Group Blog
 
All blogs
 

Part eight

Title : Dating on Earth
Author : Anatomy2125
Couple : YooSu
Rate : G
Talk ::ฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นแนวชายรักชาย หากผู้ใดไม่ชอบ ไม่ใช่ รับไม่ได้ กรุณากด X ปิดหน้าต่างนี้และจากไปอย่างสงบด้วยนะคะ ^ ^

ปอลอจุด - แต่งไปแต่งมาชักงงตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ .. รู้สึกเหมือนคิมแจกลายมาเป็นพระเอกยังไงก็ไม่รุ .. โดยเฉพาะตอนนี้ อวยแจซะปาร์คตกกระป๋องไปเลย กร๊ากกก~~~ .. รีดเดอร์ทุกท่านกรุณาอย่าเพิ่งเคลิ้มตามคนแต่ง .. อ่านไปก็เตือนตัวเองเข้าไว้ .. ฟิคเรื่องนี้ 'ยูซู' นะจ๊ะ คึคึคึคึ~~~



Part eight


พายุฝนนอกหน้าต่างเริ่มซาลงจนเกือบจะหยุดแล้ว ท้องฟ้าสีเทาหม่นดูไม่น่ามองค่อยๆจางหายไป เผยให้เห็นม่านสีน้ำเงินเข้มของยามราตรี เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าที่คำรามกระหึ่มก้องไปทั่วบริเวณอย่างน่าประหวั่นพรั่นพรึงก็พลันเงียบหายไปเหมือนมีใครดึงเชือกสลับฉากละครเวที


.. ยุนโฮกลับไปนานแล้ว


แต่กระนั้น ร่างเล็กๆของเจ้าของห้องก็ยังคงนั่งกอดเข่าตัวเองอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับไปไหน


‘ เพราะปาร์คยูชอน .. แต่งงานแล้ว ’


ในวินาทีที่ประโยคนั้นหลุดออกมาจากปากเพื่อนสนิทที่สู้อุตส่าห์ตากลมตากฝนมาหาเขาถึงห้องเพื่อบอกเล่าสิ่งที่เพิ่งได้รับรู้มา เวลาของคิมจุนซูก็คล้ายกับว่าจะหยุดชะงักไปเสียดื้อๆ .. หัวสมองว่างเปล่าเหมือนถูกใครสักคนเอาสีขาวมาสาดใส่ทั้งกระป๋อง .. ตอนนั้นเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองแสดงสีหน้ายังไงออกไป ..


“ ย .. อย่ามาตลกไอ้ชอง .. มึงตากฝนจนสติแตกไปแล้วรึไง ? ”


“ แล้วมึงคิดว่าที่กูดั้นด้นมาที่นี่ด้วยสภาพแบบนี้เพื่อแกล้งมึงเล่นหรือไงคิมจุนซู ? ”


แม้ในใจวาดหวังอยากจะให้มันเป็นเพียงแค่เรื่องตลกร้าย เป็นแค่การล้อเล่นแรงๆอย่างที่เขาและเพื่อนชอบแต่งขึ้นมาแกล้งกันอยู่บ่อยบ่อย .. แม้อยากจะหลับหูหลับตา ทำเป็นไม่รู้เรื่องฟังไม่ออกมากแค่ไหน แต่จุนซูก็รับรู้อยู่เต็มหัวใจ .. สายตาคู่นั้นของชองยุนโฮที่มองตรงมาอย่างจริงจัง .. น้ำเสียงที่สุดแสนจะหนักแน่นน่าเชื่อถือ .. ถึงจะชอบหยอกเล่นกันจนเรื่องลุกลามใหญ่โตอยู่หลายครั้ง .. แต่เมื่อไหร่ที่ยุนโฮทำสีหน้าแบบนั้น .. เพื่อนรักของเขาไม่เคยโกหก


“ ............. ”


จุนซูไม่รู้ .. ไม่รู้จริงๆว่าในเวลานั้นตัวเองกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ ไม่รู้ว่าฝนที่ตกอยู่มันเกิดโหมแรงขึ้นหรือแผ่วเบาลงไปยังไงบ้าง ไม่รู้ว่าชางมินยืมมือถือของทงเฮส่งข้อความมาบอกว่าคืนนี้จะค้างที่บ้านเจ้าปลาทองเพราะฝ่าฝนกลับมาไม่ไหวตั้งแต่เมื่อไหร่ .. . . ไม่รู้ .. . ไม่รู้ .. .และไม่รู้ .. . เขาไม่รู้อะไรเลย


“ .. จุนซู ”


ไม่รู้แม้กระทั่งตอนที่ยุนโฮเอื้อมมือใหญ่ๆข้างหนึ่งขึ้นมาแตะเรียกไหล่ที่บางของตนเบาเบาเสียด้วยซ้ำ .. หรืออันที่จริง .. ประสาทด้านการรับรู้ของเขาคงพิกลพิการไปแล้ว


“ ........... ”


แต่ถ้ามันเป็นอย่างนั้น แล้วทำไม .. . หัวใจถึงได้เจ็บ . . ขนาดนี้ ?


นัยน์ตาสีดำสนิทจ้องไปยังหยาดฝนเม็ดเล็กที่ตกลงมากระทบกระจกหน้าต่างประปราย ท้องฟ้าในคืนนี้ช่างกระจ่างใสตรงกันข้ามกับความรู้สึกดำมืดภายในใจของเขาเสียเหลือเกิน จุนซูเหม่อมองผืนฟ้าสีน้ำเงินไปสักพักก่อนจะซุกใบหน้าลงบนเข่าอีกครั้งด้วยอารมณ์ที่ต่างไปจากเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนอย่างสิ้นเชิง


เด็กหนุ่มไม่ได้คิดโกรธเคืองหรือน้อยใจที่ลูกพี่ยูชอนไม่เคยปริปากเล่าเรื่องการแต่งงานให้ฟัง มันคงไม่ใช่เรื่องที่รุ่นพี่หนุ่มจะต้องนำมาเที่ยวโพทะนาร้องแร่แห่กระเชิงให้คนอื่นฟัง .. ไหนจะต้องปวดหัวกับปัญหาคาราคาซังเรื่องโดนทัณฑ์บน เรื่องชกต่อย หรือเรื่องที่ว่าลูกพี่ของเขายังเป็นนักเรียนที่ยังไม่บรรลุนิภาวะอีก .. พวกฮยอกแจออกจะปากสว่าง ขืนบอกให้รู้มีหวังได้ลือกันไปทั้งโรงเรียนแน่ๆ .. ซึ่งหากเป็นแบบนั้นคนรักสงบอย่างปาร์คยูชอนคงจะต้องอกแตกตายเป็นแน่แท้


ที่สำคัญ .. ลูกพี่ยูชอนคงไม่อยากให้ภรรยาคนสำคัญต้องมารู้สึกแย่กับเรื่องไร้สาระพวกนี้


กลีบปากอิ่มยกยิ้มขึ้นมาจางๆ


.. ยุนโฮบอกว่าเจ้าสาวของลูกพี่ยูชอนคืออาจารย์โซฮยอนจิน


เจ้าหญิงก็คงต้องครองคู่กับเจ้าชายสินะ .. จริงไหม


นั่นสินะ .. คนดีดีแบบลูกพี่ยูชอน .. คนที่ทำเพื่อคนอื่นมาตลอด .. คนแบบนั้นสมควรแล้วล่ะที่จะได้เจ้าหญิงไปครอบครอง .. และเจ้าหญิงแสนสวยอย่างอาจารย์ก็ควรจะได้หัวใจของปาร์คยูชอนไป .. มันก็เหมาะเจาะลงตัวดีแล้ว .. เขาดีใจที่คนสำคัญของเขามีความสุข .. เป็นความคิดที่กลั่นออกมาจากใจจริง


เหมาะสมแล้ว .. เหมาะสมแล้วล่ะ


ถึงจะพร่ำบอกตัวเองอย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่จุนซูก็ยังไม่สามารถห้ามความร้อนผ่าวที่พากันมาอออยู่บริเวณขอบตาทั้งสองข้างได้เลย .. เขาดีใจกับยูชอน .. . แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้จักเจ็บปวด ..


หรืออันที่จริง .. จุนซูไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต


เจ็บยิ่งกว่าตอนที่ถูกเด็กเกเรที่สถานเลี้ยงเด็กรุมแกล้ง ทรมานยิ่งกว่าตอนที่ถูกโดนเพื่อนๆทั้งชั้นแกล้งทำเป็นเมินราวกับเขาไม่มีตัวตนอยู่ในห้องเรียน .. เหมือนอยากหายใจแต่หายใจไม่ออก จนสุดท้ายก็ได้แต่ตะเกียกตะกายรอความตายที่ไม่มีวันสิ้นสุดอยู่อย่างนั้น


นี่น่ะหรือ .. สิ่งที่คนอื่นเรียกกันว่าความรัก


เขาเพิ่งจะรู้จักมัน เพิ่งจะได้ลองเอื้อมมือไปสัมผัสมันแท้ๆ .. . แต่เพียงครั้งแรกยังบอบช้ำขนาดนี้ .. แล้วหากเผลอตัวถลำลึกลงไปมากกว่านี้เล่า


เขา .. จะไม่ตายไปเลยหรอกเหรอ ?


‘ ทั้งเรื่องที่มึงชอบลูกพี่ ทั้งเรื่องที่ลูกพี่ชอบมึง หรือสรุปคือเรื่องที่พวกมึงใจตรงกัน .. พวกกูรู้มาเป็นชาติแล้วว่ะ ’


ตอนนั้นเองที่เสียงทุ้มของเพื่อนรักจอมกวนคล้ายจะลอยแว่วมาจากห้วงความทรงจำ เรียกรอยยิ้มฝืดเฝื่อนจากเทวดาน้อยได้เป็นอย่างดี จุนซูแค่นหัวเราะออกมาเบาเบา ..


เสียใจด้วยนะชิมชางมิน .. นี่คงจะเป็นครั้งแรกที่หัวสมองอันชาญฉลาดของมึงคำนวณพลาดว่ะ


เช่นเดียวกับหัวใจของคิมจุนซูที่พลาดไปแล้ว .. เผลอไปคิดเองเออเองแล้วก็สรุปเอาเองเสียแล้ว


เขาน่าจะเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วสินะ .. ว่าตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่เด็กโง่ๆแบบเขาจะสามารถคาดเดาความคิดลูกพี่ยูชอนได้ถูก .. และครั้งนี้ก็คงจะไม่ต่างกัน


แต่ช่างเถอะนะ .. ช่างมันเถอะ


ตาสว่างตอนนี้ก็ดีแล้วนี่ .. ความรู้สึกของเขาน่ะ ดีแล้วที่ไม่ทันได้บอกออกไป .. . ไม่อย่างนั้นคนใจดีอย่างลูกพี่ยูชอนจะต้องลำบากใจแน่ๆ .. จะต้องเจ็บปวดแทนเด็กงี่เง่าแบบเขาแน่ๆ


ไม่เป็นไรหรอก .. . เข้มแข็งเข้าไว้สิวะ ! .. . อย่าทำให้ลูกพี่ยูชอนต้องคิดมากเป็นอันขาดเชียวนะไอ้บ้าจุนซู !


สองมือเรียวยกขึ้นมาประกบข้างแก้มแรงๆจนดังเผี๊ยะ ร่างเล็กแอบสูดปากเล็กน้อยด้วยความเจ็บที่เกิดจากน้ำหนักมือของตัวเอง นัยน์ตาเรียวกระพริบถี่ๆสองสามครั้ง ก่อนจะยันกายลุกขึ้นยืนด้วยแววตาซึ่งเต็มไปด้วยประกายเด็ดเดี่ยว ..


ทั้งที่เจ็บแทบตาย กระนั้นเจ้าตัวเล็กก็ยังพยายามปลอบใจตัวเองว่าเรื่องแค่นี้อีกไม่นานก็คงลืม .. . ทว่าเด็กน้อยผู้ที่เพิ่งจะได้รู้จักกับความรักเป็นครั้งแรกจะรู้บ้างไหมหนอว่าสิ่งที่คิดนั้นมันเป็นไปได้ยากเย็นสักแค่ไหน


.. แต่ใครจะสนกันล่ะ ?


ในเมื่อสำหรับคิมจุนซู ขอเพียงให้ปาร์คยูชอนมีความสุข .. มันก็คุ้มเกินพอแล้วนี่นา


.


.


.


แล้วน้ำตา .. . ทำไมถึงได้ไหลออกมากันนะ ?


.


.


.


.


.


.


“ ไอ้แจจุงแม่งโดดเรียนอีกแล้วเหรอวะ ? ”


ฮยอกแจถามพลางสะบัดผมม้าสีแดงอมม่วงที่เพิ่งจะไปตัดสไลด์ท้าทายกฎโรงเรียนมาหมาดๆอย่างนึกรำคาญในความยาวชวนเกะกะของมัน ขณะที่มือก็ไม่ลืมจิ้มตะเกียบลงไปเอาขนมจีบร้อนๆชิ้นโตขึ้นมาเป่าก่อนจะส่งเข้าปากไปทั้งลูก .. ห่า~ สงสัยพรุ่งนี้ต้องไปเฉือนไอ้ม้าเป๋นี่ทิ้งซะแล้ว อุตส่าห์ไปตัดมานึกว่าจะเท่เสือกล่อกูซะปวดคอ !


“ น่าอิจฉาเนอะ กูล่ะอยากโดดบ้างจริงจัง ”


ร่างโปร่งที่นั่งเท้าคางอยู่หน้าชามข้าวออกความเห็นพลางทำตาเคลิบเคลิ้มเพ้อฝัน นี่ถ้าไม่ติดว่าเจ้าคุณแม่ที่เคารพรักของเขาผู้ซึ่งโคตรจะซีเรียสเรื่องผลการเรียนจนแทบจะขอเรียกดูสมุดพกของเขาทุกวี่วันมีเพื่อนเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่นี่แล้วล่ะก็ ชายหนุ่มวัยกระเหี้ยนกระหายการผจญภัยอย่างลีทงเฮคงจะตามหอบผ้าผ่อนหนีตามเพื่อนออกไปเปิดโลกกว้างหลั่นล๊าไปนานแล้ว ไม่มานั่งหายใจทิ้งในห้องเรียนแบบนี้หรอก -*-


“ อย่าแม้แต่จะคิดเชียวนะลีทงเฮ .. กูยังไม่อยากมีเมียเป็นควาย =O= ”


“ ไอ้ทงเฮมันจะโดดเรียนแล้วเกี่ยวอะไรกับเมียมึงวะชางมิน ”


ยังไม่ทันที่คนถูกพาดพิงโดยตรงจะได้เอ่ยปากโวยวายอย่างที่ตั้งใจไว้ เสียงอู้อี้เพราะมีอาหารอยู่เต็มปากของลีฮยอกเจ้าเก่าก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน เรียกสายตาอีกสามคู่ที่เหลือให้หันมามองซะพร้อมเพรียง แต่พอได้สบกับแววตาใสกิ๊งของเพื่อนตัวผอมที่กระพริบปริบๆอย่างรอคำตอบอยู่ก็พากันเบือนหน้าหนีไปลอบถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายเป็นที่สุด


กูก็พอจะเข้าใจอยู่หรอกนะว่าบ้านมึงคงอยู่หลังเขา แต่ตกข่าววงในแบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกันนะเว่ย ลีฮยอกแจ๊~ !!! =[]=


“ อ่าว .. ไหงเงียบกันไปซะงั้น ? .. เออ ! .. . แล้ววันนี้ไอ้จุนซูไม่มาเรียนเหรอวะ ”


อาจด้วยความไฮเปอร์ที่มีอยู่มากล้นเกินเหตุ จึงทำให้หนุ่มลีหมดความสนใจในเรื่องหนึ่งๆได้ง่ายดายอย่างเหลือเชื่อ ใบหน้าตี๋ๆหันไปทางซ้ายทีขวาทีราวกับว่าทำแบบนั้นแล้วเพื่อนตัวเล็กที่ตนกล่าวถึงจะผุดโผล่ขึ้นมาจากมุมใดมุมหนึ่งของห้องอย่างไรอย่างนั้น


“ ลืมไปแล้วรึไงว่าวันนี้มันวันอะไร ? ”


ร่างสูงดูดเส้นหมี่เย็นเข้าปากดังซ๊วบ แต่เมื่อเห็นว่าเพื่อนรักเพื่อนเลิฟทำหน้าไม่เก็ท อัจฉริยะหลบในจึงได้แต่ถอนหายใจ มือใหญ่ใช้ตะเกียบเขี่ยกองเนื้อปลาที่ตัวเองแกะวางไว้อย่างสวยงามไปใส่จานหนุ่มบีบอยด้วยท่าทางโอบอ้อมอารีมีน้ำใจมากที่สุดเท่าที่คนอย่างชิมชางมินจะทำได้


“ ก็วันที่ไฟลท์บินลูกพี่จะแลนดิ้งที่อินชอนตอนสิบโมงเช้าไงเล่า.. ให้ตาย~มึงนี่ .. อ่ะ ! .. . กินปลานี่เข้าไปด่วนๆเลยลีฮยอกแจ .. อะไร ? .. ไม่ต้องมาทำหน้างง .. . อันนี้กูสละให้มึง .. กินเข้าไปให้หมดเลยนะเว่ย ก่อนที่ฝูงนกเอี้ยงมันจะบินแห่มาแย่งกันเกาะมึง ”


ทางด้านฮยอกแจน้อยแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าถูกเพื่อนด่าซึ่งๆหน้าก็ยอมน้อมรับไมตรีแต่โดยดี พยักหน้าเออออเชื่อตามกันไปอย่างว่านอนสอนง่าย แล้วหันมาสนใจเนื้อปลาสำลีสีขาวสะอาดงดงามหมดจดตรงหน้า บรรจงคีบมันเข้าปากราวกับเป็นของล้ำค่าก็ไม่ปาน .. อ่าว ! .. ก็นี่ไอ้มินมันอุตส่าห์เสียสละประหนึ่งขูดเลือดกับปูมาให้กูกินเชียวนะครับ !! .. จะมีสิ่งมีชีวิตสักกี่ตัวบนโลกนี้ที่จะได้มีโอกาสลิ้มรสเนื้อปลาที่มันแกะเองกับมือแบบนี้อีก!!! .. ขนาดแม่มันมันยังไม่เคยทำให้เลยเห๊อะ !!!!! =[]=


ในขณะที่เพื่อนพ้องกำลังพูดคุยกันอย่างออกรสชาติ ประธานนักเรียนคนเก่งยังคงนั่งเงียบไม่พูดไม่จาอยู่คนเดียว ยุนโฮเขี่ยขนมจีบในจานของตัวเองไปมา แม้จะดูคล้ายกับว่านัยน์ตาคมจะจับจ้องไปบนจานอาหาร แต่ใครจะรู้ว่าในสมองอันชาญฉลาดของคนตัวสูงกำลังหวนคิดย้อนกลับไปถึงอีกเหตุผลซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้คิมจุนซูโดดเรียนนอกเหนือจากที่ชางมินหยิบยกมา


เขายังไม่ลืม .. สีหน้าและแววตาของเพื่อนตัวเล็กในตอนนั้น .. คิมจุนซูที่ช่างเปราะบางราวกับจะแตกสลาย


ที่เขาทำลงไปอาจจะดูเหมือนร้ายกาจ แต่ชองยุนโฮก็คงจะยอมเป็นคนใจร้ายที่สุดในโลก เพราะอย่างน้อย .. ด้วยสิ่งที่เขาบอกไป .. . อาจจะช่วยให้เจ้าตัวเล็กไม่ไถลลื่นตกลงไปในหุบเหวลึกมากไปกว่าที่เป็นอยู่ .. แม้สักนิด .. อีกเพียงแค่นิดเดียวก็ยังดี


นัยน์ตาสีเข้มมองลอดผ่านเลนส์แว่นไปบนท้องฟ้ายามเช้าที่แสนสดใสของฤดูร้อน .. อดที่จะคิดถึงเจ้าของรอยยิ้มที่มักจะถูกใครต่อใครนำเอาไปเปรียบเทียบกับเจ้าลูกกลมๆสว่างจ้าบนนั้นไม่ได้


ตอนนี้จุนซูทำอะไรอยู่นะ ? .. . อาจจะกำลังรอรุ่นพี่อยู่ที่สนามบิน .. หรือบางทีก็อาจจะกำลังร้องไห้อยู่คนเดียว


แล้วเด็กหนุ่มก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้ไปมากกว่านั้น


.


.


.


.


.


.


เก้าโมงกว่าแล้ว .. แต่จุนซูก็ยังไม่สามารถพยุงตัวให้ลุกขึ้นมาจากเตียงได้


เขาไม่ได้จับไข้หรือไม่สบาย ตัวก็ไม่ร้อน แถมไม่ได้ปวดเมื่อยจนลุกไม่ไหว .. . เหตุผลน่ะมันง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย .. ที่ยังนอนอยู่เพราะเขาก็แค่ไม่อยากลุกขึ้นมาจากเตียง


เพราะจุนซูไม่รู้เลย .. ไม่รู้จริงๆว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป


เรื่องเมื่อวานช่างเลือนลางเมื่อนึกถึง ทว่ากลับชัดเจนเสียจนราวกับว่ามันได้ฝังลึกเข้าไปในทุกอณูเซลล์เมื่อยามที่พยายามจะแกล้งลืมมันไป


ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันช่างรวดเร็วจนตามไม่ทัน .. เขาปรับตัวไม่ได้ ยังไม่พร้อม ทำอะไรไม่ถูก สับสนไปหมดจนแทบทนไม่ไหว .. สุดท้าย .. . คนขี้ขลาดอย่างเขาจึงได้แต่แอบซ่อนตัวอยู่ในที่ปลอดภัยอยู่แบบนี้ ไม่กล้าแม้กระทั่งจะยื่นมืออันสั่นเทาของตัวเองไปกดปุ่มเปิดโทรศัพท์มือถือด้วยซ้ำ


ลูกพี่ยูชอนอาจจะกำลังรออยู่ .. อาจจะกำลังสงสัยและเป็นห่วงว่าทำไมถึงไม่เจอเขาไปยืนรอรับอยู่หน้าเกทตามคำสัญญา


หรือบางที .. อาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรที่เขาไม่ได้ไปรับ ..


“ ............. ”


บ้าจริง ! . .. ไหนว่าจะไม่ทำตัวงี่เง่าแล้วไงคิมจุนซู !!!


.. อย่าปล่อยให้ความเห็นแก่ตัวของนายทำให้ลูกพี่ยูชอนเกลียดนายเลยนะ


“ ย๊า~ สงบสติอารมณ์หน่อยเว่ย ไอ้จุนซู !!! ”


มือเรียวทั้งสองข้างยกขึ้นมาตบแก้มป่องๆของตนแรงๆจนมันแดงเถือก ร่างเล็กหลับตาสูดลมหายใจเข้าออกอยู่สักพัก ก่อนที่จะลุกจากที่นอนไปหยิบเอาผ้าเช็ดตัวที่แขวนไว้ข้างตู้เสื้อผ้ามาพาดบ่า แล้วเดินหายเข้าไปหลังประตูห้องน้ำอย่างรวดเร็ว


.


.


.


เวลาผ่านไปเกือบสิบห้านาที แต่จุนซูก็ยังไม่อาจหาคำตอบให้ตัวเองได้ว่าเพราะอะไรขาทั้งสองข้างถึงได้พาเขามายืนเอ๋ออยู่ที่นี่ .. หน้าห้องพักของคิมแจจุง


เด็กหนุ่มสบถออกมาเบาเบาให้กับนิสัยมุทะลุไม่รู้จักคิดที่ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงของตน พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จเขาก็เริ่มสดชื่นขึ้นมาบ้าง อยากออกไปข้างนอกเพราะหากปล่อยให้ตัวเองอยู่ในห้องคนเดียวอีกเขาก็คงกลับไปจมจ่อมอยู่กับความเศร้าซึมเดิมๆไม่เลิก แต่ถ้าเดินเตร่ไปเรื่อยเปื่อยไม่ดูตาม้าตาเรือใครจะรู้ล่ะเขาอาจจะไปจ๊ะเอ๋เข้ากับเพื่อนคนอื่นก็ได้(เพราะแต่ละคนก็ช่างโดดเรียนกันเป็นกิจลักษณะเสียนี่กระไร) .. ถึงจะเข้าใจแต่ตอนนี้ยังไงเขาก็ยังไม่พร้อมที่จะเจอหน้าหรือตอบคำถามใครทั้งนั้นนี่นา


เดินแกร่วอยู่สักพัก สุดท้ายไม่รู้อะไรดลใจ เขาเลยมาลงเอยอยู่ที่หน้าประตูบานนี้


แจจุงอาจไม่อยู่ เจ้านั่นอาจไปโรงเรียนหรือไม่ก็หนีเที่ยวอย่างที่ชอบทำ .. ทั้งที่รู้อย่างนั้นแล้วเขามาทำอะไรที่นี่กันนะ ? .. โฮ้ยยย~ ไม่เข้าใจอะไรซักอย่างเลยเว่ยย .. เพิ่งรู้นี่แหละ ว่าการที่เข้าใจในรักและอกหักติดๆกันเนี่ยมันสามารถทำให้คนเราเสียศูนย์ได้ถึงเพียงนี้ !


“ เอาวะ .. ไปหาอะไรกินก่อนแล้วค่อยคิดต่ออีกทีก็แล้วกัน ”


ในที่สุดร่างเล็กก็ตัดสินใจยึดปฏิบัติตามคติกองทัพต้องเดินด้วยท้องของชางมินเพื่อนรัก ถอยหลังกลับเพื่อจะเดินออกไปจากบริเวณนั้น พลันก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขายังไม่ได้โทรบอกลูกพี่ยูชอนว่าเขาจะไม่ไปรอรับตามสัญญา ..


ดวงตาเรียววูบไหวกระอักกระอ่วนอยู่ครู่หนึ่งเมื่อคิดมาถึงจุดนี้ แต่ลงท้ายเด็กหนุ่มก็ยอมกลั้นใจกดโทรออกไปหาคนตัวสูงที่น่าจะลงมาจากเครื่องเรียบร้อยแล้ว ไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องมาไม่สบายใจเพราะเขาถึงแม้ความรู้สึกนั้นมันจะเล็กน้อยสักแค่ไหนก็ตาม .. ยูชอนรับโทรศัพท์อย่างรวดเร็วจนคนโทรตั้งตัวไม่ติด ทว่ายังไม่ทันที่ร่างเล็กจะพูดอะไรออกไป เจ้าของเลขหมายปลายทางก็ตะโกนสวนถามด้วยน้ำเสียงร้อนรนขึ้นมาเสียก่อน


จุนซู !! ตอนนี้นายอยู่ที่ไหนน่ะ โทรหาก็ไม่เปิดเครื่อง .. พี่เป็นห่วงเราจะตายอยู่แล้วนะรู้ไหม ?


ใช่ .. ปาร์คยูชอนในตอนนี้กำลังร้อนรนจนนั่งแทบไม่ติด


แต่รู้อะไรไหม ? .. คิมจุนซูเองก็กำลังพยายามแทบตายในการกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา


ความเป็นห่วงเป็นใยราวกับเห็นเขาเป็นคนสำคัญทำให้เด็กชายต้องจิกมือข้างหนึ่งลงบนกางเกงสีเข้มของตัวเองอย่างแรงเพื่อปิดกั้นความอ่อนแอที่ปะทุขึ้นมาจนน่าตกใจ .. แค่นี้เอง .. แค่บอกไปด้วยน้ำเสียงปกติ .. . นายต้องทำได้สิจุนซู !!!


ขอ .. ขอโทษนะฮะลูกพี่ยูชอน พอดีวันนี้อาจารย์จัดสอบกระทันหันแล้วคะแนนครั้งนี้มันก็สำคัญมากๆในการตัดเกรดด้วย .. ผมคงไปรับลูกพี่ยูชอนไม่ได้แล้วล่ะฮะ


ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า .. ทันทีที่จบประโยคนั้น เหมือนเขาจะรู้สึกได้ว่าลูกพี่ยูชอนชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง


“ อา .. อย่างนั้นเองหรอกเหรอ ”


แต่เพราะเสียงทุ้มที่ตอบกลับมาฟังดูอ่อนโยนไม่ต่างจากทุกครั้ง เด็กหนุ่มจึงปัดความคิดนั้นทิ้งไป ลูกพี่ยูชอนคงจะผิดหวัง .. ก็สัญญากันไว้แล้วนี่เนอะ .. ขอโทษนะฮะ


“ ถ้าไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ดีแล้วล่ะ .. จะว่าไปการที่นายจะโดดเรียนเพื่อมารับพี่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำอยู่แล้วด้วยนี่นะ .. ”


และก่อนที่ร่างเล็กจะได้ตัดบทสนทนาเพราะไม่ต้องการรู้สึกผิดไปมากกว่านี้ ประตูเหล็กของตู้คอนเทนเนอร์ก็เปิดผางออกมาเสียก่อนโดยไม่ทันให้ตั้งตัว พร้อมๆกับร่างโปร่งของเด็กหนุ่มผมทองที่ทำท่าจะก้าวออกมาจากห้องแต่ต้องชะงักอยู่แค่นั้นเมื่อเห็นแขกผู้มาเยือนได้เต็มตา


จุนซู ? ” แจจุงเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง แสดงออกถึงอาการของคนแปลกใจอย่างไม่ปิดบัง “ มึงมาทำอะไรที่นี่


“ เอ้อ .. แค่ .. แค่นี้ก่อนนะฮะ .. ผมต้องรีบไปแล้ว .. . บ๊ายบายฮะ ! ”


เสียงแหบละล่ำละลักบอกลาแล้วกดตัดสายทันทีด้วยความตกใจ แอบหวังไว้ในใจว่าลูกพี่ยูชอนคงไม่ได้ยินที่ไอ้บ้านี่ถามเขาหรอกนะ ฮึ้ยย~ คนยิ่งโกหกไม่เก่งอยู่ด้วย !! .. . เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าได้เด็กหนุ่มก็หันขวับมาตอบกลับเพื่อนผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ตรงหน้าด้วยอารมณ์หงุดหงิด


“ ทำไมกูจะมาไม่ได้ ? ”


ดูแล้วเหมือนกับเขาจะหาเรื่องกวนตีนแจจุง โอเคนั่นมันก็เป็นส่วนหนึ่งเพราะไอ้บ้านี่ช่างโผล่มาได้ไม่รู้จักเวล่ำเวลา แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาไม่รู้ว่าจะตอบยังไงเสียมากกว่า .. ทำไมอยู่ๆถึงได้ถ่อมาอย่างนั้นเหรอ ? .. บางทีนี่คงเป็นอาการของคนอกหักที่ต้องการให้มีใครสักคนตามใจเอาใจล่ะมั้ง .. แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง .. แล้วทำไมคนคนนั้นต้องเป็นแจจุง ?


ไม่รู้สิ .. เขาก็แค่รู้สึกว่าอยู่กับแจจุงแล้วสบายใจกว่า


“ อ่าว อะไรของมึง ? .. โกรธใครมาวะถึงมาลงที่กูเนี่ย ”


“ เปล่า .. กูแค่ .. ” ร่างเล็กถอนหายใจ “ .. ช่างแม่งเหอะ .. แล้วนี่มึงกำลังจะออกไปข้างนอกเรอะ ”


แจจุงมองสีหน้าที่เหมือนกับว่ากำลังฝืนอะไรสักอย่างของคนตัวเล็กกว่าด้วยแววตาครุ่นคิด ไม่บ่อยนักที่เขาจะเห็นจุนซูหงุดหงิดแบบนี้ (ถ้าไม่นับตอนก่อนที่จะจับมือญาติดีกันน่ะนะ) บรรยากาศรอบตัวของร่างเล็กมักจะเต็มไปด้วยความสดใสที่พาให้คนอื่นที่อยู่ใกล้ยิ้มออกอยู่เสมอ แล้วอะไรกันหนอที่ทำให้คนแบบนี้อารมณ์ขุ่นมัวได้


“ กูจะออกไปซื้อของที่ซูเปอร์มาเก็ต พอดีหิวเลยว่าจะทำอะไรกิน ”


และเหมือนจะเพิ่งนึกได้ จุนซูลูบท้องตัวเองเบาเบาแล้วมองหน้าเจ้าของบ้านพลางหัวเราะแหะแหะ .. จะว่าไปเมื่อกี้เขาก็กำลังจะไปหาอะไรกินอยู่นี่หว่า พอมีคนพูดถึงอาหารก็เลยชักจะเริ่มหิวแล้วเหมือนกันแฮะ


“ ไปด้วยดิ ”


ร่างโปร่งทำหน้างง “ ห๊ะ .. แล้วไม่ไปรับรุ่นพี่ปาร์คของมึงรึไง ? ”


นาทีนั้นจุนซูรู้สึกราวกับว่ามีใครกดปิดสวิตช์แห่งความรื่นเริงในตัวเขาเสียจนดับสนิทไม่มีเหลือแม้เสี้ยวประกายไฟไว้ให้ใจชื้น ความหนักอึ้งที่ประมาณค่าไม่ได้โถมกลับมาอีกครั้ง ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นจนเกือบซีดขาวขณะภายในใจกำลังดิ้นรนอย่างหนักเพื่อต่อสู้กับสัตว์ร้ายที่เขาตั้งชื่อให้มันไว้ว่าความเห็นแก่ตัว .. พยายามสุดความสามารถที่จะฝังกลบความรู้สึกน่ารังเกียจลงไปให้ลึกเท่าที่จะลึกได้ ..


ร่างโปร่งมองคนที่เงียบไปด้วยแววตาครุ่นคิด


งี้นี่เอง .. ยัยนั่นคงเริ่มลงมือแล้วสินะ


ดูเหมือนว่าแจจุงจะรับรู้ได้โดยไม่ต้องให้อีกฝ่ายเอ่ยปาก แม้จะสงสัยและเป็นห่วงกับท่าทางหม่นหมองของเจ้าตัวเล็กจนแทบอยากจะเข้าไปจับไหล่บางๆนั่นเขย่าเค้นถามความจริงมากแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่เด็กหนุ่มทำได้ก็แค่เพียงถอนหายใจออกมาเท่านั้น


ร่างโปร่งยื่นมือเรียวของตนเข้าไปกอบกุมมือของคนที่ยังเอาแต่ยืนเงียบก้มหน้าก้มตามองพื้นอยู่ขึ้นมาข้างหนึ่ง แล้วพาลากให้เดินไปด้วยกันโดยไม่บอกกล่าว จุนซูสะดุ้งตัวเล็กน้อยอย่างไม่ทันตั้งตัว


“ เฮ้ย .. แจจุง ? ”


เด็กหนุ่มขืนตัวไว้นิดหนึ่ง ทำให้คนเดินนำหันกลับมามอง “ อะไร ? ก็จะไปด้วยกันไม่ใช่เรอะ ? ”


“ ก็ใช่ ” จุนซูตอบไปอย่างงงๆกับอารมณ์ขึ้นๆลงๆของเพื่อนตัวแสบ “ แต่เมื่อกี้ .. ”


“ งั้นก็ให้ว่องเลย .. มัวแต่ชักช้าเดี๋ยวของสดจะหมดซะก่อน กูไม่ทำประเคนให้กินฟรีๆหรอกนะเว่ย ! .. เพราะฉะนั้นมึงต้องช่วยกูขนของด้วยเข้าใจ๊ ไอ้เตี้ย !! ”


คนตัวเล็กกว่าย่นจมูกอย่างขัดใจ แต่เสียงพยาธิในท้องที่พร้อมใจพากันร้องประสานเสียงเป็นเพลงสามัคคีชุมนุมก็ทำให้ขาเรียวต้องยอมก้าวเท้าตามไปโดยไม่คิดอ้าปากต่อล้อต่อเถียงให้เสียเวลาอีก ปล่อยให้พ่อครัวจอมโหดเดินจูงมือนำไปเหมือนพ่อจูงลูก .. เหอะ ! รอให้กูอิ่มก่อนเถอะมึง พ่อจะสอยให้ฟันร่วงเชียว .. ไอ้สูง !! =<>=


จุนซูใช้สายตาส่งรังสีอาฆาตใส่แผ่นหลังกว้างไปตลอดทางแต่ท่าทางจำเลยจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยสักนิด แถมยังออกจะระรื่นได้อีกจนน่าหมั่นไส้ ทำสงครามประสาทกันไปสักพักจนพากันมาถึงซูเปอร์มาเก็ต ในที่สุดร่างเล็กก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ เพราะเจ้าตัวหันไปตื่นตาตื่นใจกับเนื้อสันในแล่บางซึ่งถูกวางยั่วน้ำลายอยู่ในถาดโฟมแทนเสียแล้ว แจจุงมองปฏิกริยาน่าเอ็นดูนั้นยิ้มๆ


“ อ่าวอ่าว .. น้ำลายหกหมดแล้วนั่น ”


เด็กหนุ่มแซวคนที่ถลาเข้าไปเกาะหนึบอยู่หน้าเค้าท์เตอร์หั่นเนื้อไปหนึ่งดอก ก่อนจะเดินตามมายืนข้างๆ แต่แล้วก็เป็นอันต้องหลุดหัวเราะออกมาเบาเบาเมื่อเห็นนัยน์ตาวาวระยับประหนึ่งเห็นทองของเด็กน้อยคิมจุนซู .. สงสัยว่าจะหิวจริงๆแฮะ


แจจุงอ่า ~


เจ้าของชื่อถึงกับตกตะลึงกับน้ำเสียงออดอ้อนที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ตาคมโตเบิกกว้างอย่างช็อคสุดขีด แล้วไหนจะท่ากระพริบตาปริบๆราวกับลูกหมาตัวน้อยแบบนั้นอีกเล่า ? .. ให้ตายเถอะ ! .. เห็นแบบนี้แต่คิมแจจุงก็เป็นคนรักหมาบ้างอะไรบ้างเหมือนกันนะเว้ยครับ !!!


“ กูอยากกินเนื้อย่าง .. นะ


เชี่ยเอ๊ยยยยยยยย !!!!!! ..


นักเลงหนุ่มหวิดจะยั้งมือไม่ให้ยกขึ้นทึ้งผมตัวเองเล่นไม่ได้ซะแล้ว ถึงสรรพนามและสำเนียงจะไม่ได้เปลี่ยนไป แต่มันติดอยู่ตรงที่ไอ้ ’นะ’ ตรงท้ายประโยคนี่แหละ !! .. แม่งงงง~~~ .. ใครสั่งใครสอนให้ทำตัวน่ารักอย่างนี้ห๊ะไอ้จุนซู !!!


แล้วแจจุงก็ตัดสินใจได้ ..


เห็นทีวันนี้กูคงต้องแดกเนื้อย่างตั้งแต่หัววันซะแล้วล่ะวะ !!!!!!!!


.


.


.


.


.


.


นัยน์ตาคมสีน้ำตาลอ่อนหรี่ลงเล็กน้อยยามที่เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมองเครื่องบินลำใหญ่พุ่งทะยานออกไปจากรันเวย์ผ่านกลุ่มเมฆสีขาวและแสงแดดสว่างจ้าของดวงอาทิตย์


ชายหนุ่มเหม่อมองภาพของบรรดาผู้คนมากหน้าหลายตาที่เดินสวนกันไปมาเบื้องหน้าด้วยแววตาว่างเปล่า


.. นี่เขานั่งอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ?


สิบนาทีที่แล้ว .. ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว .. หนึ่งชั่วโมงที่แล้ว หรือสองชั่วโมงที่แล้ว


ร่างสูงอยู่ในชุดสูทสีดำดูหล่อเหลาภูมิฐานจนสาวน้อยสาวใหญ่บริเวณนั้นต้องเหลียวมองเช่นเดียวกับตอนที่เดินออกมาจากเกทผู้โดยสารขาเข้า เขายิ้มให้ตัวเองบางๆ


จริงสินะ .. หลังจากที่รองเท้าสัมผัสแผ่นดินบ้านเกิด ก็ผ่านมาได้สามชั่วโมงเต็มแล้ว แต่ชายหนุ่มทายาทเพียงหนึ่งเดียวของนักธุรกิจชื่อดังก็ยังนั่งอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับลุกไปไหน ไม่แม้แต่จะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรเรียกคนขับรถหรือกระทั่งติดต่อบิดาเพื่อรายงานถึงการกลับมาของตน


และปล่อยให้เวลาสามชั่วโมงค่อยค่อยผ่านไปอย่างไร้ประโยขน์


ในทีแรกยูชอนกระวนกระวายใจจนนั่งไม่ติด เพราะคนที่สัญญากันไว้เสียเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะมารอรับกลับไม่โผล่มาให้เห็นแม้แต่เงา รออยู่ประมาณสิบนาทีเขาจึงลองโทรไปหาเจ้าตัวก็ดันปิดมือถือซะนี่ ทว่าชายหนุ่มก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาลองกดโทรไปหาลีทงเฮ ลูกน้องอีกคนที่มีโทรศัพท์ติดตัวอยู่ตลอดเวลาแต่ก็ต้องผิดหวัง เมื่อเจ้าปลาทองตะโกนผ่านเสียงดังโหวกเหวกในห้องเรียนที่ไร้ซึ่งอาจารย์คุมสอนตอบกลับมาว่าเจ้าตัวเล็กของเขาไม่ได้มาโรงเรียน แถมยังถามกลับมาอีกว่าเพื่อนมันไม่ได้อยู่กับเขาหรอกเหรอ


แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะเครียดไปมากกว่านั้น จุนซูก็โทรเข้ามา ยูชอนตะครุบโทรศัพท์กดรับแทบไม่ทัน หากสิ่งที่อีกฝ่ายหยิบยกขึ้นมาอธิบายถึงเหตุผลที่ผิดสัญญากลับทำให้เขาพูดไม่ออก


ยูชอนยังจำความรู้สึกโหวงเหวงตอนที่วางสายจากจุนซูได้ดีราวกับว่ามันเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวินาทีก่อน


จุนซูไม่เคยโกหกเขามาก่อน


นี่มันเกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลาเพียงสิบกว่าชั่วโมงที่เราไม่ได้คุยกันอย่างนั้นหรือ ?


