Group Blog All Blog
|
นอนสนามบินสิงคโปร์ได้มั๊ย.....ทำไมจะไม่ได้ ใครๆ เค้าก็นอนกัน
หนึ่งในคำถามยอดฮิตสำหรับนักท่องเที่ยวแบกเป้มือใหม่ ที่หลงใหลการท่องเที่ยวราคาประหยัด และมีจุดหมายที่ประเทศเล็กๆ ที่แสนเปี่ยมเสน่ห์อย่างสิงคโปร์ มักจะถามกัน สาเหตุก็คงเป็นเพราะตั๋วโปรไฟลท์ดึกของ Tiger Air และ Jetstar ที่มักให้ราคาเร้าใจจนอดจองไม่ได้ ![]() ![]() แต่ละไฟลท์ก็ landing ซะตีหนึ่ง กว่าจะผ่าน immigation ก็เกือบจะตีสองเข้าไปแล้ว ครั้นจะโบกแท็กซี่เข้าเมืองก็เปลืองเกินไป นอนสนามบินได้มั๊ย จึงเป็นคำถามที่เกิดขึ้น ขอตอบเลยว่า นอนได้แน่นอน 100% ค่ะ เพราะสนามบินนานาชาติสิงคโปร์ หรือชางกีนี้ ได้รับการโหวตให้เป็นสนามบินที่สะดวกสบายที่สุดในโลกมาหลายปีดีดักแล้ว มีภาพมายืนยันด้วยนะ ![]() ประสบการณ์พาคุณชายนอน "พื้น" ครั้งแรกที่ชางกี ![]() ![]() ![]() อันนี้ขั้นแอดวานซ์ มีผ้ามาเองเลย ถึงจะนอนได้แต่มืออาชีพอย่างเราต้องไม่มั่วซั่ว ต้องคิดด้วยว่าจะนอนตรงไหนถึงจะสบายที่สุด อิอิ จากประสบการณ์ที่ฝากชีวิตไว้กับชางกีมาหลายครั้งหลายหน พอจะระบุพิกัดที่นอนแบบสบายๆ ได้ ดังนี้ ![]() พิกัดเจ๋งๆ ที่อยากแนะนำคือ ชั้นบนด้านหลังโซนร้านอาหาร จะมีจุดชมเครื่องบินซึ่งกว้างขวางและไม่พลุ่กพล่าน มีแสงสว่างพอประมาณไม่จ้าเกินไปนักและมีเก้าอี้ยาวนอนสบายให้เลือกเยอะพอสมควร แต่ข้อเสียก็คือจะมีเสียงเครื่องบินขึ้น ลงบ่อยๆ อาจจะหนวกหูและนอนไม่หลับค่ะ อีกจุดที่เราชอบมากๆ ก็คือที่ร้าน Starbucks เราชอบที่นี่เพราะว่ามีปลั๊กให้เสียบชาร์จไฟได้ ครั้งล่าสุดเรากับแฟนไปขอรหัส Wi Fi แล้วมานั่งเล่นเน็ตเพลินๆ ที่นี่ เน็ตแรงสะใจแถมบรรยากาศก็เงียบๆ ชิลๆ ดี จิบชาเขียวจิ้มชีสเค้กแป๊ปเดียวก็เช้า ลากกระเป๋าไปเช็คอินกลับบ้านได้เลย เริดค่ะ!! (Starbucks ราคาเท่าๆ กับบ้านเราค่ะ) ![]() ![]() ![]() ที่นี่เป็นจุดศูนย์กลางที่เราจะต้องมาต่อรถไฟเพื่อเข้าเมือง จุดที่เราชอบมากคือบริเวณใกล้ๆ กับบันไดเลื่อนลงสู่สถานีรถไฟใต้ดินนั่นเอง เนื่องจากรถไฟหมดตอนเที่ยงคืน บริเวณนี้จึงปิดไฟมืดเหมาะแก่การนอนหลับพักผ่อนที่สุด!!! ตรงนี้มีพื้นที่ให้นอนเยอะพอสมควร การนอนก็คงต้องอาศัยนอนลงกับพื้นเลยนะคะ เราเองตอนนอนก็วางเป้เอาหัวพาด หลับสบายจนถึงตีห้า เมื่อรถไฟเปิดให้บริการแล้ว ตรงนี้จะมีคนเดินผ่านเยอะและไฟสว่างจ้ามากค่ะ ![]() จากที่เดินสำรวจมา เทอมินอลนี้ไม่เหมาะกับการนอนเลยค่ะ เนื่องจากบนเพดานประดับด้วยกระจก(หรืออะไรสักอย่าง) ซึ่งช่วยสะท้อนแสงจากหลอดไฟจนสว่างจ้าไปทั่ว หามุมเหมาะจะพักสายตาไม่ได้เลย ( หรือเราหาไม่ดีเองนะ ![]() ![]() ![]() ![]() พิกัดที่นอนนี้ คือพื้นที่ก่อนผ่านตม.เข้าไปเท่านั้นนะคะ (ถ้าขาไปก็คือเราต้องผ่านตม.ออกมาแล้ว) ไม่แนะนำให้นอนด้านในเพราะว่าจะมีจนท.เข้ามาถามและไล่ให้ผ่านตม.ออกมา เรียกว่ากวนใจจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนแน่ๆ หรือถ้าไม่เจอจนท.ไล่ คุณจะโดนตั้งคำถามที่ตม.ว่าลงเครื่องตั้งนานแล้วทำไมเพิ่งเดินออกมา (อธิบายยาวอีก) เลยเลี่ยงที่จะไม่เสี่ยงดีกว่าค่ะ แต่ขากลับถ้าเช็คอินได้เร็ว แนะนำให้มาเล่นเน็ตฟรี+นั่งนวดเท้าเพลินๆ ระหว่างรอขึ้นเครื่องค่ะ ![]() หลับกันให้เพียบ อิอิ ![]() ![]() 3 วันมันส์ 2 ประเทศ.....โน่นนิดนี่หน่อย เที่ยวเล็กๆ น้อยๆ 2 คืนในสิงคโปร์ (ภาคนี้เกือบติดตม.แหนะ!!!)
