ชิ้นส่วนแห่งความทรงจำ
Group Blog
 
All Blogs
 
ปลายฟ้า ตอนที่ 1: ช่องว่าง

เท่าที่เด็กหนุ่มที่ชื่อปลายฟ้าจำความได้ เขาชอบมากที่จะอยู่กับของละเล่นและเพื่อนๆ แต่จะไม่ค่อยชอบใจที่มีคนมาขัดขวางช่วงเวลานั้นของเขา แม้ว่าเขาจะเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองอยู่บ้าง แต่เพื่อคนที่อยู่ด้วยแล้วมีความสุข(เช่นเพื่อนๆ) เขาก็พร้อมที่จะแบ่งปันให้เสมอๆ เมื่อวันเวลาผ่านไปการเด็กเล็กกลายเป็นเด็กโต

เขาต้องย้ายบ้านไปอยู่ที่ถิ่นอื่น ทำให้เขาต้องปรับตัวเข้ากับเพื่อนใหม่ๆ เนื่องจากพ่อแม่ต้องการหาความก้าวหน้าทางสายงาน ทำให้เขารู้สึกเหมือนพ่อแม่จะห่างเหินออกจากตัวเขาไปเสียทั้งคู่ ในบางครั้งเขารู้สึกอ้างว้างจนไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรต่อไป แต่จะหายลงเมื่อเขาอยู่กับเพื่อน หรือเล่นเกมส์ 
ในช่วงมัธยมปลายของเขา ตัวเขายิ่งรู้สึกอ้างว้างมากขึ้น แม้บ้างครั้งพ่อแม่จะอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาก็ตามแต่ นั้นอาจจะเพราะพ่อแม่ของเข้าไม่เคยใจถึงความต้องการจริงๆในตัวเขา ซึ่งอันที่จริงเขาต้องการให้พ่อแม่หันหน้าเข้าหากัน และมีความสุขในการใช้ชีวิตในครอบครัวกันเมื่อก่อนที่ย้ายมา แต่นั้นก็คือความรู้สึกลึกๆของตัวเขา แต่ในช่วงนี้เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตัวเองต้องการอะไร เหมือนกับว่าร่างกายต้องการความอบอุ่น ซึ่งเขาก็ไม่เกี่ยงที่จะเป็นความอบอุ่นของใคร

ในวันหนึ่งของชีวิตเขาความรู้สึกแปลกใหม่ได้บังเกิดขึ้น เขาตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่งชื่อของเธอคือ น้ำค้าง เป็นรุ่นพี่ของเขา 1 ปี เป็นหญิงสาวที่เพรียบพร้อม การเรียนเป็นเลิศ กิจกรรมก็เด่น ซึ่งเมื่อเขามองตัวเองก็รู้สึกว่าต่ำต้อยกว่าเค้ามาก แม้อยากจะพบเจออยู่บ่อยๆ แต่เค้าก็ไม่กล้าพอที่จะเข้าไปคุยกับเธอตรงๆ เพราะรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง
และแล้วโชคชะตาก็นำพาโอกาสมาให้เขาได้รู้จักเธอ โดยในช่วงเวลานั้นเขาเจอหนังสือเล่มหนึ่งหล่นอยู่ที่พื้น เมื่อหยิบขึ้นมาพบว่าเป็นของน้ำค้าง ปลายฟ้าเลยตามหาน้ำค้างแล้วเอาหนังสือเล่มนั้นไปคืนให้ เธอแสดงความขอบคุณเขาเป็นการใหญ่ เพราะถ้าไม่เจอหนังสือเล่มนี้เธอต้องแย่แน่ๆ เพราะว่ามีข้อมูลที่ต้องทำรายงานจากหนังสือเล่มนี้อยู่ ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรมาก แต่ก็แอบดีใจที่จะได้คุยกับเธอซักที ยิ่งเวลาผ่านไปพวกเขาก็พูดคุยกันถูกคอมากขึ้น