เขาไม่รู้ เขาไม่เข้าใจ .. ไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่าทำไมอะไรต่อมิอะไรมันก็ดูผิดแปลกไปขนาดนี้ แม้ว่าจุนซูอาจมีเหตุผลที่ต้องโกหกเขา มันอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่โต บางทีเจ้าตัวเล็กอาจมีเรื่องสำคัญจริงๆก็เป็นได้ เดิมทีเด็กคนนั้นก็เป็นประเภทไม่ชอบพึ่งพาคนอื่นอยู่แล้วด้วย


แต่ไอ้ความรู้สึกใจหายแบบนี้มันคืออะไรกัน ?


และทันใดนั้นเสียงแว่วของบทสนทนาทางโทรศัพท์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนก็ผุดขึ้นมาในห้วงคำนึง เสียงอีกเสียงหนึ่งที่เขาได้ยินดังแทรกเข้ามาระหว่างที่คุยกับเจ้าตัวเล็ก .. เสียงที่คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน .. แล้วถ้าเขาฟังไม่ผิด คำพูดนั้น ..


‘ จุนซู ? .. . มึงมาทำอะไรที่นี่ .. ’


.. คิมแจจุง ??


’ ที่นี่’ งั้นเหรอ ? แล้วที่นี่ที่ว่ามันคือที่ไหนกันล่ะ .. จุนซูไม่ได้ไปโรงเรียน ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าเด็กแจจุงนั่นก็คงโดดเรียนเหมือนกันล่ะสิ .. . สองคนนั้นอยู่ที่ไหนกันนะ ? ..


จริงสิ .. จุนซูเคยเล่าให้ฟังว่าโดนแจจุงแกล้งหลอกให้ไปเยี่ยมที่บ้านนี่


หรือว่า ..


มือเรียวหยิบเอาโทรศัพท์มือถือคู่ใจมากดโทรออกอีกครั้งพร้อมๆกับที่ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว เสียงทุ้มกรอกคำถามผ่านเครื่องมือไร้สายทันทีที่ได้ยินเสียงกดปุ่มรับจากคู่สาย


ทงเฮ .. ขอที่อยู่คิมแจจุงหน่อยสิ

.


.


.


.


.


.


บนพื้นที่โล่งว่างด้านหน้าห้องพักจากตู้คอนเทนเนอร์ของคิมแจจุง เด็กหนุ่มสองคนกำลังขะมักเขม้นกับการย่างเนื้อบนเตาถ่านกลางเก่ากลางใหม่อย่างสนุกสนาน แย่งกันชิมแย่งกันปิ้งอยู่สักพัก ร่างโปร่งก็ผละเข้าไปในห้องเมื่อได้ยินเสียงร้องเตือนจากกาน้ำร้อนภายในครัว ก่อนจะออกมาพร้อมกับซุปไก่ร้อนๆและผักเครื่องเคียงหน้าตาน่ากินอีกสี่ห้าอย่าง เรียกน้ำลายจากคนตัวเล็กที่ยืนกลับเนื้อย่างอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลได้ไม่ยาก


จุนซูรีบคีบเนื้อร้อนๆใส่จานแล้วแจ้นตามเจ้าของบ้านไปช่วยจัดเรียงอาหารลงบนโต๊ะตัวเล็กด้านหน้าห้องพักอย่างรู้งาน พอนั่งลงบนเก้าอี้ได้มือเรียวก็รีบหยิบตะเกียบคีบเอาเนื้อย่างชิ้นหนึ่งขึ้นมาเป่าไล่ความร้อนแล้วส่งเข้าปากด้วยความหิวจัด แจจุงหัวเราะเบาเบาขณะที่มองปากอิ่มเคี้ยวอาหารตุ้ยๆอย่างมีความสุข


“ ไวนะมึง ”


“ กูหิวอ่ะ .. . ย๊า~ อร่อยชิบ !! ”


ดูเหมือนว่าอะไรบนโลกก็จะไม่มีความหมายสำหรับคิมจุนซูอีกต่อไปซะแล้วในนาทีนี้ ร่างเล็กตักโน่นคีบนี่เข้าปากอย่างไม่สนใจใคร แก้มใสป่องขึ้นเรื่อยๆตามปริมาณอาหารที่ถูกยัดเข้าไป .. ท่าทางมันคงจะหิวจริงอะไรจริง -*-


เด็กหนุ่มทั้งสองคนตั้งหน้าตั้งตากินกันไปเรื่อยๆจนกับข้าวบนโต๊ะค่อยๆหมดไปอย่างรวดเร็วจนเหลือเพียงจานชามเปล่าสะอาดเอี่ยม ตอนนั้นเองที่แจจุงลุกหายเข้าไปในห้องแล้วออกมาพร้อมกับเบียร์และน้ำผลไม้เย็นฉ่ำอย่างละหนึ่งกระป๋อง มือเรียวส่งโยนน้ำผลไม้ให้เพื่อนตัวเล็กรับไปถือไว้ส่วนตัวเองก็กลับมานั่งลงบนเก้าอี้แล้วเปิดเบียร์ยกซดดับกระหาย


“ มึงรู้ได้ไงว่ากูไม่กินเบียร์ ? ”


มันเป็นเพียงประโยคคำถามสั้นๆ แต่ก็ทำให้คนถูกยิงคำถามถึงกับสะอึก ใบหน้าคมขึ้นสีแดงจางๆ แจจุงดื่มเบียร์ไปอีกหนึ่งอึกแล้วปั้นหน้าไม่รู้ไม่ชี้ตอบกลับไป


“ กูรู้ก็แล้วกัน ”


จุนซูเลิกคิ้วมองเพื่อนอย่างคาดไม่ถึง นอกจากเพื่อนในกลุ่มที่รู้จักกันมานานแล้วไม่น่าจะมีใครรู้เรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าเหตุผลงี่เง่าอย่างไม่อยากเสียฟอร์มเพราะเกิดเป็นผู้ชายทั้งทีดันแพ้แอลกอฮอล์อะไรเถือกนั้น แต่เพราะเขาไม่เคยเล่าให้ใครฟังมากกว่า แถมเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆก็แค่สนิทกันผิวเผิน เตะบอล ลอกการบ้านกันแค่นั้น พอออกจากรั้งโรงเรียนก็แทบจะกลายเป็นคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิง


แม้ว่าภายนอกร่างเล็กจะดูร่าเริงเป็นมิตรและสนิทสนมกับใครต่อใครเขาไปทั่วก็เถอะ แต่จะมีใครสักกี่คนที่รับรู้ว่าภายในหัวใจที่เคยบอบช้ำจากความผิดหวังนับครั้งไม่ถ้วนดวงนี้กลับเย็นชาแข็งกร้าวประดุจหินผาที่ไม่เคยเปิดต้อนรับใครผ่านเข้ามาง่ายๆ ..


สังคมในวัยเด็กบั่นทอนความสดใสของเขา แทบจะดูดกลืนแสงสว่างในจิตใจไปหมดสิ้น จนสุดท้ายก็เหลือทิ้งไว้แต่เพียงเศษซากของลูกแมวที่บาดเจ็บ ไม่ไว้ใจคนและไม่เชื่อใจใครง่ายๆ .. แต่นั่นก็เป็นก่อนที่ปาร์คยูชอนจะก้าวเข้ามาในชีวิต ..


สำหรับจุนซูแล้วเพื่อนที่จะคบกันไปจนวันตายก็มีแต่ยุนโฮ ชางมิน ทงเฮและฮยอกแจเท่านั้น .. จะว่าไปตอนนี้เห็นทีคงต้องรวมคิมแจจุงเข้าไปอีกหนึ่งคนแล้วสินะ


จากนั้นก็ไม่มีใครสานต่อบทสนทนาให้ดำเนินต่อ คนทั้งคู่ได้แต่นั่งจิบเครื่องดื่มของตนไปเงียบๆโดยไม่แม้แต่จะมองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างถูกดึงเข้าไปในโลกส่วนตัวที่เก็บกักเอาความรู้สึกบางอย่างที่ตกค้างหน่วงหัวใจไว้คนเรื่องสองเรื่อง .. และเวลาก็ผ่านเลยไปอย่างนั้นเรื่อยๆ กระทั่งเมื่อนัยน์ตาเรียวสีดำสนิทของคนที่นั่งหันหลังให้กับประตูห้องพักซึ่งกำลังกวาดมองทิวทัศน์รอบข้างไปเรื่อยเปื่อยสบเข้ากับดวงตาสีอ่อนของใครบางคน


แววตาของจุนซูสั่นระริก จะขยับตัวหรืออ้าปากพูดอะไรก็ทำไม่ได้ จึงได้แต่ชะงักอยู่อย่างนั้น แจจุงซึ่งเห็นถึงความผิดปกตินั้นขมวดคิ้วน้อยๆอย่างแปลกใจในพฤติกรรมประหลาดของเพื่อนตัวเล็ก แต่พอเอี้ยวตัวหันกลับไปมองยังทิศทางของปลายสายตาอีกฝ่ายแล้วก็ได้เข้าใจ .. เด็กหนุ่มแค่นหัวเราะเบาเบา ..


.. เพราะปาร์คยูชอนยืนอยู่ตรงนั้น


โง่ว่ะแจจุง . .. แค่นี้ก็น่าจะรู้อยู่แล้ว คนคนเดียวที่มีอิทธิพลต่อไอ้ตัวเล็กถึงขนาดนี้จะเป็นใครไปได้อีก ?


“ ล .. ลูกพี่ยูชอน ”


เสียงแหบเรียกชื่อของคนที่เขาไม่คาดว่าจะได้เจออย่างแผ่วเบา หัวใจดวงน้อยเต้นรัวแรง ร่างเล็กขยับตัวเล็กน้อยอย่างกระสับกระส่าย และไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายตรงๆยามที่เอ่ยถาม


“ มา .. มาที่นี่ได้ยังไงครับ .. แล้ว .. ”


อยากจะถามออกไปเสียเหลือเกิน ว่าแล้วอาจารย์ฮยอนจินไปอยู่ซะที่ไหนทำไมถึงได้มาคนเดียว แต่ปากเจ้ากรรมมันก็ไม่กล้าพอ เด็กหนุ่มนึกเคืองตัวเองเป็นหนักหนาที่ขี้ขลาดจนเกินเหตุ .. . เพราะจนแล้วจนรอดที่สุดแล้วเขาก็ไม่อยากยอมรับความจริงก็เท่านั้น


“ พี่ต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถาม .. นายมาทำอะไรที่นี่จุนซู ? ”


ร่างสูงถามเสียงเรียบ ไร้ซึ่งวี่แววโกรธเคือหรือขุ่นข้องหมองใจในทั้งน้ำเสียงและสีหน้า ทว่าไม่มีใครรู้ว่าเบื้องหลังความเฉยชานั้น ผู้ชายคนนี้กำลังรู้สึกอย่างไรบ้าง ..


เจ็บปวด .. หัวใจของปาร์คยูชอนมันกำลังเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว


ทีแรกเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไร สาบานได้ว่าตอนแรกมาที่นี่ด้วยความเป็นห่วงเท่านั้น แค่อยากเห็นกับตาให้สบายใจว่าเด็กน้อยของเขาไม่ได้ไปทำเรื่องอะไรที่เสี่ยงอันตรายอย่างที่เคยทำอยู่บ่อยๆ ..


อาจจะฟังดูแปลก แต่ยูชอนไว้ใจคิมแจจุง .. ส่วนจุนซู ถึงร่างเล็กจะยังไม่รับรู้ถึงความรู้สึกที่เขามีให้ หรือหากแย่กว่านั้นก็คือเจ้าตัวยังไม่รู้กระทั่งความรู้สึกของตัวเอง .. เขาก็ยังมั่นใจว่าเรา .. ใจตรงกัน


แต่มาถึงนาทีนี้ .. ความมั่นใจเหล่านั้นกลับย้อนมาทำร้ายคุณชายตระกูลปาร์คได้อย่างร้ายกาจ .. ทั้งหมดเป็นเพราะคนเพียงคนเดียว


ทำไมถึงต้องโกหก .. ทำไมถึงได้เลือกที่จะมาอยู่ที่นี่กับคิมแจจุงในเวลานี้ .. . ในช่วงเวลาที่ควรจะเป็นของเขา .. ทำไมต้องทำอย่างนี้ .. ในเมื่อนายเป็นคนบอกเองว่าฉันเป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตนาย ..


แล้วทำไม .. ถึงเลือกเขา ?


“ ............... ”


ไม่มีคำตอบ ไม่มีใครพูดอะไร และเมื่อเงยหน้าสบเข้ากับสายตาของอีกฝ่ายชัดๆ .. . ตอนนั้นเองที่จุนซูแทบจะหยุดหายใจ .. เขาไม่เคยเห็นสีหน้าแบบนี้ของยูชอนมาก่อน ..


เจ็บ ผิดหวัง เสียใจ สับสน ไม่เข้าใจ .. มันปนเปกันไปหมดอย่างไม่น่าเชื่อ


ผมเป็นคนเรียกเขามาเอง


เพราะไม่เห็นว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพูดขึ้นมาเสียที คิมแจจุงที่นั่งเป็นพระอิฐพระปูนอยู่ระหว่างคนทั้งคู่จึงตัดสินใจตอบแทรกขึ้นมาแทน ยูชอนตวัดสายตามองคนพูดอย่างเย็นชา


“ ฉันไม่ได้ถามนาย ”


จุนซูมองคนนู้นทีคนนี้ทีอย่างทำอะไรไม่ถูก เขาไม่ชอบบรรยากาศที่กำลังดำเนินอยู่นี้เอาเสียเลยจริงๆ .. บรรยากาศที่ลูกพี่ยูชอนมองเขาด้วยสายตาอ่านไม่ออกแบบนี้ ..


“ ลูกพี่ยูชอน .. ”


ใบหน้าหล่อเหลาหันมองตามเสียงเรียก แต่ยังไม่ทันที่ร่างเล็กจะเอ่ยปากออกไป ก็ถูกเสียงทุ้มพูดขัดขึ้นมาก่อน ..


“ ดูนายจะให้ความสำคัญกับเขาจังนะ ”


ทั้งที่ประโยคที่ได้ยินช่างเรียบง่ายและอ่อนโยน ทั้งที่ยูชอนไม่ได้มีอารมณ์โกรธหรือไม่พอใจแสดงออกมาให้เห็น แต่มันกลับมีผลร้ายแรงมากพอที่จะทำให้ร่างเล็กมีอาการตระหนกตกใจอย่างคาดไม่ถึง อาจเป็นเพราะเข้าใจถึงความรู้สึกที่มีต่อคนคนนี้แล้วก็ได้ ตอนนี้จุนซูจึงกระวนกระวายเหลือเกิน


“ ไม่ใช่ .. มันไม่ใช่แบบนั้นนะฮะลูกพี่ยูชอน ! .. ผมแค่ .. ”


ร่างสูงยกยิ้มบางๆ .. สาบานได้ว่านี่เป็นครั้งแรกจริงๆที่เขาไม่ชอบรอยยิ้มของยูชอนเอาเสียเลย


สำคัญจนต้องโกหกพี่เลยใช่ไหม ?


นาทีนั้นเอง .. นาทีนั้นเองที่จุนซูเพิ่งจะรับรู้ว่าในน้ำเสียงแสนอบอุ่นอันคุ้นเคยนั้นมีอะไรบางอย่างที่แตกต่างไปจากเดิม .. อะไรบางอย่างที่บีบรัดหัวใจของเขาจน .. แทบจะขาดใจตาย


อยากจะอธิบาย .. อยากจะพูดให้เข้าใจ แต่ตอนนี้ความสามารถในการพูดของคิมจุนซูดูเหมือนจะเป็นอัมพาตไปอย่างกระทันหัน เด็กหนุ่มไม่อาจบังคับให้ตัวเองเปล่งเสียงใดใดออกมาได้ดังใจ .. ที่แท้อาการช็อคจนทำอะไรไม่ถูกมันก็เป็นอย่างนี้นี่เอง


ร่างเล็กได้แต่มองตามแผ่นหลังของคนสำคัญตัวจริงที่เดินจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก ราวกับขาทั้งสองข้างถูกตรึงไว้กับที่ คล้ายว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป .. หัวใจที่เคยเต้นแรงประหนึ่งกองรบเมื่อครู่พลันค่อยๆช้าลงเรื่อยๆจนเกือบหยุดนิ่ง ประสาทการรับรู้ทุกอย่างมันด้านชาไปหมด


อย่าไปนะ อย่าเพิ่งไป ..


อย่าทิ้งผมเอาไว้แบบนี้


“ จุนซู !!! ”


เสียงเรียกดังๆที่ข้างหูดึงสติของคนตัวเล็กให้กลับเข้าที่เข้าทาง จุนซูสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองเจ้าของเสียงทุ้มต่ำเมื่อครู่ด้วยสีหน้าที่ยังไม่หายสับสน


แจจุงนั่นเอง


“ เซ้นซิทีฟจริงนะลูกพี่ของมึงเนี่ย ”


อาศัยความที่ยังไม่หายมึนของร่างเล็ก หนุ่มผมทองยกมือขึ้นยีกลุ่มผมนุ่มนิ่มของอีกฝ่ายแรงๆอย่างหมั่นเขี้ยวแล้วก็หัวเราะออกมาดังลั่นกับแววตาเข่นเคี้ยวที่มองกลับมา


“ กูไม่รู้หรอกนะว่าพวกมึงสองคนมีเรื่องอะไรกัน .. แต่ทำตัวแบบนี้ไม่สมกับเป็นมึงเลยว่ะ ”


“ แจจุง ? ”


นัยน์ตาสีเข้มกระพริบมองเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ ร่างโปร่งถอนหายใจหนักๆอย่างเซ็งโลกสุดชีวิต เชื่อแล้วว่าไอ้เปี๊ยกนี่มันซื่อจริงอะไรจริงอย่างที่ชองยุนโฮมันว่า ขนาดคนนอกอย่างเขาดูแค่นี้ยังปะติดปะต่อเรื่องจนเข้าใจได้เลยแท้ๆ แต่ไอ้หมอนี่ดันไม่รู้เรื่องของตัวเองซะงั้น อยากจะบ้าตาย !!


ชอบเขาใช่ไหม ?


“ ห๊ะ !!! ”


คำถามตรงประเด็นชนิดที่ว่าชกตรงจุดของเด็กหนุ่มทำเอาคนตัวเล็กกว่าอ้าปากค้าง เม็ดสีแดงเข้มค่อยๆระบายขึ้นที่แก้มทั้งสองข้างแล้วลุกลามไปยังทุกส่วนของใบหน้าอย่างรวดเร็ว แม้ท่าทางเขินอายอย่างน่าเอ็นดูนั้นจะพาให้แจจจุงหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยแต่ร่างโปร่งก็แค่ยิ้มออกมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


แม้จะเจ็บแค่ไหน แต่แจจุงก็ยังอุตส่าห์ถามซ้ำออกไป ..


.. ถ้าผลลัพธ์ของมันจะทำให้นายยิ้มได้


“ คิมจุนซู .. มึงชอบปาร์คยูชอนใช่ไหม ? ”


“ อะ .. ก็ .. ”


จุนซูอ้าปากพะงาบๆพูดไม่เป็นคำ ใบหน้าน่ารักยังคงแดงก่ำ ถึงจะเคยอาจหาญป่าวประกาศออกไปให้ผองเพื่อนฟังกันแล้วครั้งหนึ่งแต่อยู่ๆเอามาพูดกันต่อหน้าแบบนี้มันก็เขินนะเฟ้ยย !!!!!


“ โอเค .. กูจะถือว่านั่นคือการตอบรับว่าใช่ ” แจจุงว่าต่ออย่างไม่ใส่ใจกับอาการใบ้รับประทานของเพื่อนตัวเล็ก “ งั้นทีนี้กูจะขอถามมึงอีกประโยคนึง .. ”


มือเรียววางลงบนไหล่บางทั้งสองข้างแล้วออกแรงบีบมันเบาเบา ใบหน้าคมคายโน้มลงมาใกล้จนร่างเล็กแอบหวั่นใจ แต่วินาทีที่ปลายจมูกโด่งของเด็กหนุ่มทั้งคู่จะสัมผัสกัน คนตัวสูงกว่าก็ตะโกนใส่จนคนตรงหน้าสะดุ้งโหยง


แล้วมึงจะมายืนทำบื้ออะไรอยู่ตรงนี้ไม่ทราบ ? .. รีบตามเขาไปสิวะ !!!


คนตัวเล็กกระพริบปริบๆอยู่สองสามที ก่อนที่รอยยิ้มสว่างไสวจะค่อยๆวาดขึ้นบนกลีบปากอิ่ม จุนซูรีบวิ่งตามทิศทางที่ยูชอนเดินหายไปด้วยท่าทางแช่มชื่นขึ้นมาก โดยไม่ลืมทิ้งท้ายเอาไว้ให้อีกคนได้ยิ้มตาม


“ ขอบใจว่ะ แจจุง ”


.


.


.


.


.


.


“ เฮ้อ .. ”


พระอาทิตย์ในยามบ่ายกำลังอ่อนแสงลง ในบรรยากาศที่แสนเงียบเหงาวังเวงซึ่งปกคลุมอยู่รอบด้าน เสียงถอนหายใจบางเบาก็ดังขึ้นอีกครั้งแล้วครั้งเล่า


ร่างโปร่งกระดกเบียร์กระป๋องที่ห้าเข้าปากด้วยอารมณ์เรียบสงบ นัยน์ตาคมเหม่อมองเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามที่เคยมีเจ้าของรอยยิ้มสดใสนั่งอยู่ตรงนั้น แล้วก็ยิ้มออกมาจางๆ


“ ทำบ้าอะไรของมึงวะเนี่ย คิมแจจุง ? ”


เสียงทุ้มพึมพำกับตัวเองเบาเบาขณะที่โยนกระป๋องเบียร์เปล่าลงถึงขยะที่วางอยู่เยื้องไปด้านหน้าอย่างแม่นยำ .. เด็กหนุ่มเอนตัวพิงพนักเก้าอี้แล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า


“ อินฮวานอา~ .. พี่ชายของนายนี่งี่เง่าชะมัดเลยล่ะ ”


เปลือกตาสีอ่อนปิดลงช้าๆ สายลมที่พัดมาสัมผัสใบหน้าให้ความรู้สึกคุ้นเคยราวกับว่าคนบนฟ้ารับรู้ถึงคำพูดของเขาและต้องการจะปลอบใจพี่ชายที่รักของตน .. แจจุงยกยิ้มกว้างขึ้นทั้งที่ยังหลับตาอยู่อย่างนั้น


“ แต่ไม่เป็นไรหรอก .. พี่ไม่เป็นไรเลย ”


.. ก็เขาหัวเราะแล้วนี่นา

.


.


.


.


.


.


TBC~* >w<


ปอลอจุดที่สอง :: ขออีกที .. แจจุงพระเอกค่อดดด !!!! >_________< .. แต่งไปพลางก็คิดไปพลาง .. ' คิมจุนซูอ้อนเขาไปทั่วอีกแล้วนะ ! ' อิยะ555+




 

Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2554    
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2554 14:39:38 น.
Counter : 874 Pageviews.  

Part seven

Title : Dating on Earth
Author : Anatomy2125
Couple : YooSu
Rate : G
Talk ::ฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นแนวชายรักชาย หากผู้ใดไม่ชอบ ไม่ใช่ รับไม่ได้ กรุณากด X ปิดหน้าต่างนี้และจากไปอย่างสงบด้วยนะคะ ^ ^



Part seven


ให้ตายสิ~ .. แบบว่าจริงจังเลยนะ .. . ตอนนี้ชองยุนโฮกำลังเกิดความรู้สึกอย่างแรงกล้าที่จะยกมือขวาของตัวเองขึ้นมาชกใบหน้าอันหล่อเหลาราวกับเทพบุตรอันเป็นที่หลงใหลของสาวๆเกือบค่อนโรงเรียนนี้จนมันกลายสภาพเป็นกอลลั่มแห่งหนังมหากาพย์ของฮอลลีวู้ดให้รู้แล้วรู้รอดกันไปข้างเสียเหลือเกิน


ร่างสูงถอนหายใจให้กับความน่าสมเพชของตนอยู่เพียงลำพังในห้องสภานักเรียน มือใหญ่ดันแว่นกรอบดำสไตล์คลาสสิคให้เข้าที่ ก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ประจำตำแหน่งด้วยสีหน้าปลงชีวิต ในความคิดก็หวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นสดสดร้อนร้อนเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ..


“ จะเกาะกูเป็นปลิงไปแบบนี้อีกนานมั๊ย? ”


เสียงทุ้มซึ่งบ่งบอกถึงอารมณ์ขุ่นมัวของคนพูดได้เป็นอย่างดีเอ่ยถามเจ้าตัวเล็กที่ยังทำตัวติดแน่นหนึบหนับอยู่บนแผ่นหลังกว้างสมชายชาตรีของเขามาตลอดทางโดยไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยมือเลยแม้แต่น้อย .. แม่ง!ประสิทธิภาพความเหนียวยังกะตีนตุ๊กแก!!


“ นานตราบเท่าที่มึงไม่ต้องการ =O= ”


ยุนโฮพยายามเป็นอย่างมากที่จะทำหูทวนลมกับคำตอบกวนตีนของเพื่อนตัวเล็ก คนหล่อสะบัดหน้าใส่ไปหนึ่งทีแล้วก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆอย่างมุ่งมั่นมีจุดมุ่งหมายจนอีกฝ่ายต้องย่นจมูกด้วยความหมั่นไส้ .. แรดชิบหายเลยเพื่อนกรู!!


“ มึงโกรธกูเรื่องอะไรวะชอง? ”


ถึงจะแอบกระหน่ำนินทาสาดเสียเทเสียไอ้คุณเพื่อนบังเกิดเกล้าอยู่ในใจมากมายแค่ไหน แต่สุดท้ายท้ายสุดแล้วเจ้าตัวเล็กก็ยังคงต้องกลั้นใจยึดไหล่กว้างๆนี้ไว้ต่อไป เพราะไม่เช่นนั้นแล้ววันนี้คงไม่ได้เคลียร์กันให้รู้เรื่องเป็นแน่


“ กูไม่ได้โกรธมึงซักหน่อย ”


จุนซูแอบชะเง้อมองสีหน้าของคนไม่โกรธให้ชัดชัด .. อื้อหือ~หน้านิ่วยังกะปวดไส้ติ่งอย่างนี้ยังมีหน้าบอกไม่โกรธ .. เชื่อมึงควายก็เรียกกูว่าพ่อแล้วครับพี่น้อง!!!


“ เฮ้ย! เอาจริงๆสิวะ .. บอกมามึงโกรธกูเรื่องอะไร ”


“ กูบอกมึงแล้วว่าไม่ได้โกรธ ”


หว่าเว๊ย~!!! .. ไอ้สูงนี่!! .. . คนเขาอุตส่าห์ลดตัวลงมาง้อยังจะ!!!! =[]=+


แต่ช้าก่อน! .. หน็อยแน่~ อย่านึกว่ามาไม้นี้แล้วจะสลัดกูหลุดไปง่ายๆ! ถึงจะเป็นพวกใจร้อนมุทะลุขีดอดทนต่ำแค่ไหนแต่คนอย่างกูก็ไม่ได้โง่ให้มึงหลอกได้ด้วยวิธียั่วโมโหเดิมๆซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้ร่ำไปนะเว่ย~!!!


บรรลุดังนั้นแล้วร่างเล็กก็หลับตาสูดลมหายใจเข้าออกพลางท่องยุบหนอพองหนอระงับอุณหภูมิอันเดือดดาลของตัวเองอย่างสุดชีวิต .. ยังไง๊ยังไงวันนี้กูก็ต้องเปิดเผยเงื่อนงำที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคดีหมีงอนนี้ให้ได้ ไม่อย่างนั้นไม่ต้องมาเรียกกูคุณชายคิมสุดหล่ออีกต่อไป!!!! .. ไป .. ไป~ (อินไปหน่อยมีเอคโค่ซะด้วย-*-)


หรือต้องใช้วิธีนั้น?


คิดขึ้นมาได้ถึงจุดนี้นัยน์ตาสีดำคู่สดใสก็พลันเบิกกว้างขึ้น .. อ๋า~ .. ต้องใช้วิธีนั้นจริงๆเหรอวะเนี่ย! .. . ไม่อยากเลยอ่ะ!!! T[]T


มือเรียวเผลอออกแรงกำเสื้อนักเรียนของคนตัวสูงกว่าหนักขึ้นจนมันยับย่น จุนซูหลุบตาลงเล็กน้อยขณะที่ฟันขาวก็กัดริมฝีปากล่างของตนอย่างคนคิดหนัก .. . นี่เพราะมึงเป็นเพื่อนรั๊กกกกกกกกก~กูหรอกนะไอ้ยุน คิมจุนซูคนนี้ถึงได้ยอม .. ยอม .. อึก .. . ยอม .. กระซิก กระซิก~ T^T !!!!!!


คนน่ารักกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ก่อนจะเริ่มเอ่ยปากพูด ..


ยุนยุนอ่า~ .. โกรธจุนซูเหรอ ?


ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าเสียงแหบๆที่ได้ยินอยู่ทุกวี่วันจนคุ้นหูเพียงแค่ปรับเปลี่ยนรูปประโยคให้ต่างออกไปจะสามารถทำให้แผ่นหลังของคนงอนถึงกับชะงักกึก! .. ประธานนักเรียนผู้เคร่งขรึมยืนรากงอกก้าวขาไม่ออกนิ่งค้างอยู่ที่เดิมอย่างทำอะไรไม่ได้ไปไม่ถูกประหนึ่งเป็นผู้พิการซ้ำซ้อนอย่างไรอย่างนั้น!!


จุนซูผู้รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างสูงลอบยิ้มออกมาน้อยๆอย่างได้ใจ แหม่~ไอ้วิธีนี้ถึงมันจะน่าอายขนาดไหนแต่ก็มักจะใช้ได้ผลทุกทีไปสิน่า .. ถึงจะไม่เข้าใจนักว่าทำไมก็เถอะนะ


ว่าแล้วเจ้าตัวแสบก็ไม่รอช้า กระโดดผล็อยลงมาจากหลังเพื่อนแล้ววิ่งปรื๊ดมาดักทางข้างหน้าอย่างว่องไวเพื่อเตรียมการสำหรับเสต็ปต่อไป ..


“ เค้าไม่รู้หนอกนะว่ายุนยุนโกรธเค้าเรื่องอะไร .. แต่ .. แต่เค้าก็ขอโทษ~ .. ” ร่างเล็กยกนิ้วชี้สองข้างขึ้นมาจิ้มๆกันด้วยสีหน้าสำนึกผิดกัดปากเล็กน้อยพองามแล้วพูดต่อ “ .. เรามาดีกันเถอะนะยุนยุนนะ .. นะดีกันๆ ”


และถ้าใครได้มาเห็นหน้าคุณชายชองตอนนี้ล่ะก็ รับรองว่าคงได้มีเรื่องเก็บไว้ใช้แบล็คเมล์ท่านประธานคนเก่งคนนี้ไปอีกนานทีเดียวเชียวแหละ!


นาทีนี้เจ้าตัวเล็กแทบจะกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่เมื่อรับรู้ได้ถึงความสำเร็จที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า จุนซูสูดหายใจเข้าดังเฮือก เงยหน้าขึ้นมองชองยุนด้วยสายตาวิ้งๆปิ๊งปั๊งแบบ .. เอ้อ .. . แบบว่า .. ใครที่เคยดูหนังอนิเมชั่นเรื่องเชร็คคงจะเข้าใจล่ะ .. สายตาของ Puss in Boots ตัวนั้นน่ะ .. .


ซึ่งทั้งหมดนั้นให้สรุปรวมๆก็คือ .. แบ๊วชิบหายวายวอดนั่นเอง


และไม่! .. เพราะคิมจุนซูของเราไม่ได้หยุดไว้เพียงแค่นั้น .. ด้วยความเป็นคนที่พอลงมือทำอะไรแล้วจะทำจนถึงที่สุด ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นเรื่องดีรึเปล่า .. จะว่าได้เสียก็ได้เสีย ขาดทุนก็ขาดทุนอยู่นะ ไอ้นิสัยให้สิบทำร้อยเนี่ย ..


คนน่ารักกระพริบตาอีกสองที ก่อนจะปล่อยไม้ตายสุดท้ายออกมาพิฆาตมาร


“ ดีกันน๊ายุนยุน~ .. ”


ยุนโฮเหงื่อตก พยายามก้าวถอยหลังออกไปโดยในใจก็คิดอยากจะปัดป้องตัวเองให้รอดพ้นจากมือเรียวที่ไม่รู้ว่ายื่นมาคว้าเอาชายแขนเสื้อทั้งสองข้างของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่อยู่เหมือนกัน แต่ก็ดูจะไร้ผลโดยสิ้นเชิง เมื่อประสาทสั่งการทั้งหมดของร่างกายถูกสายตาเด็กแบ๊วโฉดตรงหน้าควบคุมไว้จนหมดสิ้น


“ .. ยุนยุนน๊า~ นะดีกันดีกานนนน~ ”


“ ................... ”


“ นะ นะ .. นะ .. . น๊าาาา~~~~~ >[]< ”


“ ................... ”


“ ................... ”


ป๊ะโธ่!!! สุดท้ายก็แพ้จนได้สิน่า >[]<


.


.


.


อะไรนะ! แค่เนี๊ยะ ? ..


คุณบอกว่า ’แค่เนี๊ยะ’ เหรอ ??


งั้นคุณกล้าพูดไหมล่ะ ว่าถ้าเจอไอ้ตัวเล็กมันทำแบบนี้ใส่แล้วคุณจะไม่ยอมให้น่ะห๊าาาา!!!!!!! .. รายนั้นน่ะเป็นถึง ‘เทวดาน้อย’ เชียวนะ!!!!!! =[]=.. เห๊อะ~ .. ทำไม่ได้แล้วอย่ามาพูดดีกว่า!!!


ระบายอารมณ์ใส่คนอ่านจบ คนหล่อไร้สาระก็ฟุบหน้าลงบนท่อนแขนข้างหนึ่ง มืออีกข้างก็กระหน่ำทุบลงบนโต๊ะไม้แข็งแรงอย่างบ้าคลั่ง .. เจ็บใจครับ .. . คนหน้าตาดีเจ็บใจ๊~ T[]T


“ ทำอะไรของเธอน่ะ ชองยุนโฮ ? ”


นาทีนั้นอาจจะนับได้ว่าเป็นนาทีที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก เมื่อร้อยวันพันปีจะมีสักครั้งที่ท่านประธานนักเรียนผู้ซึ่งเรียบหรูดูดีอยู่เสมอทุกท่วงท่าจะได้มีอาการสะดุ้งโหยงจนเกือบหงายหลังตกเก้าอี้ ยังดีที่เด็กหนุ่มได้สติรู้จักใช้สองมือตะครุบเอาโต๊ะทำงานตรงหน้าเป็นหลักยึดไว้ซะก่อน .. ร่างสูงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกสุดขีด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองแขกไม่ได้รับเชิญที่เข้ามาไม่รู้จักให้ซุ่มให้เสียงกันบ้าง


“ อ่าว .. อาจารย์ ? .. . มีธุระอะไรกับผมเหรอครับ ”


ยุนโฮเอ่ยถามพลางใช้นิ้วดันแว่นสายตาที่ไหลหล่นลงไปอยู่ที่ปลายจมูกขึ้นมาให้เข้าที่เข้าทาง จะว่าไปเขาก็นึกประหลาดใจอยู่บ้างที่อยู่ดีดีอาจารย์ประจำชั้นก็เดินมาหาถึงห้องสภานักเรียนซึ่งไม่ได้อยู่ใกล้ๆกับห้องพักครูเลยแม้แต่น้อย เพราะส่วนใหญ่เวลาที่อาจารย์คนอื่นๆต้องการพบนักเรียนคนใดคนหนึ่งเป็นกรณีพิเศษก็มักจะใช้การประกาศจากห้องประชาสัมพันธ์ที่อยู่ใกล้แถวนั้นเรียกให้ไปหาเองมากกว่า แล้วยิ่งเป็นช่วงเย็นย่ำเกือบหกโมงแบบนี้อีกด้วย


“ พอดีว่าอาจารย์ใหญ่อยากได้รายงานวาระการประชุมรายละเอียดเกี่ยวกับงานโรงเรียนครั้งล่าสุดนี้น่ะ ก็เลยวานครูมาขอจากเธอให้หน่อย .. . คือบังเอิญวันนี้เป็นเวรครูเดินตรวจอาคารทางทิศตะวันตกด้วยล่ะนะ ไหนๆก็ต้องเดินวนกลับไปอยู่แล้ว ”


ฮยอนจินรีบเสริมคำอธิบายที่สมเหตุสมผลกับประโยคข้างต้นของตัวเองอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นสีหน้าแปลกใจของประธานนักเรียนคนเก่ง เพราะเท่าที่ได้ยินมาชองยุนโฮเป็นเด็กช่างสังเกตแถมยังหัวดีอีกต่างหาก ดังนั้นแล้วถ้าเกิดทำอะไรให้น่าสงสัยเข้าหน่อยแผนของเธอก็อาจจะพังครืนลงมาง่ายๆก็ได้


“ เอ่อ .. ถ้าอย่างนั้นก็สักครู่นะครับ ”


ร่างสูงลุกขึ้นไปค้นเอกสารที่เรียงอยู่ในตู้เอกสารด้านหลังไม่นานก็หันกลับมายื่นเอาซองเอกสารสีน้ำตาลขนาดเอสี่ให้หญิงสาวที่ยืนรออยู่


“ อาจารย์จะให้ผมตามไปพบอาจารย์ใหญ่ด้วยเลยไหมครับ ถ้าเกิดว่าท่านต้องการถามรายละเอียดเพิ่มเติมผมจะได้ชี้แจงให้เข้าใจตรงกันไปเลยทีเดียว ”


“ อ .. ไม่ต้องหรอกจ้ะ .. . เห็นอาจารย์แกบอกว่าจะเอากลับไปอ่านดูที่บ้านน่ะ ถ้ามีอะไรสงสัยก็คงเรียกเธอไปคุยด้วยวันหลังเองนั่นแหละ ”


ร่างบางรีบบอกปฏิเสธไปทันที หากเด็กนี่ตามเธอไปล่ะก็คงจะได้รู้กันพอดีน่ะสิว่าเธอแต่งเรื่องทั้งหมดนี่ขึ้นมาเองน่ะ ! .. เฮอะ .. . มารยาทงามสมกับเป็นนักเรียนตัวอย่างจริงๆเลยนะชองยุนโฮ


“ เอาอย่างนั้นเหรอฮะ ”


“ อย่างนั้นสิจ๊ะ .. นี่ก็เย็นมากแล้วนะ ครูว่าเธอรีบกลับบ้านดีกว่า .. ครูเองก็กำลังจะกลับแล้วเหมือนกัน ”


ประธานหนุ่มพยักหน้ารับคำสั่งนั้นอย่างว่าง่าย ร่างสูงหันกลับไปหยิบกระเป๋านักเรียนที่เก็บเอาไว้ในล็อคเกอร์ส่วนตัวซึ่งตั้งอยู่ติดกับตู้เอกสารก่อนจะก้มเก็บอุปกรณ์เครื่องเขียนและแฟ้มอีกสองสามชุดเข้ากระเป๋า เสร็จเรียบร้อยแล้วก็เงยหน้าขึ้น กะจะเอ่ยปากชวนอาจารย์สาวให้เดินออกไปพร้อมกันแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น ยุนโฮเลิกคิ้ว


“ อ่าว .. ออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่วะเนี่ย ”


เด็กหนุ่มเกาท้ายทอยอย่างงงๆ พลันสายตาเฉียบคมก็เหลือบไปเห็นกระเป๋าสตางค์สีครีมสลับน้ำตาลดูมีคลาสด้วยสัญลักษณ์ตัวอักษร LV และลวดลายดอกไม้ทรงเรขาคณิตนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นห้อง .. ยุนโฮเอียงคอมองมันอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงทำท่าเหมือนเพิ่งคิดได้


“ อาจารย์ทำตกไว้แหงเลยแฮะ ”


มือใหญ่คว้าเอากระเป๋าใบเล็กขึ้นมาถือไว้พร้อมกับรีบวิ่งออกไปจากห้องด้วยหวังจะตะโกนเรียกร่างบางที่เพิ่งจะก้าวออกไปก่อนหน้าเขาไม่ถึงห้านาที ทว่าบนทางเดินยาวสุดลูกหูลูกตากลับหลงเหลือไว้เพียงแค่ความวังเวงเงียบเชียบราวกับว่าไม่เคยมีสิ่งมีชีวิตใดย่างกรายผ่านมาก่อน ประธานนักเรียนขมวดคิ้วมุ่น


“ ไปไหนแล้ววะ ? ”


และถึงร่างสูงจะตัดสินใจเก็บข้าวของแล้วเดินข้ามตึกไปยังห้องอาจารย์ใหญ่อย่างรีบเร่งก็ตาม คุณชายชองก็ไม่อาจเห็นวี่แววของทั้งเจ้าของห้องและตัวอาจารย์ประจำชั้นอยู่ที่นั่นเลยสักคน ทำให้ใบหน้าหล่อคมถูกแต่งแต้มไปด้วยความสับสนระคนอัศจรรย์ใจอย่างเห็นได้ชัด


นี่กูเดินช้าหรือสองคนนั้นมีวิชาตัวเบาวะ ? บอกจะกลับก็หายแว๊บอย่างกับนินจาเชียะ ..