![]() นั่งรถ Coach ออกจากมะละกาตั้งแต่ 1 ทุ่ม ดูวิวสองข้างทางเพลินๆ มีจอดแวะให้เข้าห้องน้ำตอนเกือบสามทุ่มครั้งนึง แล้วรถก็วิ่งยาวๆ ต่อไปยัง Johor Bahru รัฐชายแดนมาเลเซีย สิงคโปร์ อย่างที่บอกว่าวันที่เราเดินทางนั้น (5 พ.ค. 56) เป็นวันเลือกตั้งใหญ่ ทำให้บนถนนมีรถมากกว่าปกติและการจราจรก็แน่นเป็นช่วงๆ ด้วยค่ะ และหลังจากนั่งฟังคนขับบ่นๆ มานาน 4 ชั่วโมง ประมาณ 5 ทุ่มกว่าๆ เราก็มาถึงด่านตม.จนได้ การข้ามแดนก็จะเหมือนกับด่านชายแดนทั่วไป คือ เราต้องลงมาประทับตรา 2 ครั้ง ที่ด่านตม.มาเลเซียครั้งนึง จากนั้นก็เดินขึ้นรถข้ามไปยังด่านตม.สิงคโปร์ เพื่อประทับตราและยื่นใบขอเข้าเมือง บรรยากาศตอนนั้นคือทุกคนรีบเร่งมาก เดินจ้ำๆๆๆ เพื่อจัดการธุระให้ไวที่สุด ส่วนนึงอาจเป็นเพราะเรามาถึงดึกมากแล้ว ใกล้จะปิดให้บริการล่ะมั้ง (เดาเอาล้วนๆ ฮ่าๆ) ตอนประทับตราออกจากด่านมาเลย์ผ่านฉลุย แต่ที่ด่านตม.สิงคโปร์ดันมีปัญหาจนได้ เรากับแฟนเดินแยกกันเข้าแถวตามปกติ ของเราเจอจนท.ผู้หญิงที่สามารถพูดไทยได้ชัดเจน ก็มีขอดู boarding pass ไฟลท์กลับและถามว่า 2 คืนนี้เราพักที่ไหนบ้าง (คืนที่สองนอนสนามบิน แกขำกระจายบอกเรางก) หลังจากหยอกล้อจนหนำใจแล้ว จนท.ก็ประทับตราให้เราผ่านโดยไม่ติดขัดอะไรค่ะ ทีนี้แฟนเราไปเจอจนท.ผู้ชายซึ่งดูดุและถามคำถามเยอะมาก (คนก่อนหน้าแฟนก็โดนหนักมาก) แฟนเราก็เดินงัวเงียๆ ไปยื่นพาสปอร์ตและใบขอเข้าเมืองตามปกติ จนท.ถามโน่นนี่แฟนเราเยอะมากพอสมควร ซึ่งแฟนเราก็ตอบได้ แถมจนท.ที่ประทับตราให้เรายังไปช่วยพูดๆ ให้ด้วยเรื่องคืนที่สองที่เรานอนสนามบินเพื่อรอบินกลับไฟลท์เช้า แต่จนท.ตะคอกและพูดรัวๆ ใส่แฟนเราเหมือนทำอะไรผิดสักอย่าง เราก็เลยเดินเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น และก็พบความผิดพลาดที่แฟนเรากรอกข้อมูลในช่อง Have you ever been prohibited from entering Singapore ? คุณแฟนเจ้ากรรมง่วงจัดกรอกผิดไปว่า Yes ทำให้จนท.ถามหนักเลยว่าเคยติดตม.เรื่องอะไร เราเลยต้องแก้ใบตม.และขอโทษจนท.ให้เป็นการใหญ่ เรื่องนี้จำจนตายเลยค่ะ ง่วงๆ งงๆ นี่ห้ามกรอกใบเข้าเมืองเด็ดขาด พลาดนิดนึงนี่จบเห่เลย (ถ้าเป็นเกาหลีคงโดนส่งกลับแล้วมั้งเนี่ย...) ![]() Singapore Immigration Form ผ่านด่านมหาภัยมาแบบลุ้นระทึก ประมาณเที่ยงคืนเราก็มาถึงจุดหมายที่ถนน Geylang จนได้ ลงจากรถก็ข้ามถนนมาซื้อของกินจาก 7 -11 แล้วโบกแท็กซี่ไป South Bridge Road ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Woke Home Capsule Hostel ที่พักแนวแคปซูลของเรา หาไม่ยากเลยเพราะอยู่บนตึกเดียวกับ Five Stone Hostel อันโด่งดัง (แต่ของเราอยู่ชั้น 3, 4, 5, 6 ต้องกดลิฟท์ขึ้นมาเช็คอินที่ชั้น 6 ก่อน) มาถึงแล้วก็รีบเช็คอิน อาบน้ำ และเข้านอนอย่างไว จนลืมถ่ายรูปที่พักเลย (ลงอินสตาแกรมไว้ 2 รูปเท่านั้น แหะๆๆ) ขอยืมรูปจากเว็บไซด์โรงแรมมาลงเพิ่มเติมให้ดูนะคะ ![]() ในแคปซูลกว้างขวางใช้ได้ค่ะ ![]() ข้อดีของ Woke Home Capsule คือ ใกล้รถไฟฟ้าทั้งสายสีม่วงสถานี Clarke Quay และสายสีแดง - เขียว ที่สถานี Raffles Place ทำให้เดินทางเที่ยวและไปสนามบินได้สะดวกสบายมากๆ ค่ะ ราคาก็ไม่สูงคนละ 700 กว่าบาทต่อคืนเท่านั้น