ไม่เชื่อ..ไม่รู้..ไม่เห็น..แปลว่า..ไม่มี ใช่ไหม?
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่คนไม่รู้ ไม่เห็นแล้วก็เชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มี อย่างในทางศาสนาพุทธเราก็มีคนหลายคนในปัจจุบันนี้ที่ไม่เชื่อเรื่องกรรม ไม่เชื่อ เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องการทำงานของกรรม เพราะว่าไม่รู้ไม่เห็น หลายๆ คนก็มักจะอ้างว่า พิสูจน์ไม่ได้บ้างล่ะ ไม่เชื่อบ้างล่ะ ไม่เป็นวิทยาศาสตร์บ้างล่ะ ทั้งๆ ที่ไม่เคยเข้ามาศึกษาอย่างจริงๆ จังๆ ได้แต่อ้างไปตามความเชื่อของตัวเอง และนำไปสู่บทสรุปของตัวเองว่า ไม่เชื่อ....ไม่มีหรอกหลายคนเลยเถิดไปขนาดที่ว่า เมื่อไม่เชื่อว่ามี ก็แสดงว่าไม่ต้องรับผล..จริงหรือเปล่า???ถ้าลองหันมาพิจารณาคำสอนในศาสนาพุทธเราว่าสอนว่าไง ซึ่งทางพระท่านบอกว่ากฎแห่งกรรมเป็นกฎเกณฑ์ธรรมชาติ เป็นความจริงทางธรรมชาิติ มีเหตุมีผลรองรับ เหมือนเรื่องอื่นๆ ที่เป็นธรรมชาติทั่วไปบนโลกนี้ เพราะฉะนั้นถ้าเราเริ่มต้นจากคำสอนตรงนี้ แล้วมาวิเคราะห์ปรับเข้ากับกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติอื่นๆ เช่นกฎเรื่องแรงโน้มถ่วงความจริงก็คือ ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องกฎแรงโน้มถ่วง ยังไงซะมันก็ยังให้ผลกับคุณ คุณรู้ว่า วัตถุย่อมตกลงจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำหรือพื้นดิน ทั้งนี้ทั้งนั้น จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม จะรู้หรือไม่รู้ก็ตามว่ากฎการทำงานของแรงโน้มถ่วงโลกเป็นเช่นไร กฎเกณฑ์นี้ก็ไม่มีข้อยกเว้นไม่ใช่คุณบอกว่าฉันไม่เชื่อเรื่องกฎแรงโน้มถ่วง เพราะฉะนั้นฉันต้องบินได้ เพราะว่าตัวฉันไม่ขึ้นกับกฎแรงโน้มถ่วง มันไม่มีตัวตน เพราะฉันไม่เชื่อว่ามันมี (งั้นก็ลองไปโดดตึกดู ว่าบินได้จริงไหม)ไม่ใช่ว่าเกิดส่วนใดของโลก จะประเทศร่ำรวย ยากจน จะมีการศึกษา ไม่มีการศึกษา จะอยู่ขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ แล้วจะมาอ้างว่า ที่อื่นเค้าเชื่อแบบนั้น เค้าสอนแบบนั้น แต่ที่ๆ ฉันอยู่ ไม่มีการสอนเรื่องแรงโน้มถ่วงนี้ เพราะฉะนั้นฉันไม่เชื่อ แล้วสิ่งนั้นจะไม่ส่งผลต่อฉัน ความจริงก็คือ คุณไม่เชื่อได้ เป็นสิทธิ์ของคุณ แต่คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ยังไงแรงโน้มถ่วงของโลกก็ยังทำงานอยู่เป็นปกติ โดยไม่สนใจว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อลองดูเรื่องน้ำกันหน่อยทางวิทยาศาสตร์บอกว่า น้ำมีองค์ประกอบคือ H2O คือ ไฮโดรเจนสองส่วน ออกซิเย่นหนึ่งส่วน รวมกันจะได้น้ำ นักวิทยาสตร์มีวิธีพิสูจน์ มีเครื่องมือพิสูจน์ได้ด้วยแต่ ถ้าคุณบอกไม่เชื่อว่าน้ำประกอบไปด้วย H2O เพราะฉะนั้นน้ำก็คือน้ำ ไม่มีอะไรซ่อนอยู่ ไม่สามารถแยกออกมาได้เป็นไฮโดรเจนกะออกซิเย่น การบอกกล่าวเช่นนี้ การกล่าวอ้างเช่นนี้จะถูกต้องหรือ?