“ ช่างเหอะ .. เอาไว้ค่อยคืนพรุ่งนี้ก็ได้มั้ง หือ ? .. ”


ร่างหนุ่มก้มลงหยิบกระดาษแผ่นเล็กที่ดูเหมือนว่าคงจะหล่นลงมาจากกระเป๋าสตางค์ของอาจารย์สาวเมื่อตอนที่เขาหยิบมันขึ้นมาจากพื้นนั่นเอง .. อืม .. . ว่าแต่ของที่น่าจะถูกเสียบไว้ในช่องใส่บัตรอันแน่นหนาและมีคุณภาพอย่างหลุยส์วิคตองนี่มันสามารถร่วงหล่นออกมาได้ง่ายดายขนาดนี้เชียว ? .. แล้วอีแบบนี้เงินทองมิรั่วไหลร่วงหล่นไปแจกจ่ายชาวบ้านชาวช่องเขาแย่เหรอวะ ??


อย่างกับตั้งใจ ..


ยุนโฮสะบัดหัวให้กับความช่างคิดเล็กคิดน้อยของตัวเองแล้วก็ถือวิสาสะเปิดกระเป๋าสตางค์ใบสวยเพื่อใส่แผ่นกระดาษใบนั้นซึ่งเหมือนว่าจะเป็นรูปถ่ายอะไรสักอย่างเข้าไปในกรอบพลาสติกใสที่ว่างเปล่านั้น แต่พอพลิกด้านที่เป็นภาพออกมาด้านนอกนัยน์ตาคมเข้มก็พลันเบิกกว้างขึ้นมาทันตาเห็น ..


ก็คนที่ยืนใส่ชุดแต่งงานประกบปากกันอยู่ในรูปนี่มันอาจารย์กับรุ่นพี่ยูชอนนี่หว่า !!!!!


.


.


.


.


.


.


“ หน้าบานเชียวนะมึง .. อารมณ์ดีอะไรมาอีกล่ะ ”


ชิมชางมินเอ่ยปากจิกกัดเพื่อนรักทันทีที่เห็นร่างเล็กก้าวพ้นธรณีประตูห้องเข้ามา เพราะพอเจ้าตัวแสบได้จับมือคืนดีกับไอ้ชองอย่างเป็นทางการแล้ว ไอ้อาการเหวี่ยงๆซึ่งมันมักจะเอามาลงที่เพื่อนร่วมห้องหออย่างเขาก็ดูเหมือนจะหายไปเป็นปลิดทิ้ง และคล้ายกับว่าปรอทแห่งความสุขของจุนซูก็พุ่งสูงขึ้นทุกวี่ทุกวันหลังจากนั้น เช่นเดียวกับวันนี้ที่คนน่ารักยิ้มแฉ่งโชว์ความขาวของฟันมาแต่ไกล แล้วแบบนี้จะไม่ให้ทักได้ยังไงไหว


“ ซักเรื่องเหอะมึงอ่ะ .. ไม่รู้ซักเรื่องมันจะตายไหมฮะ ? ”


คำตอบกลับซึ่งชวนเจ็บแสบไปถึงทรวงในทำเอาคนตัวสูงนึกอยากจะกระโดดถีบขาคู่ใส่คนพูดสักทีสองทีใจจะขาด แต่เห็นแก่ที่เจ้าเปี๊ยกนี่กลับมาเริงร่าได้อย่างเดิมสักที เอาเหอะ .. ครั้งนี้จะหยวนให้ไปก่อนก็ได้วะ !


ฝ่ายจุนซูพอเห็นเพื่อนสงบปากไปโดยไม่กระโดดกัดกลับแบบที่ทำเป็นประจำก็ไม่คิดจะต่อความยาวสาวความยืดให้เสียเวลา ร่างเล็กโยนกระเป๋าเป้นักเรียนทิ้งลงบนโต๊ะเขียนหนังสือของตนอย่างไม่ใยดีแล้วกระโจนถลาคลื่นขึ้นไปนอนแปะบนเตียงด้วยความว่องไว มือเรียวหยิบเอาโทรศัพท์มือถือซึ่งตอนนี้ดูเหมือนจะกลายเป็นของติดมือไปเสียแล้วขึ้นมากดปุ่มโทรด่วนหมายเลขหนึ่งแช่ไว้อย่างคล่องแคล่ว รอไปไม่นานก็มีเสียงปลายสายตอบกลับมา และจังหวะเดียวกันนั้นเองที่รอยยิ้มตะวันฉายของคิมจุนซูได้เผยออกมาให้เห็น


“ ลูกพี่ยูชอนนนน~ ”


เสียงแหบลากยาวเรียกชื่อคนปลายสายที่คิดถึงจับใจอย่างออดอ้อนโดยไม่รู้ตัว .. ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ชิมชางมินตัดสินใจจรลีออกจากห้องไปหาอะไรกระแทกปากเป็นอาหารค่ำคนเดียวอย่างเงียบเชียบ .. เออนะ .. ขืนอยู่ฟังมันแบบนี้ทุกค่ำทุกคืนมีหวังระดับน้ำตาลในเลือดกูได้พุ่งปรี๊ดตายห่ากันพอดี !


“ จุนซู .. คิดถึงจังเลย ”


น้ำเสียงออดอ้อนไม่แพ้กันของคู่สนทนาทำเอาเจ้าของใบหน้าน่ารักถึงกับร้อนผ่าวขึ้นมาดื้อๆ จุนซูเอื้อมมือไปคว้าหมอนเข้ามากอดอย่างคนทำอะไรไม่ถูก .. ให้ตาย .. . ตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวเป็นตนมาตั้งสิบหกปี คิมจุนซูก็เพิ่งจะรู้จักคำว่าเขินอายก็คราวนี้แหละ ไม่รู้จะอะไรกันนักกันหนาสิน่า กะอีแค่ลูกพี่ยูชอนบอกว่าคิดถึงเนี่ยนะ ? แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยจะเป็นซะหน่อย .. อ๊าคคคค~ นี่กูเป็นอะไรไปแล้วครับเนี่ยยยย !!!!


“ ผม .. ผมก็คิดถึงลูกพี่ยูชอนฮะ >///< ”


โอ้วมายก่อดดด .. เขินชิบหายวายวอดเลยเว้ยเฮ้ยยย !!


จุนซูถึงกับกัดผ้าห่มที่คว้าติดมือมาได้เพื่อระบายความเขินซึ่งดูเหมือนว่ากำลังจะเพิ่มระดับสูงขึ้นทุกทีจนน่าหวาดเสียว .. แง่งงงงงงง~ งงงง .. คนหล่ออยากตายยยย~~~ !!!!


“ อีกแค่สามวันแล้วสินะ ”


อีกฝ่ายพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเปี่ยมสุขอย่างปิดไม่มิด และถ้าหากว่าคนฟังได้มีโอกาสเห็นใบหน้าของผู้พูดตอนนี้ล่ะก็ คงจะได้พากันอายม้วนต้วนจนไม่เป็นอันทำอะไรต่อเป็นแน่แท้ .. ก็ตาน่ะ .. . ตาของปาร์คยูชอนน่ะมันเยิ้มไปถึงไหนต่อไหนแล้วล่ะนั่น !!


“ อีกแค่สามวันเราก็จะได้เจอกันแล้วนะจุนซู ”


ร่างเล็กยิ้มกว้างให้กับประโยคนั้น “ ฮะ ”


หลายวันที่ผ่านมาเป็นระยะเวลาซึ่งเปรียบเสมือนช่วงของการก้าวเดินไปข้างหน้าของเขาอย่างไรอย่างนั้น ส่วนว่าก้าวไปไหนตัวจุนซูเองก็ไม่อาจอธิบายได้ละเอียดละออลึกซึ้งถึงแก่นนักหรอก ไม่เชื่อลองดูจากการใช้คำเรียบเรียงที่มึนๆอึนๆอย่างที่เห็นเอาก็ได้ .. เฮ้อ .. . ยังไงดีล่ะ .. เหมือนกับเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาระดับนึงล่ะมั้ง


เรื่องของเรื่องมันเริ่มมาตั้งแต่วันที่ยูชอนรู้ว่าเจ้าตัวเล็กแอบไปมีโทรศัพท์มุบมิบเอาไว้นั่นแหละ เพราะหลังจากนั้นเป็นต้นมาทุกเช้า กลางวัน เย็น เหล่าผองเพื่อนคนสนิททั้งหลายก็มักจะได้ยินเสียงสั่นสะเทือนของมือถือเจ้ากรรมของคิมจุนซูดังกึกๆให้ได้ยินอยู่เสมอ แต่ที่พวกลิงทโมนมันหวาดระแวงกันน่ะไม่ใช่เสียงโทรศัพท์หรอกนะ .. ไอ้บทสนทนาหวานเลี่ยนอันเต็มไปด้วยแสงสีม่วงเป็นประกายวิ้งๆที่สาดส่องออกมานั่นต่างหากล่ะที่พาเอาหนุ่มๆทั้งหลายแทบจะมือหงิกเท้างอน้ำลายฟูมปากชักแหง่กๆไปตามๆกันเมื่อเล็งเห็นชัดแจ้งแล้วว่าท่านปาร์คยูชอนแกชักจะรุกจริงอะไรจริง .. ก็พี่แกเล่นเหยียบคันเร่งเต็มสตรีมไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมณ์ปานนั้น !!!


หือ .. . โจ่งแจ้งชัดแจ๋วขนาดไหนน่ะเหรอ ?? .. อะเคร~ .. ชางมินสุดหล่อผู้ซึ่งเพิ่งจะกลับมาจาการยัดห่าที่ร้านจาจังมยอนหน้าปากซอยและมาแอบซุ่มเงียบอยู่ตรงซอกประตูคนนี้จะยอมสละเวลาเล่าให้ฟังก็ด๊ายย~ (คุณผู้อ่าน : ได้ข่าวว่าแกเพิ่งจะออกไปเมื่อสิบห้าวินาทีก่อนไม่ใช่เรอะ เสนอหน้ากลับมาแระ !??? =[]= / ปริ๊น : ก็บอกแล้วไงว่าคนมัน‘ยัดห่า’ =..=)


อะแฮ่ม .. งั้นต่อเลยนะ =O=


.. ก็ชัดขนาดที่ว่าไอ้สมองปลาทองอย่างคิมจุนซูยังต้องใจเต้นเลยน่ะเซ่ะ !!!! =[]=


ดีหรือไม่ใช่หรือมั่วที่ลูกพี่แกทำลงไปก็ไม่รู้แหละ แต่ที่แน่ๆตั้งแต่คู่ยูซูเค้ารู้จักกันมา สุภาพบุรุษชาติตระกูลดีผู้แสนจะเลิศเลอเพอร์เฟคอย่างปาร์คยูชอนน่ะไม่เค๊ยไม่เคยที่จะทำล่วงเกินอะไรกับไอ้เตี้ยจุนซูเลยนอกเสียจากลูบผม กอดคอ และทอดสายตามองอย่างอ่อนโยน สรุปคือเหมือนๆจะปกติอย่างที่เพื่อนผู้ชายเค้าทำกัน .. แต่พอหลังจากเกิดเรื่องที่กระผมเป็นต้นเหตุนั่นล่ะ (เอิ่ม .. ตรงจุดนี้ก็ขอก้มหน้าไว้อาลัยด้วยความรู้สึกผิดสิบวินาที .. กระซิกกระซิก~ T^T) คือ .. พอเฮียแกกลับมาเรียนต่อนั่นแหละทุกอย่างมันก็เริ่มต้นขึ้น ..


มหกรรมกระซิบริมหู จูบขมับ หอมแก้ม จูบหน้าผาก นอนตัก จับมือ กอด และอื่นๆอีกมากมายทั้งหลายแหล่ที่ผู้ชายคนหนึ่งจะสามารถเนียนได้ก็ได้บังเกิดขึ้น ถึงแม้ว่าไอ้สามอย่างหลังสองคนนี้จะชอบทำจนเป็นความเคยชินไปแล้ว แต่กริยาอาการอื่นนอกจากนี้สมาคมคนหล่ออย่างพวกผมก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน .. แล้วที่รับไม่ได้จริงๆก็คือคำหวานเลี่ยนชวนสำรอกที่ลูกพี่ท่านสรรหามาพูดกรอกหูไอ้จุนซูทุกวี่วันนั่น ! .. เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าลูกพี่ที่ผมชื่นชมนับถือจะอ่านการ์ตูนตาหวานกะเค้าด้วย -*- .. แต่ละคำนี่ อื้อหือ .. ชัดมั่ก ..


ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นแล้ว ปัญหามันก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้นหรอก .. มันอยู่ที่อีกฝ่ายคือคิมจุนซูต่างหาก =______= .. พ่อเจ้าประคุณรุนช่องผู้มีอายุสมองไม่ถึงสองขวบนั่นแล . .. ถามหน่อยตั้งแต่อ่านมาพวกคุณเคยเห็นมันรับรู้อะไรกะเค้าบ้างไหม ? . .. เหอะ ถ้าเป็นคนปกติโดนพายุแห่งรักซัดไปเต็มแรงขนาดนี้คงได้แต่งงานมีลูกกันไปสิบเจเนอเรชั่นไปแล้ว !


แต่ ! .. ในแต่มันก็ยังมีแต่ (พูดอะไรของแกร๊~!) ด้วยความพยายามอันล้ำเลิศของลูกพี่ .. ในที่สุดก็ดูเหมือนกับว่าไอ้เปี๊ยกมันจะค่อยๆตาสว่างขึ้นมาบ้างแล้ว .. เพราะตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาหน้ากลมๆนั่นเริ่มจะออกอาการขึ้นสี เอียงอาย ดีดดิ้น เวลาได้ยินอะไรเลี่ยนๆทางสายโทรศัพท์ขึ้นมาซะที หลังจากที่ปล่อยให้เพื่อนมันสยิวกิ้วแทนมานานแสนนาน -*-


ทีนี้การที่เจ้าตัวเล็กจะรับรู้ถึงความรู้สึกของลูกพี่ก็คงจะเป็นเรื่องที่ไม่นานเกินรออีกต่อไป


.. หมายถึงในกรณีที่ไม่มีอะไรมาขัดขวางซะก่อนอ่ะนะ

.


.


.


.


.


.


“ ฮัดเช่ยยยย~ !! ”


ชองยุนโฮจามออกมาซะเสียงดังระเบิดระเบ้อ ท่ามกลางความงุนงงของเหล่าคณะกรรมการนักเรียนซึ่งนั่งเรียงรายล้อมโต๊ะประชุมเป็นวงกลมอยู่รอบๆ ร่างบางของเด็กสาวผมสั้นที่นั่งอยู่ข้างกันดึงกระดาษทิชชู่จากกล่องที่ตั้งอยู่บนโต๊ะออกมายื่นให้เงียบๆ


“ อะ . .. ขอบคุณครับพี่กาอิน ”


ประธานนักเรียนคนเก่งก้มหัวขอบคุณรุ่นพี่สาวคนสวยผู้รั้งตำแหน่งรองประธานนักเรียนอย่างมีมารยาทพลางหยิบทิชชู่สีขาวสะอาดในมือบางนั่นมาเช็ดจมูกเช็ดปากด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม ทำเอาบรรดากรรมการนักเรียนสาวๆทั้งหลายพากันเคลิบเคล้มให้กับความเพอร์เฟคของหัวหน้าของตนไปหลายตลบ โดยหารู้ไม่ว่าชายในฝันของพวกเจ้าหล่อนมิได้มีกะจิตกะใจที่จะฟังเนื้อหาการประชุมประจำปลายสัปดาห์ครั้งนี้เลยแม้แต่น้อย


หลังจากทำความสะอาดหน้าตาเรียบร้อยหมดจดดีแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาก็กลับเข้าสู่ภาวะเคร่งขรึมประหนึ่งว่าเจ้าตัวกำลังเต็มไปด้วยสมาธิจดจ่ออยู่กับการรายงานงบประมาณค่าใช้จ่ายทั้งหมดของงานโรงเรียนเป็นนักหนา ทั้งที่ในสมองซึ่งเต็มไปด้วยรอยหยักนั้นมีแต่เรื่องอื่นอยู่ล้วนๆ


จากวันนั้นที่ได้เห็นภาพในกระเป๋าของอาจารย์ประจำชั้นเต็มสองตา ยุนโฮก็รีบกลับไปรื้อหานิตยสารธุรกิจที่พ่อสั่งรับอยู่ทุกเดือนทันที ด้วยว่าครอบครัวชองเองก็หนึ่งในตระกูลนักธุรกิจชั้นแนวหน้าของเกาหลีใต้ แต่เพราะเด็กหนุ่มไม่ได้มีความสนใจที่จะสานต่องานของบิดา เขาจึงไม่ค่อยรู้เห็นเรื่องราวความเป็นไปในแวดวงนี้มากนัก


จากการสืบหาและสอบถามจากปากของผู้เป็นพ่อ ทำให้ยุนโฮค้นพบว่า .. สิ่งที่เขาเห็นมามันคือเรื่องจริง ..


ปาร์คยูชอนกับโซฮยอนจินแต่งงานจดทะเบียนสมรสกันอย่างถูกต้องตามกฎหมายมาเป็นเวลาสองปีแล้ว


ครั้งแรกที่รับรู้เขารู้สึกว่าตัวเองช่างงี่เง่า .. ทั้งๆที่ความจริงอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมมือ แต่เขากลับไม่เคยตะขิดตะขวงใจเลยแม้แต่น้อย และที่เหนือสิ่งอื่นใด .. ผิดหวัง


ใช่ .. ผิดหวังในตัวปาร์คยูชอน รุ่นพี่แสนดีที่เขาให้ความนับถือมาตลอด


ถึงยูชอนจะขึ้นชื่อติดโผเรื่องทะเลาะวิวาทอยู่บ่อยครั้งจนถูกอาจารย์เพ่งเล่ง แต่ถ้าลองเค้นไปถามคนรู้ลึกรู้จริงหรืออยู่ในเหตุการณ์เข้าจริงๆล่ะก็ ส่วนใหญ่ร้อยทั้งร้อยมักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ารุ่นพี่ของเขาเป็นฝ่ายถูกหาเรื่องก่อน แถมยังมักจะเป็นคนกลางที่เข้าไปช่วยไกล่เกลี่ยเสียด้วยซ้ำ


ยูชอนเป็นคนฉลาด เขาเรียนเก่ง หน้าตาดี กีฬาเยี่ยม เรื่องชกต่อยก็ไม่เคยแพ้ใคร แต่ในขณะเดียวกันก็อ่อนโยนใจดี มีมนุษยสัมพันธ์ และชอบยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือคนอื่นจนตัวเองเกือบจะเดือดร้อนไปด้วยอีกต่างหาก ไม่แปลกที่ชายหนุ่มคนนี้จะเป็นที่รักของเพื่อนฝูงไปจนถึงรุ่นพี่รุ่นน้องที่ได้รู้จักทุกคนทั้งในและนอกโรงเรียน ไม่เว้นแม้แต่คนหยิ่งทระนงไม่ยอมใครง่ายๆอย่างชองยุนโฮ


อันที่จริงเขาคงจะไม่เป็นเดือดเป็นร้อนจนนั่งไม่ติดถึงขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องโดยตรงกับเพื่อนที่รักที่สุดของเขา ..


จุนซูรักยูชอนอยู่เต็มหัวใจ .. ข้อนั้นยุนโฮรู้มานานแล้ว


แต่ที่น่าเป็นห่วงทั้งจากที่ชางมินคาบข่าวมาบอกและทั้งที่เขาสังเกตเห็นด้วยตัวเอง คือตอนนี้จุนซูเริ่มที่จะรู้ใจตัวเองแล้ว และนั่นเป็นสิ่งที่ควรเป็นกังวลในเวลานี้


เจ้าตัวเล็กจะรู้สึกยังไง .. คนมองโลกในแง่ดีและมีจิตใจบริสุทธิ์แบบนั้น จะต้องเจ็บปวดขนาดไหนหากมารู้ว่าคนที่ไว้ใจที่สุด คนที่เจ้าตัวให้ความสำคัญมากที่สุดในชีวิต .. . โกหก


จุนซู .. แล้วกู .. . ควรจะทำยังไงดี ?

.


.


.


.


.


.


คิมแจจุงนั่งเท้าคางมองคนตัวเล็กที่นั่งแทะหลอดพลาสติกสีใสที่เสียบอยู่ในขวดน้ำเปล่าอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างเมามันด้วยสายตาเย็นชาเสียยิ่งกว่าน้ำแข็งขั้วโลก ทำเอาคนที่เดินผ่านไปผ่านมาบริเวณนั้นถึงกับขนลุกเกรียวกราวไปตามๆกัน ในหัวก็พลันบังเกิดคำถามบ๊อบอัพขึ้นมาโดยพร้อมเพรียง .. ถ้าเป็นกูมาโดนจ้องด้วยสายตานางพญาหิมะแบบนั้นคงได้ช็อกตาตั้งตายไปเรียบร้อยโรงเรียนวัดแล้ว ไอ้จุนซูแม่งโคตรกล้าหาญเหอะ !! =<>=


“ เป็นเชี่ยอะไรของมึงครับคุณคิม .. นั่งกัดหลอดจนมันจะละลายคาปากมึงอยู่แล้ว ไม่กลัวโพลิโพรพิลีนเข้าปากรึไง ? ”


จุนซูเงยหน้าขึ้นมองคนพูดอย่างคนสับสนในชีวิต


“ โพลี่อะไรของมึง ?? ”


“ Polypropylene หรือ PP .. โพลิเมอร์ที่มีความแข็งกว่าโพลิเอทิลีน มีคุณสมบัติทนต่อความร้อนสูง ใช้ทำแผ่นพลาสติ ถุงพลาสติก บรรจุอาหารที่ทนร้อน และหลอดดูดพลาสติก อย่างที่มึงกำลังแดกอยู่นี่ไง ”


ร่างโปร่งบรรยายด้วยเสียงโมโนโทนราวกับว่าตัวเองเป็นอาจารย์วิชาเคมีที่กำลังเปิดบรรยายในห้องสัมมนาอยู่อย่างไรอย่างนั้น จุนซูอ้าปากค้างจนหลอดหล่นจากปาก มองเพื่อนรักด้วยสีหน้าประหลาดใจที่สุดเท่าที่จะทำได้


“ แจจุง .. มึงมีความรู้ ~~~ =[]= ”


“ พูดหมาๆงี้อยากตายมากใช่ไหม -*- .. อย่าคิดว่าใครๆจะโง่เหมือนมึงหมดทุกคนสิวะ ”


คนถูกตราหน้าด่าว่าโง่ทำปากเบะ “ อย่างน้อยเกรดเฉลี่ยรวมกูก็สามขึ้นนะเว่ย !! ”


“ มึงไม่ต้องมาทำเป็นเปลี่ยนเรื่อง =O= ”


ร่างเล็กทำตาโต พยายามแสดงออกทางสายตาเป็นเครื่องหมายคำถามว่ากูหลุดประเด็นตรงไหนครับ ได้ข่าวว่ากูกะมึงก็คุยกันเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น หนุ่มผมทองปรายตามองคนตัวเล็กกว่าด้วยสีหน้าเอือมระอา


“ กูถามว่ามึงเป็นเชี่ยอะไร ? ”


จุนซูร้องอ้อ .. ที่แท้นั่นคือคำถามเหรอวะ กูก็นึกว่าประโยคบอกเล่า -*-


“ ก็ .. ”


“ .............. ”


“ =/////= ”


อ้าปากจะพูด แต่ไม่ทันไรหน้าขาวๆเมื่อครู่ก็พลันแดงแจ๊ดขึ้นมาได้ทันใจ แจจุงเลิกคิ้วแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร นักเลงหนุ่มนั่งนิ่งเป็นประติมากรรมเพื่อรอให้อีกฝ่ายพูดออกมาเอง


“ .............. ”


“ กู .. กูว่า . .. . แบบว่า .. . คือว่า .. ”


“ .............. ”


“ คือนะ .. แบบ .. . กู .. กูอ่ะ .. ”


“ อะไรของมึงวะไอ้เตี้ย .. พูดจาตะกุกตะกักเป็นแผ่นเสียงตกร่องอยู่ได้ =___= ”


“ เป็นพ่อมึงไงไอ้ดำ ! .. ใครใช้ให้มึงเรียกกูเตี้ยห๊า !! =[]= ”


“ โหยยย แรงนะมึง =O=+ ไปแดกรังแตนที่ไหนมาเนี่ย ”


ถึงจะกำลังเคืองอยู่มิใช่น้อย แต่ชางมินที่เพิ่งต่อคิวซื้อข้าวกลางวันมาได้ก็ยังอุตส่าห์บรรจงวางถาดอาหารชุดใหญ่สองชุดไว้บนโต๊ะกินข้าวอย่างทะนุถนอมดุจดังบุตรในอุทร เรื่องปากท้องต้องมาก่อนสิ่งอื่นใดครับ


“ คุยอะไรกันอยู่วะ ? ”


ยุนโฮที่นั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างของเจ้าตัวเล็กเอ่ยถามขึ้นมาบ้าง ขณะที่มือก็แกะกระดาษห่อขนมปังไส้ทูน่าของโปรดออกมากัดเข้าไปหนึ่งคำ ไม่สนใจสายตาอาฆาตจากคู่หูตระกูลลีที่เผื่อแผ่มายังตนอย่างเคียดแค้น .. แซนด์วิชทูน่าอันสุดท้ายของกู~~~ T^T


ร่างเล็กไล่มองหน้าเพื่อนเรียงตัวทีละคน ก่อนจะก้มหน้ากัดปากอย่างตัดสินใจ .. เอาวะ ! .. ไหนๆก็อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา กูมันลูกผู้ชาย ไม่มีอะไรต้องปิดบังอยู่แล้ว .. บอกๆไปทีเดียวจะได้ไม่ต้องมาเขินหลายรอบ !!!


“ คือ .. กูมีเรื่องอยากบอกพวกมึง .. ”


“ หือ ?? ”


กูคิดว่า .. กูชอบ .. . ลูกพี่ยูชอน


“ ............... ”


ไร้ปฏิกริยาตอบรับโดยสิ้นเชิง ทุกชีวิตมองหน้าเจ้าของประโยคนั้นเพียงชั่วครู่และลงมือยัดของกินของตัวเองเข้าปากต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น จุนซูขมวดคิ้วน้อยๆ


“ คือ .. กูบอกพวกมึงว่ากูชอบลูกพี่ยูชอน ”


“ อือฮึ .. ได้ยินแล้ว ”


ฮยอกแจพยักหน้า ก่อนจะหันกลับไปให้ความสนใจกับการแย่งแซนด์วิชทูน่าคำสุดท้ายออกมาจากปากประธานนักเรียนอย่างเอาเป็นเอาตายต่อ


ห่านนนนน~!!!! .. นี่ท่านจุนซูเพิ่งจะบอกความลับที่เก็บไว้มาตลอดทั้งอาทิตย์ให้พวกมึงฟังอย่างกล้าหาญเชียวนะเว่ยยย !! .. ช่วยสนใจกูนิดนึง !!


เสียงแหบตะโกนขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ได้ พาเอากลุ่มนักเรียนห้องคิงผู้เคราะห์ร้ายซึ่งนั่งกินข้าวอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวอยู่แถวนั้นสะดุ้งจนตะเกียบกระเด็นตกพื้นกันเป็นแถบ


“ พวกกูให้ความสนใจกัยมึงเสมอมาครับเพื่อนคิม .. ” ชางมินตบไหล่เพื่อนซี้เบาๆไปสองสามทีเป็นเชิงปลอบใจ “ .. เพราะฉะนั้น ทั้งเรื่องที่มึงชอบลูกพี่ ทั้งเรื่องที่ลูกพี่ชอบมึง หรือสรุปคือเรื่องที่พวกมึงใจตรงกัน .. พวกกูรู้มาเป็นชาติแล้วว่ะ


จุนซูทำตาค้าง เฉดสีแดงค่อยๆไล่ระดับเข้มขึ้นเรื่อยๆจนทำให้ใบหน้าน่ารักนั้นแลดูคล้ายมะเขือเทศอย่างน่าเอ็นดู


“ ลูกพี่ยูชอนชอบ .. กู ?? ” นิ้วเรียวชี้เข้าหาตัวเองอย่างไม่แน่ใจ “ พวกมึงแน่ใจ ?? ”


ทงเฮปาดคราบมายองเนสออกจากปากแล้วเอาไปป้ายชายเสื้อนอกของคู่หู เรียกเสียงร้องยี้อย่างขยะแขยงจากหนุ่มแร๊พได้เป็นอย่างดี


“ แน่ใจพอๆกับที่ไก่ออกลูกเป็นไข่นั่นแหละ ”


“ แล้วมึงแน่ใจได้ไงว่าจะไม่มีไก่ออกลูกเป็นตัว ”


สาบานได้ถ้าไม่ได้เห็นสายตาใสซื่อบริสุทธิ์ไร้การแต่งแต้มที่แสนจะขัดกันส่งมาพร้อมกับคำถามที่ค่อดจะกวนส้นตรีนนั่นแล้วล่ะก็ ลีทงเฮก็อยากจะลากคนพูดประโยคนั้นให้ไปดวลตัวตัวที่หลังโรงเรียนเสียเหลือเกิน


“ เอางี้จุนซู ” ฮยอกแจออกความเห็นขึ้นมาบ้าง “ มึงลองไปถามคนในโรงเรียนดูนะ .. ใครก็ได้ นักเรียน อาจารย์ ภารโรง ลุงยาม แม่บ้าน หมา แมว มด ยุง แมลงวัน .. ถามไปเลยว่ามีใครไม่รู้บ้างว่าปาร์คยูชอนชอบคิมจุนซู ”


“ เออ .. แล้วถ้ามึงเจอใครที่บังอาจไม่รู้เรื่องนี้นะ ช่วยจุดธูปไหว้มันแทนกูด้วย .. ถ่ายรูปใส่กรอบทองเก็บไว้บูชาด้วยยิ่งดี ” ชางมินเสริมทั้งที่ไก่ย่างยังเต็มปาก


แต่ถ้ามึงยังไม่แน่ใจก็ลองถามจากเจ้าตัวเอาเลยสิวะ .. พรุ่งนี้ลูกพี่ก็กลับมาแล้วไม่ใช่เหรอ

.


.


.


.


.


.


ท่ามกลางเสียงฟ้าร้องและเม็ดฝนหลงฤดูที่ตกลงมากระทบบานกระจกหน้าต่างของห้องพักไม่ใหญ่ไม่เล็กของชายโสดหน้าตาดีสองคน ร่างเล็กของเด็กหนุ่มในชุดนอนลายสายรุ้งกำลังนั่งกอดเข่าคุ้ดคู้อยู่ตรงมุมอับข้างหัวเตียง ในมือข้างหนึ่งกำเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กไว้แนบแน่นราวกับว่ามันคือสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจชิ้นสุดท้ายบนโลกก็ไม่ปาน


เพราะชางมินเสี่ยงตายฝ่าพายุฝนออกไปซื้อราเมนสำเร็จรูปที่ร้านสะดวกซื้อซอยถัดไปด้วยความหิวโหย จึงทำให้จุนซูมีเวลาคิดฟุ้งซ่านกับตัวเองเพียงลำพังได้นานพอสมควร นัยน์ตาสีดำจ้องเป๋งไปที่หน้าจอมืดสนิทของมือถือของตนอย่างเหม่อลอย เวลานี้สำหรับร่างเล็กนอกจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาหัวใจแล้ว ก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่แวะเวียนเข้ามาให้ความคิดตีกันจนสับสนวุ่นวายไปหมด


เขาชอบลูกพี่ยูชอน .. หมายความว่าเขาเป็นเกย์รึเปล่านะ ?


จุนซูไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนนับตั้งแต่รู้ตัวว่าคงจะหลงรักลูกพี่คนสำคัญเข้าให้แล้ว แต่ที่ผ่านมาเจ้าตัวเล็กเองก็ใช่ว่าไม่เคยถูกใจในตัวผู้หญิงมาก่อน เขาเคยใจเต้นกับเพื่อนผู้หญิง ชอบดูหนังอย่างว่าเป็นบางโอกาส ตามขอลายเซ็นดารานักร้องสาวๆบ้างตามแต่จะถูกพวกชางมินลากไป .. แล้วแบบนี้เขาจะชอบผู้ชายได้ยังไง


แต่เดี๋ยวนี้เขาก็ใจเต้นกับลูกพี่ยูชอนอยู่บ่อยครั้ง ทั้งตอนมองตา ตอนที่มือเราสัมผัสกัน ตอนที่เห็นรอยยิ้มอบอุ่นนั้น และตอนที่ได้ยินเสียงทุ้มคุ้นหูเรียกชื่ออย่างอ่อนโยน .. เขาไม่เคยเป็นแบบนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อน


นั่นแปลว่าเขารัก ..


คิดเองก็เขินเองตามแบบฉบับเด็กน้อยผู้เป็นเลิศทางด้านจินตนาการคิมจุนซู เด็กหนุ่มซุกหน้าแดงๆของตัวเองลงกับเข้าทั้งสองข้างอย่างทำอะไรไม่ถูก แล้วก็เป็นอันต้องสะดุ้งจนสุดตัวเนื่องจากแรงสั่นสะเทือนจากเจ้าเครื่องมืออิเล็กทรอนิกซ์คู่ใจ


’ลูกพี่ยูชอน’


พอเห็นตัวอักษรที่เรียงรายกันเป็นชื่อที่อ่านออกเสียงได้บนหน้าจอ เจ้าตัวเล็กก็ยิ่งลนลาน


อ๊ากกกกกก !!! .. จะทำยังไงดีวะเนี่ยยยยยย !!!! TT[]TT


แต่ถึงจะร้องโวยวายในใจเสียงดังแค่ไหน นิ้วเรียวสั่นๆนั่นก็กดรับสายด้วยความเคยชินไปเสียแล้ว


“ ยอโบเซโย จุนซู ^ ^ ”


โฮกกกกกกกกกกกกกกก !!!!! =[]=


เกือบจะเผลอแหกปากออกมาแล้วเชียว ยังดีที่ร่างเล็กยังมีสติดีพอที่จะตะครุบปากตัวเองเอาไว้ดังป้าบ และเพราะยกมือสองข้างขึ้นปิดปากนั่นแหละ ที่ทำให้โทรศัพท์เจ้ากรรมหลุ่นปุลงไปนอนแอ้งแม้งบนพื้น จุนซูทำตาลุกวาวด้วยความตกใจ ก่อนจะกระโจนเข้าไปคว้าเอามือถือบนพื้นขึ้นมากอดไว้แนบอกด้วยความเร็วแสง สติสตางค์ปลิวหายไปกับสายลมเรียบร้อย


“ ย .. ยอโบเซโย สวัสดีฮะลูกพี่ยูชอน ”


“ เป็นอะไรรึเปล่า ฟังเสียงนายดูหอบๆนะ ไม่สบายเหรอ ? ”


ปลายสายถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยทันทีเมื่อรู้สึกได้ว่าเจ้าตัวเล็กของเขามีอะไรที่ แปลกไปจากทุกวันที่คุยกัน เพียงแค่คิดว่าจุนซูอาจจะไม่สบาย ถึงจะเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา ยูชอนก็ใจหายแทบตายแล้ว


“ ผมสบายดีฮะ .. แค่รีบวิ่งมารับโทรศัพท์นิดหน่อยเอง ”


“ นายนี่นะ อย่าทำให้พี่เป็นห่วงนักสิเด็กดื้อ .. หือ .. แล้วนั่น ทางนั้นฝนตกอยู่เหรอ พี่ได้ยินเสียงฟ้าร้อง ”


“ ฮะ .. เห็นว่ามีพายุเข้า แต่พยากรณ์อากาศบอกว่าพรุ่งนี้ฟ้าจะใส ผมไปรับลูกพี่ยูชอนได้แน่นอนฮะ ! ”


ร่างเล็กรีบบอกด้วยน้ำเสียงสดใส แค่ได้ยินเสียงทุ้มของร่างสูงจุนซูก็ลืมความสับสนที่มีอยู่ในใจไปจนหมดสิ้นภายในพริบตา .. ช่างเถอะ .. . จะเป็นเกย์หรือเป็นอะไรก็ช่าง แค่เขารักลูกพี่ยูชอนก็พอแล้วนี่ .. แค่นี้ก็เพียงพอแล้วจริงๆ .. เรื่องอื่นมันไม่ได้มีความสลักสำคัญเลยสักนิด ..


“ นี่จุนซู .. ”


“ ฮะ ? ”


“ พรุ่งนี้แล้วนะ .. นายยังไม่ลืมสัญญาของเราใช่ไหม ”


‘ ถ้ากลับมาแล้ว .. พี่มีเรื่องอยากบอกให้นายรู้ .. . ถึงตอนนั้นนายจะช่วยฟังมันหน่อยได้ไหม ’


“ ไม่ลืมหรอกฮะ .. ผม .. . ยังรอฟังอยู่ ”


อา .. ลูกพี่ยูชอนฮะ


นี่อาจจะเป็นครั้งแรกในชีวิตของผมเลยก็ได้ ที่ผม’อาจจะ’รู้เรื่องที่ลูกพี่ยูชอนอยากบอกกับผมก่อนที่ลูกพี่ยูชอนจะบอกกับผม .. ครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าผมรู้ใจลูกพี่เหมือนที่ลูกพี่รู้ใจผมมาตลอด


แล้วผมเอง .. ก็มีเรื่องที่อยากจะบอกลูกพี่ยูชอนเหมือนกัน


บางที .. บางทีนะฮะ ..


เราอาจจะ .. ใจตรงกันอย่างที่พวกฮยอกแจบอกก็ได้



“ อย่างนั้นเหรอ .. ชักอยากจะรู้แล้วสิเนี่ย ”


ยูชอนกลั้วหัวเราะอย่างเอ็นดู ในหัวไม่ได้คิดเลยแม้แต่น้อยว่าเรื่องที่เจ้าตัวยุ่งอยากจะบอกกับตนเป็นเรื่องเดียวกัน ร่างสูงเพียงแค่คิดว่าจุนซูคงมีวีรกรรมเซี้ยวๆมาเล่าอวดเขาอีกตามเคย


เพราะอย่างนั้นจึงไม่ได้คาดหวัง


“ จริงสิ .. พรุ่งนี้เที่ยวบินที่พี่จะกลับเปลี่ยนเวลาเครื่องลงเร็วขึ้นมาหนึ่งชั่วโมงนะ ”


“ ถ้าอย่างนั้นก็เป็นสิบโมงเช้าสิฮะ .. ดีจัง จะได้เจอลูกพี่ยูชอนเร็วขึ้นตั้งหนึ่งชั่วโมงแน่ะ ^ ^ ”


“ แล้วพี่จะรอให้นายมารับนะ ไปคราวนี้ซื้อขนมมาฝากเพียบเลยล่ะ ”


“ อ๋า~ จริงเหรอฮะ ”


ทั้งสองคนคุยกันไปเรื่อยเปื่อยอีกสักพัก ยูชอนก็เป็นฝ่ายกล่าวราตรีสวัสดิ์แล้วไล่ให้ร่างเล็กไปนอนก่อนด้วยเกรงว่าหากคุยกันจนดึกดื่นเหมือนทุกทีอีกฝ่ายจะนอนยาวจนไม่ได้ไปรับเขาที่สนามบิน เป็นเวลาเดียวกับที่เสียงเคาะประตูรัวเร็วดังขึ้น


“ อ่าว .. ไอ้ชางมินไม่ได้เอากุญแจไปเหรอเนี่ย ”


เด็กหนุ่มโคลงหัวอย่างไม่คิดอะไร สองเท้ารีบก้าวไปยังประตูห้องเพื่อรีบเปิดประตูให้เพื่อนรักที่คาดว่าสภาพคงจะดูไม่จืดสักเท่าไหร่ ถึงจะมีเสื้อฝนตัวใหญ่คลุมอยู่ตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ลมแรงขนาดนั้นก็คงจะไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่


“ กูล่ะนับถือในความตะกละของมึงจริงๆ .. อ่ะ .. อ่าว ไอ้ชอง ? .. มาทำอะไรดึกดื่นวะ ??