ในห้องพักจะเงียบและเป็นส่วนตัวมากกว่า Hostel ทั่วไปนิดหน่อยด้วย ส่วนข้อเสียก็คือ ห้องน้ำ (ห้องส้วม) ไม่ค่อยสะอาดเลยค่ะ อาจเป็นเพราะชั้นนึงมีห้องน้ำแค่ 4 -5 ห้องซึ่งถือว่าน้อยมาก (ชั้นนึงมี 5 ห้องพัก ห้องนึงนอนได้ 20 กว่าคน) แต่เพราะที่นี่แยกส่วนห้องน้ำ อ่างล้านหน้า และห้องอาบน้ำ ทำให้ใช้งานได้สะดวกดี อีกหนึ่งข้อเสียสำคัญก็คือ แม่บ้านมารยาทแย่มาก เค้าเข้ามาเจอเรากับแฟนเก็บของและแต่งตัวตอนเกือบๆ 11 โมง เค้าก็ถามว่า Cheach out? ซ้ำไปซ้ำมาเกือบ 5 รอบเป็นเชิงไล่ อาจจะเพราะต้องการทำความสะอาดเตียงรอบเดียวให้เสร็จ แต่ควรมีมารยาทและไม่ล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของผู้เข้าพักอย่างนี้ค่ะ เราคอมเพลนกับฟร้อนท์ไปแล้ว เค้าก็ขอโทษขอโพยเป็นอย่างดี แต่คงไม่กลับมาพักที่นี่แล้วค่ะ ไม่ค่่อยโดนใจสักเท่าไรเลย ![]() ภาพจาก //www.wokehomehostel.com ![]() ภาพจาก //www.wokehomehostel.com ![]() ชา กาแฟ ขนมปัง ทานได้ทั้งวันค่ะ ภาพจาก //www.wokehomehostel.com ![]() ภาพจาก //www.wokehomehostel.com ประมาณ 11 โมงครึ่ง หลังจากทานอาหารเช้า - เช็คเอาท์ - ฝากกระเป๋าเรียบร้อย เราก็ออกเดินทางไปช้อปที่ Orchard ด้วยการเดินดูบรรยากาศย่าน Boat Quay ซึ่งมีร้านนั่งดื่มยอดนิยมของหนุ่มสาวพนง.ออฟฟิศหลายร้านเลย เผลอแป๊ปเดียวก็ถึง MRT Raffles Place แล้วค่ะ ยังไม่เหนื่อยเลย ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() มาคราวนี้เรามีเวลาเที่ยวแค่วันเดียว ตัดสินใจซื้อบัตรแบบ One Day Pass ใช้เดินทางได้ทั้งรถไฟฟ้าและรถเมล์ สนนราคา SGD 22 ค่ะ เก็บบัตรไว้เป็นที่ระลึกได้เลย ![]() ![]() จาก Raffles Place นั่งรถไฟฟ้าสายสีแดงไป Orchard ช้อปที่ห้างหรูยอดนิยม Ion ตั้งใจไปสอยนาฬิกาที่ River Island แต่ชอปดันปิดไปแล้ว เลยแห้วตามระเบียบ ![]() สักพักคุณแฟนก็เริ่มงอแง นางขอไปเดิน Outlet สอยของถูกๆ แทนเดินห้างไฮโซ เราก็เลยต้องจัดให้ นั่งรถไฟฟ้าย้อนกลับมา Raffles Place แล้วนั่งสายสีเขียวไปลง Jurong East (สถานีนี้นั่งสีแดงไปก็ได้ แต่เรามีเวลน้อยไม่อยากนั่งอ้อมค่ะ) จากนั้นเดินไปยังห้าง J Cube รอรถ Shuttle Bus ไปยังศูนย์รวม Outlet ที่ห้าง Imm เที่ยวสิงคโปร์คราวก่อน ก็มาช้อปที่นี่ค่ะ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=bongbongstory&month=12-01-2013&group=11&gblog=2 ![]() เป็นห้างที่เรามาทีไรฝนตกทุกที ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ช้อปปิ้งจนตัวเบาแถมหิวท้องกิ่วแล้วด้วย ประมาณบ่ายสาม เราก็นั่งรถไฟฟ้ากลับมาลงสถานี Outram Park แล้วนั่งสายสีม่วงไปลงสุดสายที่ Harbour Front แวะมาหม่ำมื้อกลางวันกันที่ Vivo City ในร้านสุดหรูยอดนิยมกันค่ะ ![]() No Signboard Seafood ภัตตาคารอาหารจีน อาหารทะเล ซึ่งถือได้ว่าเป็นร้านรับแขกบ้านแขกเมืองของสิงคโปร์ ความจริงร้านนี้คนเต็มร้านแทบจะทั้งวัน แต่บังเอิญว่าเราไปถึงตั้งแต่ยังไม่ 4 โมงเย็นและเป็นวันธรรมดาอีกตะหาก เรากับแฟนเลยเป็นลูกค้าโต๊ะแรกและโต๊ะเดียวในช่วงนั้น บริกร 4 -5 คนเลยมาจับจ้องแต่โต๊ะเราอย่างเดียว อึดอัดน่าดูเลยล่ะกว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น