ความจริงในเรื่องน้ำก็คือ คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็เรื่องของคุณ แต่ความจริงก็คือความจริง ถ้าเอาเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์มาแยกองค์ประกอบของน้ำกี่ครั้งๆ คุณก็จะได้ ไฮโดรเจนสองส่วนกะออกซิเย่นหนึ่งส่วน ไม่ใช่ว่าคุณไม่เชื่อ แล้วมันจะต้องเป็นไปตามนั้นที่นี้ย้อนกลับมาเรื่องกรรม เรื่องกฎแห่งกรรม ที่หลายคนมักจะอ้างว่าไม่เชื่อ เพราะว่าไม่รู้ไม่เห็น พิสูจน์ไม่ได้ ความจริงแล้ว พิสูจน์ได้ครับ เครื่องมือพิสูจน์ก็ยังคงมีอยู่ วิธีพิสูจน์ก็ยังคงมีอยู่ แต่พวกปิดหูปิดตาตัวเอง แล้วไม่เข้ามาพิสูจน์ ก็ย่อมไม่มีวันได้รู้ได้เห็นด้วยตนเองศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา และไม่ได้สอนให้เชื่อกันงมงาย หรือศรัทธาแบบไม่ลืมหูลืมตา สิ่งที่ควรรู้ไว้ก็คือ พระพุทธเจ้าท่านเผยแผ่ธรรมะ โดยที่ท่านไม่ได้ง้อ หรือโน้มน้าวชักจูงให้มาเชื่อ ให้มาเดินตามหลังท่านต้อยๆแต่...ท่านท้า ให้พิสูจน์ คำสอนของท่าน เพราะคำสอนของท่านเป็นเรื่องจริง เป็นความจริง เป็นกฎเกณฑ์ธรรมชาิติ จะพูดกี่ครั้ง จะพิสูจน์กี่ครั้งก็ได้ผลเหมือนเดิม ท่านจึงท้าให้พิสูจน์ด้วยตัวเอง หากยังสงสัยอยู่ก็เข้ามาพิสูจน์มีคนเชื่อท่านแล้วเข้าไปพิสูจน์มาแล้วมากมาย แล้วก็ยืนยันคำสอนของท่านก็มากมาย เพียงแค่ศึกษาให้ถูกต้องถูกทาง และฝึกสติให้ถูกต้องตามคำสอนของท่าน โดยที่ยังไม่ต้องถึงกับบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน ก็สามารถมีความสุขได้อย่างมากมาย และใช้ชีวิตที่เหลือบนโลกได้อย่างมีความสุขมากขึ้น ไม่ทุกข์ร้อน ไม่ถูกไฟจากกิเลสสามตัว (โลภะ โทสะ โมหะ) หลอกล่อและเผาผลาญจิตใจให้เร่าร้อน มีคนปฏิบัติตามแล้วได้ผลมากมาย มีครูบาอาจารย์มากมายที่กล่าวยืนยันตรงกันเรื่องแปลก แต่จริงก็คือ ถึงขนาดนี้แล้ว ก็ยังมีคนที่ยังคงยืนยันว่า ไม่เชื่อ ไม่มีหรอกเรื่องกฎแห่งกรรมหากคนที่กล่าวเช่นนี้ ได้ลองเข้ามาพิสูจน์แล้ว สามารถลบล้างคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ ก็จะไม่น่าสงสัย แต่หากว่ายังไม่ได้เข้ามาศึกษา เข้ามาพิสูจน์ เพียงแต่เชื่อว่าไม่มี เพราะว่าเป็นความเห็น เป็นความเชื่อส่วนตัว อย่างนี้ถือว่าอันตรายมากๆ น่ากลัวมากๆ ทางพระเราเรียกว่า ประมาทเพราะว่า....