เมื่อเปิดประตูออกไปจุนซูก็พบว่าร่างตรงหน้าไม่ใช่รูมเมทกินดะของเขาอย่างที่คิด แต่กลับเป็นเพื่อนตัวสูงอีกคนซึ่งไม่น่าจะมายืนตัวเปียกมะล่อกมะแล่กท่ามกลางอากาศเย็นยะเยือกอยู่แบบนี้ โดยไม่ต้องคิดให้มากความ มือเล็กรีบดึงเอาตัวเพื่อนรักเข้ามาในห้องทันที พร้อมๆกันนั้นเสียงแหบเป็นเอกลักษณ์ก็สอบถามความเป็นมาอย่างเป็นห่วง


“ มึงมายังไงเนี่ย .. แล้วตัวเย็นขนาดนี้อย่าบอกนะว่ามึงฝ่าพายุมา ? .. ไอ้ยุน .. เฮ้ย ไอ้หน้าหมี ! .. มีเรื่องอะไรของมึงวะ ทำไมทำหน้าตาซีเรียสอย่างนั้น ? ”


“ อย่าบอก .. ”


“ มึงว่าอะไรนะ ? ”


เสียงทุ้มแหบแห้งที่ผ่านออกมาจากริมฝีปากสั่นระริกนั้นเบาบางจนคนฟังต้องก้มลงไปใกล้ๆ และจังหวะนั้นเองที่มือใหญ่เย็นชืดทั้งสองข้างของแขกผู้มาเยือนดึงเอาร่างเล็กให้ลงมานั่งด้วยกัน นัยน์ตาคมฉายแววจริงจังอย่างที่ไม่ได้เห็นบ่อยนัก


“ เรื่องอะไรก็ตามที่มึงคิดจะบอกรุ่นพี่พรุ่งนี้ .. อย่าบอก ”


“ แล้วทำไมกูจะบอกไม่ได้ ? ” คนน่ารักขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่เข้าใจ


ยุนโฮจ้องลึกลงไปในดวงตาที่มักจะสดใสเป็นประกายอยู่เสมอของเพื่อนตัวเล็กของเขา ขณะที่ปากอิ่มพยายามเอ่ยประโยคสั้นๆนั้นออกมาอย่างยากลำบาก


เพราะปาร์คยูชอน .. แต่งงานแล้ว

.


.


.


.


.


.



TBC~* >w<


ปอลอจุด :: ชองยุนทิ้งระเบิดบึ้ม~~! .. อิยะ55+ .. อย่าเพิ่งเคืองเฮียแกเลยนะ เฮียเค้าหวังดี .. จริงๆเค้าชอบบทของเฮียตอนนี้มากเลยนะ .. กรี๊ดดด~ หมีหล่อ~~~>///< (เกี่ยว??-*-)




 

Create Date : 13 มกราคม 2554    
Last Update : 13 มกราคม 2554 22:01:24 น.
Counter : 279 Pageviews.  

Part six

Title : Dating on Earth
Author : Anatomy2125
Couple : YooSu
Rate : G
Talk ::ฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นแนวชายรักชาย หากผู้ใดไม่ชอบ ไม่ใช่ รับไม่ได้ กรุณากด X ปิดหน้าต่างนี้และจากไปอย่างสงบด้วยนะคะ ^ ^



Part six


“ งือออออ~ .. ยังไม่หายโกรธผมอีกเหรอฮะลูกพี่ยูชอนอา~~ T^T ”


เสียงแหบอู้อี้ดังผ่านไปกับกับคลื่นสัญญาณโทรศัพท์นั้นเต็มไปด้วยสำเนียงออดอ้อน ส่งเอาความสำนึกผิดที่สุดในโลกข้ามจากน่านฟ้าเอเชียตะวันออกส่งตรงไปกระแทกหัวใจของอีกคนที่ยืนถือโทรศัพท์ฝั่งปลายสายอยู่บนพื้นแผ่นดินสหพันธรัฐอเมริกาอย่างสุดความสามารถ


ขณะนี้เวลายี่สิบสองนาฬิกายี่สิบสี่วินาที .. คิมจุนซูผู้เกรียงไกรกำลังนอนคว่ำกอดหมอนรูปลูกฟุตลอลใบโปรดอยู่บนเตียงเดี่ยวขนาดกำลังดีภายในห้องพักที่ใช้ร่วมกันกับเพื่อนซี้นามชิมชางมิน ขาผอมแต่มีกล้ามเนื้อกำลังดีอย่างคนชอบเล่นกีฬาทั้งสองข้างตีสลับกันไปมาในอากาศ และดูเหมือนว่าจะเพิ่มสปีดการวาดขึ้นลงไปเรื่อยๆยามที่เจ้าตัวถูกคู่สนทนากดดันด้วยถ้อยคำตัดพ้อน้อยอกน้อยใจ .. แง๊งงงง~ .. . คนหล่อเครียดว้อยยย~!!!


“ หึ .. ”


นัยน์ตาเรียวตวัดกลับไปมองรูมเมทร่างสูงที่กำลังยืนเช็ดผมด้วยท่วงท่าเซ็กซี่พร้อมๆกับแสยะยิ้มให้ความหมายเป็นเชิงเยาะเย้ยมาที่ตน .. ประกายวิ้งวั้งน่าประหลาดที่มีให้เห็นระยิบระยับอยู่รอบๆเด็กหนุ่มตัวโย่งนั้นส่องกราดสาดไปทั่วห้องราวกับว่ามีสปอร์ตไลท์ส่วนตัวก็ไม่ปาน .. ไอ้พฤติกรรมการแสดงออกที่ว่านี้มันก็คงจะทำให้สาวๆในโรงเรียนลงไปนอนชักกระดิ้นชักกระแด่วกันเป็นทิวแถวได้ไม่ยากอยู่หรอกหากได้มาลองมองดูจากมุมที่เขานอนอยู่นี่ .. หากทว่าคิมจุนซูในตอนนี้ไม่ได้อยู่ในโหมดหลั่นล๊าพอที่จะไปขุดคุ้ยควานหากล้องโพลารอยด์คู่ใจมาถ่ายเก็บไว้เพื่อส่งทอดขายต่อให้ตลาดมืดระหว่างโรงเรียนอย่างทุกทีซะด้วยสิ .. เด็กหนุ่มจึงได้แต่กัดฟันส่งรังสีล้างผลาญประหนึ่งจะฆ่ายกตระกูลกลับไปให้เพื่อนร่วมห้องดังวิ้งวิ้งเป็นการตอบแทน ..


เดี๋ยวก่อนนะ .. เดี๋ยวก่อนเถอะ~! .. รอให้กูเคลียร์เสร็จเรื่องก่อนเถอะมึ๊งงงง~! .. คืนนี้ไม่มึงก็กูคงต้องตายกันไปข้างล่ะวะ!!! =[]=+


เพราะถ้าไอ้ดำแต่เสือกหล่อนี่ไม่สะแหลนหน้าโทรทางไกล(และเรียกเก็บเงินปลายทาง-*-)ไปฟ้อง ลูกพี่ยูชอนก็คงไม่มีวันรู้เรื่องที่เขาแอบดอดไปเที่ยวเล่นในเวลาเรียนอย่างแน่นอน! .. กูเคยไปทำอะไรให้มึงเจ็บช้ำน้ำใจไว้เหรอวะชิมชางมิน? มึงถึงได้ทำใจร้ายไส้ระกำกับกูได้ถึงเพียงนี้!!!! (ชางมิน : ก่อนจะพูด .. รบกวนมึงช่วยกลับไปอ่านกรณีศึกษา ‘ทูคิมโฟน’ พาร์ทที่แล้วก่อนดีไหมเตี้ย?? =___=+)


“ พี่ไม่ได้โกรธ . .. พี่เคยโกรธนายลงรึไง? ”


เสียงทุ้มจากอีกฝากฝั่งเอ่ยขึ้นหลังจากที่ปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมบทสนทนาอยู่พักใหญ่แล้ว ยูชอนลอบถอนหายใจเงียบๆ .. ร่างสูงในชุดสูทดูภูมิฐานยืนพิงผนังกระจกใสภายในห้องทำงานส่วนตัวของผู้บริหารระดับสูงสุดบนตึกปาร์คคอเปอเรชั่นสาขานิวยอร์คพลางทอดสายตามองไปไกลอย่างไร้จุดหมาย ชายหนุ่มไม่นึกอยากอาหารแม้แต่น้อยทั้งที่ตอนนี้เป็นเวลาพักเที่ยงอันแสนจะมีค่าสำหรับซีอีโอที่มีงานล้นมือแบบเขา .. ข่าวที่ได้รับรายงานจากรุ่นน้องคนสนิทมันทำให้ยูชอนไม่สบายใจ ..


‘ อาจารย์โซให้แจจุงกับจุนซูเป็นกรรมการนักเรียนด้วยกันฮะ ช่วงนี้พวกมันเลยซี้กันจนออกนอกหน้าเลยแหละ .. พากันโดดเรียนอยู่บ่อยบ่อย .. แต่เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงนะครับเพราะไอ้ยุนโฮจัดการให้เรียบร้อยแล้ว ’


เมื่อวานอยู่ดีดีชางมินก็โทรมาหาเขาแล้วเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในสองวันที่เขาไม่อยู่ให้ฟังซะละเอียดยิบ กระนั้นเพราะมันเป็นเรื่องของจุนซูยูชอนจึงตั้งใจฟังเป็นพิเศษ และยังขำไปกับวีรกรรมแสบซ่าของเจ้าตัวเล็กด้วยความรู้สึกเอ็นดูมากกว่าเหนื่อยใจ กระทั่งประโยคหนึ่งหลุดออกมาจากปากรุ่นน้องตัวสูง ..


‘ อ่อ .. จริงสิ! .. . แล้วก็ . ไอ้แจจุงมันซื้อมือถือให้เจ้าเปี๊ยกด้วยล่ะครับ ’


‘ หา? .. ’


จำได้ว่าวินาทีนั้นเขาก็ถึงขั้นเสียศูนย์ไปเหมือนกัน .. ซื้อมือถือให้อย่างนั้นเหรอ?


มันเป็นอะไรที่แน่เสียยิ่งกว่าแน่ที่ยูชอนจะต้องเคยพยายามยัดเยียดเจ้าเครื่องมือสื่อสารขนาดพกพานี่ให้กับจุนซูไว้ใช้ แต่ขนาดว่าซื้อมาให้เป็นของขวัญวันเกิดร่างเล็กยังปฏิเสธแทบเป็นแทบตายจนสุดท้ายเกือบจะได้ทะเลาะกันใหญ่โตเลยทีเดียว ..


‘เทคโนโลยีน่ะเป็นตัวสร้างช่องว่างในความสัมพันธ์ .. ผมชอบที่จะคุยกับใครต่อใครต่อหน้ามากกว่าได้ยินแค่เสียง เพราะมันทำให้เราได้สบตากับคนคนนั้น ได้รับรู้ถึงความรู้สึกจริงจริงของเขา .. แล้วอีกอย่าง .. . เอ่อ .. ถ้าได้คุย กันแล้วไม่ได้เห็นหน้า .. . อย่างนี้ .. ผมก็คิดถึงลูกพี่ยูชอนมากกว่าเดิมแย่เลยสิฮะ! >///< ’


นายเคยบอกพี่แบบนั้นไม่ใช่หรือไงคิมจุนซู .. . แล้วตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นเหรอ?


ยูชอนไม่ได้เสียใจที่เจ้าตัวเล็กไปสนิทสนมกับแจจุงเพราะเขามั่นใจในความรู้สึกของอีกฝ่ายมากพอ .. ทว่าสิ่งที่บั่นทอนความรู้สึกของร่างสูงคือการที่จุนซูยอมยื่นมือไปรับความช่วยเหลือจากคนอื่นที่ไม่ใช่เขาต่างหาก


“ .. ง่า~ .. . เสียงแบบนั้น .. ยังโกรธอยู่นี่ครับ TOT ”


เด็กชายโอดครวญอย่างน่าสงสารพลางกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงจนคนที่มองอยู่อย่างชางมินต้องส่ายหัวไปมาเบาเบาให้กับความง้องแง๊งเป็นเด็กสองขวบของเพื่อนสนิท


“ นี่ จุนซู .. ”


“ ฮะ? ”


ร่างเล็กเอียงคอถามอย่างน่ารัก กริยาอันเป็นท่าทางประกอบตามธรรมชาติที่เจ้าตัวชอบทำเสมอโดยไม่รู้ตัว .. ยูชอนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามในสิ่งที่รบกวนจิตใจของเขามาตลอดตั้งแต่คืนก่อน


“ .............. ”


พี่น่ะ .. ดูเหมือนคนพึ่งพาไม่ได้ขนาดนั้นเลยเหรอ


เพียงแค่คำถามสั้นๆจากคนตัวสูงกลับสร้างความเจ็บแปลบให้แล่นริ้วขึ้นมาถึงหัวใจดวงน้อยของคนฟังได้อย่างน่ามหัศจรรย์ ทั้งที่เคยปรามาสไว้ว่าการพูดคุยผ่านโทรศัพท์โดยไม่เห็นหน้าของอีกฝ่ายมันช่างเป็นการสนทนาที่ไร้ซึ่งอรรถรสและความจริงใจต่อกัน .. แต่เพราะเหตุใดวินาทีนี้คำพูดเพียงประโยคเดียวจากปลายสายกลับทำให้เขาปวดใจแบบไม่เคยเป็นมาก่อนได้เล่า?


วินาทีนั้นเองที่จุนซูนึกเกลียดตัวเองขึ้นมาจับใจ เขาไม่เคยรู้สึกแย่ขนาดนี้มาก่อน .. น้ำเสียงของลูกพี่ยูชอนตอนที่พูดออกมามันช่างเต็มไปด้วยความผิดหวังเสียจนน่าใจหาย .. . เพราะเขา .. ทำให้คนสำคัญคนนี้ต้องเสียใจ .. . บ้าเอ๊ย! คิมจุนซู .. มึงนี่มันงี่เง่าที่สุด!!


“ ลูกพี่ยูชอน ”


ความร้อนผ่าวค่อยค่อยเพิ่มพูนขึ้นที่บริเวณขอบตาจนตัวเองยังต้องตกใจ .. มือเรียวข้างหนึ่งยกขึ้นแตะใต้ตาของตนเบาเบาอย่างไม่เข้าใจ .. จริงอยู่ที่เขาเสียใจและรู้สึกผิดอยู่มาก แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายจนถึงกับต้องหลั่งน้ำตา .. นี่เขากำลังจะร้องไห้ทั้งทั้งที่ไม่รู้สาเหตุเนี่ยนะ??


“ พี่รู้ว่านายโตพอแล้วที่จะมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจทำอะไรตามที่ตัวเองต้องการ .. แล้วพี่ก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะไปบงการชีวิตของนายได้ .. ”


ยูชอนเม้มปากแน่นเพื่อสะกดกลั้นความอ่อนแอซึ่งล้นเอ่อขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจที่เหนื่อยล้า .. ความคิดถึงที่มีมากเกินกว่าจะรับมือไหวส่งผลให้คนอ่อนไหวง่ายอย่างเขาถูกทำร้ายได้ง่ายดายกว่าที่ปกติ .. ดูเหมือนว่าความรู้สึกทุกข์ระทมในช่วงตลอดระยะเวลาสองปีที่เคยจากกันได้ฝังรากหยั่งลึกลงไปในความทรงจำของร่างสูงมากมายกว่าที่คิดไว้ .. ดังนั้นพอต้องมาเผชิญกับความรู้สึกที่คล้ายกันอย่างวันนี้ หัวใจมันเลยไม่เข้มแข็งพอที่จะทานทน .. . เรื่องเล็กเล็กน้อยน้อยซึ่งคล้ายจะไร้สาระจึงกลายมาเป็นเรื่องมีอิทธิพลต่อจิตใจจนยังนึกโมโหตัวเอง


“ พี่รู้ว่าไม่มีสิทธิ์จะพูดอะไรแบบนี้ .. ”


“ ............. ”


แต่ขอร้องล่ะจุนซู .. อย่าให้ความสำคัญกับคนอื่นมากไปกว่านี้เลยนะ


ทั้งที่มันเป็นประโยคขอร้องที่ฟังดูเห็นแก่ตัวและไม่มีเหตุผล เต็มไปด้วยความเอาแต่ใจและยึดติดอย่างสุดกู่ .. หากแต่คนถูกเอาเปรียบกลับไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับคำพูดเอาแต่ได้ของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย .. จุนซูยิ้มกว้างให้กับร่างสูงที่ตนแสนคิดถึงสุดหัวใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไม่ต่างกัน .. เสียงแหบพลันสดใสขึ้นมาในบัดดล


“ ลูกพี่ยูชอนเอาที่ไหนมาพูดกันฮะ? ”


และเหมือนจะเกิดญาณรู้เห็นล่วงหน้าขึ้นมาได้กระทันหันว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น .. อาจจะด้วยความเคยชินหรืออะไรก็แล้วแต่ ร่างสูงชะลูดของชางมินจึงรีบโยนผ้าเช็ดหัวทิ้งแล้วพุ่งตัวทะยานรวดเดียวไปถึงเตียงนอนที่ตั้งอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องอย่างรวดเร็วปานพระเอกหนังนินจาฮาโตริ .. มือใหญ่คว้าเอาหูฟังไอพอดคู่กายขึ้นมาอุดหูทั้งสองข้างของตนก่อนจะกดปุ่มเพิ่มวอลลุ่มจนดังกระหึ่มออกมาจนคนนอกยังได้ยิน เสร็จเรียบร้อยแล้วก็จัดการดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนมิดหัวเป็นอันจบพิธี .. วะฮ่ะฮ่ะ!! .. เท่านี้กูก็รอดพ้นจากตำแหน่งพยานบุคคลในโลกสีชมพูโดยสมบูรณ์แล้วว้อยย~ กริ๊บกริ้ววว~!! ^O^


-*- .. จุนซูมองท่าทางไม่สมประกอบของเพื่อนร่วมห้องนอนผ่านหางตาด้วยความสังเวชใจเล็กน้อยถึงปานกลาง ก่อนจะตั้งสติสูดลมหายใจเรียกกำลังใจให้ตัวเองเข้าไปเฮือกใหญ่ แม้จะรู้สึกสับสนกับความร้อนผ่าวบนใบหน้าและเสียงหัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะที่กำลังเป็นอยู่นี่ก็ตาม ..


“ .. ตั้งแต่เมื่อก่อนจนถึงตอนนี้ หรือแม้แต่ในอนาคต .. สำหรับผมแล้วไม่เคยมีอะไรที่หาความแน่นอนได้เลย .. แต่ว่า .. มีแค่เรื่องเดียวเท่านั้นที่ผมคิดว่าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นไปได้ .. . ”


จากนั้น ทั้งคนฟังและคนพูดก็ต่างพากันนิ่งเงียบไปชั่วขณะ .. ยูชอนกำโทรศัพท์ในมือแน่นราวกับว่ามันสามารถที่จะหลุดร่วงลงไปได้ง่ายๆในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง .. เช่นเดียวกับร่างเล็กที่ยกมืออีกข้างขึ้นมาช่วยประคองมือถือเครื่องน้อยเอาไว้เหมือนกับกลัวว่าถ้าได้พูดประโยคหลังจากนี้ออกไปแล้วเขาอาจจะสลายตายกลายเป็นจุลเพราะความร้อนซึ่งเริ่มลามจากใบหน้าไปจนทั่วทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้านี่ก็เป็นได้


.. เรื่องที่คนโง่ๆแบบผมมั่นใจว่ามันจะจีรังยั่งยืนที่สุดในโลก .. ก็คือการที่มีลูกพี่ยูชอนเป็น .. ค .. คนสำคัญที่สุดในชีวิต .. นะครับ! > <


หลังพูดจบ .. เจ้าตัวเล็กก็รีบถลาเอาหัวทุยๆลงไปทิ่มกับหมอนนุ่มนิ่มใบโตของตน แล้วแหกปากร้องตะโกนทุบมือทุบไม้กับฟูกเตียงโดยสะกดกลั้นไม่ให้มีเสียงเล็ดลอดออกมาแม้เพียงเศษเสี้ยวเดซิเบล


ย๊ากกกกก~!!!! .. หัวใจมัน .. จ .. จะระเบิดอยู่แล้วอ่ะ!!!!!! =[]=


ในขณะที่คิมจุนซูกำลังหลุดโลกไปไกลเกินเหนี่ยวรั้งนั่นเอง ปาร์คยูชอนผู้ยืนอยู่อีกฟากฝั่งของซีกโลกก็คลี่ยิ้มออกมาเสียกว้าง .. อยากจะหัวเราะออกมาดังๆให้สมกับความสุขที่มันล้นปรี่อยู่ในหัวใจดวงนี้เสียเหลือเกิน .. ให้ตายสิจุนซู! . .. แค่ที่เป็นอยู่ตอนนี้ยังทำให้พี่รักนายไม่พออีกรึไงนะ?


.. พูดอะไรออกมาแล้วก็ช่วยรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองพูดหน่อยสิเจ้าตัวเล็ก!!


“ อา .. นานๆทีจะได้ยินนายพูดอะไรแบบนี้ ฟังแล้วรู้สึก .. ชื่นใจจังแฮะ ”


เสียงต่ำเอ่ยอย่างหยอกล้อ ความน้อยเนื้อต่ำใจที่มีอยู่อันตรธานหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น .. จุนซูเป็นคนอ่อนโยนก็จริง แต่ถ้าเปรียบเทียบในแง่ของความละเอียดอ่อนหรือการแสดงออกล่ะก็นับว่าเด็กคนนี้ยังอยู่ในขั้นติดลบจนแทบจะหาไม่ได้เลยทีเดียว เพราะฉะนั้นแล้วสิ่งที่เพิ่งจะได้ยินไปเมื่อครู่จึง เป็นปรากฎการณ์หนึ่งในล้านที่หาได้ยากเสียยิ่งกว่ายาก


“ โธ่~ .. หยุดพูดเถอะฮะลูกพี่ยูชอน .. . แค่นี้ผมก็ขายหน้าจะแย่! ” เสียงแหบโวยวาย


“ เพราะกลัวว่าลูกพี่ยูชอนจะเข้าใจผิดหรอกนะถึงได้ยอมพูดอ่ะ .. โถโถโถ คิมจุนซูผู้น่าสงสาร~ ถ้ามีใครรู้ว่าลูกผู้ชายตัวจริงอย่างผมพูดอะไรหน่อมแน๊มแบบนี้ไปล่ะก็มีหวังได้ถูกเขาล้อไปตลอดชาติแน่ๆ!! T^T ”


ร่างสูงหลุดหัวเราะออกมาจนตัวสั่น ยิ่งวันจุนซูของเขาก็ยิ่งน่ารักจนเกินไปซะแล้ว .. เพราะอย่างนี้ไงเขาถึงได้ไปไหนไม่รอด ยอมนอนนิ่งๆเป็นเสือเชื่องไร้เขี้ยวเล็บให้เจ้าตัวเล็กจับไปต้มยำทำแกงที่ไหนก็ได้ตามใจต้องการ


“ เวลาที่มองแจจุง .. ผม .. ไม่ได้เห็นมันเป็นไอ้เด็กผมทองกวนประสาทอย่างที่ใครๆเขาเห็นกันหรอกฮะ ”


จุนซูพูดประโยคนั้นออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย น้ำเสียงทีเล่นทีจริงเมื่อนาทีก่อนถูกปรับเข้าโหมดซีเรียสจริงจังเสียจนคนฟังเปลี่ยนอารมร์ตามแทบไม่ทัน แต่ยูชอนก็ทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดีปิดปากเงียบแล้วรอให้อีกฝ่ายพูดต่อไป


“ ลูกพี่ยูชอนรู้ไหมฮะ? ทุกครั้งที่ผมมองคิมแจจุง .. . ผมเห็น .. ตัวผมเอง ”


เด็กชายลุกขึ้นนั่งแล้วเอนหลังพิงหัวเตียงด้วยท่าทางเคร่งขรึมมากขึ้น นัยน์ตาสีดำคู่สวยเหลือบไปมองเตียงข้างๆ ก่อนที่จะพบว่ารูมเมทหน้าหล่อซึ่งถอดหูฟังออกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กำลังนั่งกอดหมอนข้างกระพริบตามองมาที่เขาอย่างตั้งอกตั้งใจราวกับเจ้าตัวนั่งฟังอาจารย์เลคเชอร์อยู่ในห้องเรียนอย่างไรอย่างนั้น .. เอากับมันสิ! ทีเรื่องที่มีชื่อชาวบ้านขึ้นมาหน่อยล่ะก็เสือกได้เสือกดีขึ้นมาเชียว! -*-


ร่างเล็กเลิกสนใจเพื่อนสนิทเป็นการชั่วคราว อยากรู้นักก็ปล่อยมันไป .. อุเหม่~ แต่สายตาที่ไอ้ดำนี่มันใช้มองมันก็ช่างตะขิดตะขวงใจเขาเสียเหลือเกินเนอะ .. . ไม่ทราบว่าใครหน้าไหนมันสั่งสอนให้มึงทำตัวเป็นแม่บ้านยุคซิกซ์ตี้ซะแนบเนียนขนาดนี้วะ!!!


หัวทุยส่ายไปมาอย่างนึกสมเพชในความเกรียนขั้นเทพของเพื่อนรักตับเป็ด ก่อนจะวกกลับเข้าโหมดเคร่งเครียดอีกครั้งหลังจากที่เสียศูนย์หลุดเก๊กไปพักใหญ่


“ แจจุงมันก็เหมือนผมเมื่อสี่ปีที่แล้ว .. เป็นเด็กอันธพาลชอบหาเรื่องกวนตีนชาวบ้านไปวันๆ ไม่ค่อยมีเพื่อนฝูงอยากคบค้าสมาคมด้วย ไม่มีสถานที่ที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นบ้าน อยู่ที่ไหนก็ไม่มีความรู้สึกปลอดภัย ไม่มีคนคอยสั่งสอนหรือให้คำปรึกษา .. พวกเรา ... . ไม่มีใครเลย ”


จุนซูพยายามกดความรู้สึกอ่อนแอที่เริ่มปะทุขึ้นมาให้กลับลงไปที่เดิม .. จริงอยู่ที่เขาได้ก้าวผ่านสิ่งเหล่านั้นมานานแล้ว .. แต่ถึงอย่างไรความทรงจำก็คือความทรงจำ .. ความโดดเดี่ยวอ้างว้างและหาจุดยืนไม่ได้ที่เคยเป็นมันยังสร้างบาดแผลเล็กๆที่สะกิดซ้ำไปบนรอยแผลเก่าได้ทุกครั้งที่หวนนึกถึง


“ จุนซู ”


ยูชอนเรียกชื่อคนตัวเล็กเสียงอ่อน เป็นจังหวะเดียวกับที่ชางมินก้าวมายืนตรงขอบเตียงของเพื่อนซี้แล้วเอื้อมมือมาบีบมือเรียวเบาเบา .. สื่อให้รู้โดยไม่ต้องเอ่ยคำสละสลวยยืดยาวให้เสียเวลา .. ว่าที่ตรงนี้มันไม่ได้ว่างเปล่าอีกต่อไป


กลีบปากอิ่มคลี่ยิ้มสว่างไสวออกมา จุนซูบีบกระชับมือใหญ่ของคนตัวสูงไปแรงแรงก่อนที่ชางมินจะผละออกไปนั่งบนเตียงของตนดังเดิม


“ แต่ผมเป็นคนโชคดี .. เพราะอย่างนั้นถึงได้มาเจอลูกพี่ยูชอน ”


“ ………….. ”


“ ถ้าไม่ได้ลูกพี่ยูชอนช่วยไว้วันนั้น ผมก็คงยังเป็นกุ๊ยข้างถนนอยู่เหมือนเดิม .. ผมน่ะได้แต่คอยแบมือรับความห่วงใยของคนอื่นมาตลอด .. ทั้งลูกพี่ยูชอน ทั้งพวกชางมิน .. . แต่ตอนนี้ผมมีโอกาสที่จะเป็นฝ่ายให้สิ่งเหล่านั้นบ้างแล้ว .. ผมอยากช่วยคิมแจจุง .. ให้เขาหาความสุขของตัวเองให้เจอ เหมือนกับที่ผมเจอแล้วว่าความสุขของผมอยู่ที่ไหน ”


ความสุขของผม .. คือการที่ได้อยู่เคียงข้างลูกพี่ยูชอน


“ เพราะงั้นแล้ว ด้วยวิธีของผม .. ต่อจากนี้ถ้าจะสร้างความวุ่นวายไปบ้างก็อย่าโกรธเลยนะครับ~!! >w< ”


“ อ่า .. -*- ”


ชางมินที่แอบเงี่ยหูฟังอยู่ถึงกับสะดุดอากาศหัวทิ่ม .. ถุย! อุตส่าห์สร้างบรรยากาศอยู่ตั้งนานสองนาน สุดท้ายก็ต้องมาพินาศเพราะความปัญญาอ่อนของมึงเนี่ยแหละคิมจุนซู!! =<>= .. กูล่ะนับถือลูกพี่สุดใจขาดดิ้นเลยว่ะ! เจอแบบนี้แล้วยังมีกะใจรักมึงลงได้อีก .. ความรักนี่มันช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว!!


ตัดมาทางด้านยูชอนผู้ซึ่งอยากจะหัวเราะก็หัวเราะไม่ออก ชายหนุ่มยกมือขึ้นมานวดคลึงขมับอย่างเหนื่อยอ่อน.. เฮ้อ~ นี่เขาคงหวังมากเกินไปใช่ไหมที่จะให้จุนซูคิดอะไรเป็นผู้ใหญ่เหมือนคนอื่นเขาสักที .. . ขืนปล่อยเอาไว้อย่างนี้ต่อไปโดยคิดจะให้เด็กแบ๊วนี่เกิดการพัฒนาทางด้านความคิดด้วยตัวเองแล้วล่ะก็ น่ากลัวว่าในภายภาคหน้าเขาคงจะได้เจ้าตัวเล็กนี่มาเลี้ยงเป็นลูกแทนที่จะได้มาเป็นแฟนเป็นแน่แท้!!


ไม่ได้การล่ะ! .. กลับไปคราวนี้เห็นทีจะต้องจับมาเข้าคอร์สติวตัวต่อตัวกันหน่อยซะแล้ว!


.


.


.


.


.


.



เสียงรองเท้าผ้าใบสีเน่าสนิทดังกระแทกพื้นระเบียงในทุกย่างก้าวของการเดินราวกับต้องการจะทุ่มเทพลังชีวิตทั้งหมดลงไปกับการพังตึกเรียนให้พังทลายเป็นผุยผงนั้น พาให้นักเรียนชายหญิงในบริเวณนั้นจำต้องช่วยกันหันมองหาตัวต้นเหตุอย่างเสียไม่ได้ แล้วก็ได้พบกับร่างเล็กผอมบางในชุดกึ่งทางการและไม่ทางการอย่างเสื้อบอลและกางเกงนักเรียนของเด็กหนุ่มผมดำเจ้าของรอยยิ้มสดใสอันลือเลื่องที่กำลังเดินฉับๆทำหน้าบอกบุญไม่รับขัดกับใบหน้าหวานหยดของเจ้าตัวโดยสิ้นเชิง


เด็กนักเรียนบางคนมองหน้ากันไปมาอย่างหวาดๆ บ้างถึงกับเยิบแยกแหวกทางให้หนุ่มแซ่คิมเดินผ่านไปได้อย่างสะดวกโยธิน .. . ก็นะ .. ดูก็รู้ว่าวันนี้คิมจุนซูคงจะอารมณ์บ่จอยสุดสุดไปเลยนี่นา เป็นใครใครก็ต้องระวังตัวไว้ก่อนล่ะวะ! .. เห็นตัวเล็กน่ารักไม่มีพิษมีภัยแบบนี้ล่ะตัวดีนักเชียว ลองให้พ่อเจ้าประคุณของขึ้นมาสิ .. น่ากลัวไม่แพ้ปาร์คยูชอนโขกรวมกับชองยุนโฮเลยทีเดียว .. ขืนสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปทำตัวขวางหูขวางตาเจ้าเปี๊ยกนี่ตอนนี้เผลอๆอาจจะโดนมันตีแสกหน้าเข้าให้ไม่รู้ตัวก็ได้!!


โฮ๊ยยยย~ .. หงุดหงิดจริงเว้ยยยยยยยยย~!!!!! =[]=


นั่นไง .. พูดยังไม่ทันขาดคำ .. . องค์ลงแล้วไหมนั่น =___________=^


แล้วไม่โวยวายเปล่า .. เจ้าตัวเล็กยังเตะนั่นเตะนี่ระบายอารมณ์ไปตลอดทางอีกต่างหาก แถมแรงก็น้อยเหมือนตัวซะที่ไหน เตะตู้ตู้เซ เตะประตูหน้าห้องสะเทือนไปถึงประตูหลังห้องขนาดนั้น .. ทำเอาเพื่อนฝูงพากันทำตัวลีบหัวหดกันเข้าไปใหญ่


กระทั่งอาละวาดจนพอใจแล้วนั่นแหละ เด็กชายถึงได้ผ่อนคลายลงบ้าง .. ขาเรียวเริ่มเปลี่ยนกลับมาเดินลงจังหวะเนิบนาบเรื่อยเปื่อยอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ เรียกเสียงถอนหายใจเบาเบาอย่างโล่งอกจากคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี


จุนซูค่อยค่อยเดินไปตามทางเดินทอดยาวอย่างไม่มีจุดหมาย .. ทั้งที่เป็นช่วงพักกลางวันแต่เขากลับต้องมาลอยเคว้งโดดเดี่ยวเดียวดาย เพราะชางมินไปช่วยอาจารย์เตรียมเครื่องมือประกอบการสอนอยู่ที่ห้องพักครู ฮยอกแจก็แอบหนีไปเหล่สาวคนใหม่ที่ชมรมเทนนิส(รายนี้แอบเคืองเล็กๆ .. ไม่มีการชวนอ่ะ!) ทงเฮไม่สบายเลยลาหยุด แจจุงก็หายหัวไปตั้งแต่คาบที่สองแล้วยังไม่โผล่กลับมาอีกเลย .. . แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาก็ไม่ได้ติดเพื่อนถึงขนาดเม้งแตกเพราะอยู่คนเดียวไม่ได้หรอก .. สาเหตุมันอยู่ที่ไอ้คุณชายบ้ายศนั่นต่างหาก!


อ๊าคคคคค~ชองยุนโฮ!!! .. มึงคิดจะหลบหน้ากูไปถึงไหนวะสัดดด~!!!!!! =[]=+++


เขาไม่เข้าใจ .. อุตส่าห์ลองเอาความสงสัยนี้เก็บกลับไปยืนคิด นั่งคิด นอนคิด ตะแคงซ้าย ตะแคงขวา ม้วนหน้า ม้วนหลังคิดก็แล้ว แต่ยังไง๊~ยังไงมันก็คิดไม่ออกจริงๆว่ากูกับไอ้ยุนโฮมันผิดใจกันเรื่องอะไร


แต่จะให้คิดว่าเป็นเรื่องโกรธหรือไม่พอใจกันก็ไม่น่าใช่ เพราะหากมีเรื่องให้ขุ่นเคืองขึ้นมา คนนิสัยตรงแหน่วเป็นไม้บรรทัดขนาดนั้นคงจะลุกขึ้นมาดึงคอเสื้อคู่กรณีแล้วตะคอกถามให้มันรู้เรื่องรู้ราวจนกระทั่งไปจบลงที่พากันไปเลี้ยงข้าวอย่างทุกครั้งมากกว่าที่จะมาคอยหาทางหลบหน้ากันแบบนี้ ..


แล้วคราวนี้มันมีอะไรวะ?


ขณะที่กำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความคิดไม่ตกอยู่นั้นเอง เด็กหนุ่มก็พลันได้ยินเสียงแว่วของเปียโนดังผะแผ่วมาแต่ไกล จุนซูหันเหลียวมองซ้ายขวาจึงเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าตนเดินเหม่อไกลมาถึงทางเดินเชื่อมระหว่างตึกเรียนซึ่งมักจะเป็นจุดวิเวกวังเวงของโรงเรียนพอดี .. และเพราะว่าแถวนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตผ่านมาให้ถามได้สักคน ร่างเล็กจึงได้แต่ยืนนิ่งแล้วคิดหาคำตอบให้ตัวเองอย่างคนมีเวลาว่างเหลือเฟือ .. . อืม~ ถัดจากทางเชื่อมนี้ก็เป็นหอประชุมนี่หว่า .. แล้วเสียงเปียโนมันจะมาจากทางนั้นได้ยังไงว๊า~


และเมื่อเสียเวลาอยู่นานแล้วยังไม่สามารถที่จะหาพยานแวดล้อมได้เพียงพอ คนมือไวใจเร็วจึงเร่งพาตัวเองเดินลิ่วตามเสียงปริศนาไปในทันที .. ดังนั้นไม่กี่อึดใจต่อมาหนุ่มคิมก็ได้มายืนจังก้าประจันหน้าอยู่ที่ประตูหอประชุมโดยสวัสดิภาพ


จุนซูเอียงคอไปทางซ้ายทีทางขวาทีอย่างที่ชอบทำบ่อยๆเวลาใช้ความคิด โดยที่เจ้าตัวคงไม่มีโอกาสได้รับรู้หรอกว่านี่คืออากัปกริยาที่ได้รับเสียงโหวตจากคนทั้งโรงเรียนอย่างลับๆมาแล้วว่า‘น่ารักสุโก่ยยย~!’ .. แต่จุนซูก็ยังเป็นจุนซู .. ถ้าเจ้าตัวเล็กลองหัดสังเกตสังกาเสียบ้างก็คงจะรู้ถึงสาเหตุว่าทำไมลูกพี่ยูชอนของตนถึงได้ชอบมาคอยโอบคอยนัวเนียอยู่ข้างๆอยู่บ่อยครั้งเวลาที่เขากำลังคิดอะไรอยู่เงียบๆคนเดียว .. ก็มันเล่นแบ๊วซะ!


“ .. ดังมาจากในนี้จริงๆด้วย ”


หลังจากลองเอาหูแนบฟังดูจนแน่ใจว่าไม่ผิดแน่แล้ว เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจผลักบานประตูเข้าไปโดยไม่รีรอ เพราะในใจมันอยากรู้อยากเห็นเสียเหลือเกินว่าใครกันหนอที่มาเล่นเพลงท่วงทำนองโศกซึ้งกินใจให้คนที่บังเอิญผ่านมาได้ยินอย่างเขาน้ำตาซึมเล่น


อาจเป็นเพราะมุมตกกระทบของแสงแดดอ่อนๆของยามบ่าย แบ๊คอัพจากสายลมที่พัดผ้าม่านสีเทาให้พลิ้วไสว หรือเปียโนสีขาวหลังใหญ่สะอาดตาที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางเวที .. . ทว่าไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตามแต่ .. หากมีใครได้มาเห็นภาพตรงหน้าดังเช่นคิมจุนซูในตอนนี้ ก็คงจะเห็นตรงกันเป็นแน่ ..


ใบหน้าคมคายเจือแววโดดเดี่ยวชวนให้คนมองหนาวเหน็บไปตามอารมณ์ของผู้จรดนิ้วบรรเลงแบบนั้น .. ให้ตายเถอะ! .. แล้วมันจะมีคำไหนที่ใช้บรรยายสิ่งที่เห็นนี้อย่างเหมาะเจาะสมควรไปได้อีกล่ะ? ก็ไม่อยากจะยอมรับเท่าไหร่หรอกนะ แต่ว่า ..


คิมแจจุง .. เวลาที่มึงไม่ทำตัวกวนตีนแล้วอยู่นิ่งๆแบบนี้ก็หล่อเหมือนกันนี่หว่า .. แหม~เห็นทีแรกกูหลงนึกว่าเทพเทวดาที่ไหนจำแลงกายลงมานั่งทำตัวเป็นพระเอกมิวสิคเพลงอกหักซะอีก .. อืมม .. แต่ก็อย่างว่าแหละนะ .. . ถ้าเทียบกันแล้วยังไง๊ยังไงกูก็ยังหล่อกว่าเห็นๆ! อิยะฮ่ะฮ่ะ~!!!