ไต้หวันมาช่วยลดบรรยากาศมาคุลง ![]() ![]() เมนูสุดฮิตที่ห้ามพลาดของที่นี่ก็คือปู ซึ่งมีให้เลือกหลายแบบด้วยกัน แน่นอนว่าเราตั้งใจมากินปูศรีลังกาตัวใหญ่บิ้มและเลือกเป็นผัดซอส (น้ำซอสมันเข้มข้นโดนใจกว่า อิอิ) นอกจากนั้นก็สั่ง Crystal Pawn หมั่นโถวมินิ และข้าวเปล่ามาด้วยค่ะ ตอนแรกคิดว่าคงไม่อิ่มและต้องสั่งเพิ่ม ที่ไหนได้ แค่ปูอย่างเดียวก็ใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงกว่าจะทานหมด สนนราคามื้อนี้จ่ายไป SGD 128 (เฉพาะปู SGD 64) ![]() ![]() ![]() ![]() มันหญ่ายยยยยยยมาก อิ่มแล้วก็นั่งรับลมที่จุดชมวิวของ Vivo City อีกสักแป๊ปก่อนไปดูไฟที่ Garden by The Bay ![]() ![]() ![]() ![]() เมื่อฟ้าเริ่มมืด เราก็เดินทางไป Garden by The Bay กันต่อ นั่งรถไฟสีม่วงไปลง Dhoby Ghaut นั่งสายสีแดงไปลงสุดสายที่ Marina Bay และต่อสายสีส้ม CE ไป 1 สถานีเพื่อลงที่ Bayfront ดูยุ่งยากไปนิดแต่เราจะมาโผล่ที่ทางเข้าสวนพอดิบพอดีโดยไม่ต้องนั่งแท็กซี่ค่ะ ประหยัดดีใช่ม๊าาา ![]() ![]() ![]() ![]() เดินจากรถไฟฟ้านิดหน่อย ข้ามสะพานไปก็เข้าสู่สวนในจุดที่มี Super Tree มากที่สุด เพราะคราวนี้เรามีเวลาน้อยเลยมาดูการแสดง Light and Sound อย่างเดียว ไม่ได้เดินชมเทศกาลดอกทิวลิป น่าเสียดาย แต่การแสดงแสงสีเสียงก็สวยมากจริงๆ ค่ะ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() จบการเที่ยวสิงคโปร์แบบประทับใจ เดินทางกลับไปเอากระเป่าที่ Hostel แล้วนั่งรถไฟฟ้าสีเขียวเข้าสู่สนามบินนานาชาติ Changi เนื่องจากเราเดินทางที่ Terminal 1 คืนนั้นเลยฝากชีวิตไว้ที่ Starbucks ทั้งคืน ไปรับ password Wi Fi ฟรีที่เคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ แล้วนั่งจิบ Green Tea Frappuccino ไป นั่งเล่นเน็ตชิลๆ ไป (แน่นอนว่าที่ Starbucks ชาร์จไฟได้ยาวๆ ) ง่วงก็งีบเป็นพักๆ ไป สบายใช้ได้เลยล่ะ ![]() ![]() พอตี 5 ก็เช็คอินไฟลท์ 3K511 เดินช้อปใน Duty Free เล็กน้อย ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพด้วยเครื่อง Airbus A320 ถึงสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ 8.45น. แล้วเราก็บึ่งไปทำงานต่อเดี๋ยวนั้น จบทริปแน่นๆ 3 วัน 2 ประเทศแบบอิ่มอกอิ่มใจ และหวังว่าจะได้กลับไปเยือนอีกในไม่ช้า เพจหน้าจะเขียนเกี่ยวกับการนอนที่สนามบิน Changi บ้าง หวังว่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆ ที่จะไปสิงคโปร์แบบประหยัดบ้างนะคะ ![]() 3 วันมันส์ 2 ประเทศ.....ตะลุยมะละกา ดินแดนแห่งวัฒนธรรม ภาคกลางวัน
เริ่มวันอาทิตย์ที่แสนสดใสกันตั้งแต่ 11โมง (เช้าลื๊มมมม) ก่อนจะเดินชมมะละกา เมืองมรดกโลกที่สวยงามและเต็มไปด้วยมนต์ขลัง ตราบใดที่กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เราก็ต้องเริ่มด้วยอาหารอร่อยๆ เหมือนกัน ซึ่งร้านที่จะมาฝากท้องกันมื้อนี้ เป็นอีกหนึ่งร้านอร่อยห้ามพลาดของมะละกาค่ะ ![]() ![]() ![]() เริ่มเดินทางจากหน้าตึกแดงไปทางถนนคนเดิน Jonker Street ระยะทางประมาณ 50 เมตร จะพบป้ายชื่อร้าน Famosa Chicken Rice Ball ทางซ้ายมือค่ะ ![]() ![]() ![]() ![]() เมนูเด่นของร้านก็หนีไม่พ้นข้าวมันไก่ลูกบอล