หากสิ่งที่คุณเชื่อว่าไม่มีกฎแห่งกรรม เป็นจริง อย่างมากคุณก็เสมอตัวแต่หากว่าสิ่งที่คุณเชื่อมันผิดล่ะ?? คุณคงทำอะไรที่ไม่ดีไปมากมายโดยที่ไม่รู้ แล้วจะไปรับวิบากไม่ดีขนาดไหน มีแต่ขาดทุนและมีแนวโน้มว่าน่าจะลงต่ำมากกว่าขึ้นสูงทางพระท่านยืนยันมาตลอดว่า กฎแห่งกรรมเป็นกฎเกณฑ์ธรรมชาติ เป็นความจริงทางธรรมชาติ เพราะฉะนั้น เชื่อหรือไม่เชื่อ จึงไม่เกี่ยวกับ มีหรือไม่มี เพราะในเมื่อกฎแห่งกรรมเป็นธรรมชาิติ เป็นความจริง ยังไงก็ยังคงทำงานไปตามกฎเกณฑ์ของเค้า โดยที่ไม่สนใจว่าคนจะเชื่อหรือไม่เชื่อถึงตอนนี้....ก็ไม่ได้บอกว่า ให้เชื่อ...แต่จะขอท้ามากกว่า....ถ้ายังไม่เชื่อ..ก็เชิญมาพิสูจน์ด้วยตัวเอง*************************เรื่องกรรม กฎแห่งกรรม วิบากกรรม เป็น 1 ใน 4 ของอจินไตย ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า เถียงกันไปไม่มีวันจบ ไม่มีวันได้ข้อสรุป คือได้แต่คิด ได้แต่คุยกัน จะไม่มีวันได้ข้อสรุป แต่ถ้าอยากรู้จริงๆ ล่ะ ท่านก็บอกแนวทางให้ไว้ว่าจะพิสูจน์ยังไง ถึงจะประจักษ์แจ้งด้วยตนเองหากผู้สนใจในเรื่อง อจินไตยนี้ ขอแนะนำให้อ่าน บทที่ 1 ของหนังสือ เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน ของคุณดังตฤณ เพื่อความกระจ่างชัดมากขึ้น
มุมมองในเรื่อง ความรัก
เดือนแห่งความรัก ก็เลยอยากจะเขียนอะไรเกี่ยวกับเรื่องความรักซะหน่อย ในสายตาชาวโลก ความรักเป็นสิ่งสวยงาม มีคำนิยามของความรักมากมาย มีบทกวี มีบทเพลง มีเรื่องเล่าต่างๆ มากมาย เกี่ยวกับความรัก แล้วจริงๆ แล้ว ความรักเป็นสิ่งสวยงามจริงหรือ? ความรักมีแต่ความสุขจริงๆ หรือ? แล้วทำไม โลกนี้ยังมีคนที่เป็นทุกข์จากความรักเล่า? เพราะคนที่ทุกข์จากความรักนั้น รักไม่เป็น? หรือว่า ไม่เข้าใจความหมายของคำว่ารัก? ยังไงก็แล้วแต่ เราจะเห็นว่า มีทั้งคนสุขสมหวัง และคนทุกข์ผิดหวังจาก ความรัก โลกเราก็เป็นอย่างนี้มานานหากเราลองมาพิจารณาว่า แล้วความรักในมุมมองของพระพุทธเจ้าล่ะ ท่านกล่าวเรื่องนี้ไว้อย่างไร จริงๆ แล้ว ท่านกล่าวว่า ความรักเป็นรูปแบบนึงของความทุกข์ พระพุทธเจ้ากล่าวว่าที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ มีรักร้อยก็ทุกข์ร้อยมีรักสิบก็ทุกข์สิบ มีรักหนึ่งก็ทุกข์หนึ่ง ไม่มีรักเลย ย่อมไม่ทุกข์เลยนอกจากนี้แล้ว ท่านยังกล่าวอีกว่าเธอทั้งหลายอย่าได้พอใจในความรักเลยเมื่อหัวใจยึดถือไว้ด้วยความรักหัวใจนั้นจะสร้างความหวังขึ้นอย่างเจิดจ้าแต่ทุกครั้งที่เราหวัง ความผิดหวังก็จะรอเราอยู่่อันนี้ก็ลองมาพิจารณากันเอาก็แล้วกัน