"พี่น้ำค้าง พี่ตั้งใจจะไปเรียนต่อที่ไหนเหรอครับ"
"พี่ตั้งใจเรียนเภสัชฯต่อน่ะฟ้า แล้วเธอล่ะ ม.5 แล้ว คิดได้รึยังว่าจะต่อสายไหน"
"โหย ผมยังไม่รู้เลยพี่ แล้วพี่คิดว่าผมควรจะเรียนต่อสายไหนดี"
"พี่ว่าคนใจดีมีน้ำใจอย่างเราน่าจะไปต่อหมอนะ รับรองคนไข้ติดตรึมเลย"
"เรียนหมอใช้คะแนนเยอะอ่ะพี่ ผมกลัวว่าตัวเองจะสอบไม่ติด"
"อย่าพึ่งถอดใจซิ สู้ๆ" น้ำค้างให้กำลังใจ
"ถ้าผมเป็นหมอจริงๆ พี่ต้องเป็นเภสัชฯที่โรงพยาบาลที่ผมประจำนะ" ปลายฟ้าต่อรอง
น้ำค้างหัวเราะแล้วพูดต่อว่า "ถ้าเลือกได้ล่ะนะฟ้า"

แต่ในทางกลับกัน ปลายฟ้ากลับไม่กล้าบอกความรู้สึกของเขาให้น้ำค้างรู้ เพราะกลัวความสัมพันธ์ที่จะต้องหยุดลง ท้ายที่สุดเขาก็มีความรู้สึกว่าอาจจะไม่ได้เจอเธออีก เมื่อเธอสอบติด ณ มหาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าเขาสองคนต้องจากกัน และจากไปโดยที่น้ำค้างไม่ได้รู้ว่าปลายฟ้าคิดอย่างไรกับเธอ

ช่วงแรกๆพวกเขาก็โทรศัพท์หากันบ้าง แต่ช่วงหลังๆปลายฟ้าก็ล่วงรู้ว่าเธอมีแฟนที่มหาลัยแล้ว เขาใจแทบจะแตกสลาย เพราะทั้งชีวิตเค้าไม่เคยรู้สึกรักใครเท่ากับเธอคนนี้มาก่อนเลย เมื่อรู้ว่าเธอมีคู่แล้ว ปลายฟ้าก็เริ่มซึมเศร้าลงไป ไม่ทาินข้าวจนซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด แม่ก็สังเกตเห็นเลยถามว่าเป็นอะไรไป ไม่สบายก็กินยานอนซะ เดี๋ยวจะเรียนไม่ได้ ด้วยความเป็นวัยรุ่น เขารู้สึกว่าคำพูดของพ่อแม่ เป็นคำพูดที่เหมือนกับคิดว่าเค้าคิดเองไม่เป็น เค้าจึงตะหวาดใส่แม่แล้วก็รีบวิ่งเข้าห้อง แล้วแม่ก็ตามขึ้นมาบนห้องถามว่า 
“ลูกเป็นอะไรน่ะ ลูกไม่เคยเป็นอย่างนี้กับพ่อแม่น่ะ ลูกรู้รึเปล่าว่าลูกทำอะไรลงไป”
ด้วยความลุต่อโทสะ เขากลับตะคอกออกไปว่า
“เอะอะอะไรก็โทษนู้นโทษนี้ เคยนึกถึงหัวอกผมไหม เคยรักผมบ้างรึเปล่า”
แม่ซึ่งไม่เคยเห็นลูกตอบกลับอย่างนี้ น้ำตาจึงคลอเบ้าแล้วพูดต่อไปว่า
“แล้วที่แม่ทำอยู่ แม่ทำเพื่อใคร เพื่อเราไม่ใช่เหรอ ลูกขออะไรพ่อแม่ก็พยายามซื้อให้ แล้วลูกยังคิดว่าพ่อแม่ไม่รักอีกเหรอ” 
ปลายฟ้ายังคงรู้สึกไม่ดีขึ้นไปกว่าเดิมซ้ำร้ายเขายิ่งเกิดความขุ่นหมองขึ้นในใจ แล้วตอกกลับไปว่า “แม่ไม่เข้าใจหัวอกผมหรอก!!!” 
แม่เริ่มร้องไห้และสะอื่นตอบไปว่า
“แล้ว แม่ จะ รู้ ไหม ว่า ลูก ต้อง การ อะ ไร ลูก ไม่ เคย เข้า มา คุย ให้ พ่อ แม่ ฟัง นิ ” 
ปลายฟ้าพูดไม่ออกแล้วเริ่มร้องไห้แล้วตอบกลับไปว่า
“ก็ แม่ ไม่ เคย เข้า มา คุย กับ ผม ก่อน ฮือๆๆ”
และพ่อก็เริ่มตัดบท “ฟ้า!ออกมาเดี๋ยวนี้!” 
เขาสะเอือนตอบ “ไม่!!!ผมอยากอยู่คนเดียว”
“เรายังต้องมีเรื่องที่ต้องคุยกันอีกเยอะนะลูก ลูกทำแบบนี้แล้วมันเป็นลูกผู้ชายอย่างนั้นเหรอ”
พ่อพยายามรุกเร้าให้ปลายฟ้าออกมาแต่มันไม่ส่งผลดีใดๆเลย เพราะเวลานี้ปลายฟ้าไม่สามารถทำความเชื่อใจพ่อแม่ของเขาเองได้ นั้นก็อาจจะเพราะพวกเขาห่างเหินจากปลายฟ้ามานานเสียเหลือเกิน จนในที่สุดพ่อก็เป็นฝ่ายปลอบแม่ แล้วก็เป็นฝ่ายตัดบทเพื่อให้สถานการณ์มีทิศทางที่ดีขึ้นคือ 
“ตกลงลูก เรารู้ว่าลูกโตแล้วมีความคิดเป็นของตัวเอง แต่เรายังอาจจะมีสิ่งที่ไม่ลงรอยกันบาง ว่างๆถ้าลูกอารมณ์ดีหน่อย พ่อกับแม่ขอพูดกับลูกดีๆน่ะ”
ปลายฟ้าได้ยินอย่างนั้นก็ร้องไห้ แล้วพล่อยหลับไป