เราเริ่มสังทั้งข้าวลูกบอล (rice ball) ไก่ย่างจานเล็ก หมูอบน้ำผึ้งจานเล็กและเกี๊ยวน้ำ รอประมาณ 5 นาที อาหารก็ยกขบวนกันมาเสิร์ฟถึงโต๊ะเราแล้วค่ะ ![]() ![]() rice ball ลูกละ 0.4 ริงกิต ![]() หมูอบน้ำผึ้ง หวานมากกกกกกก ![]() ไก่ย่าง ![]() เกี๊ยวน้ำ เกี๊ยวไส้หมูชิ้นบิ๊กเบิ้มเต็มคำ สรุปโดยรวมรสชาติพอใช้ได้ค่ะ ติหมูน้ำผึ้งที่หวานแสบไส้แสบคอ (ยิ่งกว่าที่ฮ่องกงอีก) นอกนั้นใช้ได้เลยค่ะ สนนราคามื้อนี้ 28.20 ริงกิตเท่านั้นเอง อิ่มเต็มที่ก็เริ่มออกเดินชมเมืองกันต่อเลย เดินเรื่อยๆ สบายๆ (แม้อากาศจะร้อนอบอ้าวมากๆ) จาก Jonker Street ข้ามสะพานไปยัง Chris Church Melaka หรือโบสถ์ดัชต์สีแดงสะดุดตา อันเป็นจุดศูนย์กลางของดินแดนมรดกโลกแห่งนี้ Chris Church Melaka ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() Melaka Landmark ![]() ![]() รถถีบประดับดอกไม้ สัญลักษณ์อีกหนึ่งอย่างของมะละกา เก็บภาพ Dutch square จนพอใจแล้ว ก็เดินต่อขึ้นไปยัง Bukit St. Paul (Bukit = เนินเขา) เพื่อชมโบสถ์เซนต์ปอลที่สวยงามกัน โดยแวะที่ Museum of Literature และ Democratic Museum ก่อน สองแห่งเสียค่าเข้าครั้งเดียว คนละ 5 ริงกิตค่ะ ![]() Museum of Literature ![]() ![]() ![]() ![]() Democratic Museum ![]() ![]() เดินมาอีกนิดดดดดด ก็ถึงโบสถ์เซนต์ปอลแล้ว เฮ่!!! ![]() St. Paul Church โบสถ์เก่าแก่บนเนินเขา สร้างโดยคณะบาทหลวงจากโปรตุเกสในปี ค.ศ. 1521 เมื่อชาวดัชตืได้เข้าครอบครองมะละกา ก็ตั้งชื่อโบสถ์ซะใหม่เป็นโบสถ์เซนต์ปอล และใช้งานต่อไปอีก 112 ปี จนกระทั่ง Dutch Church หรือโบสถ์สีแดงได้สร้างแล้วเสร็จ ในปีค.ศ. 1753 จึงเปลี่ยนไปใช้งานโบสถ์ใหม่แทน ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ด้านหน้าโบสถ์สามารถชมวิวได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ติ๊ต่างไปว่างยืนชมช่องแคบมะละกาอยู่ค่ะ อิอิ ![]() ![]() ![]() รูปปั้น Saint Francis Xanvier ที่ไม่มีมือข้างขวาเนื่องจากโดนฟ้าผ่า ซึ่งบังเอิญไปพ้องกับเรื่องจริง ที่พระศพของท่านถูกตัดมือข้างขวา เพื่อนำไปเก็บไว้ที่นครวาติกัน ![]() หลังจากนั้นก็เดินลงเนินเขาทางด้านหลัง เพือไปยัง Istana Kesultanan Melaka กันค่ะ ![]() เจอป้อมโบราณก่อน แวะแชะๆ เก็บภาพนิดหน่อย ![]() ![]() เลี้ยวซ้ายจ่ายค่่าเข้าชมก่อนนะคะ คนละ 5 ริงกิตเท่านั้น ![]() ![]() Istana Kesultanan Melaka พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมมะละกา สร้างขึ้นโดยเลียนแบบพระราชวังเดิมในสมัยศตวรรษที่่ 15 ของสุลต่านมะละกา สร้างจากไม้และใช้การตอกสลักทั้งหลัง (ไม่ใช้ตะปู) มูลค่าราวๆ 2.5 ล้านริงกิต โดยเปิดให้เข้าชมตั้งแต่ปีพ.