พอคนเราเริ่มที่จะรักใคร คำถามแรกๆ ที่มักจะเกิดขึ้นก็คือ เค้าจะรักเราไหม (ทุกข์แล้วครับ) เค้ามีแฟนหรือยัง (ทุกข์อีก) แล้วจะจีบเค้ายังไง หรือทำให้เค้ารักได้ยังไง (เป็นทุกข์ทางใจอีก)ต่อเมื่อได้ความรักมาครอบครองแล้ว เรามีความสุขกันจริงไหม? วันๆ เอาแต่คิดถึงคนรัก (ทุกข์อีกล่ะ ทุกข์เพราะความคิดถึง)คนที่เรารักจะคิดถึงเราบ้างไหม (ก็ทุกข์อีก) ทำยังไงให้ความรักยั่งยืน ไม่เสียใจ ไม่ทะเลาะกัน ไม่ผิดหวัง (อาจจะทุกข์อีกล่ะ) และแน่นอน ถ้าความรักไม่ราบรื่น จนกระทั่งต้องเลิกรากันไป ต่างคนต่างทิ้งบาดแผลในใจไว้ให้กันและกัน (ก็ทุกข์อีกนั่นแหล่ะ)คนเราเนี่ย หวงเหตุแห่งทุกข์ไว้ ยึดไว้ เกาะไว้แน่นเลย ไม่ยอมปล่อย แล้วก็มาจมอยู่กับความทุกข์ซะงั้นแต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เราควรล่ะทิ้งความรักแล้วเข้าป่า เข้าวัดบวชกันเลย อันนั้นสำหรับคนที่มุ่งมั่นที่จะสละแล้ว แล้วมุ่งหวังความสุขอันแท้จริงจากรสพระธรรม คนที่คิดและปฏิบัติได้เช่นนั้นก็น่ายกย่อง และควรให้การสนับสนุนแต่ถ้าอย่างเราๆ ปุถุชนคนธรรมดา ยังมีกิเลสหนากันอยู่ แต่อยากจะแสวงหาความสุขจาก ความรัก ล่ะ พอจะมีวิธีไหม? คำตอบก็คือ ก็พอมีอยู่ เพียงแต่ควรที่จะศึกษาทำความเข้าใจให้ถูกต้อง และตั้งมุมมองให้ถูกต้องในเรื่องของความรักความรักก็เหมือนเรื่องอื่นๆ บนโลก หากเราตั้งโจทย์ผิด เราก็ไม่มีวันที่จะค้นหาคำตอบได้ถูกได้ตรงเลย แต่หากเราตั้งโจทย์ไว้ถูกต้อง เราจะค้นหาคำตอบที่ถูกที่ตรงได้ไม่ยากการตั้งมุมมองให้ถูกให้ตรงในเรื่องความรัก ก็ควรที่จะศึกษาดูว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนแนะนำในเรื่องความรักไว้อย่างไรบ้าง วันนี้จึงขอแนะนำงานเขียนของคุณดังตฤณ ผู้ที่ถ่ายทอดคำสอนของพระพุทธเจ้าออกมาให้ได้เข้าใจกันได้อย่างง่ายๆ และมีงานเขียนที่เกีี่ยวกับเรื่องความรักอยู่พอสมควร ที่จะทำให้เราได้มีมุมมองที่ถูกต้อง หากยังข้องเกี่ยวกะเรื่องทางโลกอยู่ หากยังข้องเกี่ยวกะเรื่อง ความรักอยู่ การมีความรักที่สุขสมหวัง คงเป็นส่ิงที่ทุกคนปรารถนา จริงไหมครับ? เล่มแรกที่แนะนำ และยกให้เป็น "A Must" ที่ควรอ่าน ก็คือ วาทะดังตฤณ ฉบับความรักหลากสี เล่มต่อมาคือ ดังตฤณวิสัชนา ฉบับรู้จักรัก (เล่มนี้ยังไม่มีลิงค์ ไว้มีแล้วจะมาอัพเดทครับ)และขอแนะนำงานเขียนจากที่ต่างๆ ที่คุณดังตฤณได้เคยเขียนไว้ ขอนำมารวบรวมไว้ให้ได้อ่านกัน(ขออนุญาตก็อปมาจากคอลัมน์ จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว นิตยสารธรรมะใกล้ตัว ฉบับที่ 7)-----------------------**** ว่าด้วยเนื้อคู่ และบุพเพสันนิวาส ****จะรู้ได้อย่างไรว่าใครคนนั้น เป็นคู่บุญ หรือคู่บาป?"