ร่างเล็กหลบฉากไปยืนพิงกำแพง หลับตาฟังบทบรรเลงแว่วหวานปานหยาดน้ำผึ้งหากแต่ก็ฟังดูขมขื่นราวกับจะขาดใจในเวลาเดียวกันอย่างตั้งอกตั้งใจ .. จุนซูชอบดนตรีแต่เพราะไม่ได้ร่ำรวยมีเงินพอที่จะใช้ได้ดังใจจึงไม่เคยมีโอกาสได้หยิบจับเครื่องเล่นอะไรเลยสักอย่าง แต่ไหนแต่ไรสิ่งที่เขาทำได้ดีก็เห็นจะมีเพียงการเล่นฟุตบอลกับท้าตีท้าต่อยซะล่ะมั้ง


“ ไม่ยักรู้ว่ามึงเล่นเปียโนเก่ง? ”


เสียงแหบเอ่ยกระเซ้าหลังจากที่อีกฝ่ายเล่นเพลงจบไปได้สักพัก ทำเอาคนที่นั่งเหม่อหายใจทิ้งอยู่หน้าแกรนด์เปียโนถึงกับแอบสะดุ้ง แจจุงหันมามองในเวลาเดียวกับที่คนตัวเล็กกระโดดขึ้นมายืนบนเวทีได้อย่างสวยงาม


“ มาตั้งแต่เมื่อไหร่? ”


เด็กหนุ่มผมทองถามกลับไปบ้าง จุนซูยักไหล่ “ ก็สักพัก ”


ร่างเล็กกว่าถือวิสาสะทิ้งตัวลงนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดียวกันกับคนถาม ก่อนจะลองจิ้มนิ้วลงไปบนแป้นคีย์มั่วๆอย่างถูกใจ แจจุงลอบมองใบหน้าน่ารักที่เขาหลงใหลด้วยสายตาเป็นประกายประหลาด .. แค่เพราะอากาศรอบๆกายเขาในตอนนี้มีคิมจุนซูร่วมหายใจอยู่ด้วยเท่านั้น ความเศร้าและความเปล่าเปลี่ยวที่กัดกินหัวใจอยู่เมื่อครู่ก่อนดูเหมือนจะลางเลือนลงไปพร้อมๆกับความอบอุ่นที่แทรกซึมเข้ามาแทนที่อย่างน่าอัศจรรย์


“ เมื่อกี้มึงเล่นเพลงอะไรวะ ”


จุนซูถามเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆกันทั้งที่นิ้วเรียวยังไม่ยอมละจากการบรรเลงเพลงที่มีตัวโน้ตง่ายๆซ้ำไปซ้ำมาอย่างเพลง ‘หนูมาลีมีลูกแมวเหมียว’ ด้วยความเมามัน จนร่างโปร่งที่มองอยู่ต้องเผลอยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู


“ ถามทำไม ”


สาบานได้ว่าถ้าเป็นเมื่อก่อน ลองคนใดคนหนึ่งมาพูดจากวนตีนใส่แบบนี้คงได้มีการวางมวยกันระหว่างสองคิมเป็นแน่แท้ .. แต่ตอนนี้จุนซูไม่มีอารมณ์พอที่จะกวนตีนกลับ คงเป็นเพราะเสียงเปียโนแสนอ้างว้างที่มันเล่นก็เป็นได้


“ ก็ไม่ทำไม .. แต่แม่งฟังแล้วเศร้าชิบหาย ” ร่างเล็กชะงักไป ก่อนจะทำตาโตมองเพื่อน


หรือว่ามึงอกหัก!!?


แจจุงปรายหางตามองจอมเดาสุ่ม พอเห็นสายตาวิบวับวอมแวมสุดระริกระรี้ของเจ้าตัวเล็กแล้วก็อดที่จะลอบถอนหายใจออกมาไม่ได้ .. เออครับ~! .. กูอกหัก! .. . แล้วคนที่หักอกกูก็นั่งเสนอหน้าแป้นแล้นอยู่นี่ไง~ ถ้าบอกไปแบบนี้มึงจะพอใจมั๊ยยย!!! -*-


เมื่อเห็นเพื่อนทำหน้าเอือมโลกขึ้นมาเสียดื้อๆซะงั้น จุนซูก็เลยชักจะรู้สึกตัว .. หรือกูจะเผลอพูดอะไรที่มันดูโง่เขลาเบาปัญญาออกไปอีกแล้วเหรอวะ =___=^ .. เมื่อวานตอนคุยกับลูกพี่ยูชอนเสร็จไอ้ดำมันก็ทำหน้าเงี๊ยะ~ อุวะ!! ทำไมเดี๋ยวนี้ใครต่อใครถึงได้ชอบทำหน้าแบบนี้ใส่กูกันจริง!


“ อะไรของมึง .. ไหงมองหน้ากูแบบนั้น? ”


ร่างโปร่งยิ้มจางๆให้อีกฝ่าย ก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องราวในอดีตที่ไม่เคยคิดจะบอกให้ใครรู้มาก่อนให้คนตรงหน้าได้ฟัง .. เสียงทุ้มแหบพร่าลงเล็กน้อย ยามที่ต้องหวนคิดถึงความหลังครั้งเก่า ..


“ เพลงนั้น .. กูแต่งให้อินฮวาน ”


“ อินฮวาน? ”


“ น้องชายกูเองแหละ .. เขา .. . ตายมาได้แปดปีแล้ว ”


“ .......... ”


“ .......... ”


“ .. แจจุง ”


“ เพราะกูเอง .. กูทำให้อินฮวานต้องตาย

.


.


.


.


.


“ แค่ก .. แค่ก !! ”


เสียงไอแหบแห้งที่ดังขึ้นไม่หยุดหย่อนจากร่างเล็กๆที่นอนซมอยู่บนฟูกเก่าๆสีมอซอนั้นพาให้หัวใจของคนที่เป็นพี่ชายรุ่มร้อนจนนั่งไม่ติดที่ ร่างผอมของเด็กชายวัยแปดปีรีบผละจากหม้อต้มยาซึ่งมีควันขาวกลิ่นสะอิดสะเอียนโชยขึ้นมาเป็นระยะนั้นด้วยสีหน้าเป็นกังวล


“ อินฮวาน .. เป็นยังไงบ้าง? เจ็บตรงไหนบอกพี่ ”


แจจุงอุ้มน้องชายขึ้นมาไว้แนบอก มือเล็กทาบลงบนหน้าผากขาวซีดนั้นเบาๆ .. อุณหภูมิร้อนระอุที่สัมผัสได้ทำเอาเด็กน้อยถึงกับทำอะไรไม่ถูก


“ ไม่เป็นไรฮะพี่ชาย .. แค่ก .. . อินฮวานไม่เป็นไร ”


คนเป็นพี่ชายแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวเมื่อเห็นเจ้าตัวเล็กพยายามฝืนยิ้มให้เขาสบายใจ .. เด็กน้อยวัยสี่ขวบยังจำได้ดีถึงทุกคำพูดของพี่ชาย .. สิ่งที่คิมแจจุงชอบมากที่สุดก็คือรอยยิ้มตะวันฉายของคิมอินฮวาน .. . ทั้งๆที่อยากจะทำอะไรให้ได้มากกว่านี้ .. ทำอะไรเพื่อพี่ชายคนเดียวที่ลำบากเพื่อตนมาตลอด .. . แต่ตอนนี้ .. สิ่งที่เขาสามารถทำได้ก็มีแค่เพียงส่งรอยยิ้มนี้ให้เป็นกำลังใจเท่านั้นเอง


“ อินฮวาน .. ”


คนอายุมากกว่าวางร่างผอมบางของอินฮวานลงบนฟูกและดึงเอาผ้าห่มบางๆขึ้นมาห่มให้น้องน้อยอย่างเบามือ เด็กชายก้มลงประทับจุมพิตลงบนหน้าผากของคนตัวเล็กด้วยสัมผัสที่เปี่ยมไปด้วยความรัก


“ นายรอพี่เดี๋ยวเดียวนะ .. พี่จะไปซื้อยามาเพิ่ม .. . นอนพักซะนะ พี่จะรีบไปรีบกลับ .. นะครับอินฮวานเด็กดี ”


เพราะยาต้มใกล้จะหมดหม้อเต็มที่ แจจุงจึงต้องตัดใจทิ้งน้องชายเอาไว้คนเดียวที่บ้าน ร้านหมออยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่นัก .. ไปเอายาแค่ไม่นานคงไม่เป็นไร


“ พี่แจจุงฮะ ”


เสียงแหบของร่างเล็กเรียกให้แจจุงที่กำลังหยิบเสื้อโค้ทตัวเก่าคร่ำครึขึ้นมาใส่เตีรยมออกไปเผชิญลมหนาวของเดือนกุมภาพันธ์ต้องหันกลับมามอง


“ อินฮวานรักพี่นะฮะ ”


ไม่ว่าเมื่อไหร่ รอยยิ้มของอินฮวานก็เปรียบได้เสมือนแสงสว่างสดใสของดวงอาทิตย์ที่ส่องลงมาให้ความอบอุ่นบนโลกของเขาไม่เคยเปลี่ยแปลง .. แจจุงยิ้มตอบจางๆ


“ พี่ก็รักนายคนเก่ง ”


แต่ใครจะรู้ว่านั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่สองพี่น้องได้เจอกัน


.. ครั้งสุดท้ายที่อินฮวาน .. หายใจอยู่บนโลกเดียวกับเขา


.


.


.


แสงสีส้มแดงและไอร้อนจากกองไฟที่ลุกโชนท่วมหลังคาบ้านไม้หลังเล็กตรงหน้าดูพร่าเลือนด้วยม่านน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาไม่ขาดสาย .. เสียงรถดับเพลิง รถตำรวจ รวมทั้งเสียงตะโกนโหวกเหวกของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในละแวกบ้านใกล้เรือนเคียงเหล่านั้นไม่สามารถสะท้อนเข้าไปในประสาทการรับรู้ของเด็กชายแจจุงเลยแม้แต่น้อย


ร่างผอมบางตะเกียกตะกายสุดกำลังเพื่อที่จะหลุดออกไปจากวงแขนแข็งแรงของคุณลุงข้างบ้าน .. มือเล็กไขว่คว้าไปยังเบื้องหน้าอย่างไม่ยอมแพ้


“ อินฮวาน .. ฮึก .. . ปล่อยผม .. อินฮวาน!!!!!!!


“ ไม่ได้นะแจจุง! มันอันตราย!! ”


“ ฮึก .. ฮืออ .. อินฮวาน .. อินฮวาน!! ”


ผ่านไปร่วมสองชั่วโมง ในที่สุดไฟก็มอดลง แต่แจจุงก็ไม่อาจที่จะรับรู้อะไรได้อีกแล้ว .. ร่างผอมไม่สามารถพูดจาสื่อสารหรือตอบคำถามใดกับเจ้าหน้าที่ได้เลย .. สิ่งเดียวที่สมองและหัวใจของเด็กชายตอบสนองได้ก็คือความเจ็บปวดเจียนตายจากความจริงที่ว่าต่อไปนี้จะไม่มีอินฮวานอีกแล้ว .. น้องชายคนเดียว .. ครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวของเขา .. ตายไปแล้ว


เสียงของพนักงานดับเพลิงคนหนึ่งที่เดินมากระซิบบอกคุณลุงที่ช่วยดึงตัวเขาเอาไว้เมื่อครู่ก่อนดังลอดผ่านสายลมเบาหวิวของฤดูหนาวมาให้ได้ยินอย่างไม่ได้ตั้งใจ


‘ ต้นเพลิงดูเหมือนจะมาจากหม้อดินเผาตรงมุมห้องน่ะครับ .. คิดว่าไฟคงเริ่มลามเร็วพอสมควรเพราะอากาศแห้งและโครงสร้างส่วนใหญ่ของบ้านก็เป็นไม้ด้วย เลยทำให้เด็กที่นอนหลับอยู่ไม่ทันได้หนี .. ’


แจจุงรู้สึกราวกับว่าหัวใจของเขากำลังเต้นช้าลง .. มือขาวซีดทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมาจิกทึ้งเส้นผมของตัวเองอย่างไร้สติ พร้อมๆกับหยาดน้ำตาที่ค่อยๆตกลงมากระทบพื้นหิมะเบื้องล่างอีกครั้งและอีกครั้ง .. คล้ายกับมันจะไม่มีวันหมดไป


อินฮวานตาย .. ก็เพราะเขา


.


.


.


.


.


เสียงออดเข้าเรียนดังไปนานแล้ว แต่ร่างสองร่างก็ยังคงนั่งเคียงคู่กันอยู่บนเก้าอี้หน้าแกรนด์เปียโนในตำแหน่งเดิมไม่ขยับไปไหน .. ต่างคนก็ต่างจมจ่อมอยู่ในความคิดของตนเอง ปล่อยให้ความเงียบโรยตัวครอบคลุมบรรยากาศโดยรอบอย่างสิ้นเชิง


โฮ๊ยยยย~ อึดอัดชะมัดเลยให้ตายเซ่ะ!! >O<


เจ้าตัวเล็กแอบกู่ร้องตะโกนอยู่ในใจ .. บอกตามตรงว่าตั้งแต่เกิดจนโต รู้จักโลกมาก็โชกโชนจนเกือบจะสิบเจ็ดปีเต็ม จุนซูเองไม่เคยนึกเคยฝันมาก่อนเลยว่าตนจะได้มีโอกาสมาเจอะเจอกับชีวิตจริงของใครที่รันทดได้ยิ่งกว่านิยายเช่นนี้


และเนื่องด้วยรู้ตัวดีว่าตัวเองไม่ใช่คนละเอียดอ่อนพอที่จะปลอบใจใครเป็น แถมยังมักจะชอบชักใบให้เรือเสียอยู่บ่อยไปด้วยซ้ำ .. แล้วยิ่งในสถานการณ์แบบนี้ยิ่งไปกันใหญ่ เด็กหนุ่มตัวเล็กเลยได้แต่นั่งหุบปากสนิท .. ดังนั้นผลก็คือเขาต้องมานั่งง่อยเป็นคนใบ้อยู่แบบนี้ไงล่ะ~! ..


ฮึ้ยย .. ไม่ไหวแล้วนะเฟร้ยย!!!!


สุดท้ายท้ายที่สุด คนช่างจ้อก็เป็นฝ่ายอดรนทนไม่ได้เอาเสียเอง จุนซูแอบเหล่มองสีหน้าเพื่อนเล็กน้อย .. แจจุงดูเหมือนจะหลุดโลกไปแล้ว เพราะร่างโปร่งเล่นนั่งก้มหน้าจ้องไปที่พื้นอย่างใจจดใจจ่อยังกับกะจะนับจำนวนผงขี้ฝุ่นที่ฉาบบางๆอยู่บนเวทีให้ครบทุกหยดทุกเม็ดอย่างไรอย่างนั้น


แจจุงสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงความอุ่นวาบที่มือด้านขวาของตน ร่างโปร่งหันไปมองแล้วก็พบว่าตอนนี้มือที่เคยว่างเปล่าของเขาไม่ได้ว่างเปล่าอีกต่อไป .. เมื่อคิมจุนซูส่งมือเล็กๆข้างหนึ่งมาจับมันไว้อย่างแนบแน่น


จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครพูดอะไรออกมา .. ทว่าท่ามกลางความเงียบที่ดูน่าจะทำให้กระอักกระอ่วนนั้น .. มือทั้งสองของคนทั้งคู่กลับค่อยๆสอดประสานเข้าหากันอย่างเป็นธรรมชาติ .. อาจจะน่าแปลกที่เด็กผู้ชายสองคนมานั่งทำอะไรที่มันดูหวานแหววแบบนี้ .. ซึ่งถ้าจะถาม ทั้งแจจุงและจุนซูต่างก็ไม่เข้าใจกับการตอบสนองของร่างกายของตัวเองเช่นกัน แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครคนหนึ่งคิดจะฝืนหรือเหนี่ยวรั้งเอาไว้ .. ได้แต่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่สัญชาติญาณร้องบอก ..


กูอ่ะ .. เป็นเด็กกำพร้า


แจจุงเหลือบมองเจ้าของเสียงแหบไม่เหมือนใครที่นั่งอยู่ด้านข้างกาย จุนซูไม่ได้มองมาที่เขา .. ร่างเล็กทอดสายตาไปเรื่อยเปื่อยอย่างเลื่อนลอย .. ร่างโปร่งไม่ได้พูดอะไรออกไป เขาขยับตัวเล็กน้อยเหมือนจะบอกว่ากำลังฟังอยู่แต่ก็ไม่ได้ปล่อยมือที่กุมกันเอาไว้

“ ตั้งแต่สี่ขวบ .. หรืออาจจะก่อนหน้านั้นก็ไม่แน่ใจ . .. แต่ตั้งแต่จำความได้กูก็อยู่ที่สถานสงเคราะห์ของทางรัฐบาลแล้ว ”


คนตัวสูงกว่าเผลอบีบมือเรียวของคนข้างตัวแรงขึ้นอย่างลืมตัว .. จริงอยู่ที่เขารู้อยู่แล้วว่าจุนซูเป็นเด็กไม่มีพ่อแม่ แต่ก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าร่างเล็กต้องอาศัยอยู่ในสถานที่อันไม่พึงประสงค์สำหรับเด็กทุกคนตั้งแต่อายุยังน้อยขนาดนั้น .. จุนซูยิ้มจางๆให้กับความห่วงใยที่อีกฝ่ายส่งผ่านมาให้โดยไม่ต้องใช้คำพูด


“ เพราะตอนเด็กๆกูตัวเล็กกว่าชาวบ้านชาวช่องเขาเยอะไปหน่อยก็เลยกลายเป็นว่าโดนรุมแกล้งเป็นประจำ ตอนแรกๆก็แค่โดนแย่งกินข้าวกินขนมบ้าง เอาเสื้อผ้ากับร้องเท้าไปซ่อนบ้าง .. แต่พอนานๆเข้าก็ชักจะหนักข้อถึงขั้นจับกูไปขังไว้ในบ่อเก็บน้ำสามวันสามคืน กว่าจะตะกายขึ้นมาได้ก็เกือบตาย เจ้าหน้าที่หรือครูผู้คุมแม่งมีก็เหมือนไร้ตัวตน .. พวกเล่นมานั่งหน้าด้านผลาญเงินหลวงไปวันๆซะงั้น .. ”


“ แม่งมันเล่นกันแรงขนาดนั้นเลยเหรอวะ! ”


อยู่ๆแจจุงก็ของขึ้นขึ้นมา ร่างโปร่งเอามือตบฝาเปียโนดังปังจนคนเล่าอยู่เพลินๆสะดุ้ง เด็กหนุ่มลากคอเสื้อเพื่อนใจร้อนลงมานั่งฟังต่อเพราะอารมณ์ยังไม่จบ “ เป็นห่าอะไรของมึง! .. ฟังให้จบก่อนสิวะคนกะลังเล่ามันส์ๆ -*- ”


“ มึงคิดว่ากูอ่อนขนาดยอมให้พวกสมองกลวงนั่นรังแกอยู่ฝ่ายเดียวเหรอวะ? .. นี่ใคร? .. คิมจุนซูเชียวนะเว่ยย!! ”


แจจุงเลิกคิ้วทำท่าไม่เชื่อ “ สรุปมึงสู้ได้? ”


จุนซูเชิดหน้าวางมาด ยักคิ้วตอบกลับไปอย่างกวนๆ “ ก็พอตัว ”


แต่พอรู้สึกว่าบรรยากาศซาบซึ้งแบบเท่ๆของลูกผู้ชายสู้ชีวิตกำลังเริ่มจะหดหายละลายไปเพราะความรั่วของตนอีกครั้ง ร่างเล็กก็รีบทำหน้าตาจริงจังกระแอมกระไอพูดต่อด้วยน้ำเสียงเป็นทางการขึ้นมาในบัดดล


“ นั่นแหละ! .. ถึงชีวิตของกูมันจะไม่รันทดเท่าของมึง แต่ก็นับว่าพวกเราสองคนเป็นเด็กมีปัญหาที่อยู่ตัวคนเดียวมาตลอดเหมือนๆกัน .. กูอาจไม่เข้าใจความรู้สึกที่ต้องสูญเสียคนสำคัญอย่างมึงเพราะตอนที่พ่อแม่ตายกูก็เพิ่งจะสองสามขวบ .. ถึงอย่างนั้นก็เถอะ .. ”


จุนซูถอนหายใจ .. เขาก็ไม่เข้าใจว่าจะอุตส่าห์ลงทุนหยิบยกความหลังครั้งเก่าเน่าๆของตัวที่ไม่คิดจะบอกใครที่ไหนให้รู้อีกนอกจากลูกพี่ยูชอนกับพวกชางมินที่รู้จักกันมานานมาเล่าให้ไอ้แจจุงมันฟังไปทำไม .. แต่ทำไงล่ะ ก็คนมันคิดคำปลอบแม่งไม่ออกนี่หว่า .. แถมไอ้บ้านี่ก็นั่งฟังซะตั้งอกตั้งใจเชียะ .. ไหนๆก็ไหนๆ .. . เลยตามเลยละกันวะ!


“ ถึงจะเคยสูญเสียอะไรมา .. ถึงจะเคยรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า เหมือนไม่มีใครมองเห็น .. . แต่ตอนนี้มึงไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้วซะหน่อย .. มึงยังมีพวกกู มีลูกพี่ยูชอน มีเพื่อนคนอื่นตั้งเยอะแยะที่จะคอยยืนอยู่เคียงข้างมึง ”


“ ตอนนี้เพราะคนคนนึงกูถึงเจอสถานที่ที่เคยเดินทางตามหามาตลอดแล้ว .. คนคนนั้นเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้กูรู้ว่าลมหายใจที่ใช้อยู่มีประโยชน์มากกว่าการต่อชีวิตไปวันๆ .. ทำให้รู้ว่าคนเราแต่ละคนมีเหตุผลที่ต้องเกิดมา .. ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเองเพียงอย่างเดียว .. แต่เพื่ออะไรอย่างอื่นที่สำคัญกว่านั้น .. ”


เด็กชายนึกถึง ‘คนคนนั้น’ ที่ป่านนี้คงกำลังนอนหลับฝันดีอยู่อีกซีกโลกแล้วก็อมยิ้ม เขาเคยคิดมาตลอดว่าใครคนนั้นช่างเก่งกาจเหลือเกินที่สามารถดัดนิสัยเด็กเกเรหัวดื้อที่พร้อมจะหันหลังให้โลกทั้งใบอย่างเขาให้กลายเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาได้ .. จุนซูเองก็อยากจะเป็นแบบนั้น .. อยากเป็นคนที่คอยโอบประคองพร้อมกับผลักดันให้ใครสักคนได้ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ .. คิดแล้วก็ฉีกยิ้มสดใสเสียจนคนมองตาพร่าใจสั่น ปากอิ่มขยับพูดประโยคที่คิมแจจุงสาบานได้เลยว่าชีวิตนี้จะไม่มีวันลืมได้เป็นอันขาด ..


นี่คิมแจจุง .. . ให้กูเป็นแรงบันดาลใจของมึงบ้างได้รึเปล่า?

.


.


.


.


.


“ อ่ะ .. ”


เสียงทุ้มนั้นอุทานออกมาเพียงบางเบา แต่เป็นเพราะบรรยากาศเงียบเชียบในหอประชุมตอนนี้ แจจุงและจุนซูจึงได้ยินมันได้อย่างชัดเจน เด็กหนุ่มทั้งสองหันไปทางประตูใหญ่ด้านหน้าตัวตึกโดยพร้อมเพรียง ที่ตรงนั้น ร่างสูงชะลูดของประธานนักเรียนคนเก่งกำลังยืนค้างอยู่


“ ไง คุณประธาน ”


เป็นแจจุงที่เอ่ยทักออกไป เขาปล่อยมือออกจากมือเรียวเล็กของจุนซูแล้วยกยิ้มให้ยุนโฮอย่างอารมณ์ดี .. ทว่าดูเหมือนคนมาใหม่จะไม่ได้มีอารมณ์ร่วมไปด้วยเลยแม้แต่น้อย เมื่อครู่ในจังหวะที่เปิดประตูเข้ามา ยุนโฮแน่ใจว่าเขาไม่ได้ตาฝาดแน่นอน .. สองคนนั่นนั่งจับมือกันอยู่


“ โทษทีที่รบกวน ”


ถ้าเป็นยุนโฮในโหมดปกติหากได้มาเจอคนโดดเรียนจะจะชนิดที่ว่าจับได้คาหนังคาเขาขนาดนี้ โดยเฉพาะยิ่งเป็นแบล็คลิสอย่างสองพระหน่อนี้อีก แน่นอนว่าคงจะได้มีการเล่นวิ่งไล่จับกันอย่างสนุกสนานทีเดียว .. แต่ตอนนี้ประธานหนุ่มไม่ได้รู้สึกอยากจะขยับตัวด้วยซ้ำ ร่างสูงเลือกที่จะเดินหันหลังกลับไปซะดื้อๆ


ท่าทางเฉยเมยแบบนั้นของเพื่อนซี้จุดประกายเชื้อเพลิงที่เจ้าตัวเล็กเก็บกดไว้มาตั้งแต่เมื่อวานให้ปะทุออกมาได้เป็นอย่างดี .. ด้วยแรงโมโหทำให้จุนซูกระโดดพุ่งหลาวลงจากเวทีพรวดเดียวก็ไปดักหน้าขวางทางคนขายาวกว่าได้อย่างเหลือเชื่อ เด็กหนุ่มยกนิ้วขึ้นชี้หน้าหาเรื่องก่อนจะแหกปากใส่หน้าหล่อๆของเพื่อนหมีด้วยลมปราณทั้งหมดที่มี


มึงเป็นห่าอะไรของมึงห๊า~ชองยุนโฮ!!!!!! .. จะหลบหน้ากูทำถุงถังกะละมังอะไรมิทราบวะเฮ้ยยยย!!!!!! =[]=


คนโดนด่าเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ซึ่งมันเป็นกริยาที่แรดกระแทกใจในสายตาคิมจุนซูเป็นอย่างมาก! .. แมร่ง~ .. ตัวใหญ่ซะเปล่า สะบัดหน้างอนเป็นตุ๊ดได้อีกครับเพื่อนกรู!!!


เอาวะ .. อย่างน้อยมันก็ทำให้เขารู้ละวะว่าเพื่อนชองที่เคารพมันกำลังงอนอยู่ .. เอ้อ~ .. แล้วมันมางอนกูเรื่องอะไรล่ะครับพี่น้อง??


“ กูไม่ได้หลบหน้ามึง ”


เงียบไปซักพักคนขี้งอนก็ตอบมาแบบกำปั้นทุบดินจนคนถามถึงกับปรี๊ด


ตอแหล!!!! =[]=+ .. ไม่ได้หลบหน้าแต่กูอยู่ไหนมึงหายจ้อยทุกทีเนี่ยนะสัดดด!!!


“ กูไม่ได้มีเวลาว่างเหลือเฟือเหมือนมึงนี่ จะได้มานั่งคอยเจ๊าะแจ๊ะกับคนนู้นคนนี้ไปทั่ว ”


จุนซูผงะถอยหลังไปสองก้าวด้วยสีหน้าตื่นตะลึง .. เจ๊าะแจ๊ะ .. . เชี่ยย~ .. ใครก็ได้บอกกูทีว่านี่คือคำพูดของผู้ชาย .. เพื่อนกูยังแมนอยู่ใช่ไหมครับ? เพราะแต่ละอาการที่มันแสดงออกตอนงอนเนี่ย .. ส่อเกิ๊นนน~ขอบอก!!!


“ หลีกไปได้แล้ว .. กูจะไปทำงานต่อ ” มือแกร่งดันไหล่เพื่อนตัวเล็กให้ออกไปให้พ้นทางอย่างไร้ซึ่งเยื่อใย


“ ไอ้ช๊องงงงงงงง!!!!!!!!! ”


ร่างเล็กรีบกระโดดเกาะหลังกว้างๆของเพื่อนด้วยความว่องไว สองแขนสองขาเกาะเกี่ยวพัวพันเข้ากับร่างกายสมส่วนของยุนโฮด้วยความเหนียวระดับกาวตราช้างทันที .. กระนั้นเลย .. . ท่านประธานผู้แสนมุ่งมั่นในอุดมการณ์อันแน่วแน่ก็หาได้สะทกสะท้านไม่ .. ร่างสูงเดินต่อไปหน้าเฉยทั้งๆที่ยังมีลูกลิงตัวจ้อยเกาะเป็นเนื้องอกอยู่อย่างนั้นแหละ!!


แจจุงที่เดินออกมายืนดูสถานการณ์อยู่หน้าประตูหัวเราะออกมาเบาๆกับท่าทางดื้อแพ่งแบบไม่มีใครยอมใครของเพื่อนรักทั้งสอง .. ถึงแม้จะแอบรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับอาการงอนแปลกๆของชองยุนโฮอยู่บ้างก็ตาม


เด็กหนุ่มถอนหายใจก่อนจะปัดความคิดไร้สาระที่ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ของตนออกไปจากหัวอีกครั้ง และเดินตามคนทั้งสองกลับไปยังตึกเรียนอย่างนึกไม่ใส่ใจ


อาจเป็นเพราะต่างคนต่างจดจ่ออยู่ในเรื่องของตัวเอง จึงทำให้เด็กชายทั้งสามไม่ทันได้สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวที่ผิดสังเกตของผ้าม่านด้านหลังเวทีเลยแม้แต่น้อย ..


โซฮยอนจินก้าวออกมาจากที่ตรงนั้น .. หล่อนเฝ้ามองร่างของลูกศิษย์ทั้งสามที่เดินห่างออกไปจนลับสายตา ก่อนที่กลีบปากบางจะคลี่ยิ้มร้ายออกมาอย่างถูกใจเมื่อสมองอันปราดเปรื่องของตนเริ่มที่จะปะติดปะต่อเรื่องราวเข้าหากันได้บ้างแล้ว


เพราะจินตนาการของผู้หญิงมักจะอยู่เหนือหลักเหตุผลและความเป็นไปได้มากกว่าผู้ชาย เธอจึงดูออกได้โดยไม่ต้องเสียเวลาไตร่ตรอง .. ก็สัญชาติญาณของลูกผู้หญิงมันบอก .. สายตาแบบนั้นของชองยุนโฮมันธรรมดาซะที่ไหนกันล่ะ .. เด็กนั่นชอบคิมจุนซูชัดชัด


โชคดีอะไรอย่างนี้นะที่วันนี้ครูใหญ่วานให้มาช่วยจูนเสียงเปียโนเพื่อเตรียมไว้สำหรับการแสดงในวันงานโรงเรียน .. เธอกำลังหมดหวังที่จะหาวิธีหลอกล่อคิมแจจุงให้มาร่วมมือด้วยอยู่พอดี ..


แต่ว่าได้หมากตัวใหม่หน่วยก้านดีดีแบบนี้ .. เห็นที่จะไม่ต้องพึ่งทหารเลวเก่าๆให้เสียเวลาแล้วล่ะมั้ง

.


.


.


.


.


TBC~* >w<


ปอลอจุด :: ทีแรกก็กะว่าจะไม่ย้อนถึงอดีตสุดรันทดของคิมแจหรอกค่ะ .. แต่กลัวว่าบางคนที่ไม่ได้ดู DOE ของจริงอันแสนสะเทือนใจ อาจจะไม่เคลียร์ได้ (ยังมีรึเปล่าน้อ?) .. ยังไงก็เชิญติชมได้ตามสบายนะคะ .. พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ^ ^





 

Create Date : 13 มกราคม 2554    
Last Update : 13 มกราคม 2554 21:48:20 น.
Counter : 213 Pageviews.  

Part five

Title : Dating on Earth
Author : Anatomy2125
Couple : YooSu
Rate : G
Talk ::ฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นแนวชายรักชาย หากผู้ใดไม่ชอบ ไม่ใช่ รับไม่ได้ กรุณากด X ปิดหน้าต่างนี้และจากไปอย่างสงบด้วยนะคะ ^ ^

คำเตือน :: พาร์ทนี้มันช่างออกทะเล =w= ~~~ .. คึคึคึ



Part five



“ กินยาลืมเขย่าขวดรึไงวะ? ”


“ เหอะ? .. มึงว่าอะไรนะแจจุง ”


เด็กหนุ่มร่างเล็กที่สุดในกลุ่มหันไปถามสมาชิกใหม่ของแก๊งค์ที่นั่งอยู่ข้างๆทั้งที่ข้าวยังเต็มปาก ซึ่งมันคงเป็นอะไรที่น่าเกลียดสิ้นดีหากเป็นกริยาที่ใครคนอื่นกระทำ .. และแน่นอนว่าคิมแจจุงในโหมดปกติคงจะได้ต่อยหน้าไอ้คนที่บังอาจกินมูมมามไม่รู้จักกาละเทศะจนถึงขั้นเม็ดข้าวกระเด็นตกจากปากลงมาเฉียดขอบจานข้าวของเขาไปเพียงเส้นยาแดงผ่าแปดแบบนี้ให้ฟันหักหมดปากไปนานแล้ว ..


.. แต่ถ้าเป็น ‘กรณียกเว้น’ ก็ว่าไปอย่างล่ะนะ


ดังนั้นภาพที่เห็นจึงเป็นการที่อันธพาลขาโหดประจำโรงเรียนเอื้อมมือไปเช็ดข้าวที่เลอะบนมุมปากให้เด็กน้อยคนโปรดของคุณชายปาร์คยูชอนด้วยท่าทางที่ดูยังไงก็โคตรอ่อนโยนผิดกับหน้าตาอันแสนจะเย็นชาสุดขั้ว .. สร้างความตกตะลึงพรึงเพริดให้บังเกิดแก่มนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาที่กำลังนั่งกินข้าวกลางวันอยู่ในบริเวณเขตโรงอาหารได้อย่างมากถึงมากที่สุด .. . ซึ่งจะมากขนาดไหนนั้น ก็เชิญดูเอาจากอาการอ้าปากค้างมือไม้อ่อนจนตะเกียบที่ถืออยู่ตกลงพื้นของนักเรียนผู้เห็นเหตุการณ์หลายคนแถวนั้นก็แล้วกัน


แมร๊งงงง~ .. อุตส่าห์นึกว่าพอลูกพี่ไม่อยู่จะได้พักหายใจหายคอจากไอ้ ภัยสายตา พรรค์นี้แล้วเชียวนะ! .. แบบว่ายังไงดีล่ะ .. .คือถ้ามันไม่ลำบากนักก็ช่วยเกรงอกเกรงใจตัวประกอบหน้าตาดีทั้งหลายแหล่อย่างพวกกูบ้างอะไรบ้างจะได้ไหม!!!! =<>=


“ ตะกละชะมัดเลยว่ะมึงนี่ ”


ถึงประโยคที่พูดออกไปจะฟังยังไงก็เหมือนคำด่า แต่ปากอิ่มของคนหน้าสวยกลับยกยิ้มขัดนัยยะของตัวเองเสียอย่างนั้น ในขณะที่คนถูกกระทบกระทั่งเองก็ไม่ได้มีทีท่าใส่ใจกับคำจิกกัดนั้นเช่นกัน ร่างเล็กกลืนข้าวลงคอก่อนจะถามขึ้นอีกครั้งเพราะยังไม่ได้คำตอบที่ต้องการ


“ เออ ก็กูหิวนี่หว่า .. . แล้วเมื่อกี้มึงพูดว่าอะไรวะ? ”


“ เปล่านี่ กูก็แค่บ่นนู่นบ่นนี่ของกูไปเรื่อย .. ไม่มีอะไรซักหน่อย ”


แจจุงยังคงทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้อย่างแนบเนียนได้ตามเคย ทำให้คนไม่คิดเล็กคิดน้อยอย่างจุนซูเชื่อสนิทใจ เด็กหนุ่มหันกลับไปจัดการอาหารตรงหน้าต่อโดยไม่เซ้าซี้ต่อให้มากความ .. ปล่อยให้ร่างโปร่งข้างกายลอบยิ้มกับความคิดของตนอยู่เพียงลำพัง .. เมื่อค้นพบนิสัยอีกอย่างหนึ่งของเจ้าตัวเล็กที่เขาถูกใจ


จะทำให้คนเขาหลงไปจนถึงไหนกัน .. คิมจุนซู


.. แต่เดี๋ยวก่อนนะ หลง .. . อย่างนั้นเหรอ?


เด็กหนุ่มผมทองถึงกับทำตาโตขึ้นมาด้วยความตกใจกับความคิดของตัวเอง นี่เขากำลังเป็นบ้าอะไรไป? .. ความรู้สึกแบบนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน .. . จริงอยู่ .. แจจุงไม่ได้โง่ขนาดที่จะไม่รู้ตัวว่าตนมีความรู้สึกดีดีให้กับเจ้าเด็กแสบนี่อยู่ไม่น้อย เพียงทว่าเขาเองไม่เคยคาดคิดว่ามันจะถลำลึกมาจนถึงขั้นนี้


มือเรียวข้างหนึ่งถูกเจ้าตัวยกขึ้นมาทาบบนอกด้านซ้ายเบาเบาและรีบลดลงไปวางไว้บนโต๊ะอาหารดังเดิมภายในเวลาไม่กี่วินาทีด้วยไม่ต้องการให้ใครรู้สึกผิดสังเกต .. ซึ่งหลังจากได้สัมผัสจังหวะหัวใจที่เต้นระส่ำจนผิดปกติแล้วร่างโปร่งก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาบางบางอย่างหนักใจ ..


เพราะเสียงหัวใจที่เต้นแรงนี้ตอบคำถามได้อย่างชัดเจน


.. คิมแจจุงกำลังตกหลุมรัก ..


อยากจะหัวเราะเยาะตัวเองออกมาดังดังเสียเหลือเกิน ริจะมีความรักครั้งแรกกับเขาทั้งทีก็ดันไปรักคนที่รักไม่ได้ซะแล้ว.. . ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าคิมจุนซูเป็นของใคร ถึงอย่างนั้นก็ยังจะไปรักให้มันเจ็บ .. อกหักตั้งแต่ยังไม่เริ่มแบบนี้น่าสมเพชชะมัดยาดเลยให้ตาย


หรือว่า .. บางทีนี่อาจจะเป็นบทลงโทษของคนเลวๆอย่างเขาก็เป็นได้


งานเข้าแล้วไงไอ้จุนซู!


ชองยุนโฮตะโกนก้องอยู่ในใจหลังจากที่สายตาคมกริบภายใต้กรอบแว่นวับวาวได้ทันจับสังเกตเห็นแววตาเป็นประกายระยับที่ผิดแปลกไปของเพื่อนใหม่ .. อา .. ปกติก็ไม่น่าไว้ใจอยู่แล้ว นี่เสือกอัพเกรดเพิ่มเลเวลระดับความไม่น่าเชื่อถือขึ้นมาอีก .. . ดูท่ารัศมีความแบ๊วเถื่อนๆของมึงจะไปกระแทกโดนกลางใจของไอ้นักเลงหน้าสวยนี่เข้าเต็มรักเลยว่ะเพื่อน!!


ร่างสูงคีบซูชิแซลมอนยัดปาก .. เคี้ยวหยุบหยับไปพลางหัวสมองอันชาญฉลาดก็จินตนาการไปถึงภาพความวุ่นวายที่มีแนวโน้มว่าอาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคตอันใกล้นี้


.. สองอาทิตย์ จะว่าแป๊บเดียวมันก็ใช่ .. แต่ใครจะไปรู้ ในโลกนี้มันมีอะไรแน่นอนซะที่ไหน? .. ขนาดเด็ดดอกไม้ดอกเดียวยังสะเทือนไปถึงดวงจันทร์ .. แล้วความรู้สึกของคนล่ะ? มันจะสั่นคลอนไปได้ง่ายแค่ไหน .. . ยิ่งเป็นความรู้สึกของคนหัวช้าสมองปลาทองอย่างไอ้เปี๊ยกนี่ยิ่งแล้วใหญ่!


ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้ว .. ช่วยรีบๆกลับมาก่อนที่เรื่องมันจะบานปลายทีเถอะ รุ่นพี่ยูชอน!!


.


.


.


.


.


.


.



ร่างโปร่งของเด็กหนุ่มนอนทอดยาวไปกับโต๊ะเรียนด้วยท่าทางเหนื่อยหน่ายอย่างไม่ปิดบัง .. ใบหน้าหล่อเหลาซึ่งอาจเรียกได้ว่ากระเดียดไปทางสวยเสียมากกว่า เกยไปบนท่อนแขนยาวที่พาดอยู่บนหนังสือเล่มหน่าอีกทีหนึ่ง .. ไม่ได้มีความรู้สึกเกรงอกเกรงใจอาจารย์ผู้สอนแม้แต่น้อย


ผมสีทองที่เจ้าตัวปล่อยยาวระต้นคอปลิวสะบัดไปตามแรงลมเอื่อยๆที่พัดเข้ามาทางบานหน้าตาง .. ถึงจะดูเหมือนกับคิมแจจุงนั้นไร้ซึ่งความสนใจในบทเรียนโดยสิ้นเชิง แต่หากสังเกตดูดีดีแล้วจะเห็นว่านัยน์ตาสีเข้มกำลังจับจ้องไปยังอาจารย์สาวที่ยืนสอนอยู่หน้าชั้นไม่ยอมละไปไหนด้วยสายตายากจะอ่านออก


.. . โซฮยอนจินยังทำตัวเหมือนปกติ .. ที่ดูยังไงก็ไม่ปกติ


เขาเองก็ไม่รู้อะไรนักหรอก .. เพราะแม้ว่าจะรู้จักคุ้นเคยกันมาเป็นปี แต่ผู้หญิงคนนี้ก็ยังคงความสามารถในการทำอะไรให้คนรอบข้างคาดไม่ถึงอยู่เสมอ .. . ดังนั้นแล้วแจจุงเองจึงไม่เคยมีความคิดที่จะเอาตัวเข้าไปข้องแวะกับเรื่องใดใดของคุณหนูคนสวยคนนี้เลยสักครั้งเดียว ..