รุ่งเช้าที่เขาตื่นมา เค้ารู้สึกผิดที่ทำกับพ่อแม่อย่างงั้น เขาไม่กล้าที่จะสู้หน้าพ่อแม่ เขาจึงได้รีบไปโรงเรียนแต่เช้าตรู่ และเพื่อไม่ให้พ่อแม่รู้ว่าเขาออกมาแล้ว เขาจึงล็อกห้องของตัวเองเอาไว้ แล้วแขวนป้าย“นอนอยู่”ไว้ที่หน้าห้อง พร้อมทิ้งโทรศัพท์เอาไว้อย่างนั้น วันนี้ทั้งวันเขารู้สึกไม่อยากรับรู้อะไร เฝ้าคอยคิดคำนึงว่า เราจะเรียนไปเพื่ออะไร ทำไมเราต้องเรียนด้วย ครูก็สอนๆไปตามหน้าที่ของเค้า เค้าไม่ทำงานเค้าก็ได้เงิน แล้วเค้าจะสอนไปให้เหนื่อยทำไม เพื่อนก็เหมือนกัน เวลาเราเอาเกมมาก็มาเล่นกับเราจริง มีขนมก็รุมล้อม พอเรานั่งอยู่คนเดียวไม่เห็นจะมีใครมานั่งคุยเป็นเพื่อนเราเลย รึว่าเราไม่ได้สนิทกับเค้าจริงกันน่ะ คิดไปคิดว่าก็วกเข้าที่เรื่องแล้วเราจะอยู่ไปทำไมเนี่ย อยู่ไปเพื่ออะไร

ชีวิตนี้อยู่มาเพื่อทำในสิ่งที่คนอื่นกำหนดมาอย่างงั้นเหรอ แล้วเราจะมีความหมายอะไรที่จะอยู่ต่อ เสียงเล็กๆดังขึ้นในหู ถ้าไม่อยากอยู่ก็ตายเสียซิ ตายไปเลยจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับสิ่งๆนี้อีก เจ็บแป๊บเดียวเดี๋ยวก็ไม่เจ็บอีกแล้ว แต่อีกเสียงนึกก็บอกไม่นึกถึงคนที่อยู่ข้างหลังบ้างเหรอ
เค้าจะเป็นห่วงเราแค่ไหน อีกอย่างถ้าเกิดไม่ตายขึ้นมาคนที่เหมือนตายทั้งเป็นก็คือนายน่ะ เมื่อสิ้นคำนี้แล้วเค้าก็พบว่าถึงแม้ตอนนี้จะอยู่เหมือนตายทั้งเป็น แต่เค้าก็สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ ซึ่งดีกว่าพิการไปแล้วทำอะไรไม่ได้อย่างที่คิด ความรู้สึกที่ว่าอยากไร้ชีวิตก็จบลง