คู่บุญ" มีลักษณะอย่างไร และทำไมจึงได้ "คู่บาป"ีเนื้อคู่หรือเปล่า?จะดูได้อย่างไรว่าคนที่เราคบอยู่ใช่เนื้อคู่เราหรือเปล่าความรักผ่านอินเตอร์เน็ตเกิดขึ้นได้อย่างไร?บางคนไม่เคยเจอกันเลย แต่ทำไมแค่คบกันทางเน็ตก็รักกันได้ปิ๊งกันแล้วรู้สึกเหมือนถูกไฟดูดเพราะอะไร?ไปทำบุญร่วมกัน สบตาแล้วเหมือนถูกไฟดูด เป็นสัญญาณจากอดีตชาติหรือเปล่า(ไปที่คำถามที่ ๔)ทำไมจึงผลัดกันรัก ทำไมชายหญิงจึงผลัดกันรัก แต่ไม่เคยพร้อมกันสักที?ทำไมคู่แต่งงานดูไม่ค่อยเข้ากัน คนสวยมักได้คนไม่หล่อ คนหล่อมักได้ภรรยาไม่สวยระหว่างเทพธิดาในฝัน กับนางมารของจริงทำไมเทพธิดาในฝันของผู้ชายส่วนใหญ่จึงเหือดหายไปได้รวดเร็ว จะหาพวกเธอได้อย่างไร**** อกหัก ผิดหวัง ช้ำรัก ****ทำไมแสวงหาคนจริงใจแต่ไม่เคยได้เจอ?ต้องทำบุญอย่างไรถึงจะได้เจอคนจริงใจกำลังใจสำหรับคนเพิ่งถูกทอดทิ้งเพิ่งถูกแฟนบอกเลิก ทรมานใจเหลือเกิน ไม่มีเขา เราจะอยู่อย่างไร(ไปที่คำถามที่ ๔)เหตุใดจึงอาลัยแฟนบางคนมากเลิกกับแฟนแล้วยังอาลัย จะว่าเคยร่วมบุญกัน แต่ก็ไม่เห็นบุญใหม่รักษาสัมพันธ์ไว้ได้(คำถามที่ ๔)ในชีวิตเจอแต่รักสามเส้า ทำกรรมอะไรไว้ในชีวิตชอบเจอแต่รักสามเส้า ไม่ทราบทำกรรมอะไรไว้ และจะแก้ไขได้อย่างไรจะตัดใจจากคนรักเก่าได้อย่างไร?ทั้งอ่านหนังสือ สวดมนต์ ทำใจคิดต่าง ๆ นานา ก็วกกับมาคิดอีก จะทำอย่างไรดี(ไปที่คำถามที่ ๒)วิธีเลิกคิดถึงแฟนเก่าให้เด็ดขาดเวลาใครพูดถึงแฟนเก่าก็คิดมากขึ้นมาอีก ทั้งที่คล้ายตัดใจได้เด็ดขาดไปแล้ว**** นิยมกิ๊ก นอกใจ ไปชอบแฟนคนอื่น ****จีบแฟนคนอื่นบาปไหม?จีบแฟนคนอื่นที่เขายังไม่แต่งงานกันถือว่าบาปไหม? (ไปที่คำถามที่ ๓)แอบรักแฟนเพื่อนฝันถึงแฟนเพื่อน ถ้าเธอเลิกกับแฟนมาหาผม จะผิดศีลข้อกาเมฯ ไหม? (คำถามที่ ๒)การมีชู้ผิดอย่างไรถึงต้องลงนรก?การมีเซ็กซ์ก็แค่การเอากายไปมีอะไรกัน ทำไมการมีชู้จึงต้องมีโทษถึงนรกด้วย?จะเอาเกณฑ์อะไรไปตัดสินชัด ๆ ว่าเป็นชู้แล้ว ผิดประเวณีแล้ว?เป็นชู้เลวมากไหมคบกับคนมีภรรยาแล้ว แต่รู้สึกถึงแรงดึงดูดเกินห้ามใจแย่งแฟนคนอื่นแล้วสำนึกผิดเคยแย่งแฟนคนอื่น แต่สำนึกแล้ว จะทำอย่างไร ต้องเจอวิบากอะไรในอนาคตอีกบ้าง**** วิธีรักษาความรักไว้... ให้ยั่งยืน ****ทฤษฎีทำร้ายคนรักตอนยังไม่รัก อาจมีแก่ใจทำดีกับเขา แต่เมื่อรู้ว่าเขารักเรา เราจะเริ่มอยากทำร้ายเขาทันที!แอร์ไม่เย็นขอหย่าเครื่องทำความเย็นทางใจ... เรื่องที่คนมักมองไม่เห็นความสำคัญ หรือหาช่างซ่อมไม่ได้อาการทางจิตของคนมีรักรักมีคำเดียว แต่ความหมายของรักนั้น มีได้มากเท่าวิธีเห็นแก่ตัวของแต่ละคน**** ปฏิเสธรักคนอื่น ****การไม่รับรักคนที่มาติดพัน เป็นบาปหรือไม่?