ 2 ประเทศ.....ตะลุยมะละกา ดินแดนแห่งวัฒนธรรม ภาคกลางวัน
ท่องเที่ยว ท่องเที่ยวต่างประเทศ AEC มาเลเซีย มะลา มรดกโลก แบ็คแพ็คเกอร์
เริ่มวันอาทิตย์ที่แสนสดใสกันตั้งแต่ 11โมง (เช้าลื๊มมมม)  ก่อนจะเดินชมมะละกา เมืองมรดกโลกที่สวยงามและเต็มไปด้วยมนต์ขลัง  ตราบใดที่กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เราก็ต้องเริ่มด้วยอาหารอร่อยๆ เหมือนกัน  ซึ่งร้านที่จะมาฝากท้องกันมื้อนี้ เป็นอีกหนึ่งร้านอร่อยห้ามพลาดของมะละกาค่ะ







เริ่มเดินทางจากหน้าตึกแดงไปทางถนนคนเดิน Jonker Street  ระยะทางประมาณ 50 เมตร จะพบป้ายชื่อร้าน Famosa Chicken Rice Ball ทางซ้ายมือค่ะ



ร้านตกแต่งในสไตล์จีนโบราณ มีภาพบรรยากาศเก่าๆ ของเมืองมะละกาให้ชม คล้ายกับว่าเป็นเอกลักษณ์เด่นของร้านค้าและบ้านเรือนในอดีตเมืองท่าแห่งนี้







เมนูเด่นของร้านก็หนีไม่พ้นข้าวมันไก่ลูกบอล  เราเริ่มสังทั้งข้าวลูกบอล (rice ball)  ไก่ย่างจานเล็ก  หมูอบน้ำผึ้งจานเล็กและเกี๊ยวน้ำ  รอประมาณ 5 นาที อาหารก็ยกขบวนกันมาเสิร์ฟถึงโต๊ะเราแล้วค่ะ




rice ball ลูกละ 0.4 ริงกิต



หมูอบน้ำผึ้ง หวานมากกกกกกก


ไก่ย่าง


เกี๊ยวน้ำ เกี๊ยวไส้หมูชิ้นบิ๊กเบิ้มเต็มคำ

สรุปโดยรวมรสชาติพอใช้ได้ค่ะ ติหมูน้ำผึ้งที่หวานแสบไส้แสบคอ (ยิ่งกว่าที่ฮ่องกงอีก) นอกนั้นใช้ได้เลยค่ะ  สนนราคามื้อนี้ 28.20 ริงกิตเท่านั้นเอง

อิ่มเต็มที่ก็เริ่มออกเดินชมเมืองกันต่อเลย  เดินเรื่อยๆ สบายๆ (แม้อากาศจะร้อนอบอ้าวมากๆ) จาก Jonker Street ข้ามสะพานไปยัง Chris Church Melaka หรือโบสถ์ดัชต์สีแดงสะดุดตา อันเป็นจุดศูนย์กลางของดินแดนมรดกโลกแห่งนี้







ธงสีน้ำเงินๆ นั้นอารมณ์เหมือนป้ายหาเสียง ดันไปเที่ยวตอนวันเลือกตั้งใหญ่พอดี


Chris Church Melaka


Melaka Landmark





รถถีบประดับดอกไม้ สัญลักษณ์อีกหนึ่งอย่างของมะละกา


เก็บภาพ Dutch square จนพอใจแล้ว ก็เดินต่อขึ้นไปยัง Bukit St. Paul (Bukit = เนินเขา) เพื่อชมโบสถ์เซนต์ปอลที่สวยงามกัน  โดยแวะที่ Museum of Literature และ Democratic Museum ก่อน  สองแห่งเสียค่าเข้าครั้งเดียว คนละ 5 ริงกิตค่ะ


Museum of Literature








Democratic Museum






เดินมาอีกนิดดดดดด ก็ถึงโบสถ์เซนต์ปอลแล้ว เฮ่!!!