เมื่อกลับถึงบ้านเขาพบว่าพ่อแม่ไม่ได้ไปทำงาน และกำลังนั่งคุยกันเรื่องของปลายฟ้าอยู่ ในขณะนี้พ่อแม่ยังไม่รู้ว่าปลายฟ้ากลับมาแล้ว....
“คุณค่ะ เราเลี้ยงแกมาผิดเหรอ ทำไมแกดูเหมือนก้าวร้าวขึ้น ทั้งๆที่ตอนเด็กๆยังน่ารักอยู่แท้ๆ” เป็นคำแรกที่ปลายฟ้าได้ยิน
“เราคงเลี้ยงแกไม่ผิดหรอก เราออกจะเลี้ยงแกดีกว่าใครๆซะอีก ลองดูบ้านที่เขาทะเลาะทุกวันซิ เราไม่ได้ทำอย่างงั้นซะหน่อย”
พ่อเริ่มโต้ตอบ
“แล้วทำไมแกถึงมีพฤติกรรมอย่างนี้ล่ะ เพราะเพื่อนๆแกเหรอถึงทำให้เปลี่ยนไปถึงขนาดนี้”
“อาจจะใช่ เด็กสมัยนี้ดูไม่ได้เอาซะเลย ไม่เหมือนรุ่นของเราๆเลย”
“สังคมเดี๋ยวนี้แย่จริงๆ มีแต่สิ่งยั่วยุเด็กเลยได้รับพฤติกรรมแย่ๆออกมา”
“แล้วเราจะทำยังไงกับแกดีล่ะ ช่วงนี้ก็ติดเกมบ่อยขึ้นด้วย”
“น่าเบื่อจริงๆ สังคมสมัยนี้!!”
หลังจากปลายฟ้าได้ทนฟังๆมาดูแล้ว เขารู้สึกหมดกำลังใจมากกับคำพูดของพ่อและแม่ของเขา
เขาเลยจากไปเงียบๆ แต่ไปสะดุดกับกระป๋องเข้า พ่อแม่เขาจึงรู้ว่ากลับมาแล้ว.....
“อ้าว เจ้าตัวดีกลับมาแล้วเหรอ เข้ามานี้ก่อนซิ” พ่อเรียกเขา
“มาๆ มานั่งตรงนี้ เรามีเรื่องที่ต้องคุยกันอีกเยอะ” แม่เสริม
“ผมต้องทนฟังที่พวกคุณบ่นอีกเหรอ!!!”
เขาเริ่มรู้สึกว่าตนเองทนไม่ไหวแล้วกับความคิดของพ่อแม่....



Create Date : 26 พฤศจิกายน 2549
Last Update : 26 กรกฎาคม 2556 2:43:37 น. 1 comments
Counter : 297 Pageviews.

 
แค่เปิดเรื่อง ผมว่าน่าอ่าน น่าติดตามแล้ว
ปลายฟ้าคงเหมือนวัยรุ่นทั่วไปนะครับ
เริ่มมีความรักแต่ตอนอายุยังน้อย
พอผิดหวังก็เสียใจมากมาย
ลืมนึกถึงความรู้สึกของพ่อแม่ไปเลย
เขียนดีมากครับ สะท้อนสังคมได้ดีทีเดียว



โดย: basbas วันที่: 19 กรกฎาคม 2550 เวลา:20:45:47 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

blueocynia
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




กาลเวลาร่องลอยคอยร่วงโรย
น้ำค้างโปรยปรอยทั่วทุกหัวระแหง
ดังความสุขทุกข์มิหลงจงสำแดง
จำต้องแปลงเปลี่ยนเรื่องเพราะเตือนความ

วันเวลาอยู่คู่ความทรงจำ ไม่ว่าทุกข์หรือสุขเพียงใด
วันเวลาเหล่านั้นจะค่อยเข้ามาสู่ความทรงจำของเราเอง
Friends' blogs
[Add blueocynia's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.