หรือจะว่ากันตามจริงก็คือ เด็กหนุ่มไม่เคยคิดจะใส่ใจสิ่งมีชีวิตหน้าไหนบนโลกกลมๆใบนี้ทั้งนั้น ทว่าตอนนี้มันต่างออกไป .. เขากำลังสนใจและสงสัยใคร่รู้อย่างแรงกล้า ว่าทำไมฮยอนจินถึงได้ยังยิ้มแย้มอารมณ์ดีได้แบบนั้น .. . ทั้งหมด .. เป็นเพราะมันเกี่ยวกับความปลอดภัยของคิมจุนซู


“ .. ถ้าอย่างนั้นก็เอาเป็นว่า .. ตัวแทนกรรมการนักเรียนของห้องเราปีนี้ คือคิมจุนซูกับคิมแจจุงนะจ๊ะ ”


โป๊กกก! .. เฮ่ยยยยยยย~!!!!!!


เด็กหนุ่มสองคนที่ถูกภาระตกใส่หัวเฉียบพลันถึงกับสะดุ้งโหยงขึ้นมาพร้อมกันอย่างไม่ต้องส่งสัญญาณเตี๊ยมมาก่อน .. จุนซูยกมือขึ้นมาลูบๆคลำๆหน้าผากที่เพิ่งจะโขกลงไปกับพื้นไม้แข็งๆของโต๊ะเรียนเสียเต็มแรงด้วยความเจ็บแปล๊บเข้าไปจนถึงทรวงใน ซึ่งเป็นอากัปกริยาที่ไม่ต่างอะไรกับเด็กร่างโปร่งที่นั่งเยื้องไปด้านหลังเท่าไรนัก .. แจจุงเองก็กำลังใช้มือลูบสันคางของตัวเองอยู่ป้อยๆ .. . ให้ทำไงได้ล่ะ .. ในเมื่อคนหนึ่งถูกฉุดออกมาจากห้วงความคิดอันแสนเคร่งเครียดชนิดไม่ทันตั้งตัว ส่วนอีกคนก็โดนกระชากลากถูจากโลกในฝันที่เจ้าตัวเกือบจะได้จูบถ้วยฟุตบอลเวิร์ลคัพคู่กับเทียรี่ อองรีอยู่แล้วเชียว~! .. โฮววววว .. สุดหล่อโซวแซ๊ดดด!!!! TT<>TT


“ เพราะพวกเธอเป็นสองรายชื่อแรกที่อยู่ในแบล็คลิส ‘เด็กโดดเรียน’ ที่อาจารย์มินวูฝ่ายปกครองส่งมาให้ครู .. หวังว่าหน้าที่สำคัญที่ได้รับมองหมายไปจะทำให้เธอทั้งสองคนมาโรงเรียนอย่างแข็งขันขึ้นนะจ๊ะ ”


เสียงแหบเป็นเอกลักษณ์ของร่างเล็กดังให้เพื่อนทั้งห้องได้ยินกันหงุงหงิงจับใจความไม่ได้ แต่ก็พอจะเดาออกอยู่รางๆหรอกว่าคงจะไม่พ้นเป็นเรื่องความยุติธรรมค้ำจุนโลกและสิทธิเยาวชนอะไรทั้งหลายแหล่ที่เจ้าตัวแสบชอบยกขึ้นมาอ้างอยู่บ่อยๆนั่นแหละ ..


‘สมน้ำหน้า~’


เด็กหนุ่มทำตาโตเท่าไข่ห่านเมื่อปลายหางตาเหลือบไปเห็นเพื่อนรักหน้าหมีที่นั่งอยู่หน้าห้องขยับปากอิ่มพูดแบบไม่มีเสียง ซึ่งไม่รู้ว่าควรจะภูมิใจดีหรือไม่ที่เขาสามารถเข้าใจได้อย่างชัดแจ้งถึงความนัยที่มันต้องการสื่อ .. ไอ้ชอง!! .. ไอ้เพื่อนชั่ววว!!!! =<>=+


ขณะที่เจ้าตัวเล็กกำลังใช้สายตาเข่นเขี้ยวทำสงครามเงียบกับคุณประธานนักเรียนรูปหล่ออย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนอยู่นั้น .. เด็กหนุ่มอีกคนในรายชื่อกลับไม่ได้แสดงอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงหรือโวยวายให้สมกับตำแหน่งเด็กอันธพาลอันดับหนึ่งของโรงเรียนออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย .. แจจุงนั่งกอดอกเงียบไม่พูดไม่จา นัยน์ตาคมหรี่มองอาจารย์คนสวยด้วยท่าทางสุขุม


เฮอะ .. คงวางแผนอะไรอยู่สิท่า


พูดไปก็อาจฟังดูเหมือนมองโลกในแง่ร้ายไปสักหน่อย แต่โซฮยอนจินที่เขารู้จักน่ะให้ตายยังไงก็ไม่มีทางทำอะไรด้วยด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆหรอก .. ทุกรอยยิ้ม ทุกคำพูดไพเราะเจื้อยแจ้ว หรือกระทั่งแววตาอ่อนโยนพวกนั้น .. ไม่มีสิ่งไหนเลยที่เป็นความจริง .. ทุกอย่างเป็นล้วนภาพลวงตาในโลกสวยหรูที่ผู้หญิงคนนี้สร้างขึ้น เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งเป้าหมายที่เจ้าหล่อนต้องการก็เท่านั้น


ที่รู้ขนาดนี้ไม่ใช่เพราะอะไรหรอก .. ก็แค่ .. จะเรียกว่าไงดีล่ะ .. . ไก่เห็นตีนงูล่ะมั้ง?


เพียงแต่เวลานี้เด็กหนุ่มเองยังคิดไม่ออกว่าคุณหนูจอมเอาแต่ใจคนนี้ต้องการอะไร .. เธอจะได้อะไรจากการผูกเขากับจุนซูเอาไว้ด้วยกันอย่างนั้นเหรอ? .. มันไม่มีเหตุผลเอาซะเลยในเมื่อเขาก็เคยบอกไปแล้วว่าไม่คิดจะแพร่งพรายเรื่องกุ๊กกิ๊กของเธอกับปาร์คยูชอน .. หากฮยอนจินต้องการใช้ประโยชน์จากเขาในเรื่องนั้นแล้วล่ะก็ หล่อนก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้


“ โธ่อาร์เซนอลที่รัก~ .. นี่ก็หมายความว่าชายหนุ่มผู้หล่อเหลาอย่างกูต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจเผด็จการของไอ้ยุนโฮไปตั้งปีนึงเลยสิเนี่ยยย!!!! .. โลกนี้มันช่างโหดร้ายยย~!! ”


น้ำเสียงปานจะขาดใจของร่างเล็กเรียกความสนใจของแจจุงได้ไม่ยาก ร่างโปร่งแทบจะลืมความข้องใจก่อนหน้านั้นของตนไปโดยสิ้นเชิงทันทีที่หันไปเห็นท่าทางงอแงง๊องแง๊งประหนึ่งเด็กสามขวบของคนที่ชอบคุยโวว่าตัวเองทั้งหล่อทั้งเท่อย่างนั้นอย่างนี้


“ แล้วมึงจะมาโอดครวญไปทำซากอะไรวะไอ้จุนซู .. ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ? ห้องเราเป็นตัวแทนกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ .. หน้าที่ส่วนใหญ่ก็มีแค่แจกใบปลิว ทำป้ายประกาศแค่เนี๊ยะ .. ถ้าไม่ใช่ช่วงงานโรงเรียนก็ว่างชิบหายตายห่าเลยล่ะ .. ”


ฮยอกแจซึ่งนั่งอยู่ถัดไปจากโต๊ะคู่ของมินซูเอนตัวมาป้องปากกระซิบอย่างหมั่นไส้กับท่าทีสะดีดสะดิ้งของเพื่อนรัก เห็นดังนั้นทงเฮที่นั่งอยู่ข้างกันก็พยักหน้าสนับสนุนทันที


“ ช่ายย~! .. กูว่าพวกมึงน่าจะดีใจซะมากกว่า .. ไม่รู้รึไงว่าไอ้การที่เป็นกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์อ่ะมันก็เหมือนมีบัตรหนีเรียนวีไอพีนั่นแหละว่ะ ”


“ จริงเหรอวะชางมิน? ”


อาจเป็นเพราะคู่ดูโอ้สกุลลีมีระดับความน่าเชื่อถือน้อยไปหน่อยในวิจารณญานของเจ้าตัวเล็ก ใบหน้าน่ารักจึงหันไปถามห้องสมุดเคลื่อนที่อย่างชิมชางมินเพื่อนซี้อีกทีเพื่อความแน่ใจ


“ ถามจริง .. ที่เรียนมาเกือบห้าปีมึงมังแต่ไปงมโข่งที่ไหนมาวะ? ขนาดมังดุงมันยังรู้เลยเหอะ! ”


จุนซูเกือบจะโห่ร้องไชโยโห่ฮิ้วด้วยความดีใจไปแล้วถ้าไม่ทันนึกขึ้นมาได้เสียก่อนว่าไอ้มังดุงที่เพื่อนชิมมันพูดถึงเนี่ยมันก็คือน้องหมาตัวจิ๋วท่าทางจ๊าดหง่าวของมันที่เคยเห็นในรูปนี่หว่า!!! .. ชะหน็อยแน่~ .. ไอ้ดำ .. ไอ้เพื่อนเลว .. . มึงบังอาจเอากูไปเปรียบเทียบกับหมาเชียวเรอะ!!! ชักจะเหิมเกริมไปหน่อยแล้วนะมึ๊งงง!!!! =<>=+


แจจุงไม่ได้หัวเราะตามเพื่อนคนอื่นในห้องขณะที่ชางมินถูกคนตัวเล็กกว่าข้างๆกระชากคอเสื้อเข้าไปเขย่าโยกไปมาอย่างแรงจนน่าเวียนหัวแทน .. เด็กหนุ่มจมดิ่งเข้าสู่ห้วงคำนึงของตัวเองอีกครั้ง ..


ปากก็ว่าจะสั่งสอนเด็กโดดเรียน แต่กลายเป็นว่าโยนใบเบิกทางมาให้ตะครุบแบบนี้ .. คุณต้องการอะไรกันแน่ โซฮยอนจิน?


.


.


.


.


.


.


.


เออเนาะ .. กูเพิ่งจะรู้ว่าโรงเรียนเรากำลังจะมีงานโรงเรียนก็วันนี้เนี่ยแหละ -*-


แจจุงทำหน้านิ่งไม่ได้ตอบอะไรออกไป ถึงแม้ว่าใจจริงอยากจะบอกออกไปว่ากูเองก็ไม่ได้ต่างกันกับมึงหรอก .. แต่จะให้ด่าว่าเป็นความโง่ของพวกเขาสองคนแค่อย่างเดียวก็คงถูกนัก ถ้าจะโทษก็คงต้องโทษไอ้โรงเรียนเชี่ยนี่แหละ! .. . มีอย่างที่ไหนจัดงานทีเงียบกริบเป็นป่าช้าอย่างนี้ .. นี่ถ้ากูไม่ได้รับหน้าที่กรรมการประชาสัมพันธ์อะไรเนี่ยมีหวังได้ไปตรัสรู้กันอีกทีตอนเรียนจบนั่นล่ะว่ามันมีการจัดกิจกรรมแบบนี้กะเค้าเหมือนกัน


“ เฮอะ! ไอ้ยุนโฮแม่งก็บ้าอำนาจชิบ~ .. อยู่ๆก็ใช้กูมาเดินแจกใบปลิวหน้าตาเฉย! .. . ยิ่งเย็นนี้กูมีนัดเตะบอลกับพวกห้องหนึ่งด้วย .. คอยดูนะ! ถ้าลูกพี่ยูชอนกลับมากูจะฟ้อง!!!! =<>= ”


พอมาถึงตรงนี้ ร่างโปร่งถึงกับหลุดขำออกมาอย่างช่วยไม่ได้ .. ก็ไอ้อาการหักนิ้วกรอบๆด้วยสีหน้าหมายมั่นปั้นมือเต็มที่บวกกับรัศมีอาฆาตที่แผ่ออกมาจากร่างเล็กมันน่าเอ็นดูน้อยอยู่ซะเมื่อไหร่เล่า! .. . ใบหน้าคมสวยทรงเสน่ห์แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มจริงใจอย่างที่ไม่เคยมีใครได้เห็นมาก่อน พาเอาสาวน้อยสาวใหญ่ที่เดินผ่านไปมาแถบนั้นระทดระทวยแข้งขาอ่อนกันเป็นแถว .. ทว่าสำหรับคิมจุนซูแล้วมันกลับตรงกันข้าม ..


“ หัวเราะหาพ่อมึงเรอะ!!! ”


“ อ่าวอ่าว .. โมโหไอ้ยุนโฮแล้วเรื่องอะไรมาพาลใส่กูล่ะวะ? ”


คนตัวสูงกว่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ยกมือขึ้นยีกลุ่มผมนุ่มนิ่มสีดำสนิทจนชี้โด่เด่ไม่เป็นทรง ทำเอาจุนซูฟิวส์ขาด ไล่ฟัดไล่เตะกันนัวเนียไปตลอดทาง .. กระทั่งเดินมาถึงร้านขายของสะดวกซื้อชื่อดังประจำย่าน แจจุงก็ดึงแขนผอมของอีกคนแล้วลากให้เข้าไปด้วยกันอย่างไม่ต้องเสียเวลาถามความเห็นชอบ


“ ลากกูเข้ามาในนี้ทำไมวะ? ”


เสียงแหบถามอย่างอยากรู้อยากเห็นเหมือนเด็กๆที่พอเจอเรื่องสนุกเรื่องใหม่ก็ลืมเรื่องราวเก่าไปได้ง่ายดาย .. แจจุงยิ้มจางให้กับแววตาใสซื่อของอีกฝ่าย แล้วทำมือทำไม้เป็นสัญญาณบอกให้ร่างเล็กโน้มหน้าเข้ามาใกล้ตน .. . จุนซูก็ทำตามทันทีอย่างว่าง่ายไร้ความหวาดระแวงใดใดเพราะความสงสัยมันมีมากพอที่จะกลบสัญชาติญาณระวังภัยไปจนหมด คนหน้าสวยยิ้มกว้างขึ้นอย่างพอใจก่อนจะก้มตัวลงไปกระซิบใส่ใบหูเล็กในระยะประชิด


“ มาหาอะไรทำแก้เซ็ง ”


“ หา??? ”


เด็กหนุ่มผมทองรีบยกนิ้วเรียวของตนขึ้นมาปิดปากเจ้าตัวเล็กเอาไว้พลางทำเสียงชู่วเบาเบาเป็นเชิงบอกให้เงียบ จุนซูขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ยอมอยู่นิ่งๆโดยดีด้วยอยากรู้ว่าเพื่อนคู่กัดจะทำอะไรต่อไป


แจจุงมองซ้ายมองขวาก่อนค่อยค่อยหยิบเอากล่องแปรงสีฟันไฟฟ้าที่แขวนอยู่กับราวสินค้ามาซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อ เท่านั้นคนตัวเล็กก็พอจะเดาออกได้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ตาเรียวเบิกกว้างมองคนข้างกายอย่างคาดไม่ถึง .. แต่ยังไม่ทันจะได้มีโอกาสเอ่ยปากปรามซักแอ่ะ คุณป้าเจ้าของร้านก็หันมาเจ๊อะเข้าเสียก่อน ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างโปร่งดึงมือเขาออกไปจากประตูร้าน .. และอย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว .. . คิมจุนซูก็ได้เรียนรู้ประสบการณ์ของการเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดคดีอาชญากรรมไปซะแล้ว ..


สองหนุ่มจับมือกันวิ่งหน้าตั้งไปตามถนนหนทางอย่างไม่คิดชีวิต จนพากันมาถึงสวนสาธรณะแห่งหนึ่งซึ่งค่อนข้างจะไกลออกไปจากร้านเมื่อครู่ หัวขโมยหมาดๆจึงยอมปล่อยมือเรียวให้เป็นอิสระแล้วทิ้งตัวลงนอนราบไปบนเนินสนามหญ้าที่ถูกจัดแต่งไว้อย่างสวยงาม .. จุนซูยืนหอบหายใจมองคนประหลาดอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจล้มตัวลงนอนแผ่บนหญ้าใบเขียวบ้างด้วยความปลงตก


“ ทำบ้าอะไรของมึงเนี่ย? ”


หลังจากที่ปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมบรรยากาศโดยรอบไปนาน ร่างเล็กซึ่งดูเหมือนจะคลายความเหนื่อยอ่อนไปได้บ้างแล้วก็ถามทะลุปล้องขึ้นมา .. แจจุงหัวเราะ


“ ก็ทำอะไรแก้เซ็งไง .. เห็นมึงทำหน้าเบื่อโลกกูเลยช่วยเพิ่มระดับอะดรีนาลีนให้ ”


“ ฉกของเค้ามาเนี่ยนะแก้เซ็งของมึง!? .. เชี่ย~ เอาสมองส่วนไหนคิดวะ!! ”


นิ้วเรียวจกจิ้มหน้าผากของคนสิ้นคิดไปแรงๆสองสามทีเพื่อระบายอารมณ์ แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าตาเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ได้ออย่างน่าโดนกระทืบเป็นที่สุด จุนซูเริ่มรู้สึกว่าพูดไปก็เปลืองน้ำลายเสียเปล่าๆ เด็กหนุ่มจึงเอนตัวลงนอนในท่าเดิม .. ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปเรื่อยเปื่อยจนสุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาเบาเบา


.. ตอนนี้ลูกพี่ยูชอนกำลังทำอะไรอยู่นะ? ..


“ .. ห่างกันยังไม่ถึงสองวัน .. ทำตัวเป็นลูกแหง่ไปได้ ”


“ เสือก!!! ”


ร่างเล็กหันขวับมามองคนปากเปราะที่นอนอยู่ด้านข้างด้วยสายตาขัดเคืองเต็มที่ ให้ตาย~!! .. ไอ้นี่มันชักจะรู้ดีเกินไปหน่อยแล้วมั้งเนี่ย! .. ขนาดกูคิดของกูอยู่คนเดียวมันยังสะแหลนเข้ามาร่วมรู้ร่วมเห็นได้ .. อ่า .. . หรือว่าหน้าตากูมันส่อให้เห็นขนาดนั้นเชียวเหรอวะ!!


คิดเองเออเองแล้วก็เขินขึ้นมาเอง .. ใบหน้าหวานค่อยค่อยแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างน่ามองจนคนแซวยังเผลอใจเต้นไปด้วย .. แจจุงเริ่มรู้สึกถึงความร้อนบนผิวแก้มของตัวเองจึงรีบเบนสายตาไปทางอื่นแก้เก้อ


บอกตามตรงว่าตั้งแต่เกิดมาจนปีกกล้าขาแข็งกลายมาเป็นอันธพาลแถวหน้าขนาดนี้ คิมแจจุงไม่เคยรู้ตัวเลยว่าตัวเองก็มีโหมดหวานแหววกับคนอื่นเขาเหมือนกัน .. ไอ้ความรู้สึกฟูฟ่องเบาหวิวคลับคล้ายคลับคลาว่าจะบินได้กับความอุ่นซ่านที่แล่นปราดเข้ามาในอกนี่คือ .. ความรัก .. . อย่างนั้นเหรอ? .. ถ้าเป็นเมื่อก่อนให้ตายยังไงเขาคงไม่มีทางเชื่อว่าเรื่องหยุมหยิมน่ารำคาญพวกนี้มันจะมีอยู่จริงแน่แน่ ..


.. ดูเหมือนว่า ‘โลกสีชมพู’ งี่เง่าที่พวกผู้หญิงชอบพูดถึงกันหนักหนานั้น .. มันจะย้อนกลับมาเล่นงานเขาเข้าไปเต็มๆเสียแล้วสิ ..


นัยน์ตาสีเข้มเสมองไปยังคนที่กลับไปนั่งเหม่อกับท้องฟ้าพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ในโลกส่วนตัวตามลำพังแล้วก็คลี่ยิ้มออกมาบางเบา .. เงยหน้าขึ้นมองผืนฟ้ายามเย็นพร้อมกับร้องตะโกนในใจ ..


แม่งเอ๊ย~! .. . คุณนี่โชคดีชะมัดเลยว่ะ ปาร์คยูชอน!!

.


.


.


.


.


.


ร่างสูงสง่าของประธานนักเรียนหนุ่มรูปหล่อที่ยืนค้ำตะหง่านอยู่ตรงหน้าโต๊ะหินอ่อนประจำกลุ่มนั้นสาดประกายออร่าแห่งความซีเรียสออกมาได้อย่างเหลือเชื่อ ทำเอาเหล่าเพื่อนร่วมแก๊งค์ทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่อีกร่วมห้าชีวิตได้แต่นั่งสงบเสงี่ยมเรียบร้อยกระพริบตาปริบๆรอรับคำบัญชาจากพ่อเจ้าประคุณถึงแม้ว่าจะยังไม่เข้าใจถึงสาเหตุของอาการหมีเมาน้ำผึ้งของเพื่อนรักเท่าไรนัก


“ คิมจุนซู ”


“ อ .. ครับผม? ”


อ่าว .. แล้วนี่กูจะพูดสุภาพกับมันทำห่าซากอะไรกันล่ะเนี่ย! .. แมร่ง!! เสือกวางมาดซะยังกับประธานาธิบดีเกาหลีเหนือ .. ไม่เผลอตัวตะเบ๊ะให้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว .. ฮึ่ยย~ ไอ้ผู้นำเผด็จการเอ๊ย!!!


ได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไปอย่างนั้นเอง เพราะสุดท้ายแล้วจุนซูก็ทำได้เพียงฉีกยิ้มแห้งแล้งส่งกลับไปให้เท่านั้น .. อุเหม่~ บทจะโหดไอ้หมีควายนี่ก็โหดได้ใจยิ่งกว่าคิมจองอิลเป็นร้อยล้านเท่า ขืนไม่ยอมเออออห่อหมกไปกับมันดีดี เกรงว่าพรุ่งนี้สาวๆอาจจะต้องเสียน้ำตาเป็นโอ่งเนื่องจากพาดหัวหนังสือพิมพ์โรงเรียน ‘สุดหล่อคจซ.ถูกสุดโฉดชยฮ.กระทืบดับคาตรีน’ น่ะสิคร๊าบ~!!!


" ฮ .. ฮัดเช่ยยยยย~!! "


ยุนโฮทำจมูกฟุดฟิดก่อนจะจามออกมาซะเสียงดัง เด็กหนุ่มสูดน้ำมูกเล็กน้อยพลางทำหน้าฉงนงงงวยว่าเหตุไฉนใดเลยจู่ๆกูถึงได้จามท่ามกลางอากาศร้อนระอุเช่นนี้ได้ มิได้นำพาเลยแม้แต่น้อยว่าโดนไอ้ตัวเล็กที่นั่งเสนอหน้าตาแป๋วอยู่นี่แหละแอบด่างุบงิบในใจซะจนยับเยิน .. จ้องตากันไปไม่นานร่างสูงก็เป็นฝ่ายพูดขึ้น


“ กระผมใคร่ขอทราบว่าตลอดสองวันที่ผ่านมานี้คุณมึงเข้าเรียนไปสิริรวมทั้งสิ้นแล้วกี่คาบกันวะครับ? ”


ได้ยินเสียงเย็นเยียบปานน้ำแข็งขั้วโลกของประธานนักเรียนที่เคารพรักแล้ว สามในสี่พระหน่อที่ต้องมานั่งร่วมเผชิญชะตากรรมโดยไม่ได้เจตนาก็พากันกลืนน้ำลายลงคอดังเอือกแล้วกลอกตามองกันไปมองกันมาอย่างรู้กันว่าเมื่อเพลาใดที่คุณชายชองเขาพูดจาภาษาถิ่นปนภาษาผู้ดีเลิศหรูอลังการแบบนี้ล่ะก็ .. เมื่อนั้นแหละ .. มหาวิบัติจะบังเกิดในไม่ช้า!


คนถูกถามเงยหน้าทำท่านับนิ้วพาซื่อ ก่อนที่จะตอบกลับไปเสียงดังฟังชัด .. พาให้ผองเพื่อนผู้น่ารักตาเหลือกถลนกันเป็นแถบๆ ..


อ่อ .. จะว่าไปก็ไม่ได้เข้าซักกะคาบเลยนี่หว่า =O=


เชี่ย~ .. ไอ้จุนซู๊วว~!!! .. พวกกูต้องเตือนมึงไหมเนี่ยว่า ณ ตอนนี้! ที่นี้! วินาทีนี้! .. ลูกพี่เขาไม่ได้อยู่เป็นโล่ให้มึงโชว์กร่างได้นะเว่ยย!!! =<>=


ความจริงตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ที่เจ้าตัวเล็กรอดพ้นจากการโดนลงโทษสถานหนักหรือถูกทัณบนทั้งที่มักจะยกพวกไปตีกับชาวบ้านหรือโดดเรียนออกบ่อยไปก็เพราะมีอำนาจของคุณชายปาร์คคอยชักใยลับลับอยู่เบื้องหลังมาตลอด .. ทว่าในช่วงสองปีที่ผ่านมาเนื่องจากไม่มีคนคอยเป็นแบ๊คอัพให้อย่างเคย เลยทำให้เด็กหนุ่มมีโอกาสรู้จักกับความโหดร้ายของกฎระเบียบเป็นครั้งแรก และยังได้ค้นพบด้านมืดของเพื่อนซี้อย่างชองยุนโฮเป็นครั้งแรกอีกด้วย ..


แต่คงเป็นเพราะว่าช่วงหนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมานี้จุนซูเริ่มที่จะกลับไปคุ้นชินกับการมียูชอนอยู่ข้างๆกายไปเสียแล้ว ร่างเล็กจึงลืมตัวพูดในสิ่งที่เสี่ยงต่อการดับวูบของชีวิตออกไปได้อย่างหน้าตาเฉย แถมมารู้ตัวทีหลังก็สายเกินแก้ไปเรียบร้อยแล้วด้วย .. สามสหายชิมด๊องฮยอกจึงทำได้แค่ยืนกุมมือก้มหน้าหลับตาไว้อาลัยแด่เพื่อนตัวน้อยของพวกตนด้วยความสงบเท่านั้น


ไปดีนะเพื่อน .. แล้วพวกกูจะทำบุญเผื่อ -*-


ไม่รู้ว่าเกิดจากรังสีแห่งการฆ่าฟันที่พุ่งพล่านออกมาจากร่างสูงของเพื่อนซี้รึเปล่า แต่คิมจุนซูก็ชักจะร้อนๆหนาวๆขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน .. ร่างเล็กพยายามรักษาองศาการยกของมุมปากเอาไว้ดังเดิมและภาวนาในใจว่าขอให้ไอ้ที่เพื่อนสาวเพื่อนชายทั้งหลายเรียกกันว่า ‘รอยยิ้มเทวดา’ นี่จงช่วยให้กูพ้นจากภัยใกล้ตัวนี้ไปได้ด้วยดี แม้ว่าใจจริงจะไม่ค่อยอยากพึ่งสิ่งที่ทำให้เสียเชิงชายแบบนี้ก็เถอะ!


“ อ่า .. ยอมรับแล้วสินะ .. ”


“ ช้าก่อนครับเพื่อนชอง! .. ” มือเรียวรีบยกขึ้นมายั้งยุนโฮที่ย่างสามขุมเข้ามาช้าๆ “ .. คือ .. กูมีเหตุผลนะเว่ย~ .. . เอ้อ .. ก็นั่นไง! .. กูต้องออกไปปฏิบัติหน้าที่กรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ไง .. . มึงเป็นคนสั่งให้กูไปแจกใบปลิวเองไม่ใช่เหรอวะไอ้ยุน!? ”


“ นั่นมันสามวันที่แล้วครับเพื่อนคิม .. ไม่ทราบว่าการแจกใบปลิวสามร้อยใบของมึงนี่ต้องใช้เวลาถึงเจ็ดสิบสองชั่วโมงเชียวเหรอครับ ^ ^ ”


ใบหน้าหล่อเหลาพูดไปยิ้มไป .. ซึ่งเป็นยิ้มที่โคตรจะน่ากลัวสิ้นดีสำหรับจุนซู .. . ฮืออออ~ลูกพี่ยูชอนฮะ .. บางทีผมอาจจะไม่ได้มีโอกาสอยู่รอฟังเรื่องที่ลูกพี่อยากบอกแล้วล่ะ T^T


“ กูไม่ได้ไปคนเดียวซักหน่อย! .. ไอ้แจจุงก็ไปด้วยอ่ะ!! .. ทำไมมึงถึงมาลงที่กูคนเดียวเนี่ยสัด!! ”


เมื่อเห็นว่าตัวเองคงรอดยากแล้ว .. มีหรือที่ลูกผู้ชายตัวจริงอย่างคิมจุนซูจะยอมเผชิญหน้ากับมันด้วยลำแข้งของตนเพียงลำพังอย่างเดียวดาย เจ้าตัวแสบหันไปส่งไม้ผลัดแห่งความซวยต่อให้กับแจจุงที่นั่งงงอยู่ใกล้ๆอย่างว่อง


“ มึงไปกับคิมแจจุง? ” ยุนโฮเลิกคิ้ว


“ เออเด่ะ! .. มันกะกูเป็นตัวแทนกรรมการด้วยกันจำไม่ได้รึไง? .. ไม่ให้ไปกับมันแล้วจะไปกับหมาที่ .. ”


โป๊ก!!


.. พูดยังไม่ทันจบคำกำปั้นหนักๆของประธานนักเรียนก็ซัดเข้ามาซะเต็มเหนี่ยวไปแล้วหนึ่งดอก .. ห๊ะ? รู้สึกยังไงน่ะเหรอ? .. ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ .. . แต่ก่อนที่จะมาถามเรื่องนั้น .. . ช่วยบอกทีสิว่าที่นี่มันที่ไหน .. ผมมานั่งทำอะไรอยู่ที่นี่ แล้ว .. . ไอ้หน้าหล่อเหลือน้อยพวกนี้มันเป็นใครวะ!!!?


และแล้วก็ตามมาด้วย .. โป๊ก! โป๊ก! โป๊ก! โป๊ก~!


“ โอ๊ยยย!!!!!!! .. หัวคนนะเว้ยไม่ใช่ประตูบ้าน!! .. เชี่ย~! ทุบได้ทุบดี .. . ถามหน่อยเลือดกูคั่งในสมองไปมึงจะรับผิดชอบค่าผ่าตัดให้ไหมห๊ะ!! ไอ้ห่ายุน!!!! =<>=+ ”


ยัง! .. มันยังไม่พอแค่นั้น!! .. เพราะชองยุนโฮยังมีท่าทีว่าจะตามมาซ้ำอีกต่างหาก .. ก็บอกแล้ว .. ไอ้หมีบ้าอำนาจตัวนี้มันไม่มีลิมิตชีวิตเกินร้อย ฉะนั้นแล้วอย่าได้บังอาจไปทำการใดใดให้เครื่องมันติดเชียว! ถึงจะดูเป็นพวกอ่อนแอด้านการใช้กำลังเมื่อเทียบกับเพื่อนคนอื่นในแก๊งแถมยังไม่มีประสบการณ์ชกต่อยกับใครมาก่อน แต่ได้โปรดอย่าลืมว่าทางด้านสรีระแล้ว .. ยังไงเสียมันก็ทั้งสูงทั้งถึกกว่าผมอยู่หลายขุมนัก!!


พลันร่างเล็กที่น้ำตาซึมด้วยความเจ็บก็รีบวิ่งปรู๊ดไปมุดหัวอยู่หลังเพื่อนสนิทนามปริ๊นชิมในบัดดล มือเรียวกำชายเสื้อนักเรียนของคนตัวสูงที่สุดในกลุ่มแน่นไม่ยอมปล่อยด้วยจิตใจอันแน่วแน่ว่าต่อให้เอาช้างมาฉุดกูก็ไม่ปล่อย!


มึงอยากโดนฝ่ายปกครองเล่นมากนักใช่ไหมไอ้จุนซู? .. รู้ตัวรึเปล่าว่าที่ผ่านมากูต้องคอยวิ่งตามเช็ดตามปิดเรื่องที่มึงก่อไว้บ่อยแค่ไหน? .. ถ้ามึงไม่เลิกทำตัวเรื่อยเปื่อยแบบนี้ซักที ต่อให้มีกูหรือรุ่นพี่ยูชอนคอยช่วยไม่นานมึงก็ถูกไล่ออกอยู่ดีว่ะ


“ เฮ้ย! ยุนโฮ .. กูว่ามึงพูดแรงไปหน่อยไหม? .. . แล้วไอ้จุนซูมันแค่โดดเรียนไปวันสองวัน .. ทุกทีกูก็เห็นมึงลากมันไปด่าเฉยๆนี่หว่า .. เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องลงไม้ลงมือกันขนาดนี้เลยนะเว่ย!! ”


ชางมินลูบหัวเพื่อนตัวเล็กเบาเบาด้วยความสงสารพลางเหลือบมองเพื่อนรักอีกคนด้วยสายตาไม่เข้าใจ .. จริงอยู่ที่ยุนโฮมักจะฟิวส์ขาดตอนเพื่อนฝูงหนีเรียนหรือไปมีเรื่องอยู่บ่อยครั้ง แต่ทุกทีก็แค่ถูกเรียกไปด่า .. อย่างมากที่สุดก็แค่จับโบกไปทีสองทีอย่างไม่จริงจังนัก .. คราวนี้เขาคิดว่ามันเกินไปจริงๆ


“ .. เจ็บมากเหรอวะ? ”


จุนซูหันไปพยักหน้าสองสามทีให้กับแจจุงที่ยื่นมือมาลูบหัวเขา และถึงแม้คนผมทองจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเบาเหมือนกระซิบ แต่มันก็ดังมากพอที่จะทำให้อีกสี่ชีวิตที่เหลือหันมามองกันเป็นตาเดียวด้วยความคาดไม่ถึงว่าไอ้โฉดนี่มันห่วงคนอื่นเป็นด้วยเว้ยเฮ้ย!


“ .. ไป ”


ทันใดนั้นมือเรียวก็คว้าเอาข้อมือเล็กของคนเจ็บมาจับไว้แน่น จุนซูซึ่งยังไม่คลายอาการเห็นดาวเห็นเดือนจากการประทุษร้ายของเพื่อนหมีได้แต่ทำตาโตเป็นเด็กเอ๋อมองคนพูดน้อยต่อยเจ็บอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก


“ ไปไหน? ”


“ ห้องพยาบาล ”


ง่ายง่ายสั้นสั้น .. พูดจบก็ลากคนตัวเล็กให้เดินตามไปด้วยเสร็จสรรพโดยไม่ต้องรอคำตอบท่ามกลางความนะจังงังของผองเพื่อน .. ชัดเลย .. . ไอ้ห่านี่แมร่งปาร์คยูชอนเบอร์สองแท้แท้!


ชางมินผู้ซึ่งตั้งสติได้ก่อนใครตัดสินใจที่จะพักยกเรื่องจุกจิกระหว่างทูคิมไปชั่วคราวแล้วหันมาตั้งคำถามในสิ่งที่รบกวนจิตใจของตัวเองในตอนนี้มากที่สุดเป็นอันดับแรก


“ กูถามจริงๆวันนี้มึงเป็นอะไรวะยุนโฮ? ทีแรกก็ยังดีอยู่เลยนี่หว่า .. ”


“ กูเป็นอะไร? ”


ยุนโฮถามกลับไปทั้งๆที่นัยน์ตาคมยังมองร่างสองร่างที่เดินห่างออกไปไกลแล้วอย่างไม่ยอมละสายตา ทงเฮกับฮยอกแจมองหน้ากันไปมา ก่อนจะพูดขึ้นมาบ้างอย่างไม่ค่อยแน่ใจ


“ กูว่าไอ้ยุนมันเริ่มของขึ้นตอนที่จุนซูมันบอกว่ามันโดดเรียนไปกับแจจุงว่ะ ” ฮยอกแจบอก


“ มึงพูดอะไรของมึงวะฮยอก? ” ชางมินขมวดคิ้ว


ยุนโฮ .. มึงโกรธที่จุนซูมันเกเรียนหรือว่าโกรธที่มันไปกับแจจุงวะ? ” ทงเฮถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


ชางมินซึ่งพอจะปะติดปะต่อได้บ้างแล้วว่าอะไรเป็นอะไรถึงขั้นระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น เด็กหนุ่มชี้หน้าคู่หูดูโอ้ผู้มีจินตนาการสุดแสนจะล้ำเลิศด้วยความขบขันสุดขีด


“ สัดดด! .. พวกมึงสองตัวนี่คิดไปถึงไหนแล้ววะ!? .. . คิดกันจริงๆเหรอว่าไอ้ยุนมันชอบ .. ”


ฉับพลันนั้นเสียงทุ้มก็หยุดชะงักไปกระทันหันเหมือนโดนสับสวิชต์ ชางมินยิ้มค้างเป็นหุ่นขี้ผึ้งเมื่อเห็นสีหน้าค่าตาของเพื่อนได้ชัดชัด .. ใบหน้าคมคายที่มักดูดีและสุขุมอยู่เสมอบัดนี้กลับเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองโมโหร้อนมาแทนที่ เขาไม่ได้คิดไปเองแต่ยุนโฮไม่เคยเป็นแบบนี้ ..


“ ไอ้ยุน .. นี่มึงอย่าบอกนะว่า ”


ร่างสูงของนักเรียนตัวอย่างทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ยาวข้างๆคนถาม มือใหญ่ยกขึ้นถอดแว่นออกพลางใช้มืออีกข้างนวดขมับแก้เครียด เพราะในความเป็นจริงแล้วเขาเองก็ยังมึนงงกับตัวเองอยู่เหมือนกัน .. ตอนนี้หลายอย่างมันประดังประเดเข้ามารวดเร็วเกินไปจนตั้งรับไม่ทัน .. ซึ่งล้วนแต่เป็นความรู้สึกที่ชองยุนโฮไม่เคยมีมาก่อน .. ประธานคนเก่งเงยหน้ามองเพื่อนด้วยแววตาสับสน


ชางมิน .. บางที .. . กูอาจจะชอบไอ้จุนซูมันก็ได้ว่ะ


สามหนุ่มที่นั่งสุมหัวเข้ามาใกล้ถึงกับผงะออกไปคนละทิศละทาง ต่างคนก็ต่างทำหน้าเหวอที่สุดเท่าที่กล้ามเนื้อบนพื้นที่ใบหน้าจะอำนวย


พระเจ้าจอร์ชดงบังชินกิ!!!!! =<>= อีแบบนี้ก็บรรลัยหมู่กันถ้วนหน้าสิครับ!!!!


.. สองอาทิตย์มันเป็นระยะเวลาที่ยาวนานจนน่าสยองขนาดนี้เชียวเหรอวะ?! .. . ทฤษฎีเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงจันทร์ของมึงมันจะมาแรงแซงโค้งร้อยศพเกินไปหน่อยแล้วซะล่ะม๊างงงชองยุนโฮ๊ววว!!!


เรื่องมันชักจะนอกเหนือการควบคุมของเด็กวัยใสร้ายบริสุทธิ์อย่างพวกผมแล้วนะเว่ยย!!! .. ลูกพี่ปาร์ค~!!!!!


.


.


.


.


.


.


“ ยุนโฮมันเป็นเชี่ยอะไรของมัน? ไม่ยอมคุยกะกูมาสองวันแล้ว ”


ชิมชางมินปรายตามองคนถามราวกับว่านั่นเป็นประโยคปัญญาอ่อนที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมา .. เฮ้อ~ ที่จริงจะให้โทษไอ้ตัวเล็กนี่ฝ่ายเดียวก็คงไม่ได้ เพราะก็อย่างที่รู้กันอยู่ว่าระดับไอคิวของจุนซูมันต่ำเตี้ยเรี่ยดินเพียงใด .. ร่างสูงคิดแล้วจึงได้แต่ยักไหล่ ตอบกลับไปแบบส่งๆ


“ มันรู้สึกผิดเลยเข้าหน้ามึงไม่ติดมั้ง ”


จุนซูทำเสียงเฮอะในลำคอพลางแยกเขี้ยวใส่


“ รู้สึกผิดห่าอะไรมองกูแต่ละทียังกับกูไปฆ่าปาดคอพ่อแม่มันขนาดนั้น! .. . เซ็งเว้ยยย~!!! ”


คนไอคิวสูงอยากจะหัวเราะให้หมดความหล่อแต่อีกใจก็แอบสงสารเพื่อนรักอยู่บ้างเหมือนกัน .. ไอ้บ้านี่มันก็ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยจริงๆให้ตายเถอะ! .. . อย่างว่า .. ขนาดเคสลูกพี่แกอุตส่าห์แสดงออกให้โจ๋งครึ่มปานนั้นมันยังทำแบ๊วใส่ซะน่าเตะ แล้วกับคนที่เพิ่งจะค้นพบตัวเองหมาดๆอย่างยุนโฮจะเหลือเรอะ .. หึ~ อย่าว่าแต่ไอ้จุนซูเล๊ยย ขนาดฉลาดขั้นเทพอย่างกูยังเกือบร่ำๆจะนึกไปว่าเรื่องที่ไอ้หน้าหมีมันคิดซัมติงกับโลมาเป็นความฝันอยู่เลยเหอะ!!! .. แม่ง .. ความรู้สึกมนุษย์นี่มันเป็นอะไรที่โคตะระจะซับซ้อนเลยว่ะ!