St. Paul Church โบสถ์เก่าแก่บนเนินเขา สร้างโดยคณะบาทหลวงจากโปรตุเกสในปี ค.ศ. 1521  เมื่อชาวดัชตืได้เข้าครอบครองมะละกา ก็ตั้งชื่อโบสถ์ซะใหม่เป็นโบสถ์เซนต์ปอล และใช้งานต่อไปอีก 112 ปี จนกระทั่ง Dutch Church หรือโบสถ์สีแดงได้สร้างแล้วเสร็จ ในปีค.ศ. 1753 จึงเปลี่ยนไปใช้งานโบสถ์ใหม่แทน
















ด้านหน้าโบสถ์สามารถชมวิวได้ไกลสุดลูกหูลูกตา  ติ๊ต่างไปว่างยืนชมช่องแคบมะละกาอยู่ค่ะ อิอิ








รูปปั้น Saint Francis Xanvier ที่ไม่มีมือข้างขวาเนื่องจากโดนฟ้าผ่า  ซึ่งบังเอิญไปพ้องกับเรื่องจริง ที่พระศพของท่านถูกตัดมือข้างขวา เพื่อนำไปเก็บไว้ที่นครวาติกัน




หลังจากนั้นก็เดินลงเนินเขาทางด้านหลัง เพือไปยัง Istana Kesultanan Melaka กันค่ะ




เจอป้อมโบราณก่อน แวะแชะๆ เก็บภาพนิดหน่อย






เลี้ยวซ้ายจ่ายค่่าเข้าชมก่อนนะคะ คนละ 5 ริงกิตเท่านั้น






Istana Kesultanan Melaka พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมมะละกา สร้างขึ้นโดยเลียนแบบพระราชวังเดิมในสมัยศตวรรษที่่ 15 ของสุลต่านมะละกา  สร้างจากไม้และใช้การตอกสลักทั้งหลัง (ไม่ใช้ตะปู)  มูลค่าราวๆ 2.5 ล้านริงกิต  โดยเปิดให้เข้าชมตั้งแต่ปีพ.ศ. 2529 โดยนายกรัฐมนตรีมหาธีร์ มูฮัมหมัด ผู้ยิ่งใหญ่ค่ะ












เดินจนเหนื่อยขาลาก แถมร้อนแดดจนแทบจะเป็นลม  ประมาณบ่ายสองโมงเราสองคนเลยขอลี้ภัยไปนั่งจิบชาเย็น หม่ำเค้กอร่อยๆ  ต่อด้วยเดินเล่นในห้างต่อสักพักค่ะ




หลังจากนั้นเราตัดสินใจไปรอที่ Melaka Sentral เลยดีกว่าค่ะ  ความจริงแล้วรถบัสของเราออกทุ่มนึง แต่ดูท่าทางฝนน่าจะตกในไม่ช้า ก็เลยเดินเลียบแม่น้ำเพื่อกลับไปเอากระเป่าที่โฮสเทลกันค่ะ  ผ่าน Maritime Museum แต่ไม่ได้เข้าไปชมข้างในค่ะ






บรรยากาศเงียบสงบเย็นสายริมแม่น้ำ เห็นเมฆฝนชัดเจนเชียว










ได้กระเป๋าสัมภาระแล้วก็กลับมารอรถที่ป้ายรถเมล์เดิม บริเวณ Dutch square เนื่องจากรถสาย 17 วิ่งวนเป็นวงกลม แต่ครั้งนี้ที่เราจะกลับไปยัง Melaka Sentral จะใช้เวลาประมาณ 45 นาที  นานกว่าตอนนั่งมาที่นี่ค่ะ (เผื่อเวลาเดินทางกันให้ดีนะคะ เดี๋ยวตกรถ)






หลังจากนั้นก็แวะช้อปขนมและของกินเล่นที่ซุปเปอร์ใน Melaka Sentral (เค้าไม่ให้ถ่ายภาพค่ะ) ขอบอกว่าของค่อนข้างเยอะและถูกมาก ใครหาของากสามารถช้อปจากที่นี่ได้เลยล่ะ  หลังจากนั้นก็ขึ้นรถบัสมุ่งหน้าสู่สิงคโปร์กัน ใช้เวลาประมาณ 4.30 ชั่วโมง  ออกจากมะละกาทุ่มนึง ไปถึงถนนเกลังราวๆ เที่ยงคืนค่ะ


ครั้งหน้ามาเล่าต่อว่า 1 วัน 2 คืนในสิงคโปร์ เราทำอะไรกันบ้าง






Create Date : 26 พฤษภาคม 2556
Last Update : 9 มิถุนายน 2556 3:10:02 น.
Counter : 2602 Pageviews.