การไม่รับรักคนที่มาติดพัน แล้วปรากฏว่าเขาเสียใจมาก รู้สึกเศร้าใจตาม บาปไหม**** เมื่อคนปฏิบัติธรรม มีความรัก ****ปฏิบัติธรรมยังมีความรักได้ไหม?ปฏิบัติธรรมแล้วยังมีความรักได้ไหม ชีวิตคู่ของผู้ปฏิบัติธรรมควรจะเป็นไปอย่างไร
ระหว่าง รู้ กับ ไม่รู้ อย่างไหนมีโทษมากกว่ากัน?
ถ้าว่ากันตามแบบโลกๆ แล้ว การทำสิ่งใดก็ตามโดยไม่รู้ ก็น่าที่จะรับโทษน้อยกว่าผู้ที่รู้แล้วยังทำ ขนาดศาลท่านยังลดโทษให้ ถือว่าเป็นความประมาท เป็นความไม่รู้ เป็นความพลั้งเผลอกระทำผิด โทษก็จะเบากว่าคนที่ รู้ ว่าทำอย่างนี้ไม่ดี ทำแล้วผิด แต่ก็ยังทำอีกตัวอย่างเช่น เด็กทำผิดเป็นครั้งแรก หรือผู้ใหญ่ก็ตาม ทำผิดเป็นครั้งแรก มักจะมีการแก้ตัวกันว่าเพราะไม่รู้ หรือที่พูดกันว่า ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ซึ่งมักจะได้รับโทษเบากว่าผู้รู้แล้วยังทำผิดอันนี้ก็คงจะพอยอมรับได้ในบางเรื่องในทางโลก แต่บางเรื่องทางโลกเองก็ไม่ยอมรับนะ อย่างเช่น จะมาอ้างว่า ไม่รู้กฎหมายเลยทำผิด อันนี้อาจจะอ้างได้ในบางบท บางมาตรา แต่ตัวบทกฎหมายยังมีอ้างไว้เหมือนกันว่า ทุกคนมีหน้าที่ต้องรู้กฎหมายในเรื่องนั้นเรื่องนี้ จะมาอ้างในภายหลังว่าไม่รู้กฎหมายนั้นๆ ไม่ได้ อย่างนี้ก็มีเช่นกันแต่ถ้าจะว่ากันในเรื่องของกฎแห่งกรรมแล้ว เรื่องกลับสวนทางกับความคิดความรู้สึกแบบโลกๆ เพราะผู้ ไม่รู้ จะได้รับโทษมากกว่า ผู้ รู้ เพราะอะไร?เรื่องนี้ ทางพระท่านเปรียบเหมือนกับมีถ่านไฟก้อนแดงๆ หรือเหล็กที่ถูกเผาไฟจนแดงร้อน (ลองจินตนาการตามไปด้วยนะครับ)ปรากฎว่ามี คน 2 คนที่กำลังจะเดินไปหยิบจับถ่านหรือเหล็กแดงนั้นขึ้นมากำคนที่ 1 ทราบว่าถ่่านหรือเหล็กนั้นร้อนอยู่ก่อนแล้ว (รู้)คนที่ 2 ไม่ทราบว่าถ่านหรือเหล็กนั้นร้อนอยู่ก่อนแล้ว (ไม่รู้)ระหว่าง 2 คนนี้ เวลาจับถ่านหรือเหล็ก ใครจะจับแรงกว่ากัน ยึดไว้แน่นกว่ากัน?ระหว่าง 2 คนนี้ เวลาจับถ่านหรือเหล็ก ใครจะมือพองมากกว่ากัน?ปกติคนไม่รู้ย่อมจับย่อมยึดถ่านหรือเหล็กไว้อย่างแน่นมากกว่ากัน เพราะด้วยความที่ไม่รู้ว่าถ่านหรือเหล็กมันร้อนนั้นเอง และเหตุนั้นมือของผู้ไม่รู้ย่อมพุพองมากกว่า เจ็บแสบมากกว่าผู้รู้ ทั้งนี้ก็เพราะว่าผู้รู้นั้น ถึงแม้ว่าจะต้องจับถ่านหรือเหล็กนั้นก็จะพยายามจับแบบหลวมๆ เพราะรู้ว่ากำลังจับของร้อน มือก็จะพองได้น้อยกว่าแต่ประเด็นของเรื่องก็คือ ถ้าไม่จับไม่หยิบเลย ก็จะไม่ได้รับความพุพองความเจ็บแสบจากการจับของร้อน