“ แล้วนั่นมึงจะไปไหน? ”


ร่างสูงเลิกคิ้วถามเพื่อนงงๆเมื่อเห็นอีกฝ่ายหยิบเป้ขึ้นมาสะพายแล้วทำท่าจะเดินออกไปจากห้องเรียนที่ว่างเปล่าในเวลาเลิกเรียนโดยไม่อยู่รอสมาชิกในกลุ่มคนอื่นๆอย่างที่เคย จุนซูมีสีหน้าเลิ่กลั่กเล็กน้อยก่อนจะตอบ


“ ไปหาไอ้แจจุง ”


“ ไปหาแจจุง? ทำไม? ”


.. เรื่องเก่ายังไม่ทันเคลียร์ .. มึงเสือกจะสร้างเรื่องใหม่ให้นักแสดงสมทบอย่างพวกกูเล่นอีกเร๊ออ!!!!! =<>=


“ แจจุงส่งข้อความมาบอกว่ามันไม่สบายลุกมาซื้อข้าวกินเองไม่ไหว เลยฝากให้กูช่วยซื้อข้าวซื้อยาไปให้มันที่บ้านหน่อย ”


ชางมินอ้าปากค้างให้กับความสัมพันธ์ก้าวกระโดดของอดีตคู่กัด .. เออว่ะ .. . จะว่าไปวันนี้ไอ้แจจุงมันไม่มาเรียนนี่หว่า นึกว่าโดด .. ที่แท้ก็รู้จักเป็นไข้ไม่สบายแบบคนปกติทั่วไปเขาเหมือนกันเหรอเนี่ย? ..


เฮ้ย~!! .. แต่ที่สำคัญ ..


“ ส่งข้อความ? .. นี่มึงมีมือถือด้วยเหรอวะจุนซู ”


เออเว้ย! คบกันมาตั้งนาน นอนก็นอนหอเดียวกัน .. แล้วเพราะเหตุผลอันใดรูมเมทอย่างกูถึงได้ตกข่าวอย่างไม่น่าให้อภัยได้ถึงขั้นนี้ฟระ!!!?


“ อ่อ .. ก็นี่ .. ” มือเรียวล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบเครื่องมือสื่อสารขนาดพกพาสีดำสนิทออกมาชูให้ดู “ แจจุงมันซื้อให้กูเป็นค่าตอบแทนที่เคยช่วยมันไว้ตอนนั้นอ่ะ .. กูยังไม่เคยบอกมึงเหรอวะชางมิน? ”


ไม่เคยเลยเฟร้ยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!


ร่างสูงกรีดร้องโดยปราศจากเสียง ปากอิ่มอ้าค้างพะงาบๆิราวกับลูกนกรออาหารแลดูน่ารักน่าชัง


เอ๊อ~!! .. จำไว้เลยนะคิมจุนซู! .. ไอ้เพื่อนเลว ไอ้เพื่อนทรยศ!! .. มีอะไรไม่เคยบอกกู .. . มึงเคยเห็นหัวกูบ้างไหมถามจริง? .. สรุปกูเป็นตัวอะไรในสายตามึงกันแน่วะไอ้ห่า!!!!!!! =<>=+ .. . แล้วคิมแจจุง!! .. ไอ้คนลำเอียง!! .. วันนั้นกูก็ไปช่วยมึงพร้อมๆกับไอ้เตี้ยนี่ไม่ได้สังเกตุเห็นซักนิดเลยเรอะ!! .. มือถือกูก็ยังไม่มี!! .. แล้วมึงยัง .. มึงย๊างงง!!!!! .. กระซิก~กระซิก~ TT^TT .. กูล่ะเกลียดโลกเบี้ยวๆใบนี้จริงๆ ..


“ เอ่อ .. ชางมิน .. =O=; ” นิ้วเรียวสะกิดไหล่เพื่อนผู้ล่องลอยเรียกสติไปสองจึ้ก


“ ถ้ามึงไม่มีอะไรแล้วกูไปก่อนนะเว่ย .. ฝากบอกพวกไอ้ยุนมันด้วย . .. แล้วกูจะรีบกลับนะ .. . ยังไงระหว่างนั้นมึงก็ .. เอ้อ .. . ดูแลตัวเองดีดีล่ะ -*- ”


สั่งเสียจบก็ตบไหล่ให้กำลังใจเพื่อนดังปุปุอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว ก่อนจะเดินผ่านประตูห้องไปหน้าตาเฉย ทิ้งเพื่อนร่วมห้องให้ยืนแบกรับความเคว้งคว้างอยู่คนเดียวโดยไม่สนใจใยดี


กูรู้และเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่ามึงเป็นผู้ชายที่ไม่มีความละเอียดอ่อน .. แต่นานทีปีหนก็ช่วยแคร์เพื่อนบ้างอะไรบ้างจะได้ม๊ายยยยยย!!!!


.


.


.


.


.


.


ในเวลาเดียวกัน .. โดยไม่มีใครรู้ .. . บุคคลทั้งสามที่น่าจะเข้ามาสมทบกับสองคนก่อนหน้าได้เมื่อนานมาแล้วยังคงยืนลับลับล่อล่อทำตัวกลืนไปกับกำแพงอยู่นอกห้องประดุจดั่งนินจาเฝ้าสมบัติซึ่งดูเป็นที่ขัดลูกกะตายิ่งนัก


“ ยุนโฮ .. มึงจะหลบหน้าไอ้จุนซูทำไมวะ? ”


ฮยอกแจถาม ก้มมองเพื่อนรักที่เปรียบเสมือนดั่งเจ้าชายขี่ม้าขาวของเหล่าสาวๆครึ่งค่อนโรงเรียนด้วยสีหน้าเซ็งจับจิต .. ก็ตอนนี้มันดูได้ที่ไหน มานั่งเกาะขอบประตูหลังห้องแอบสอดแนมคนอื่นเขาแบบเนี้ย!


“ ไปคุยกันตรงๆเลยดิว้า~ เรื่องจะได้จบๆไป ”


ทงเฮซึ่งยืนกอดอกประกบอยู่อีกข้างออกความเห็น .. จริงๆคือกูรับไม่ได้ว่ะที่จะต้องมาทนเห็นไอ้หล่อเว่อร์นี่ทำกริยาเยี่ยงโจรโรคจิตอย่างนี้ .. ถึงโหมดปกติมันจะชอบวางมาดพระเอกจนน่าหมั่นไส้ก็เถอะ!


“ จบ? ..ถ้ากูพูดไปมึงว่าอะไรที่จะจบ? . .. เรื่องหรือชีวิตกูวะทงเฮ?! ”


เห็นสภาพเพื่อนแล้วก็อยากขำเหมือนกัน แต่ความสำนึกและความรู้จักกาลเทศะที่มีอยู่ก็ทำให้สองหนุ่มสะกดกลั้นมันเอาไว้ได้ .. แหม .. . ไอ้แบบนี้ใช่ว่าจะหาดูกันได้ง่ายๆนี่หว่า =w=


“ ป๊อดว่ะไอ้ยุน ”


“ พูดหมาหมาอย่างนี้อยากตายใช่ไหมลีฮยอกแจ? ”


“ เงียบๆดิวะมึงสองตัวนี่!!! ”


“ อะไรวะ?? ”


ทงเฮไม่ตอบ แต่ทำปากเป็นเชิงให้ตั้งใจฟัง


“ ไอ้แจจุงมันซื้อมือถือให้จุนซู! ”


“ ไอ้เชี่ยนี่!!!! ”


“ เหวออ~ .. ใจเย็นเว้ยยุนโฮ!!! ”


“ ชิบหาย! .. ไอ้จุนซูมันกำลังจะเดินมาแล้ว .. ”


ครืดดด~


“ หือ?? ”


ร่างเล็กที่เปิดประตูออกมาเอียงคอมองไปตามทางเดินที่เงียบเชียบไร้ผู้คนอย่างงุนงง .. เมื่อกี้เหมือนกับได้ยินคนคุยกันนี่หว่า .. เสียงก็คุ้นๆ ..


“ เมี๊ยววววววววว~ ววว =O= ”


“ อ้าว .. แมวหรอกเหรอ ”


ฟู่วววววว ..


สามชีวิตกระแซะตัวออกมาจากซอกหลีบของกำแพงที่คับแคบได้อย่างอเมซิ่งเป็นที่สุด เด็กหนุ่มมองหน้ากันแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนราวกับเพิ่งไปแข่งวิ่งสี่คูณร้อยมาหมาดๆ


“ กูเชื่อแล้วว่ามึงไม่ได้ป๊อด ชองยุนโฮ ”


ทงเฮจับบ่าคนตัวสูงที่สุดในที่นั้นแล้วบีบเบาเบาด้วยสีหน้าเข้าอกเข้าใจ ก่อนจะเอ่ยประโยคต่อไปด้วยรอยยิ้มกว้างแล้วรีบเผ่นแผล้วไปพร้อมๆกับคู่หูอย่างรวดเร็วชนิดที่คนถูกปลอบคว้าไว้ไม่ทัน


“ ยังไงวันหลังถ้าว่างๆก็ช่วยมาสอนกูทำเสียงแมวให้เท่ๆอย่างเมื่อกี้ด้วยแล้วกัน ”

.


.


.


.


.


.


จุนซูแทบจะกระโดดเตะก้านคอคนแอบอ้างว่าไม่สบายให้มันได้นอนตายคาห้องไปจริงๆ .. ใบหน้าคมที่โผล่พ้นบานประตูออกมาต้อนรับเขานั้นแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มกวนตีนที่มองปราดเดียวก็ฟันธงได้ว่าไอ้ลูกหมานี่มันแกล้งป่วยการเมืองอย่างแน่นอน! .. แต่ยังไม่ทันจะได้อ้าปากถล่มมันด้วยคำด่าที่คิดไว้ มือเรียวก็ยื่นออกมาแย่งเอาถุงข้าวต้มและถุงยาไปถือไว้เสียเองแล้วจัดการลากแขนเขาเข้าไปในห้องมันซะแล้ว!


“ มึงหลอกกู? ”


แจจุงวางถุงข้าวต้มไว้บนเคาท์เตอร์ในส่วนที่ถูกแบ่งไว้เป็นห้องครัว ก่อนจะหันกลับมาตอบด้วยสีหน้าใสซื่อ


“ เปล๊า~ .. เมื่อเช้ากูตื่นมาแล้วเวียนหัวจริงๆ .. . แต่หลังจากที่ส่งข้อความไปถึงมึงแล้วอยู่ๆมันก็หายเป็นปลิดทิ้งซะงั้นอ่ะ ”


ร่างเล็กโบกกบาลเพื่อนไปเต็มแรงหนึ่งครั้งถ้วน “ ตลก -*- ”


“ อะไรว๊า~ .. แค่นี้ก็ต้องงอนด้วย ” แจจุงหัวเราะ ทำเอาอีกคนตาถลน


“ กูไม่ได้งอนเว่ย!!!! ” .. กริยาสาวแตกอะไรแบบนั้นคิมจุนซูไม่เคยทำให้เสียชาติตระกูลขอบอก!


“ เอาน่า .. เดี๋ยวกูทำข้าวเย็นไถ่โทษให้ ”


“ หน้าอย่างมึงจะทำกับข้าว? ”


“ เออ .. ไปนั่งรอกินตรงโน้นไป ”


แล้วคนเยี่ยมไข้ก็ถูกดันให้ไปนั่งบนจุ้มปุ๊กบนฟูกที่นอนซึ่งตั้งอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องอย่างไร้ข้อโต้แย้ง นัยน์ตาสีดำวาววับฉายแววกึ่งเหลือเชื่อกึ่งประทับใจเมื่อเห็นเจ้าของห้องสลัดคราบนักเลงประจำโรงเรียนกลายมาเป็นพ่อครัวหัวป่าผู้ช่ำชอง มือเรียวจับมีดหั่นผักแซะเกล็ดปลาอย่างคล่องแคล่วราวกับเชฟในภัตตาคารหรู แถมยังมีการโชว์การโยนผัดผักขึ้นฟ้าแล้วรับไว้ด้วยกระทะอย่างสวยงามอีกต่างหาก!


หลังจากตื่นตาตื่นใจกับฝีมือทำอาหารของเพื่อนหน้าสวยไปสักพัก เด็กหนุ่มก็เริ่มหันซ้ายหันขวาสำรวจห้องที่เขาเข้ามานั่งหัวโด่อยู่ได้เป็นานสองนาน .. แจจุงอาศัยอยู่ในชุมชนเล็กๆที่ทางรัฐบาลสร้างขึ้นให้เป็นที่พักชั่วคราวของผู้ไร้ญาติซึ่งเป็นเพียงลานกว้างโล่งๆที่เรียงรายไปด้วยตู้คอนเทนเนอร์ที่ถูกดัดแปลงภายในให้เป็นห้องพักง่ายๆ .. ทั้งหมดในห้องสี่เหลี่ยมนี้มีเพียงเคาท์เตอร์แนวยาวที่ตั้งติดผนังไว้สำหรับทำอาหารได้ มีฟูกเดี่ยวขนาดกระทัดรัด และโต๊ะเขียนหนังสือริมหน้าต่างเป็นองค์ประกอบเท่านั้น .. ห้องเล็กๆ .. สำหรับคนตัวคนเดียว ..


ตัวคนเดียว .. เหมือนกับเขา


“ เอ้าๆ~ นั่งน้ำลายยืดอยู่นั่นแหละ .. . มากินได้แล้วเว่ย! ”


เสียงทุ้มที่ตะโกนโหวกเหวกมาจากด้านนอกดึงให้คนเหม่อกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง จุนซูมองตามเสียงเรียกไปก็พบว่าแจจุงทำอาหารเสร็จเรียบร้อยแถมยังออกไปจัดโต๊ะวางจานซะน่ากินตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ .. ร่างเล็กเกาหัวแก้เก้อ ยิ้มแหะแหะก่อนจะลุกเดินตามออกไป


“ อร่อย~ ”


เด็กหนุ่มเอ่ยชมทันทีที่ตักกับข้าวหอมฟุ้งเข้าปาก แก้มกลมป่องออกยามที่เจ้าตัวเคี้ยวหยุบหยับด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยอย่างที่ปากว่า ใบหน้าน่ารักแย้มยิ้มกว้างจนทำเอาคนมองตาพร่า


“ แหงล่ะ! ”


แจจุงผลักหัวคนปากหวานไปหนึ่งทีด้วยความหมั่นเขี้ยว และแม้ว่าในใจจะเต้นกระหน่ำเป็นจังหวะชะชะช่าซักแค่ไหนร่างโปร่งก็ยังสามารถเก็บอาการไว้ได้อย่างน่านับถือ ดวงตาคมสีน้ำตาลเข้มทอดมองร่างเล็กที่นั่งพุ้ยข้าวเข้าปากอย่างเอาเป็นเอาตายตามแบบฉบับคนกินเร็วแล้วลอบยิ้มอย่างเป็นสุข


“ แล้ววันนี้ได้เข้าเรียนรึเปล่ามึงอ่ะ ” เด็กหนุ่มผมทองเอ่ยถาม


“ เข้าเด่ะวะ! .. ขืนกูไม่เข้าไอ้ยุนโฮแม่งแดกหัวกูแน่แน่ ”


พูดไปแล้วก็พลันคิดขึ้นมาได้ว่าตัวเองกำลังระหองระแหงกับเพื่อนคนนี้อยู่ ใบหน้าหวานจึงซึมลงไปถนัดตา เดือดร้อนถึงอีกคนที่นั่งเขี่ยข้าวอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ


“ อ่าวอ่าว .. ไหวอยู่ดีดีสลดไปวะ? .. . หรือยังโกรธกับชองยุนโฮมันอยู่ ”


จากที่เขาเห็นมันก็ดูไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรนี่นา ถึงแจจุงจะเพิ่งย้ายโรงเรียนมาเพียงปีเดียว แต่เพราะเฝ้ามองอยู่ตลอดจึงได้รู้ว่าเจ้าตัวเล็กตรงหน้าคนนี้เป็นที่รักของเพื่อนฝูงขนาดไหน บางครั้งอาจจะมีการแกล้งหรือลงไม้ลงมือกันแรงๆตามประสาเด็กผู้ชายไปบ้างก็ไม่น่าเป็นเหตุทำให้ทะเลาะกันร้ายแรง .. หรือว่าไม่ใช่?


“ ไม่รู้ว่ะ .. ตั้งแต่โบกกูไปซะลืมโลกวันนั้นแม่งก็ไม่คุยกับกูอีกเลย ”


“ หือ? ”


ร่างโปร่งขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ ไม่มีเหตุผลอะไรที่ชองยุนโฮจะต้องมาโกรธไอ้ตัวเล็กนี่สักหน่อย .. จะอ้างว่าเป็นเพราะรักในหน้าที่ก็ไม่น่าใช่ .. หลายครั้งที่จุนซูไปก่อเรื่องมาให้ปวดหัวยิ่งกว่านี้คุณประธานนักเรียนคนเก่งก็ไม่เห็นมีท่าทีรุนแรงอะไรนอกจากตามบ่นตามด่ากรอกหูให้เฉาตายไปเองในสามวัน .. ที่จริงคราวนี้บอกตามตรงว่าเขาเองก็แอบตกใจอยู่นิดหน่อยกับความก้าวร้าวที่คนรักสงบแสดงออกมา .. คนแบบที่โดนอัดบอลใส่หน้าจนจมูกเกือบหักแล้วยังยิ้มรับแล้วบอกว่าไม่เป็นไรเนี่ยนะจะเก็บเอาเรื่องเล็กน้อยอย่างเพื่อนโดดเรียนไปโกรธ?


แล้วไหนจะสายตาคมปราบที่จ้องมาที่เขาแบบจะกินเลือดกินเนื้อนั่นอีกล่ะ? .. ก็ไม่ค่อยแน่ใจหรอกนะแต่รู้สึกว่าวันนั้นร่างสูงจะมองเขาด้วยแววตาคุกคามผิดปกติ .. .. . หรือว่า!!


เหอะ .. ไม่มีทาง =___=^


เด็กหนุ่มทำตาโตขึ้นมาเสี้ยววินาที ก่อนจะหัวเราะให้กับความคิดของตัวเองเงียบๆ ตัดสินใจทิ้งสมมุติฐานไร้สาระแล้วหันไปหาเรื่องแหย่คนตัวเล็กต่ออย่างสนุกสนาน


.. ผลของการไม่ตั้งใจเรียนทำให้คิมแจจุงในตอนนั้นไม่ได้นึกตะขิดตะขวงใจเลยแม้แต่น้อย


ว่าตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว .. สมมุติฐานมักตรงกับข้อสรุปเสมอ

.


.


.


.


.


TBC~* >w<

ปอลอจุดที่หนึ่ง :: เราเตือนท่านแล้วว่ามันออกทะเล~ อิยะ55+
ปอลอจุดที่สอง :: ออกตัวไว้ก่อนว่าเรื่องนี้ 'ยุนแจ' จะไม่โผล่มาให้เห็นอย่างแน่นอนนะจ๊ะ ^O^




 

Create Date : 13 มกราคม 2554    
Last Update : 13 มกราคม 2554 21:15:28 น.
Counter : 280 Pageviews.  

Part Four

Title : Dating on Earth
Author : Anatomy2125
Couple : YooSu
Rate : G
Talk ::ฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นแนวชายรักชาย หากผู้ใดไม่ชอบ ไม่ใช่ รับไม่ได้ กรุณากด X ปิดหน้าต่างนี้และจากไปอย่างสงบด้วยนะคะ ^ ^



Part four



ยูชอนรู้สึกว่าความอดทนของเขาค่อยค่อยจะหมดลงอย่างช้าๆ .. ชุดนักเรียนที่ยังไม่ได้เปลี่ยนตั้งแต่กลับมาถึงบ้านเริ่มทำให้อึดอัดมากขึ้นทุกที แต่ร่างสูงก็ไม่คิดที่จะเสียเวลาถอดสูทตัวนอกออกแม้แต่น้อย สายตาคมจับจ้องไปยังบิดาของตนที่นั่งนิ่งอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้ามไม่ละไปไหน เช่นเดียวกับสายตาจัดเจนโลกของผู้เป็นพ่อที่มองกลับมาอย่างไม่ยี่หระ ..


“ จะนั่งอยู่อย่างนี้อีกนานไหมยูชอน? .. ทำไมยังไม่รีบไปเตรียมตัวอีก ”


สุดท้ายก็เป็นคนสูงวัยกว่าที่อดรนทนไม่ไหวกับความเงียบของลูกชาย เสียงทุ้มพร่าจึงเอ่ยขึ้น .. ยูชอนถอนหายใจ


“ ผมบอกพ่อแล้ว ว่าผมไม่ไป ” ชายหนุ่มบอก พยายามข่มความไม่พอใจทั้งหมดเอาไว้ “ ที่ผ่านมาสองปี .. ที่ผมอดทนฝืนใจอยู่สองปีมันเพื่ออะไร .. . ไม่ใช่เพื่อไม่ต้องไปอเมริกาไม่ใช่รึไงครับ? ”


“ ……………… ”


“ หรือพ่อลืมสัญญาของเราไปแล้ว ”


“ มันไม่ใช่อย่างนั้นลูกก็รู้ .. ” ปาร์คจินยองพูดเสียงอ่อน “ แต่นี่มันก็แค่สองอาทิตย์ .. ทางนั้นเค้าเจาะจงมาว่าให้เป็นลูกเท่านั้น ”


เมื่อเห็นว่าลูกชายคนเดียวยังนิ่งเงียบ มือกร้านก็ผละออกจากการวางประสานกันที่หน้าตักขึ้นมาเสยผมสีดอกเลาอย่างเคยชินเวลารู้สึกลำบากใจ ประธานใหญ่แห่งปาร์คคอเปอเรชั่นหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ


“ พ่อรู้ว่าลูกคิดยังไง .. แต่เห็นแก่ธุรกิจของบริษัทเรา ลูกค้ารายนี้เป็นลูกค้ารายใหญ่นะยูชอน .. . ถ้างานนี้สำเร็จเขาจะลงทุนกับเราด้วยจำนวนตัวเลขที่มากพอดูเชียวล่ะ ”


“ เรื่องนั้นผมเข้าใจ .. แต่พ่อครับ .. ”


อย่าทำให้คุณพ่อลำบากใจสิคะยูชอน .. คุณควรจะให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้บ้างนะ


เสียงหวานไพเราะดังขึ้นขัดบทสนทนาน่าอึดอัดระหว่างสองพ่อลูกหลังจากนั่งฟังอยู่นาน โซฮยอนจินไม่อาจสะกดกลั้นความริษยาไว้ได้มากพอที่จะไม่ระบายมันออกมาบ้าง .. ทำไมเธอจะไม่รู้ .. เหตุผลที่ทำให้ยูชอนไม่อยากไป


คิมจุนซู .. แกนี่มันตัวมารชัดๆ!


ร่างสูงปรายตามองหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างบิดาของตนด้วยสายตาเย็นชา ถ้าไม่ติดว่าบุพการีนั่งอยู่ด้วยเขาคงจะจับภรรยาคนสวยมามัดไว้กับเก้าอี้แล้วกล่าวคำพรรณาโวหารถึงเหตุผลร้อยพันประการที่ปาร์คยูชอนเกลียดโซฮยอนจินให้หล่อนตาสว่างและยอมรับความจริงเสียที! .. แต่ที่ทำได้กลับเป็นเพียงการพยักหน้าเบาๆอย่างยอมแพ้ ..


เขาไม่ใช่คนไร้เหตุผลหรืออุทิศชีวิตเพื่อความรักจนหน้ามืดตามัวเสียการเสียงานโดยเปล่าประโยชน์ขนาดนั้น ชายหนุ่มเข้าใจดีถึงเหตุผลของพ่อ .. อีกอย่าง .. . ถ้าเจ้าตัวเล็กมารู้ทีหลังว่าเขาแอบโดดงานแถมขัดคำสั่งประธานปาร์คที่เจ้าตัวเคารพเหมือนพ่อแท้ๆแบบนี้ .. มีหวังได้งอนเขาไปเป็นเดือนแน่ .. . เพราะฉะนั้นไปแค่สองอาทิตย์ก็ถือว่าคุ้มกว่าโดนโกรธไปอีกนานก็แล้วกัน


“ แต่ผมมีข้อแม้ ”


ประโยคสั้นๆของร่างสูงทำให้รอยยิ้มร้ายลึกของฮยอนจินระเหยหายไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ ก่อนที่ร่างบางจะเผลอกำมือแน่นจนขาวซีดเมื่อได้ยินประโยคถัดไปของสามี ที่ราวกับว่าจะส่งผ่านมาถึงเธอโดยเฉพาะแม้ว่านัยน์ตาคมจะมองไปยังบิดาของตนก็ตาม ..


ถ้า‘คนของผม’เป็นอะไรไปในระหว่างนี้ .. คงมีเหตุผลพอที่ผมจะขอหย่าได้นะครับ


และโดยไม่อยู่รอจนได้รับคำตอบ .. ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง หันหลังเดินขึ้นห้องของตัวเองไปอย่างไม่เร่งร้อน ทิ้งให้ภรรยาสาวข่มอารามอยากกรีดร้องลั่นบ้านเอาไว้กับผู้เป็นพ่อหน้าตาเฉย


“ คุณพ่อคะ! .. ดูลูกชายคุณพ่อสิคะ!! ”


ฮยอนจินลืมตัวกระแทกเสียงใส่พ่อสามีด้วยความโกรธจัด ปาร์คจินยองเห็นท่าทางกระฟัดกระเฟียดจนเกินงามของลูกสะใภ้ก็ได้แต่ยิ้มเบาบางกลับไปอย่างเห็นใจ


ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าลูกชายของตนคิดยังไง .. อย่างน้อยก็เป็นเขาเองที่เลี้ยงดูยูชอนมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกหลังจากภรรยาเสียไปด้วยอาการติดเชื้อจากการผ่าตัดทำคลอด .. กะอีแค่เรื่องที่ว่าเด็กหนุ่มรักใครชอบใคร .. ทำไมจะไม่รู้


คิมจุนซูเป็นเด็กร่าเริงซุกซนแต่ก็อ่อนน้อมช่างเจรจาซึ่งเป็นอะไรที่หาได้ยากในเด็กวัยเดียวกัน มีรอยยิ้มเจิดจ้าที่ใครได้เห็นก็ติดตรึงใจตั้งแต่คราแรกราวกับมนตร์วิเศษ .. ยูชอนเคยพาจุนซูมาเล่นที่บ้านหลายครั้งเมื่อสมัยยังไม่เกิดเหตุการณ์น่าเศร้านั้น .. . จริงอยู่ที่ตัวเขาไม่อาจปฏิเสธได้ว่านึกเอ็นดูเด็กชายคนนี้อยู่ไม่น้อย .. ดังนั้นการที่ยูชอนจะตกหลุมรักเจ้าตัวเล็กอย่างง่ายดายจึงไม่ใช่เรื่องแปลก .. .. . เขาเคารพการตัดสินใจของลูกเสมอ ..


แต่จุนซูเป็นผู้ชาย


จินยองรู้ว่ายุคสมัยนี้เรื่องรักร่วมเพศอาจฟังดูไม่รุนแรงเท่าเมื่อก่อน ไม่ได้คิดรังเกียจหรือดูถูก .. แต่ถึงอย่างไรถ้าเลือกได้เขาก็ไม่อยากให้ลูกตัวเองเป็นหนึ่งในนั้นอยู่ดี .. . แล้วทายาทสืบสกุลอีกเล่า? บางทีหากยูชอนไม่ใช่ลูกคนเดียวเขาคงจะยอมรับมากกว่านี้ ..


แต่ก็นึกไม่ถึงว่าการรับข้อเสนอการแต่งงานจากตระกูลโซจะทำให้ยูชอนเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้ .. ลูกชายที่เคยร่าเริงและมักมองเขาด้วยแววตาเป็นประกายชื่นชมกลับหายไปโดยสิ้นเชิง เหลือทิ้งไว้เพียงเงาแห่งความผิดหวังเสียใจมาแทนที่ .. ค่อยๆแปรเปลี่ยนไปจนกลายเป็นความห่างเหินเย็นชา


.. ทั้งที่เขาก็แค่ทำหน้าที่ของพ่อ เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก .. ก็เท่านั้น


หรือไม่ใช่?


.


.


.


.


.


.


.


โอเค .. ก่อนอื่นต้องขอทำความเข้าใจกันซักเล็กน้อยสินะ ..


ว่าชิมชางมิน ไม่ใช่คนขี้ขลาด


อ่าฮะ .. . ใช่ .. เด็กหนุ่มรูปหล่อสูงยาวเข่าดีอย่างเขาไม่เคยรู้จักหรอกคำว่าป๊อดอะไรนั่น ตรงกันข้ามถ้าพูดถึงชื่อชางมินแล้ว .. ไม่ว่าหน้าไหนที่อยู่ในวงการนักเรียนนักเลงก็น่าจะรู้จักกันดี และไม่ใช่เพียงแค่ในฐานะลูกน้องของปาร์คยูชอนผู้เป็นเหมือนตำนานของเหล่าวัยรุ่นอันธพาลด้วย ..


ถ้ายูชอนเป็น ‘เสือหลับ’ ที่ไม่ชอบทำร้ายใครหากไม่จำเป็น .. ชางมินก็คงเป็น ‘เสือซ่อนเล็บ’ ที่คาดเดาได้ยากและไม่น่าข้องเกี่ยวด้วยมากที่สุดก็เป็นได้ .. นั่นคือคำพูดที่ไม่รู้ไอ้บ้าที่ไหนเป็นคนบัญญัติเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว .. ซึ่งมันช่างเป็นการเปรียบเทียบที่หรูหราโอเว่อร์สิ้นดีในความคิดของร่างสูง


แต่ถึงอยางนั้นก็เถอะ .. ยังไงซะในความเป็นจริงก็คือเสือซ่อนเล็บตัวนี้มันก็ยังเป็นแค่เด็กมอปลายตาดำดำคนหนึ่งที่ระหกระเหเร่ร่อนจากบ้านนอกเข้ามาร่ำเรียนอยู่ในกรุงเท่านั้น .. เพราะฉะนั้นแล้ว .. .


คุณเพื่อนคิมที่เคารพรักครับ .. มาฟงมาเฟียอะไรเนี่ย .. ... มันออกจะดูเกินตัวไปนิดนะ มึงว่ามั๊ย!!!?


“ เชี่ย! .. มึงจะเขย่าแขนกูทำห่าซากอะไรไม่ทราบวะชางมิน! .. เดี๋ยวพวกมันก็ได้ยินหรอก ”


ร่างเล็กที่กำลังเกาะขอบตู้คอนเทนเนอร์ขนาดยักษ์อยู่อย่างมาดมั่นหันมาตวาดใส่ไม่ดังนักด้วยน้ำเสียงรำคาญ พร้อมๆกับเรียวนิ้วยาวๆของคนถูกด่าที่ยกขึ้นมาประกบกลีบปากช่างเจรจาแบบไม่ถูกที่ถูกเวลาอย่างรวดเร็ว


“ สัด!! .. ถ้าพวกมันจะได้ยินก็คงเป็นเพราะเสียงแปดหลอดของมึงนี่แหละ .. เงียบๆดิวะ! ”


จบคำสองคู่หูก็พร้อมใจกันยื่นหัวออกไปจากที่กำบังช้าๆ เพื่อซุ่มดูสถานการณ์ต่อไปด้วยท่าทางระแวดระวัง และภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้เด็กหนุ่มทั้งสองตกใจได้ไม่ยาก


คิมแจจุงที่ก่อนหน้านี้ก็ดูสะบักสะบอมพออยู่แล้ว บัดนี้อาการของร่างโปร่งกลับเหมือนจะหนักหนาสาหัสกว่าเก่ามากนัก เสื้อเชิ้ตนักเรียนสีขาวสะอาดแทบจะถูกย้อมไปด้วยเลือดและฝุ่นดินจนจินตนาการถึงสถาพของมันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนไม่ออก อีกทั้งใบหน้าหล่อเหลาที่มักจะเรียบเฉยเย็นชาอยู่เป็นนิจก็เต็มไปด้วยบาดแผลฟกช้ำน่ากลัว


“ อาการหนักน่าดูแฮะ ”


ชางมินพึมพำ ก่อนจะสบถออกมาอย่างตกใจเมื่อหนึ่งในมาเฟียประจำถิ่นใช้ด้ามปืนซัดเข้าที่ขมับของแจจุงไปเต็มๆจนร่างนั้นล้มลงกระแทกพื้นเสียงดัง


“ เฮ้ย! จุนซู!!! ”


หลังจากอึ้งไปได้ไม่ถึงสามวินาที เด็กหนุ่มก็มีอันต้องหายใจสะดุดอีกครั้งด้วยเพราะร่างเล็กของเพื่อนซี้ที่ก้าวผ่านตนออกไปจากที่ซ่อนหน้าตาเฉยแบบชนิดที่ว่าไม่มีการส่งซิกให้ตั้งตัวกันก่อนแม้แต่น้อย มือใหญ่พยายามคว้าตัวจุนซูเอาไว้สุดความสามารถ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าเขาเป็นฝ่ายเสียหลักล้มลงไปเสียเอง .. และเสียงกระแทกพื้นก็ทำให้กว่าสิบชีวิตบริเวณนั้นหันกลับมามองโดยพร้อมเพรียงกัน ทำให้เกิดเป็นความเงียบวังเวงขึ้นโดยฉับพลัน จนชางมินเผลอกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่


ทันใดนั้นเองชายร่างใหญ่สองสามคนก็ตรงเข้ามากระชากคอเสื้อสองหนุ่มแล้วจัดการลากแขกไม่ได้รับเชิญไปโยนไว้ด้านในวงล้อมของพวกตนรวมกับแจจุงที่นอนหมดแรงอยู่ก่อนแล้ว


“ พวกมึงเป็นใครวะ ”


เสียงแหบห้าวเสียงหนึ่งถามขึ้น ทั้งหมดพากันย้ายมายืนอออยู่เบื้องหน้าบุคคลหนึ่งเดียวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ คล้ายจะเป็นแสดงการปกป้องคุ้มครองหัวหน้าใหญ่คนนั้น


“ อ่า .. คือว่า ”


.. เวรแล้วไง


คิมจุนซูนึกอยากจะกระแทกหัวตัวเองกับพื้นอิฐพื้นปูนแถวนั้นให้เลือดกระเซ็นตายกันไปข้างเพื่ออุทิศแด่นิสัยรักความยุติธรรมยิ่งชีพของตนที่มักจะหาเรื่องเข้าตัวอยู่เป็นกิจวัตร หลายต่อหลายครั้งที่เพื่อนๆคอยตักเตือน รวมทั้งลูกพี่ยูชอนที่เป็นห่วงเขายิ่งกว่าใคร .. แต่ทั้งที่รู้ ทั้งที่เข้าใจดีแล้ว เด็กหนุ่มก็ไม่เคยแก้มันให้หายขาดไปได้ซักที และครั้งนี้ก็เช่นกัน .. เขากำลังจะซวยเพราะดันเสือกยื่นมือเข้าช่วยศัตรูหมายเลขหนึ่งในชีวิต


“ ผมชิมชางมิน .. เขาคิมจุนซู .. . เราอยากมาสมัครเข้าร่วมแก๊งพวกพี่ครับ ”


“ ชางมิน!! ”


“ เงียบน่าจุนซู! ”


เสียงทุ้มกระซิบปรามเพื่อนตัวเล็กที่ดูจะไม่ค่อยอยากให้ความร่วมมือกับแผนของเขาเท่าไรนัก จุนซูทำเสียงฮึดฮัดเล็กน้อย แต่ก็ต้องยอมเลยตามเลยด้วยเห็นว่าตัวเองก็ไม่มีหนทางเอาตัวรอดที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว


อิมยองพิลโบกมือไล่ลูกน้องเป็นเชิงให้ออกไปพ้นทาง เพื่อที่จะได้เห็นเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนทั้งสองคนชัดๆ นัยน์ตาสีเข้มจ้องมองทั้งคู่อย่างพินิจพิเคราะห์ คีบก้านบุหรี่ออกจากปากก่อนจะเอ่ยถามไปเรียบๆ


“ แล้วพวกมึงใช้ปืนเป็นมั๊ย? .. มีดล่ะ? ”


สองคู่หูมองหน้ากันไปมา ก่อนจะเป็นชางมินที่ตอบกลับมา


“ เอ้อ .. ไม่เป็นหรอกครับ .. แต่ถ้าเป็นเรื่องชกต่อยหรือไม้หน้าสามก็ .. ”


อ๋า~!!! .. นั่นๆๆ .. . คิมจุนซูนี่นา!!!!!


เสียงหวานฟังดูแปลกหูตามมาด้วยเสียงฝีเท้าตุบตับที่ดังตามกันมาติดติด เรียกความสนใจจากทุกคนในที่นั้นได้อย่างชะงักงัน ร่างเล็กบางขนาดกระทัดรัดกำลังดี วิ่งปรู๊ดมาหยุดตรงระหว่างจุนซูกับยองพิล ดวงตาสีน้ำตาลแป๋วแหววกระพริบปริบๆมองคนนู้นทีคนนี้ทีเป็นประกายอยากรู้อยากเห็นเหมือนเด็กเล็กๆ ทำเอาเด็กหนุ่มสองคนคู่หูจับต้นชนปลายไม่ถูกจนหน้าเหวอไปตามๆกัน


ไอ้เด็กเจ็ดสีนี่เป็นใครวะ!!!


หลังจากที่อึ้งไปกับใบหน้าหวานน่ารักน่าชังของผู้มาใหม่แล้ว สมองต่างระดับทางด้านไอคิวของสองเพื่อนรักก็ประมวลผลออกมาได้ตรงกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ด้วยว่าคงจะหานิยามที่ดีไปกว่านั้นไม่ได้ .. เพราะเมื่อสองสายตามองกวาดไล่ลงมากระทั่งจรดปลายเท้าของร่างบางตรงหน้า .. แว่นตาไร้กรอบเขียวสว่าง เสื้อมัดย้อมส้มเหลืองเขียว กางเกงขาเดปรัดรูปสีม่วงอมชมพู และรองเท้าดำคาดฟ้าซ้ำคาดเหลืองอีกที .. . สรุปแล้วมีอะไรในชุดมันเข้ากันบ้างไหมวะนั่น!?


“ เอ่อ .. ไม่ทราบว่าน้องเรนโบว์คนนี้คือ .. ? ”


ชางมินถามด้วยสายตาไม่ไว้ใจ .. หรือมันจะเอาคนบ้ามาฆ่าปิดปากพวกกูวะ -*- รู้สึกว่าทางกฎหมายถ้าฆาตกรมีอาการทางจิตมันจะรอดคุกใช่รึเปล่านะ?


แต่ยังไม่ทันที่จะได้คาดเดากันต่อไป คำเฉลยจากปากยองพิลก็พาเอาสองหนุ่มมินซูถึงกับอ้าปากค้าง


อิมแทมิน .. ลูกชายกูเอง


เห๊อะ .. ลูกช๊ายยยยยยยย~!!!!!!!! =[]=


ชางมินกับจุนซูหันมามองหน้ากัน และราวกับล่วงรู้ความคิดในหัวของอีกฝ่าย .. เออนะ เมียพี่แกคงจะสวยระดับนางงามเป็นแน่แท้!!!