0 comment
3 วันมันส์ 2 ประเทศ.....a day in Melaka หลงเสน่ห์มะละกา....เมืองมรดกโลก
ท่องเที่ยว ท่องเที่ยวต่างประเทศ AEC มาเลเซีย มะลา มรดกโลก แบ็คแพ็คเกอร์ หลังนั่งหลับสบายๆ บนรถบัสมา 2 ชั่วโมงกว่าๆ  เราก็เดินทางมาถึงมะละกาในเวลาประมาณทุ่มเศษๆ   โดยรถบัสจะจอดส่งเราที่ Melaka Sentral เราสามารถเดินไปขึ้นรถเมล์สาย 17 เข้าเมืองได้เลย

แต่.....ธุระของเรายังไม่จบ ลางสังหรณ์บอกเราว่าควรจะซื้อตั๋วรถไปสิงคโปร์ก่อนเข้าเมืองเพื่อความอุ่นใจ  เราสองคนจึงเดินไปสอบถามหาตั๋วรถจากเคาท์เตอร์ต่างๆ (มีให้เลือกประมาณ 5 บริษัทค่ะ) และลางสังหรณ์ก็แม่นสุดๆ เพราะรถไปสิงคโปร์ในวันอาทิตย์นั้นเต็มเกือบหมดแล้ว!!!  จากที่ตอนแรกเราตั้งใจจะจองรอบประมาณบ่าย 4 – 5 โมงเย็น กลายเป็นว่าเหลือรอบ 10.00น.รอบเดียวเท่านั้น  วนไปวนมาแบบน้ำตาซึมหลายรอบก็ได้คำตอบเดิม  เกือบจะยืนร้องไห้หน้าเคาท์เดอร์ของ Delima ในที่สุด หลังจากอ้อนวอนพระเจ้าและจนท.ขายตั๋วอยู่นาน  เค้าก็ตัดสินใจแคนเซิ่ลตั๋วจอง (ที่ยังไม่ได้จ่ายเงิน)  ในรอบ 1 ทุ่มจำนวน 2 ที่นั่งเพื่อขายให้เราค่ะ  ส่วนสาเหตุที่ตั๋วเต็มแน่นขนาดนั้น  เนื่องจากวันอาทิตย์ที่ 5 พ.ค. มีการเลือกตั้งใหญ่ในมาเลเซีย  ทำให้ชาวมาเลย์ในสิงค์โปร์ต้องมาใช้สิทธิ์และเดินทางกลับในช่วงเย็นวันอาทิตย์นั่นเอง นี่คือจุดผิดพลาดของเราเองที่ไม่เตรียมการให้พร้อมจนไม่รู้ว่าเดินทางไปเที่ยวในช่วงเลือกตั้งค่ะ (น่าชื่นใจมาก เพราะชาวมาเลย์ออกมาใช้สิทธิ์กันถึง 80% สุดยอดดดดดด)  

จบเรื่องตั๋วก็นัง่รถเมล์เข้าเมืองกัน  โดยฝั่งที่เราลงรถบัสเรียกว่า International  ส่วนฝั่งรถประจำทางเรียก Domestic เหมือนในสนามบินค่ะ  เดินไปถึงก็ขึ้นรถสาย 17 ค่าโดยสารประมาณ 1.30 ริงกิตค่ะ (ความจริงถ่ายรถเมล์ตอนวันกลับค่ะ  อิอิ) ช้เวลาเดินทาง 15 นาที ลงรถเมล์ที่ Dutch Square หรือโบสถ์ฮอลแลนด์สีแดงสดใส อันเป็นสัญลักษณ์ของมะละกาได้เลย




ลงรถแล้วก็ต้องเอาสัมภาระไปเก็บก่อน  ครั้งนี้เรานอนที่ Hostel เปิดใหม่ทำเลสุดยอดค่ะ  โดยเดินข้ามสะพานมายังฝั่ง Chinatown แล้วเลี้ยวขวาที่หน้าตึกแดง (ร้านขายของฝาก) เดินไปอีก 3 – 4 บล็อกก็ถึงแล้วค่ะ  Galvanize Studio Stay ที่พักคืนนี้ของเรา


