|
ว่าด้วยการทะเลาะ
ไม่มีการทะเลาะกันครั้งใดไม่เกิดมาจากความขัดแย้ง แต่ไม่ใช่ทุกความขัดแย้งที่นำมาสู่การทะเลาะ ในเรื่องของการทะเลาะนั้น มีสองสาเหตุที่จะทำให้การทะเลาะไม่เกิดขึ้นเลยคือ การไม่ให้มีความขัดแย้งเกิดขึ้นเลย หรือการหาทางออกให้กับความขัดแย้งเหล่านั้น ส่วนแรกนั้นถ้ามองเผินๆ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี เพราะไม่เสี่ยงที่จะก่อให้เกิดการทะเลาะขึ้น เพราะไม่มีความขัดแย้ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความไม่ขัดแย้งจะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อไม่มีความเปลี่ยนแปลง ดังนั้นถ้าโลกไม่มีเวลา การไม่ขัดแย้งก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด หากแต่ว่าในความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้น ดังนั้นเมื่อเรารั้งแต่จะไม่ให้เกิดความขัดแย้งขึ้น ก็หมายความว่าเราต้านกระแสของกาลเวลาไว้ กลายเป็นการสะสมตะกอนความขัดแย้ง จนนำมาสู่การทะเลาะที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบได้ อย่างในกรณีใหญ่ เช่นการเกิดสงคราม การคว่ำบาตรระหว่างประเทศเป็นต้น หรือกรณีย่อย เช่นการลอบสังหาร การตัดสายสัมพันธ์เป็นต้น ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ เมื่อเราอยู่ภายใต้กาลเวลา เราควรจะทำความเข้าใจความขัดแย้งดีกว่าหรือไม่ ว่าความขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อเข้าใจแล้วว่าความขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมดา คราวนี้ก็มาพิจารณาในประเด็นว่า ทำอย่างไรที่จะหาทางออกให้กับความขัดแย้งเหล่านั้นได้ โดยไม่ก่อให้เกิดการทะเลาะขึ้น แล้วความขัดแย้งอย่างไรจึงเกิดการทะเลาะ ความขัดแย้งที่จะก่อให้เกิดการทะเลาะ ก็ต่อเมื่อคู่สนทนาต่างเชื่อว่าสิ่งที่ตนพูดมีคุณค่ามากกว่า ไม่ว่าจะในกรณี อำนาจ ความถูกต้อง ฯลฯ แล้วไม่เปิดรับฟังความคิดเห็นของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างตรงไปตรงมา ทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถคุยกันบนพื้นฐานของความคิดเห็นร่วมได้ จนนำมาสู่การทะเลาะเบาะแว้งกันในเวลาต่อมา สำหรับการที่จะเปิดรับฟังความคิดเห็นของคู่สนทนานั้น เมื่อฟังคร่าวๆดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่ายๆธรรมดา แต่เอาเข้าจริงๆแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย เนื่องจากว่าตัวเราเองก็อยากที่จะแสดงว่าตนเองดีกว่าอยู่เสมอๆ ทั้งในระดับหยาบและย่อย เมื่อเกิดอาการเช่นนี้แล้ว การเปิดรับฟังก็จะไม่เกิดขึ้น การหาจุดร่วมจึงไม่มีทางเป็นไปได้ เมื่อเป็นดังนี้ เราจึงควรพิจารณาดูตนเองอยู่อย่างสม่ำเสมอว่าได้รับฟังสิ่งที่ผู้พูดต้องการจะสื่อได้หรือไม่ แต่ก็ใช่ว่าการสนทนาจะมีแต่ฝ่ายพูดหรือฝ่ายฟังอยู่ถ่ายเดียว การสนทนานั้นจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายเป็นทั้งผู้พูดและผู้ฟัง ดังนั้นการพูดอย่างไรเล่าจึงจะไม่นำพาไปสู่การทะเลาะได้ ถ้าเปรียบว่าการพูดคือกิริยา การฟังก็คือปฏิกิริยา เมื่อครู่เราได้กล่าวถึงปฏิกิริยาไปแล้วว่าควรจะวางไว้ ณ จุดใดมิให้นำพาสู่การทะเลาะ แต่ถ้าเมื่อเราเป็นฝ่ายกิริยา ทำอย่างไรเราจะไม่จุดชนวนการทะเลาะโดยไม่จำเป็นได้ ว่าด้วยจุดเริ่มต้นของการสนทนา (ไม่นับประเด็นที่มีแต่ผู้พูดอยู่ฝ่ายเดียว) ถ้าผู้พูดคุยแต่เรื่องของตนเองโดยไม่สนใจฟัง