ศ. 2529 โดยนายกรัฐมนตรีมหาธีร์ มูฮัมหมัด ผู้ยิ่งใหญ่ค่ะ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() เดินจนเหนื่อยขาลาก แถมร้อนแดดจนแทบจะเป็นลม ประมาณบ่ายสองโมงเราสองคนเลยขอลี้ภัยไปนั่งจิบชาเย็น หม่ำเค้กอร่อยๆ ต่อด้วยเดินเล่นในห้างต่อสักพักค่ะ ![]() หลังจากนั้นเราตัดสินใจไปรอที่ Melaka Sentral เลยดีกว่าค่ะ ความจริงแล้วรถบัสของเราออกทุ่มนึง แต่ดูท่าทางฝนน่าจะตกในไม่ช้า ก็เลยเดินเลียบแม่น้ำเพื่อกลับไปเอากระเป่าที่โฮสเทลกันค่ะ ผ่าน Maritime Museum แต่ไม่ได้เข้าไปชมข้างในค่ะ ![]() ![]() บรรยากาศเงียบสงบเย็นสายริมแม่น้ำ เห็นเมฆฝนชัดเจนเชียว ![]() ![]() ![]() ![]() ได้กระเป๋าสัมภาระแล้วก็กลับมารอรถที่ป้ายรถเมล์เดิม บริเวณ Dutch square เนื่องจากรถสาย 17 วิ่งวนเป็นวงกลม แต่ครั้งนี้ที่เราจะกลับไปยัง Melaka Sentral จะใช้เวลาประมาณ 45 นาที นานกว่าตอนนั่งมาที่นี่ค่ะ (เผื่อเวลาเดินทางกันให้ดีนะคะ เดี๋ยวตกรถ) ![]() ![]() หลังจากนั้นก็แวะช้อปขนมและของกินเล่นที่ซุปเปอร์ใน Melaka Sentral (เค้าไม่ให้ถ่ายภาพค่ะ) ขอบอกว่าของค่อนข้างเยอะและถูกมาก ใครหาของากสามารถช้อปจากที่นี่ได้เลยล่ะ หลังจากนั้นก็ขึ้นรถบัสมุ่งหน้าสู่สิงคโปร์กัน ใช้เวลาประมาณ 4.30 ชั่วโมง ออกจากมะละกาทุ่มนึง ไปถึงถนนเกลังราวๆ เที่ยงคืนค่ะ ครั้งหน้ามาเล่าต่อว่า 1 วัน 2 คืนในสิงคโปร์ เราทำอะไรกันบ้าง![]() 3 วันมันส์ 2 ประเทศ.....a day in Melaka หลงเสน่ห์มะละกา....เมืองมรดกโลก
แต่.....ธุระของเรายังไม่จบ ลางสังหรณ์บอกเราว่าควรจะซื้อตั๋วรถไปสิงคโปร์ก่อนเข้าเมืองเพื่อความอุ่นใจ เราสองคนจึงเดินไปสอบถามหาตั๋วรถจากเคาท์เตอร์ต่างๆ (มีให้เลือกประมาณ 5 บริษัทค่ะ) และลางสังหรณ์ก็แม่นสุดๆ เพราะรถไปสิงคโปร์ในวันอาทิตย์นั้นเต็มเกือบหมดแล้ว!!! จากที่ตอนแรกเราตั้งใจจะจองรอบประมาณบ่าย 4 5 โมงเย็น กลายเป็นว่าเหลือรอบ 10.00น.รอบเดียวเท่านั้น วนไปวนมาแบบน้ำตาซึมหลายรอบก็ได้คำตอบเดิม เกือบจะยืนร้องไห้หน้าเคาท์เดอร์ของ Delima ในที่สุด หลังจากอ้อนวอนพระเจ้าและจนท.ขายตั๋วอยู่นาน เค้าก็ตัดสินใจแคนเซิ่ลตั๋วจอง (ที่ยังไม่ได้จ่ายเงิน) ในรอบ 1 ทุ่มจำนวน 2 ที่นั่งเพื่อขายให้เราค่ะ ส่วนสาเหตุที่ตั๋วเต็มแน่นขนาดนั้น เนื่องจากวันอาทิตย์ที่ 5 พ.ค. มีการเลือกตั้งใหญ่ในมาเลเซีย ทำให้ชาวมาเลย์ในสิงค์โปร์ต้องมาใช้สิทธิ์และเดินทางกลับในช่วงเย็นวันอาทิตย์นั่นเอง นี่คือจุดผิดพลาดของเราเองที่ไม่เตรียมการให้พร้อมจนไม่รู้ว่าเดินทางไปเที่ยวในช่วงเลือกตั้งค่ะ (น่าชื่นใจมาก เพราะชาวมาเลย์ออกมาใช้สิทธิ์กันถึง 80% สุดยอดดดดดด) จบเรื่องตั๋วก็นัง่รถเมล์เข้าเมืองกัน โดยฝั่งที่เราลงรถบัสเรียกว่า International ส่วนฝั่งรถประจำทางเรียก Domestic เหมือนในสนามบินค่ะ เดินไปถึงก็ขึ้นรถสาย 17 ค่าโดยสารประมาณ 1.30 ริงกิตค่ะ (ความจริงถ่ายรถเมล์ตอนวันกลับค่ะ อิอิ) ใช้เวลาเดินทาง 15 นาที ลงรถเมล์ที่ Dutch Square หรือโบสถ์ฮอลแลนด์สีแดงสดใส อันเป็นสัญลักษณ์ของมะละกาได้เลย ![]() ลงรถแล้วก็ต้องเอาสัมภาระไปเก็บก่อน ครั้งนี้เรานอนที่ Hostel เปิดใหม่ทำเลสุดยอดค่ะ โดยเดินข้ามสะพานมายังฝั่ง Chinatown แล้วเลี้ยวขวาที่หน้าตึกแดง (ร้านขายของฝาก) เดินไปอีก 3 4 บล็อกก็ถึงแล้วค่ะ Galvanize Studio Stay ที่พักคืนนี้ของเรา ![]() เส้นสีชมพู = ถนนคนเดิน Jonkr Street จุดน้ำเงิน = ป้ายรถเมล์ จุดแดง = ที่พัก ![]() ![]() ![]() ![]() เราจองห้องรวม 4 เตียงเอาไว้ แต่เพราะเป็นที่พ้กเล็กๆ ทีเพิ่งเปิดใหม่จึงไม่มีคนพัก สรุปว่าทั้งห้องเป็นของเราสองคนเท่านั้นค่ะ (แต่แฟนขี้กลัวก็มานอนเบียดเราอยู่ดี) ![]() ![]() ![]() ![]() เก็บของเสร็จแล้วก็ออกตระเวนราตรีที่ Jonker Street กัน ถนนคนเดินนี้จะมีเฉพาะคืนวันเสาร์ - อาทิตย์เท่านั้นค่ะ ขอบอกว่าของกินเพียบ ราคาก็ไม่แพงด้วยล่ะ ![]() ![]() ![]() ![]() Famosa ข้าวมันไก่ลูกบอลเจ้าดัง ![]() มื้อค่ำนี้เรามาฝากท้องที่ร้านดังของมะละกาอย่าง Jonker 88 ค่ะ ร้านนี้ขายอาหารพื้นเมืองสไตล์เปอรานากันและจีนไหหลำหลายอย่างค่ะ แต่ทีดังที่สุดคือขนมหวานคล้ายๆ น้ำแข็งใสค่ะ ถ้ามาช่วงกลางวันคนจะแน่นมาก แต่เรามาถึงดึกเลยโล่ง เพราะเค้าเหลือไม่กี่เมนูและกำลังจะปิดแล้ว ![]() ![]() ![]() เมนูประจำถิ่น Baba Seafood Laksa ลัคซาของที่นี่เป็นแบบ Asam Laksa น้ำแกงจะไม่ใส่กะทิและมีรสชาติออกเปรี้ยวคล้ายแกงส้มบ้านเรา เครื่องก็มีทั้งเส้นลัคซาเหนียวนุ่ม ไข่ต้ม กุ้ง ปลาหมึก มะม่วงเปรี้ยว ทูน่า รสชาติเผ็ดกำลังดีถูกใจเรามากค่ะ (รสชาติจะต่างจาก Curry Laksa ที่ใส่กะทิ ผักแพว และหอยแครงลวกของทางฝั่งสิงคโปร์มากๆ ) ![]() ![]() ของหวานยอดฮิต Baba Chendol (Chendol = ลอดช่อง) และอีกถ้วยคือ Baba Ice Kacang (Kacang = ถั่วแดง) จุดเด่นของขนมหวานอยู่ที่ Guala Melaka หรือน้ำตาลเคี่ยวเหนียวหนึบหอมหวานนี่แหลค่ะ ขอบอกว่าอร่อยมากมาย มื้อนี้จ่ายไปประมาณ 16 ริงกิตเท่านั้นเอง ![]() ![]() หลังจากอิ่มแล้ว เราก็เดินเที่ยวตลาดกันต่ออีกนิด ชมวิถีชีวิตน่ารักๆ ของคนที่นี่อีกหน่อย ก่อนเข้านอนเพื่อเก็บแรงไว้สำหรับเที่ยวมะละกาในวันรุ่งขึ้น ![]() ![]() ![]() ![]() 3 วันมันส์ 2 ประเทศ.....Selamat Datang Kuala Lumpur
Selamat Datang.....เริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่กับทริปสั้นๆ 3 วัน 2 คืน ตะลุยกัวลาลัมเปอร์ มะละกา สิงคโปร์ ออกแนวชะโงกทัวร์เพราะเวลาจำกัด แต่มนุษย์เงินเดือนแบบเราก้ต้องทำใจยอมรับ แล้วมันส์กับทริปดิบๆ โหดๆ ของเราต่อไป ![]() --------------------------------------------------------------------------------- เดินทางตั้งแต่เช้ามืดวันเสาร์ที่ 4 พ.ค. ไปยังสนามบินดอนเมือง เพื่อขึ้นเครื่องAirasia ไฟลท์ FD2911 ไปยังเมืองหลวงแห่งสหพันธรัฐมาเลเซีย ![]() ใช้เวลาราว 2ชั่วโมงครึ่งก็มาถึงสนามบิน LCCT ของ Airasia จากที่นี่สามารถหารถบัสไปยัง KL Sentral ได้อย่างง่ายดาย (สนามบินห้ามถ่ายรูป เอาเป็นว่าเดินตามป้ายไปเรื่อยๆ นะคะ) โดยรถบัสเหล่านี้มีหลายบบริษัทให้เลือก ราคาอยู่ที่ 8 ริงกิต ใช้เวลาเดินทาง 45 นาทีค่ะ ![]() KL Sentral คือศูนย์กลางการเดินทางในกรุงกัวลาลัมเปอร์ รถไฟฟ้าทุกสาย (มั้ง???) จะผ่านสถานีนี้ มีรถบัสจาก LCCT (สนามบิน Low cost ของแอร์เอเชีย) และ KLIA (สนามบินนานาชาติกัวลาลัมเปอร์) มาที่นี่วันละหลายสิบรอบถือว่าสะดวกสบายพอสมควร อีกทั้งยังลดการหลงทางสำหรับคนเมมสมองน้อยอย่างเราด้วยล่ะ อิอิ ภายใน KL Sentral มีร้านอาหาร ร้านขายซิม โทรศัพท์ ร้านสะดวกซื้อ และบริการล็อคเกอร์ฝากของ คอยให้บริการนักท่องเที่ยวแบบครบครัน เราฝากกระเป๋าที่นี่แล้วออกไปตะลุยช้อปปิ้งกันดีกว่า ![]() จุดหมายปลายทางของเราคือ KLCC จุดรวมศูนย์การค้า ร้านอาหาร โรงแรม สวนสาธารณะ และเป็นจุดใกล้ที่สุดที่จะถ่ายภาพงามๆ ของตึกแฝดค่ะ ซื้อตั๋วรถไฟฟ้าสาย Kelana Jaya