เส้นสีชมพู = ถนนคนเดิน Jonkr Street

จุดน้ำเงิน = ป้ายรถเมล์

จุดแดง = ที่พัก










เราจองห้องรวม 4 เตียงเอาไว้ แต่เพราะเป็นที่พ้กเล็กๆ ทีเพิ่งเปิดใหม่จึงไม่มีคนพัก  สรุปว่าทั้งห้องเป็นของเราสองคนเท่านั้นค่ะ (แต่แฟนขี้กลัวก็มานอนเบียดเราอยู่ดี)










เก็บของเสร็จแล้วก็ออกตระเวนราตรีที่ Jonker Street กัน  ถนนคนเดินนี้จะมีเฉพาะคืนวันเสาร์ - อาทิตย์เท่านั้นค่ะ  ขอบอกว่าของกินเพียบ ราคาก็ไม่แพงด้วยล่ะ









Famosa ข้าวมันไก่ลูกบอลเจ้าดัง 



มื้อค่ำนี้เรามาฝากท้องที่ร้านดังของมะละกาอย่าง Jonker 88 ค่ะ  ร้านนี้ขายอาหารพื้นเมืองสไตล์เปอรานากันและจีนไหหลำหลายอย่างค่ะ  แต่ทีดังที่สุดคือขนมหวานคล้ายๆ น้ำแข็งใสค่ะ ถ้ามาช่วงกลางวันคนจะแน่นมาก  แต่เรามาถึงดึกเลยโล่ง เพราะเค้าเหลือไม่กี่เมนูและกำลังจะปิดแล้ว








เมนูประจำถิ่น Baba Seafood Laksa ลัคซาของที่นี่เป็นแบบ Asam Laksa น้ำแกงจะไม่ใส่กะทิและมีรสชาติออกเปรี้ยวคล้ายแกงส้มบ้านเรา  เครื่องก็มีทั้งเส้นลัคซาเหนียวนุ่ม ไข่ต้ม กุ้ง ปลาหมึก มะม่วงเปรี้ยว ทูน่า  สชาติเผ็ดกำลังดีถูกใจเรามากค่ะ (รสชาติจะต่างจาก Curry Laksa ที่ใส่กะทิ ผักแพว และหอยแครงลวกของทางฝั่งสิงคโปร์มากๆ )






ของหวานยอดฮิต Baba Chendol (Chendol = ลอดช่อง)  และอีกถ้วยคือ Baba Ice Kacang (Kacang = ถั่วแดง) จุดเด่นของขนมหวานอยู่ที่ Guala Melaka หรือน้ำตาลเคี่ยวเหนียวหนึบหอมหวานนี่แหลค่ะ  ขอบอกว่าอร่อยมากมาย  มื้อนี้จ่ายไปประมาณ 16 ริงกิตเท่านั้นเอง






หลังจากอิ่มแล้ว เราก็เดินเที่ยวตลาดกันต่ออีกนิด ชมวิถีชีวิตน่ารักๆ ของคนที่นี่อีกหน่อย  ก่อนเข้านอนเพื่อเก็บแรงไว้สำหรับเที่ยวมะละกาในวันรุ่งขึ้น




Create Date : 19 พฤษภาคม 2556
Last Update : 9 มิถุนายน 2556 3:00:49 น.
Counter : 2312 Pageviews.

1 comment
3 วันมันส์ 2 ประเทศ.....Selamat Datang Kuala Lumpur
ท่องเที่ยว ท่องเที่ยวต่างประเทศ AEC มาเลเซีย มะลา มรดกโลก แบ็คแพ็คเกอร์
Selamat Datang.....เริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่กับทริปสั้นๆ 3 วัน 2 คืน ตะลุยกัวลาลัมเปอร์ – มะละกา – สิงคโปร์ ออกแนวชะโงกทัวร์เพราะเวลาจำกัด แต่มนุษย์เงินเดือนแบบเราก้ต้องทำใจยอมรับ แล้วมันส์กับทริปดิบๆ โหดๆ ของเราต่อไป Smiley

---------------------------------------------------------------------------------