“ แทมิน .. แกจะออกมาทำไม ป๊าบอกแล้วใช่ไหมว่าให้รออยู่ในรถ ” คุณพ่อหน้าโฉดปรายสายตาถามลูกชายเสียงเย็น “ กลับไปนั่งที่รถเดี๋ยวนี้ ”


คนนอกอาจจะมองว่าสีหน้าและแววตาที่มาเฟียรุ่นเก๋าแสดงออกมานั้นมันช่างเย็นยะเยือกได้ใจจนต้องยอมหนีถอยไปตั้งหลักซักเมตรสองเมตร ทว่าสำหรับลูกในไส้ที่ดูเหมือนจะชาชินกับบรรยากาศมาคุแบบนี้เสียแล้วกลับทำไม่รู้ไม่ชี้ได้หน้าตาเฉย ร่างบางแค่ยักไหล่แล้วย่อตัวลงนั่งยองๆอยู่ด้านหน้าจุนซู ยิ้มหวานให้ก่อนจะหันกลับไปพูดเจื้อยแจ้วกับคนเป็นพ่อที่นั่งอยู่ไม่ไกล


“ นี่พี่จุนซูไงฮะป๊า .. คิมจุนซูคนนั้นที่ผมเคยเล่าให้ฟังไง ”


ยองพิลเลิกคิ้วสูง มองลูกชายตัวน้อยที่ทำตาวิ้งวั้งประดุจหมาเชื่องด้วยความไม่เข้าใจ


“ อะไรของแก? ”


เพียงแค่คำถามสั้นๆแต่ก็สามารถทำให้บรรยากาศอึดอัดในดงมาเฟียเมื่อครู่แทบจะหายไปกับสายลม อิมแทมินวัยสิบห้าปีเริ่มขมวดคิ้วมุ่น แก้มขาวๆก็เริ่มป่องขึ้นอย่างแสนงอน .. มันคงเป็นท่าทางที่น่าเอ็นดูสำหรับคนไม่รู้จักที่พบเจอแต่กลับเป็นอะไรที่ทำให้เหล่าสมาชิกแก๊งทั้งหลายต้องกลึนน้ำลายเอือกกันเป็นแถว ..


เอาแล้วไง .. นายน้อยโหมดประทับทรง!!!!


นี่แสดงว่าป๊าไม่ได้ฟังที่ผมพูดอีกแล้วใช่ไหมฮะ


ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่หลังจากประโยคนั้นหลุดออกมาจากเรียวปากจิ้มลิ้มของคนน่ารัก .. บรรยากาศผ่อนคลายเมื่อนาทีก่อนก็พลิกเป็นมาคุแบบเก่าทันทีทันใด .. ยองพิลกระแอม


“ ไม่ใช่อย่างนั้นสิแทมิน .. แกก็รู้ว่าป๊าใส่ใจแกตลอดเวลานั่นแหละ ” เขาอธิบาย “ แต่ว่าวันๆหนึ่งแกมีเรื่องพูดเป็นร้อย .. แล้วจะให้ป๊าจำหมดได้ยังไงไหววะ ”


ดูเหมือนว่าน้ำเสียงที่อ่อนลงของพ่อบังเกิดเกล้าจะทำให้ทายาทมาเฟียตัวน้อยอารมณ์ดีขึ้นได้ทันตาเห็น เพราะแทมินค่อยค่อยแย้มยิ้มกว้างทั้งปากและนัยน์ตากลับมาให้เสียคนมองตาพร่า


“ ก็เมื่อปีที่แล้วที่ผมบอกป๊า .. ว่าพี่จุนซูคนเนี๊ยะเค้าชนะประกวดร้องเพลงทั่วประเทศระดับนักเรียนมัธยมปลาย .. . ทั่วประเทศเชียวนะฮะ .. โหย~ ในทีวีก็ว่าเจ๋งแล้ว มาเห็นตัวจริงแบบนี้ .. อย่างเท่อ่ะป๊า!!! > < ”


คนลูกเล่าเสียงตื่นเต้น แต่คนพ่อนั้นทำหน้าเหมือนอยากตาย .. ปีที่แล้ว! .. . กูคงจำได้หรอก!!!


ชางมินมองหน้าเพื่อนตัวเล็กที่หันมาสบตาเขาเช่นกัน .. สองหนุ่มพยายามช่วยกันระลึกชาติผานทางสายตาอยู่เกือบนาทีครึ่ง ก่อนจะพากันร้องอ๋อเบาๆ


เออว่ะ .. จะว่าไปปีก่อนไอ้จุนซูมันถูกถีบขึ้นเวทีเป็นตัวแทนโรงเรียนนี่หว่า .. . แถมขึ้นไปก็ร้องมั่วๆเพราะไม่ได้เตรียมเพลงมาเหมือนชาวบ้านเขาอีกต่างหาก แล้วที่ฮากว่านั้นคือหมอนี่ได้รางวัลชนะเลิศ! .. เชื่อเขาเลยกับมาตรฐานวงการเพลงเกาหลี! -*-


“ เอ่อ ไอ้ชางมิน .. งานประกวดอะไรนั่นที่กูไปมันยิ่งใหญ่ขนาดระดับประเทศเลยเหรอวะ? ”


คนถูกชื่นชมแบบไม่รู้ตัวกระซิบถาม ทางฝั่งคนถูกถามก็ได้แต่ส่ายหัวพรืดด้วยความไม่รู้จริงจัง .. ตอนนั้นก็มัวแต่หัวร่องอหายสมน้ำหน้าไอ้เปี๊ยกที่โดนอาจารย์ฝ่ายปกครองลงโทษแบบมัดมือชกข้อหาเป็นหัวโจกยกพวกตีกันข้ามโรงเรียนซะด้วยสิ .. จำได้แค่ว่าทั้งเขาทั้งยุนโฮ ฮยอกแจและทงเฮมีเรื่องให้ล้อจุนซูไปอีกสองเดือนเต็มหลังจากนั้นเชียวล่ะ


“ แกพูดจบแล้วใช่ไหม .. งั้นก็ขึ้นไปรอบนรถซะ .. . เดี๋ยวป๊าตามไป ”


หัวหน้าใหญ่ตัดบทเสียงเย็น ก่อนจะทำท่าโบกมือไล่เจ้าลูกชายตัวแสบออกไป ทำเอาสองคู่ซี้ใจตุ้มๆต่อมๆกับเหตุการณ์หลังจากนี้


จุนซูลอบมองร่างโปร่งที่นอนหอบหายใจอยู่ด้านหลังเล็กน้อย .. คิมแจจุงในยามนี้ดูอ่อนแอแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ภาพเด็กหนุ่มผู้หยิ่งทระนงและชอบพูดจากวนส้นอยู่เสมอถูกทามทับด้วยร่างสะบักสะบอมไม่ต่างอะไรกับลูกนกปีกหัก ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ได้ใจร้ายไส้ระกำถึงขนาดซ้ำเติมคนเจ็บหรอกนะ .. ถึงจะเป็นคู่ปรับอันดับหนึ่งก็เถอะ


ร่างเล็กพยายามเค้นความคิดอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหาทางให้คนสามคนหนีตายไปพร้อมๆกันโดยไม่ต้องมีใครคนหนึ่งถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเป็นนกต่อ .. เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจที่จะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อเพื่อถ่วงเวลาให้ชางมินล่วงหน้าพาแจจุงหนีไปส่งโรงพยาบาล เพราะยังไงเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นนักวิ่งลมกรดประจำโรงเรียน .. พอสองคนนั้นหนีไปได้แล้วก็ค่อยเข้าเกียร์หมาเผ่นก็คงยังไม่สาย .. แต่ก่อนที่คนคิดแผนจะทันได้กระซิบบอกเพื่อนให้ทำตามกันก็เป็นอันต้องถูกขัดขึ้นมาเสียก่อน


“ ไม่เอาอ่ะ .. ถ้าผมไปป๊าก็จะซ้อมพวกพี่เค้าจนเละเหมือนพี่คนนั้นใช่ไหมล่ะ ผมรู้หรอกน่า! ”


แทมินยืนกอดอกวางมาด นัยน์ตาสีอ่อนน้องเขม็งไปยังบิดาอย่างไม่กลัวเกรง


“ แล้วแกจะเอาไง .. ให้ป๊าปล่อยพวกมันไปง่ายๆว่างั้น? ” ยองพิลแค่นหัวเราะ


“ ป๊าอ่ะโหดร้าย .. ผู้ใหญ่รังแกเด็ก =O= ”


“ .. กับเด็กเวรที่เสือกข้ามเขตมาส่งยาถึงถิ่นคู่แข่งแบบนี้ .. . บางทีก็คงต้องสั่งสอนบ้างล่ะมั้ง ”


หัวหน้าแก๊งแสยะยิ้มเหี้ยมจนสองหนุ่มผู้มาทีหลังเสียววูบ ใบหน้าที่มีรอยบากยาวตรงหางคิ้วหันมองลูกชายคนเดียว ประสานสายตากันอยู่พักหนึ่งแล้วก็เป็นฝ่ายพ่อที่ต้องถอนหายใจออกมาหนักๆ


“ เออ .. ก็ได้ ถือว่าวันนี้พวกมึงโชคดีไปที่ลูกชายกูขอไว้ .. . ”


มาเฟียรุ่นใหญ่ก้าวไปใกล้ร่างโปร่งที่ตอนนี้มีจุนซูและชางมินช่วยพยุงให้ลุกขึ้นยืนกันคนละข้าง มือกร้านบีบคางได้รูปของคนเจ็บบังคับให้เงยหน้ามองตนอย่างไม่เบานัก


“ แล้วก็จำใส่กระโหลกมึงไว้ด้วยว่าคราวหน้าคราวหลังอย่าเสนอหน้ามาถิ่นกูอีก .. เพราะกูไม่รับประกันว่ามึงจะรอดไปได้เหมือนหนนี้รึเปล่า ”


สั่งเสียจบก็สะบัดมือกระแทกสันกรามของเด็กหนุ่มจนหน้าหัน ก่อนจะโบกไม้โบกมือให้สัญญาณลูกน้องให้ยกขบวนกลับบ้านได้ ร่างเล็กมองหน้าเพื่อนตัวสูงและถอนหายใจออกมาพร้อมกัน .. แต่ทั้งที่คิดว่าเรื่องจะจบไปเรียบร้อยแล้ว ..


เดี๋ยวก่อนสิฮะ! .. แล้วนี่พี่จุนซูจะไม่ร้องเพลงให้ผมฟังซักเพลงสองเพลงเหรอฮะ? .. ผมอุตส่าห์ช่วยแท้ๆเลยน๊า~ ToT


.


.


.


.


.


.


“ ถ้ามึงปากสว่างไปเล่าเรื่องวันนี้ให้ใครฟังล่ะก็กูเอามึงตายแน่ไอ้จุนซู -*- ”


เสียงทุ้มของชิมชางมินพูดขึ้นหลังจากที่พวกเขาสามคนหนีรอดปลอดภัยออกมาจากอาณาเขตน่าสยองนั้นแล้วเป็นที่เรียบร้อย ในหัวก็คิดย้อนไปถึงภาพอันน่าประทับใจที่ตัวเขาไปนั่งทำตัวลีบเป็นกำลังใจให้ไอ้เปี๊ยกยืนร้องเพลงลูกทุ่งโชว์พลังเสียงอยู่บนเครนยกของท่ามกลางเสียงเชียร์แง๊วๆของเด็กเจ็ดสีวิปริตอิมแทมินนั่น


“ น้อยหน่อยครับคุณชิม .. ถามหน่อยเถอะถ้าไม่มีกระผมซักคนพวกมึงจะยังมานั่งเสนอหน้าอยู่แบบนี้ได้ไหม? .. . เหอะ! .. ขอบคุณซักคำยังไม่มีเลยเหอะคนเรา ” จุนซูส่ายหน้าปลงตกกับความอกตัญญูของเพื่อนรัก


ตอนนี้เด็กหนุ่มทั้งสามกำลังนั่งพักหายใจอยู่บนกองอิฐหน้าเขตก่อสร้างใกล้โรงพยาบาล เนื่องจากคนที่ควรจะเข้าไปทำแผลทาหยูกทายาดันดื้อแพ่งไม่ยอมหาหมอซะงั้น .. ร่างเล็กหันมองคนเจ็บที่เอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จาตั้งแต่หลุดออกมาได้ ใบหน้าน่ารักฉายแววแปลกใจกับท่าทีสงบเสงี่ยมเกินกว่าเหตุของคู่กัด .. หรือว่ามันจะเจ็บมากจนพูดไม่ออกวะ?


“ เฮ้ย! ” ใช้ศอกกระทุ้งคนข้างกายเบาๆ “ จะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอมึง? .. โดนกระทืบซะจนหมาในปากตายหมดแล้วรึไงวะ ”


ทว่าที่ได้กลับมาก็ยังเป็นความเงียบ จุนซูเงยหน้ามองเพื่อนตัวสูงที่นั่งประกบอยู่อีกด้านหนึ่งอย่างขอความช่วยเหลือ แต่ร่างสูงก็เพียงแต่ยักไหล่มาให้ด้วยไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน .. แหม .. . คุยกันซักคำกูยังไม่เคย แล้วอยู่ๆจะให้มันตอบสนองคำพูดของกูยังไงล่ะครับ?


จุนซูยู่ปากให้กับความไร้ประโยชน์ของเพื่อน แล้วหันกลับมาให้ความสนใจคนตรงกลางอีกครั้ง


“ เน่ .. พวกนั้นน่ะมันมาเฟียไม่ใช่รึไง .. . มึงไปมีเรื่องอะไรกับมันล่ะ ”


เมื่อได้รับคำตอบเป็นเสียงหรีดหริ่งเรไรเช่นเดิม ร่างเล็กจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ ยืดแขนผอมๆทั้งสองข้างของตัวเองไปข้างหน้าก้มตัวบิดขี้เกียจอย่างไม่ใส่ใจนัก


“ เอาเหอะ .. ยังไงมันก็ชีวิตของมึง ไม่บอกก็ช่างหัวมึงแล้วกัน ” เสียงแหบบอก “ แต่อย่าไปบอกพวกไอ้ยุนโฮมันแล้วกันว่ากูไปแหกปากร้องเพลงเป็นคนบ้าอยู่บนเครนก่อสร้างแบบนั้น .. ไม่งั้นมึงไม่ตายดีแน่! ”


มึงจะหาเรื่องใส่ตัวทำไม คิมจุนซู


เสียงทุ้มดังขึ้นในที่สุด ถึงจะไม่ตรงคำถามแต่ก็เรียกความสนใจจากเจ้าของชื่อได้เป็นอย่างดี จุนซูเลิกคิ้วข้างหนึ่งแล้วตอบกลับไป


แล้วกูมีเหตุผลอะไรที่ต้องไม่ช่วยมึงไม่ทราบ


เป็นครั้งแรกที่แจจุงแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาให้เห็นโดยไม่ปิดบัง เห็นดังนั้นเจ้าตัวเล็กก็ใช้นิ้วชี้ถูจมูกรั้นไปมาเบาๆ .. มันอาจจะเป็นอากัปกริยาที่ไม่น่าผิดสังเกตอะไรนัก แต่กับชางมินซึ่งคบหากันมานานแล้ว .. ร่างสูงรู้ดีว่านั่นคืออาการเขินของคิมจุนซู


“ ถึงมึงกับกูจะเกลียดขี้หน้ากัน .. แต่กูก็คงไม่ใจดำปล่อยให้คนรู้จักมักคุ้นโดนซ้อมจนช้ำในตายไปต่อหน้าต่อตาหรอกนะเว่ย! .. . อย่างน้อยเราก็ .. เออ .. . อยู่โรงเรียนเดียวกัน ”


และในวินาทีนั้นเอง .. ราวกับว่าความบาดหมางระหว่างเด็กผู้ชายสองคนที่เคยมีมาได้ค่อยๆเลือนหายไปพร้อมกับระยะห่างของพื้นที่ว่างระหว่างคนทั้งคู่ แจจุงรู้สึกถึงกระแสบางอย่างที่แผ่ซ่านอยู่ในหัวใจแข็งกร้าวของตน .. ความรู้สึกที่เขาไม่เคยมีมานานปี .. ซึ่งมัน .. . อบอุ่น


ไม่รู้ว่าพวกเขาทั้งสามปล่อยให้เข็มนาฬิกาเดินวนรอบไปนานแค่ไหน แต่ในเวลานี้ก็ไม่มีใครรู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศสงบเงียบที่เกิดขึ้นอีกต่อไป


“ คิมจุนซู ”


นักเลงหนุ่มเรียกคนที่นั่งอยู่ข้างๆโดยสายตายังเหม่อมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย .. จุนซูที่เอนตัวไปด้านหลังหลับตาอย่างผ่อนคลายเอ่ยตอบรับเสียงเรียบเรื่อย


“ ว่าไง? ”


มึง .. ยังอยากชวนกูเตะบอลอยู่รึเปล่า


คงจะจริงอย่างที่เขาว่า ..


“ .......... ”


“ .......... ”


ถ้ามึงไม่เห็นหน้าเพื่อนกูเป็นโกลด์อีกล่ะก็นะ


.. ลูกผู้ชายถ้าได้ร่วมเป็นร่วมตายกันมาแล้วครั้งหนึ่ง จากศัตรูคู่แค้นนับสิบปีก็กลายมาเป็นมิตรแท้ได้ไม่ยากเย็น


และท่ามกลางมิตรภาพที่กำลังงอกเงยสวยสะพรั่งประดุจดั่งทุ่งลาเวนเดอร์ของคนสองคนนั่นเอง .. ยังมีอีกหนึ่งชีวิตที่ไม่ได้เข้าถึงอารมณ์อันซาบซึ้งเหล่านี้แม้แต่น้อย ..


ลูกพี่ก็ไม่อยู่แท้ๆ .. แต่ทำไมกูรู้สึกเหมือนเป็นหัวหลักหัวตออีกแล้ววะครับเนี่ยยยย~ .. คนหล่อไม่เข้าใจ!!!!! T[]T

.


.


.


.


.


.


ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในโรงเรียน จุนซูก็รู้สึกได้ถึงสายตานับร้อยคู่ที่เพ่งตรงมาที่ตัวเอง .. เสียงซุบซิบนินทาดังเซ็งแซ่เหมือนผึ้งแตกรังทำให้เขาหงุดหงิดเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้เก็บมาเป็นอารมณ์แต่อย่างใด เด็กชายยังคงเดินถือกระเป๋าเป้ใบเก่งแกว่งเล่นไปมาเรื่อยเปื่อยอย่างเช่นทุกวัน .. แต่ที่ไม่เหมือนทุกวันก็คงเป็นคนที่เดินเคียงกันมานี่ล่ะมั้ง ..


คิมแจจุงดูจะดุร้ายกว่าทุกทีจนไม่มีใครหน้าไหนอาจหาญกล้าสบสายตาด้วย ร่างโปร่งเคี้ยวหมากฝรั่งเดินล้วงกระเป๋าด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่ากำลังอารมณ์บ่จอยสุดขีด นัยน์ตาคมตวัดมองทุกคนที่เดินผ่านอย่างหาเรื่องโดยไม่มีเหตุผล .. จะมองหาป๊ามึงเรอะ! เดี๋ยวพ่อเตะกระเด็น!!


“ เซ็งจริงเว้ยยย~ ”


เสียงแหบเฉพาะตัวที่ดังอยู่ข้างๆเรียกความสนใจจากแจจุงได้ทันที เด็กหนุ่มหันมามองคนตัวเล็กกว่า ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์


“ หูตกแล้วมึง .. ทำไมวะ? เจ้าของจะไม่อยู่แค่ไม่กี่วันถึงกับต้องหงอย ”


“ สองอาทิตย์ .. ” พูดแก้โดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อเห็นสีหน้าเหมือนรู้ทันของอีกฝ่ายก็รีบโวยวายแก้ตัว “ กูเปล่าหงอยซะหน่อย .. แล้วกูก็ไม่ใช่หมาด้วย! ”


คนหน้าสวยหัวเราะให้กับท่าทางกินปูนร้อนท้องของอดีตคู่กัด แล้วก็ต้องเอนตัวหลบหมัดหนักๆทีเล่นทีจริงของร่างเล็กเป็นพัลวัน .. ดูท่าจุนซูจะไม่ชอบให้ใครมาพูดแหย่เรื่องลูกพี่ของตนเอามากๆทีเดียว


“ ชางมิน ”


เสียงทุ้มเบสของชองยุนโฮเอ่ยเรียกเพื่อนรักที่เดินอยู่ติดกันด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ ตาคมยังไม่ละจากภาพตรงหน้าที่คิมแจจุงเริ่มลามปามจับหัวเพื่อนตัวเล็กของเขาโยกไปเยกมาอย่างสนุกสนาน ในขณะที่จุนซูก็เริ่มอาละวาดทันทีที่มือของอีกคนสัมผัสโดนทรงผมเซ็ทหล่ออันน่าภูมิใจของตน


“ ว่าไง? ”


คนถูกถามหันมาตามเสียงเรียกด้วยใบหน้าง่วงงุน .. จะไม่ให้ง่วงได้ไงวะ! เมื่อคืนกว่าจะได้กลับหอก็ปาเข้าไปเกือบตีสี่ .. . ไหนจะต้องอาบน้ำล้างคราบดินคราบเลือดออกจนสะอาดหมดจด ไหนจะต้มบะหมี่ถ้วยกินประทังความหิวอีก .. กว่าจะได้นอน หลับตาไปแค่ชั่วโมงเดียวนาฬิกาก็ปลุกแล้ว .. บัดซบหาใดเปรียบ!!! -*-


“ ไอ้สองตัวนั้นมันไปสนิทกันตอนไหนวะ? ”


พูดพลางชี้นิ้วไปยังสองคนที่เดินนำอยู่ไม่ไกลออกไปประกอบคำถามให้เห็น ชางมินปรือตามองเล็กน้อย


“ อ่อ .. เมื่อวานน่ะ .. . พอดีมีเรื่องนิดหน่อย ”


ตอบไปแค่สั้นๆเท่าที่สติสตางค์จะพออำนวย แต่พอจะก้าวเดินต่อไปก็ต้องชะงักเพราะสายตาคุณประธานนักเรียนคนเก่งที่มองมาปริบปริบเหมือนกับเด็กน้อยกำลังรอฟังนิทานก่อนนอนนั่นแหละ .. เฮ่ยย! .. ไม่รู้ซักเรื่องมันจะตายไหมครับคุณชายช๊องง~!


“ คือว่าตอนที่ลากพวกมึงกลับจากโนแรบังกูกะไอ้จุนซูดันไปเจอพวกยองพิลกำลังรุมสกรัมคิมแจจุงอยู่ .. ”


เด็กหนุ่มผิวเข้มหยุดหาววอดใหญ่แล้วเล่าต่อ


“ .. . อือ .. แล้วทีนี้มึงก็รู้ใช่ป่ะว่าไอ้เตี้ยเรามันบ้าดีเดือดขนาดไหน .. พี่แกเห็นหมอนั่นถูกกระทืบซะเยินก็ทนไม่ไหว .. . แม่งปืนผาหน้าไม่เป็นสิบเสือกโดดออกไปขวางไม่รู้จักกลัวตาย .. ดีที่ลูกไอ้ยองพิลมาช่วยไว้ทัน ไอ้เด็กนี่ก็แปลก .. เห็นว่าเป็นแฟนคลับของไอ้จุนซูไงเนี่ยแหละ .. แต่สรุปคือสุดท้ายก็รอดมาได้ด้วยดี ”


ยุนโฮทำตาโตอย่างนึกทึ่งกับเรื่องที่เพื่อนเล่ามา นี่เมื่อวานมันเกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนั้นเชียวเหรอวะ?


“ แล้วรุ่นพี่ยูชอน .. ”


“ บอกไปก็ตายห่ายกก๊วนสิวะ! .. อย่าแม้แต่จะคิดเชียวมึง!! ”


ด้วยรู้ดีว่าเพื่อนตัวสูงจะพูดอะไรเป็นลำดับต่อไป ชางมินก็รีบขัดขึ้นกลางปล้องอย่างอัตโนมัติ ในใจก็วาดภาพจินตนาการถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นถ้าวีรกรรมเมื่อวานรั่วไหลไปถึงหูลูกพี่ของตน .. ให้สึนามิถล่มกรุงโซลพวกเขายังมีโอกาสรอดตายมากกว่าเลยเหอะ!!


“ เออ .. กูก็แค่ถามดูหรอกน่า .. . แล้วนี่รุ่นพี่จะไปอเมริกาเมื่อไหร่วะ ”


ร่างสูงทำหน้าระอากับท่าทางโอเว่อร์ของเพื่อน ก่อนจะหยิบยกอีกหัวข้อหนึ่งขึ้นมาถามแทน


“ บ่ายโมงตรง .. วันนี้ ”


“ ไหงเร็วขนาดนั้น! .. แล้วแบบนี้ก็ไปส่งไม่ได้อ่ะดิ ”


ประธานนักเรียนถาม พลางลอบมองใบหน้าน่ารักของเพื่อนตัวเล็กที่เดินนำอยู่ด้านหน้ากับใครอีกคน .. ถึงจะดูร่าเริงดีแต่สำหรับคนที่คุ้นเคยกันมานานอย่างพวกเขาก็รู้ดีว่าเจ้าตัวเล็กคงจะเก็บความเศร้าไว้ในใจไม่ยอมปริปากบอกใครอย่างเคย .. เวลาสองอาทิตย์อาจฟังดูไม่นานก็จริง ทว่ายังไงเสียเขาก็ไม่อยากให้จุนซูต้องจมอยู่ในความเหงาอีกแม้เพียงนาทีเดียว .. เพราะแค่สองปี . . มันก็ทรมานพอแล้ว


ชางมินหัวเราะฝืดๆ แล้วมองหน้าเพื่อนรัก


“ มึงคิดจริงๆเหรอว่าโรงเรียนจะขังไอ้จุนซูได้ ”


“ มันจะโดด? ”


คนถามคิ้วกระตุก เลือดรักในหน้าที่เริ่มพุ่งพล่าน .. เด็กหนุ่มผิวน้ำผึ้งนึกขำกับอาการนั้น ก่อนจะเอื้อมมือข้างหนึ่งไปตบไหล่ของอีกฝ่ายตุบๆด้วยสีหน้าหวังดี


“ อย่าเหนื่อยเลยว่ะประธานชอง .. ทำยังกะมึงเคยจับมันอยู่งั้นแหละ ”


.


.


.


.


.


.


ท่าอากาศยานอินชอนคร่ำคร่าไปด้วยผู้คนจำนวนมากถึงแม้จะเป็นช่วงวันทำงาน เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนเต็มยศยืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางสนามบิน นัยน์ตาเรียวสดใสกวาดมองไปทางโน้นทีทางนั้นทีเพื่อที่จะหาใครคนหนึ่งท่ามกลางฝูงชน ระหว่างที่มือเรียวก็ยกขึ้นเสยผมชื้นเหงื่อซึ่งตกลงมาปรกสายตาออกไปอย่างลวกๆ ..


แม่ง!! .. วันนี้ไอ้ยุนโฮมันเอาจริงแฮะ! ถึงขนาดส่งสารวัตรนักเรียนมาดักล้อมไว้ซะทั่วโรงเรียน กว่าจะหาโอกาสปีนรั้วออกมาได้ปาเข้าไปตั้งเกือบชั่วโมง .. เฮอะ~ อย่าให้รู้นะมึงว่าหมาตัวไหนมันคาบข่าวไปบอก .. กูจะกลับไปชกให้ฟันหักไม่ต้องแดกข้าวไปซักอาทิตย์เชียว! (ชางมิน : ฮัดเช่ยยย~!! >[]<) .. หึหึหึ .. . แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ .. . คิมจุนซูซะอย่าง!


“ เฮ้ย! ”


ร่างเล็กสะดุ้งหลุดจากภวังค์ เมื่ออยู่ดีดีตนถูกดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของใครก็ไม่รู้จากทางด้านหลังโดยไม่ทันได้ตั้งตัว .. เกือบจะตีเข่าใส่ไปแล้วถ้าไม่มีเสียงทุ้มแสนคุ้นเคยดังขึ้นเสียก่อน


รอตั้งนานแน่ะ .. นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว


“ ลูกพี่ยูชอนอ่า~ ”


เด็กชายหันกลับไปหาเจ้าของน้ำเสียงน่าฟัง ยกแขนผอมขึ้นกอดตอบแนบแน่นแล้วซุกหน้าลงกับไหล่กว้างของคนตัวสูงกว่าอย่างออดอ้อนน่ารัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองพร้อมฉีกยิ้มกว้าง


“ ระดับนี้แล้วไม่มีทางพลาดหรอกฮะ! ”


ยูชอนหัวเราะอย่างเอ็นดูกับท่าทีกระตือรือร้นของเจ้าตัวเล็ก .. . ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงจนสันจมูกโด่งจมหายลงไปในกลุ่มผมสีดำนุ่มนิ่มที่มีกลิ่นเป็นเอกลักษณ์ของอีกฝ่าย .. จุนซูรู้สึกได้ถึงแรงกอดรัดที่เพิ่มขึ้นจากเดิมเล็กน้อย และมันทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นกว่าเคย เมื่อได้รับรู้ว่าร่างสูงเองก็คงรู้สึกไม่ต่างไปจากตน ..


ตั้งสองอาทิตย์ .. . พี่คงต้องตายเพราะคิดถึงนายแน่เลยจุนซู ..


คนตัวเล็กกว่าไม่ได้ตอบอะไร เขาปล่อยให้อ้อมกอดเป็นตัวช่วยส่งผ่านความรู้สึกทั้งหมดโดยไม่ต้องใช้คำพูดใดใด .. ถึงจะฟังดูเป็นคำหวานที่ออกจะเลี่ยนบาดหูไปเสียหน่อยสำหรับใครต่อใครที่ผ่านมาได้ยิน กระนั้นจุนซูกลับเห็นว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมามันไม่ได้มีความหมายเกินจริงไปเลยแม้เพียงเศษเสี้ยว .. ในเมื่อตัวเขาเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน


ทั้งสองกอดกันอยู่แบบนั้นไม่ขยับไปไหน จนกระทั่งเสียงประกาศเรียกจากสายการบินระหว่างประเทศดังขึ้น


“ .. ลูกพี่ยูชอน ”


เสียงแหบเอ่ยเรียกเจ้าของอ้อมกอดอบอุ่น เพราะเมื่อครู่ถ้าเขาฟังไม่ผิดจากคำประกาศของทางสายการบิน ร่างสูงจะต้องเข้าเกตภายในเวลาสิบห้านาทีนี้แล้ว แต่ดูเหมือนว่ายูชอนไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจไปด้วยเลยแม้แต่น้อย


“ ไม่อยากไปแล้วล่ะ ”


ให้ตาย .. ในเวลานั้นเขาไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงจริงๆ กับสำเนียงออดอ้อนที่เจืออยู่ในน้ำเสียงทุ้มนุ่มชวนหลงใหลแบบนั้น .. . แล้วไหนจะสัมผัสแผ่วเบาที่หน้าผากนี่อีกเล่า


ก็จริงอยู่หรอกที่เขากับลูกพี่ยูชอนมักจะกอดหรือใกล้ชิดกันอยู่บ่อยครั้งจนกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว แต่การหอมแก้ม จูบขมับ จูบหน้าผากแบบนี้เป็นอะไรที่ร่างสูงไม่เคยทำกับเขามาก่อนนอกจากช่วงไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา .. มันจึงทำให้จุนซูเขินจนไปไม่ถูก .. หัวใจมันเต้นแรงจนน่ากลัวว่าเขาอาจจะขาดใจตายได้ในนาทีใดนาทีหนึ่ง ..


“ ไม่ได้สิฮะ ลูกพี่ยูชอนต้องไปทำงานนะ ”


ร่างเล็กดิ้นจนหลุดออกมาจากแขนแกร่งได้ก็รีบดันหลังคนที่เริ่มออกลายจะเกงานให้เดินไปข้างหน้า ส่วนตัวเองก็ยืนยิ้มแป้นแล้นโบกมือหยอยๆคอยส่งอยู่เบื้องหลัง น่าเอ็นดูเสียจนคุณชายปาร์คอยากจะจับเจ้าตัวเล็กยัดใส่กระเป๋าเดินทางขึ้นเครื่องไปด้วยกันซะเดี๋ยวนั้น .. ก็ดูทำเข้า .. . แล้วอย่างนี้ใครที่ไหนมันจะมีกะจิตกะใจไปทำงานวะเนี่ยย!!


ชายหนุ่มหมุนตัวกลับมาเร็วเท่าความคิด ช่วงขายาวก้าวเพียงครั้งเดียวก็เข้ามาประชิดถึงตัวจุนซูได้ทันใจ .. และโดยไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง รู้สึกตัวอีกทีร่างเล็กก็ถูกดึงกลับเข้าไปอยู่ในวงแขนแกร่งอีกครั้งแล้ว


“ จุนซู .. คิมจุนซู ”


เสียงทุ้มกระซิบแนบชิดใบหู พาให้อุณหภูมิในร่างกายเจ้าของชื่อที่ถูกเอ่ยเรียกเพิ่มขึ้นอย่างเฉียบพลันเพราะตั้งตัวไม่ติดจนเด็กหนุ่มเกือบจะช๊อคตายไปกับการกระทำอุกอาจของลูกพี่ที่เคารพ


รอพี่นะ .. นาย . .. ต้องรอพี่กลับมานะรู้ไหม


น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นฟังแล้วไม่มั่นคงอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งโดยไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด .. แต่ยูชอนก็กระชับให้อ้อมกอดนี้แนบแน่นขึ้นยิ่งไปอีก ทั้งๆที่รู้ดีแก่ใจว่าอีกไม่นานเขาจะกลับมา .. ทว่ามีบางสิ่งในส่วนลึกของหัวใจ .. .แม้อาจเป็นเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งเสี้ยวใดที่แสนเล็กกระจ้อยร่อยเสียยิ่งกว่าเศษผงของบรรยากาศ .. . ถึงอย่างนั้นมันก็มากพอที่จะรบกวนจิตใจของร่างสูงให้ร้อนรนได้อย่างอัศจรรย์ ..


วันนี้ทั้งพ่อและฮยอนจินไม่ได้ตามมาส่งด้วย ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรสำหรับประธานปาร์คผู้มีงานล้นมือเป็นนิจอยู่แล้ว แต่ภรรยาในนามของเขานี่สิ .. ทั้งที่นึกว่าไม่ว่าแผ่นดินจะไหว น้ำจะท่วมหรือพายุจะเข้า เจ้าหล่อนก็จะต้องขอมาด้วยให้ได้ซะอีก .. แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น?


ยูชอนไม่ได้อยากมีอคติ แต่การที่หญิงสาวเห็นความสำคัญของงานมากกว่าเรื่องของเขามันออกจะ .. ผิดปกติไปหน่อย .. แล้วยังรอยยิ้มแปลกๆยามที่เดินมาส่งเขาหน้าบ้านอีกล่ะ ..


เรียกได้ว่าเป็น ‘ลางสังหรณ์’ .. . ล่ะมั้ง


“ พูดอะไรแบบนั้นล่ะฮะ? .. เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ .. . ลูกพี่ยูชอนเป็นอะไรไปอ่ะ ไม่สบายรึเปล่าฮะ! ”


จุนซูถาม ครั้นพอได้พูดไปพูดมาแล้วก็ชักจะระแวงขึ้นมาเสียเอง .. มือเรียวแตะหน้าผาก ขมับ ซอกคอ โน่นนี่มากมายด้วยท่าทีเป็นกังวลจนคนถูกกล่าวหาว่าป่วยกระทันหันต้องปัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไปและอมยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี .. บางทีเขาอาจจะคิดมากไปเองก็ได้


“ เปล่า .. ก็แค่เป็นห่วงน่ะ ”


พอเห็นเจ้าตัวแสบทำหน้าเป็นหมางงยูชอนก็ต้องรีบขยายความอธิบาย


“ คราวที่แล้วพี่พักการเรียนไปแค่วันเดียวนายก็ไปมีเรื่องกับพวกห้องอื่นซะแล้ว .. คราวนี้จะไม่ให้ห่วงได้ยังไงล่ะ ”


และเมื่อได้ยินคำเรื่องเก่ามาเล่าใหม่สีหน้าไม่เข้าใจเมื่อสักครู่ก็เปลี่ยนเป็นบ้องแบ๊วโดยอัตโนมัติ นัยน์ตาสดใสกรอกไปมาทำไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างน่าฟัดที่สุดในโลก ทำเอาคนมองอยู่อดหัวเราะไม่ได้


“ หนนี้ไม่มีแน่นอนครับ .. สัญญาด้วยเกียรติคนหล่อเลยก็ได้!!! ”


เสียงแหบบอกอย่างมั่นใจพลางชูนิ้วสามนิ้วขึ้นมาทำท่าลูกเสือเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ ยูชอนหรี่ตาลงเล็กน้อยอย่างรู้ทันคนรอบจัด


“ ถ้าคิดอย่างที่พูดจริง แล้วจะเอานิ้วไขว้กันไว้ข้างหลังทำไมล่ะจุนซู? ”


“ ง่า~ .. ผมเปล่าทำงั้นซะหน่อย! ”


เถียงกลับไปสุดใจทั้งที่ตัวเองก็เพิ่งจะคลายนิ้วออกจากกันในวินาทีที่ร่างสูงถามนั่นแหละ .. โหยย~ ลูกพี่ยูชอนเก่งชะมัดเลยอ่า!! >___<


มือแกร่งขยี้ผมสีดำสนิทของร่างเล็กอย่างหมั่นเขี้ยว ก่อนจะนึกขึ้นมาได้


“ จริงสิ .. ได้ข่าวว่าได้เพื่อนใหม่แล้วนี่เรา ... ญาติดีกับคิมแจจุงได้ซะทีนะ ”


จุนซูทำหน้าเหวอไปเสี้ยววินาที ใจเต้นตุ้มๆต่อมๆเมื่อนึกไปว่าไอ้คนเล่ามันได้บอกรายละเอียดตื้นลึกไปแค่ไหน เพราะถ้าเล่าจนหมดไส้หมดพุงแล้วล่ะก็เขาคงโดนมิใช่น้อยเป็นแน่ (ชางมิน : ฮัดชิ่วววว!! .. โว๊ย~ เชี่ยฮยอกแจแม่งมึงไม่ได้อาบน้ำรึไงวะ! .. กูจามมาสองรอบแล้วนะเว่ย!! )


“ อ .. ฮะ ” ตอบไปอย่างไม่เต็มเสียง พยายามสบตาเพื่อไม่ให้มีพิรุธ


“ ดีแล้ว .. ทีนี้ก็อย่าไปมีเรื่องกับใครเขาอีกล่ะ ”


ร่างเล็กเผลอถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อเห็นว่าเจ้าเพื่อนยากคงฉลาดพอที่จะไม่ปากสว่างแบบไม่ยั้งคิดจนอาจเป็นเหตุให้พาซวยกันไปทั้งก๊วน กลีบปากอิ่มแย้มยิ้มสดใสพร้อมผงกหัวหงึกหงักรับคำของลูกพี่อย่างแข็งขัน .. ฮู่วว~ รอดไปกู -*-


ยูชอนปฏิเสธไม่ได้ว่าตนรู้สึกวางใจมากขึ้นในระดับหนึ่ง อันที่จริงพวกชางมินก็ดี แต่ถ้ามีใครอีกสักคนมาคอยเป็นหูเป็นตาให้ก็คงเบาใจได้ไปอีกขั้น เท่าที่เห็นคิมแจจุงเป็นเด็กเข้มแข็ง แม้จะเถื่อนไปบ้างทว่าก็น่าจะพอพึ่งพาให้ดูแลจุนซูได้ในระหว่างที่เขาไม่อยู่ .. อย่างน้อยหากเป็นอย่างที่พวกทงเฮบอกจริงว่าเด็กนั่นสนใจเจ้าตัวเล็กของเขา .. ด้วยนิสัยอย่างแจจุงคงไม่ปล่อยให้คนที่สนใจเป็นอันตรายแน่นอน ..


ถึงกระนั้นก็ไม่ได้แปลว่าไว้ใจเต็มร้อย .. เพราะเป็นใครคงไม่ต้องการให้คนอื่นมาเข้าใกล้คนของตัวเองนักหรอก เพียงแต่ยูชอนมั่นใจ ..


คิมจุนซูเป็นของปาร์คยูชอน .. และจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป


“ จุนซู ”


“ .. ฮะ? ”


เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียกแล้วก็ต้องชะงักจากสายตาจริงจังของอีกฝ่ายที่มองลงมา ไม่รู้หรอกว่าจะประหม่าไปทำไมกัน เพียงแต่ประกายบางอย่างที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความจริงจังในดวงตาคมคู่สวยมันสื่อความหมายต่างออกไปจากเคย .. หรืออย่างน้อยจุนซูก็รู้สึกว่ามันเป็นแบบนั้น ..


ราวกับว่าประโยคที่ร่างสูงกำลังจะพูดต่อไปนี้ .. จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง


“ ................. ”


ถ้ากลับมาแล้ว .. พี่มีเรื่องอยากบอกให้นายรู้ .. . ถึงตอนนั้นนายจะช่วยฟังมันหน่อยได้ไหม


ถึงจะยังไม่เข้าใจความหมายของท่าทางผิดสังเกตของลูกพี่ .. . แต่สายตาแน่วแน่ที่ส่งผ่านมาก็ทำให้เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้มสดใสที่ไม่ว่าใครได้เห็นก็ต้องหลงรัก


... แล้วผมจะรอนะฮะ



.


.


.


.


.




TBC~* >w<




 

Create Date : 13 มกราคม 2554    
Last Update : 13 มกราคม 2554 20:36:41 น.
Counter : 373 Pageviews.  

1  2  

BlueSky&PrettyBoy
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




: Users Online
ShoutMix chat widget
Friends' blogs
[Add BlueSky&PrettyBoy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.