ไปลงสถานี KLCC ได้เลย ![]() ออกจากรถไฟฟ้าก็จะเจอทางเดินแยกย่อยหลายทาง เลือกเดินมาทาง Suria หรือศูนย์การค้าใกล้ตึกแฝดได้เลยค่ะ จะมีร้านค้าร้านอาหารตลอดทาง ![]() บังเอิญเจอร้าน (เคย)ดังมากในบ้านเรา แฟนอยากทานด้วยความคิดถึงเลยไปต่อแถวซื้อมาจนได้ ![]() ![]() ด้วยความหิวเราสองคนเลยมองหาร้านอาหารถูกใจ แต่ด้วยความที่เป็นวันเสาร์และเป็นช่วงเที่ยงอีกตะหาก ร้านทุกร้านคนแน่นไปหมด สุดท้ายตายรังไปหากินใน Food Court ด้านบนก็ได้ จากศูนย์อาหารมองเห็นวิวสวยๆ ที่น้ำพุด้านหน้าได้ชัดเจน โดยไม่ต้องไปตากแดดให้ลมจับด้วย ![]() ![]() เติมพลังเสร็จก็มึนหัวอีก เพราะตื่นเช้า+อากาศร้อนมาก เลยงดออกไปถ่ายรูปตึกแฝดเพราะแดดจัดจ้านเกินไป ช้อปเบาๆ ที่ Harrods และ Sephora (พยายามจะถ่ายรุปมาเยอะๆ แต่รปภ.หน้าเข้มเดินมาเตือนฝรั่งสองคนที่ยืนใกล้ๆ กันว่า No Photo ไม่ถ่ายก็ได้ฟระ ชิ) ![]() จากนั้นก็มุ่งหน้าเดินต่อไปยัง Bukit Bintang ย่านช้อปยอดนิยมกันดีกว่า ระยะทางก็ไกลพอเหนื่อยหอบ ดีที่มีหลังคาตลอดเส้นทาง ชมนกชมไม้เดินตามป้ายไปเรื่อยๆ ![]() ![]() มาโผล่ที่ Bukit Bintang Entrance หน้าห้างหรู Pavillion ![]() มองไปฝั่งตรงข้ามเจอ Sephora สาขาแรกในมาเลเซีย ได้สอย Naked 2 จากที่นี่แหละ ![]() ![]() ร้านดังอย่าง H&M Vincci Uniqlo มีครบ มาแล้วห้ามลืมสอยรองเท้าสวยๆ ราคาเบาๆ จากVincci นะคะ สาขานี้แบบเยอะ เบอร์ครบ พนง.นิสัยดีค่ะ ![]() ![]() ![]() ที่ KL Sentral เราพยายามจะซื้อตั๋วรถไฟฟ้าสาย KLIA Express ซึ่งเป็นรถด่วนไปสนามบิน(แต่จอดที่ Bandar Tasik Selantan ที่เราต้องไป) แต่จนท.ไม่ยอมขายให้ และไล่ให้ไปซื้อตั๋วรถสาย KTM Komuter แทน ถึงแม้จะไม่รู้เหตุผลแต่เราก็ยอมไปแต่โดยดี ค่ารถประมาณ 1 ริงกิตนิดๆ ต้องนั่งไปอีก 3 สถานี ถึงปลายทางของเราที่ Bandar Tasik Selantan แม้รถสายนี้จะมีมานานมากแต่ขบวนรถใหม่เอี่ยม ไม่ได้แย่กว่า BTS ของเราเลยล่ะ ไม่ช้าเท่าไรด้วย แม้ว่าจะไม่ปรู๊ดปร๊าดเท่าสายที่ไปสนามบินก็ตาม ลงรถไฟฟ้าแล้วมุ่งหน้าไปยัง TBS ซึ่งเป็นสถานีขนส่งสายใต้ของมาเลเซีย สามารถซื้อตั๋วรถไปเมืองทางใต้ทั้ง Meleka หรือ Johor Bahru ได้จากที่นี่ค่ะ ![]() ![]() ภายในสะอาดสะอ้าน ใหญ่โตและทันสมัย เทียบเท่าสนามบินดอนเมืองเราได้สบายๆ เมื่อเดินเข้ามาแล้วก็ซิ้อตั๋วเคาท์เตอร์ไหนก็ได้ค่ะ เราซื้อของบริษัท Metro Bus ไปยัง Melaka ราคา 9 ริงกิตเท่านั้น (ตอนซื้ออย่าลืมยื่นพาสปอร์ตให้เค้าด้วยนะคะ) ถามจนท.ได้ความว่าใช้เวลาราวๆ 2 ชั่วโมงในการเดินทางค่ะ ![]() เมื่อได้ตั๋วแล้วเดินไปนั่งรอหน้า Gate ของเราได้เลย รถออกตรงเวลาเป๊ะๆ ![]() ![]() ดื่มน้ำและททำธุระให้เรียบร้อย เตรียมตัวหลับยาวๆ 2 ชั่วโมงบนรถบัสแอร์เย็นฉ่ำของเรา ตอนต่อไปโม้ยาวๆ 1 คืน 1 วัน ในมะละกาที่แสนจะลั้ลลาของเรา เย้ ![]() ![]() อ่านต่อ ![]() ![]() ![]() |
ต๊องต๊อง กะ บ๊องบ๊อง
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() Just a little step in the Big World โลกกว้างใหญ่ มีอะไรให้เรียนรู้อีกมาก ต๊องต๊อง กะ บ๊องบ๊อง All rights reserved [สงวนลิขสิทธิ์ ตาม พรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539] Link |