เดินทางตั้งแต่เช้ามืดวันเสาร์ที่ 4 พ.ค. ไปยังสนามบินดอนเมือง เพื่อขึ้นเครื่องAirasia ไฟลท์ FD2911 ไปยังเมืองหลวงแห่งสหพันธรัฐมาเลเซีย



ใช้เวลาราว 2ชั่วโมงครึ่งก็มาถึงสนามบิน LCCT ของ Airasia จากที่นี่สามารถหารถบัสไปยัง KL Sentral ได้อย่างง่ายดาย (สนามบินห้ามถ่ายรูป เอาเป็นว่าเดินตามป้ายไปเรื่อยๆ นะคะ) โดยรถบัสเหล่านี้มหลายบบริษัทให้เลือก ราคาอยู่ที่ 8 ริงกิต ใช้เวลาเดินทาง 45 นาทีค่ะ



KL Sentral คือศูนย์กลางการเดินทางในกรุงกัวลาลัมเปอร รถไฟฟ้าทุกสาย (มั้ง???) จะผ่านสถานีนี้ มีรถบัสจาก LCCT (สนามบิน Low cost ของแอร์เอเชีย) และ KLIA (สนามบินนานาชาติกัวลาลัมเปอร์) มาที่นี่วันละหลายสิบรอบถือว่าสะดวกสบายพอสมควร อีกทั้งยังลดการหลงทางสำหรับคนเมมสมองน้อยอย่างเราด้วยล่ะ อิอิ

ภายใน KL Sentral มีร้านอาหาร ร้านขายซิม – โทรศัพท์ ร้านสะดวกซื้อ และบริการล็อคเกอร์ฝากของ คอยให้บริการนักท่องเที่ยวแบบครบครัน เราฝากกระเป๋าที่นี่แล้วออกไปตะลุยช้อปปิ้งกันดีกว่า



จุดหมายปลายทางของเราคือ KLCC จุดรวมศูนย์การค้า ร้านอาหาร โรงแรม สวนสาธารณะ และเป็นจุดใกล้ที่สุดที่จะถ่ายภาพงามๆ ของตึกแฝดค่ะ ซื้อตั๋วรถไฟฟ้าสาย Kelana Jaya ไปลงสถานี KLCC ได้เลย



ออกจากรถไฟฟ้าก็จะเจอทางเดินแยกย่อยหลายทาง เลือกเดินมาทาง Suria หรือศูนย์การค้าใกล้ตึกแฝดได้เลยค่ะ จะมีร้านค้าร้านอาหารตลอดทาง




บังเอิญเจอร้าน (เคย)ดังมากในบ้านเรา แฟนอยากทานด้วยความคิดถึงเลยไปต่อแถวซื้อมาจนได้






ด้วยความหิวเราสองคนเลยมองหาร้านอาหารถูกใจ แต่ด้วยความที่เป็นวันเสาร์และเป็นช่วงเที่ยงอีกตะหาก ร้านทุกร้านคนแน่นไปหมด สุดท้ายตายรังไปหากินใน Food Court ด้านบนก็ได้  จากศูนย์อาหารมองเหนวิวสวยๆ ที่น้ำพุด้านหน้าได้ชัดเจน โดยไม่ต้องไปตากแดดให้ลมจับด้วย Smiley



เติมพลังเสร็จก็มึนหัวอีก เพราะตื่นเช้า+อากาศร้อนมาก เลยงดออกไปถ่ายรูปตึกแฝดเพราะแดดจัดจ้านเกินไป ช้อปเบาๆ ที่ Harrods และ Sephora (พยายามจะถ่ายรุปมาเยอะๆ แต่รปภ.หน้าเข้มเดินมาเตือนฝรั่งสองคนที่ยืนใกล้ๆ กันว่า “No Photo” ไม่ถ่ายก็ได้ฟระ ชิ)




จากนั้นก็มุ่งหน้าเดินต่อไปยัง Bukit Bintang ย่านช้อปยอดนิยมกันดีกว่า ระยะทางก็ไกลพอเหนื่อยหอบ ดีที่มีหลังคาตลอดเส้นทาง ชมนกชมไม้เดินตามป้ายไปเรื่อยๆ