ก็อาจจะทำให้ผู้ฟังรำคาญได้ แล้วถ้ายิ่งผู้พูดคุยแต่ประเด็นที่ลดคุณค่าผู้ฟังแล้ว การบาดหมางก็เกิดขึ้นได้ง่าย ดังนั้นการสนใจประเด็นในการพูดคุยก็สามารถสร้างความน่าพึงใจในการสนทนาได้ เช่นว่า ถ้าผู้พูดต้องการบอกอะไรซักอย่างแก่ผู้ฟัง ก็มิใช่กล่าวหาว่าเขาเลวร้ายเลย แต่สิ่งหนึ่งที่จำเป็นคือ ถ้าเราจะแก้ไขอะไรบางอย่าง เราต้องทราบข้อมูลให้พอสำหรับปัญหานั้นๆ ดังนั้นการพูดคุยถึงสิ่งที่เขาทำนั้น ทำด้วยเหตุผลอะไร กล่าวคือ สอบทานว่าเขานึกคิดอะไรอยู่ เพราะโดยลึกๆแล้ว มนุษย์ทุกคนถ้าไม่มีความอับจนแล้ว ล้วนแต่ใฝ่วัฒนะ ดังนั้นเมื่อเข้าใจความใฝ่วัฒนะของเขาแล้ว ก็สามารถเจรจาว่าจะเดินไปในทิศทางไหน เพราะความเป็นมนุษย์นั้น น้อยนักที่อยากจะเดินทางอย่างโดดเดี่ยว ดังนั้นถ้ามีผู้ร่วมรับรู้ และร่วมทุกข์ร่วมสุขแล้ว การสนทนาเพื่อแก้ไขปัญหาก็เป็นไปในทิศทางที่คล่องตัวมากขึ้น อีกประเด็นที่ผมสนใจคือประเด็นของความหวังดี ในบางครั้งแล้วความหวังดีที่ไม่เข้าใจก็ไม่ต่างจากความมุ่งร้าย ซ้ำแล้วความหวังดีนั้นกลับทำให้ลำบากใจอย่างลึกล้ำได้อีก ดั่งว่าผู้ได้รับจะเกิดอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะรับทราบว่าผู้ให้นั้นหวังดีจริงๆ แต่ความหวังดีนั้นมันไม่เข้ากับสถานการณ์เอาเสียเลย จนบางครั้งอาจจะทำให้เรื่องเสียเอาได้ง่ายๆ ซ้ำร้ายยังทำให้ผู้ให้รู้สึกแย่กลับไปด้วย กลายเป็นรู้สึกแย่ทั้งสองฝ่าย ดั่งคำว่าทำคุณบูชาโทษฉันใดฉันนั้น แล้วจะทำอย่างไรได้เล่าในเมื่อรับทราบว่ามีผู้หวังดี หากแต่ไม่พิจารณาดูว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่ที่เรา คือจะรับความหวังดีนั้นไว้หรือไม่ หรือจะยังไม่รับในตอนนี้ ถ้าสามารถเลือกไม่รับได้ ก็ควรจะเลือกเอาไว้ เว้นเสียแต่ว่าเขาจะคะยั้นคะยอ เราก็ควรจะปฏิเสธเขาไป แต่เมื่อปฏิเสธไปนั้น มีไม่น้อยเช่นกันที่จะรู้สึกแย่กับเราทันที (ในมุมนี้ผมมองว่าถ้าไม่อยากให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยๆ เราเองก็ควรจะไม่เอาความอึดอัดแบบนี้ไปใช้กับใครด้วย) ดังนั้นการปฏิเสธของเรานั้น ถ้าสามารถคุยกันให้เข้าใจได้ ก็ควรจะคุย แต่ถ้าเป็นไปไม่ได้ ในบางครั้งเราก็จำเป็นต้องให้เขารู้สึกแย่กับเรากลับไป ท้ายที่สุดไม่ว่าจะคุยกันในประเด็นใด ความจริงใจต่อกันนั้น สำคัที่สุดสำหรับการสานสัมพันธ์ แนวคิดแบบเล็งผลเลิศนั้น ไม่สามารถสร้างไมตรีที่ดีได้ นอกเสียจากการเจรจาต่อรองเพื่อหวังผลประโยชน์ แล้วถ้าเป็นประเด็นปัญหาความขัดแย้งนั้น การวางตัวออกมาข้างนอกปัญหา จะทำให้เรามองเห็นปัญหาในมุมมองที่กว้างขึ้น ซ้ำยังไม่นำจิตใจไปหมกมุ่นกับปัญหาจนไม่ทำกิจการอันใดให้ปัญหานั้นผ่อนคลายตัวลง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วความขัดแย้งก็จะไม่นำพาไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งกันได้เลย
Create Date : 09 มกราคม 2553 |
Last Update : 9 มกราคม 2553 21:14:19 น. |
|
0 comments
|
Counter : 491 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|
Location :
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
กาลเวลาร่องลอยคอยร่วงโรย น้ำค้างโปรยปรอยทั่วทุกหัวระแหง ดังความสุขทุกข์มิหลงจงสำแดง จำต้องแปลงเปลี่ยนเรื่องเพราะเตือนความ
วันเวลาอยู่คู่ความทรงจำ ไม่ว่าทุกข์หรือสุขเพียงใด วันเวลาเหล่านั้นจะค่อยเข้ามาสู่ความทรงจำของเราเอง
|
|
|
|
|
|
|
|