มาโผล่ที่ Bukit Bintang Entrance หน้าห้างหรู Pavillion




มองไปฝั่งตรงข้ามเจอ Sephora สาขาแรกในมาเลเซีย ได้สอย Naked 2 จากที่นี่แหละ





ร้านดังอย่าง H&M Vincci Uniqlo มีครบ มาแล้วห้ามลืมสอยรองเท้าสวยๆ ราคาเบาๆ จากVincci นะคะ สาขานี้แบบเยอะ เบอร์ครบ พนง.นิสัยดีค่ะ







ช้อปจนตัวเบาแล้วก็ข้ามฝั่งมาขึ้นรถไฟฟ้า Monorail กลับไปยัง KL Sentral เพื่อเอากระเป๋าและเดินทางไปซื้อตั๋วรถไปมะละกา



ที่ KL Sentral เราพยายามจะซื้อตั๋วรถไฟฟ้าสาย KLIA Express ซึ่งเป็นรถด่วนไปสนามบิน(แต่จอดที่ Bandar Tasik Selantan ที่เราต้องไป) แต่จนท.ไม่ยอมขายให้ และไล่ให้ไปซื้อตั๋วรถสาย KTM Komuter แทน  ถึงแม้จะไม่รู้เหตุผลแต่เราก็ยอมไปแต่โดยดี  ค่ารถประมาณ 1 ริงกิตนิดๆ ต้องนั่งไปอีก 3 สถานี ถึงปลายทางของเราที่ Bandar Tasik Selantan  แม้รถสายนี้จะมีมานานมากแต่บวนรถใหม่เอี่ยม ไม่ได้แย่กว่า BTS ของเราเลยล่ะ ไม่ช้าเท่าไรด้วย แม้ว่าจะไม่ปรู๊ดปร๊าดเท่าสายที่ไปสนามบินก็ตาม  

ลงรถไฟฟ้าแล้วมุ่งหน้าไปยัง TBS ซึ่งเป็นสถานีขนส่งสายใต้ของมาเลเซีย  สามารถซื้อตั๋วรถไปเมืองทางใต้ทั้ง Meleka  หรือ Johor Bahru ได้จากที่นี่ค่ะ 






ภายในสะอาดสะอ้าน ใหญ่โตและทันสมัย  เทียบเท่าสนามบินดอนเมืองเราได้สบายๆ  เมื่อเดินเข้ามาแล้วก็ซิ้อตั๋วเคาท์เตอรไหนก็ได้ค่ะ  เราซื้อของบริษัท Metro Bus ไปยัง Melaka ราคา 9 ริงกิตเท่านั้น (ตอนซื้ออย่าลืมยื่นพาสปอร์ตให้เค้าด้วยนะคะ)  ถามจนท.ได้ความว่าใช้เวลาราวๆ 2 ชั่วโมงในการเดินทางค่ะ



เมื่อได้ตั๋วแล้วเดินไปนั่งรอหน้า Gate ของเราได้เลย รถออกตรงเวลาเป๊ะๆ






ดื่มน้ำและททำธุระให้เรียบร้อย เตรียมตัวหลับยาวๆ 2 ชั่วโมงบนรถบัสแอร์เย็นฉ่ำของเรา ตอนต่อไปโม้ยาวๆ 1 คืน 1 วัน ในมะละกที่แสนจะลั้ลลาของเรา  เยSmiley







อ่านต่อ

Smiley 3 วันมันส์ 2 ประเทศ.....a day in Melaka หลงเสน่ห์เมืองมรดกโลก

Smiley 3 วันมันส์ 2 ประเทศ.....ตะลุยมะละกา ภาคกลางวัน

Smiley 3 วันมันส์ 2 ประเทศ.....โน่นนิดนี่หน่อย เที่ยวเล็กๆ น้อยๆ 2 คืนในสิงคโปร์ (ภาคนี้เกือบติดตม.แหนะ!!!)



Create Date : 12 พฤษภาคม 2556
Last Update : 31 กรกฎาคม 2556 14:00:11 น.
Counter : 2481 Pageviews.

1 comment
1  2  3  

ต๊องต๊อง กะ บ๊องบ๊อง
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



Just a little step in the Big World
โลกกว้างใหญ่ มีอะไรให้เรียนรู้อีกมาก

ต๊องต๊อง กะ บ๊องบ๊อง
All rights reserved
[สงวนลิขสิทธิ์ ตาม พรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539]