ของร้อนในที่นี้เปรียบเหมือนบาปอกุศลทั้งหลาย ถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็จะดี จะไม่พบกับความเดือดร้อน แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ยังต้องเจอ ยังต้องเผชิญอยู่ การรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็จะดีกว่าผู้ไม่รู้ เพราะจะช่วยลดผลกรรมวิบากลงไปได้บ้างไม่มากก็น้อยอย่าลืมว่า คนเราทำกรรมอยู่ทุกขณะ ทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดี กรรมไม่ดีเป็นบาป บางทีเราทำไปโดยไม่รู้ตัว โดยความไม่รู้ของเรานั่นแหละ ยิ่งไม่รู้มากยิ่งได้รับผลกรรมวิบากมากตัวอย่างเช่น การเถียงพ่อแม่ เล็กๆ น้อยๆ การทำบึ้งตึ่ง หน้าเง้าหน้างอนใส่ท่าน เดินกระแทกเท้า กิริยาอาการที่ไม่เหมาะสมต่อพ่อแม่ หรือผู้มีพระคุณ เห็นมั๊ยว่าเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีคนรู้ และคิดว่าไม่สำคัญ ไม่ผิดอะไรมาก แต่เรื่องเล็กๆ เนี่ยแหละ ทำบ่อยๆ ทำมากๆ ด้วยความไม่รู้ไปเรื่อยๆ ผลของมันน่ากลัวนะหรือการโกหกเล็กๆ น้อยๆ เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องไม่สำคัญ การพูดจากถางถาก กระแหนะกระแหน ดูถูกคนอื่นเพื่อความมันส์เพื่อความสะใจของตัวเอง เป็นกรรมทั้งนั้นแหละครับหรือการอ่อยเหยื่อ แกล้งทอดสะพาน ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย แกล้งให้ความหวังกะอีกฝ่ายโดยที่ตัวเองไม่ได้มีใจด้วย การหลอกใช้งาน หลอกเอาเงิน เพราะเห็นอีกฝ่ายเป็นฝ่ายเข้ามาเองมาตกหลุมรักหัวปักหัวปำเอง จึงคิดว่าไม่ใช่ความผิดของตัว ไม่สำคัญ เหล่านี้ก็เป็นกรรมทั้งนั้นครับตัวอย่างอื่นๆ เช่น การคิดไม่ดี คิดอิจฉา อาฆาต พยาบาทไม่ว่าจะกับคนใกล้ตัวคนรู้จักไม่รู้จัก การมีจิตเศร้าหมองอยู่อย่างนั้น จิตไม่แจ่มใส มีแต่ความทุกข์ร้อน อัดอั้น ทำอะไรก็ไม่มีความสุข ผลก็ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จนจิตใจไม่มีทางสงบสุขได้ เพราะทุกข์ร้อนอยู่กับเรื่องเหล่านี้ กรรมมี เจตนา สำคัญที่สุด เจตนาดีก็ดี เจตนาไม่ดีก็ไม่ดี แต่ที่น่ากลัวก็คือ ไม่ได้เจตนาดีจริง หรือไม่ก็พยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่ามีเจตนาดี โดยที่ตัวเองหลอกตัวเองจนเชื่อเมื่อรู้ตัวว่ายังเป็น ผู้ไม่รู้ ก็ควรเร่งศึกษาให้ รู้และกระจ่างแจ้งให้เป็นผู้รู้และไม่ประมาทในการใช้ชีวิตแต่คนที่ ไม่รู้ ว่าตัวเอง ไม่รู้นั้น น่ากลัวจริงๆ------------------------------------------พระเจ้ามิลินท์ได้เคยถามปัญหาเหล่านี้กับพระนาคเสน เรื่องราวมีปรากฏในพระไตรปิฏกที่มา: มิลินทปัญหาปัญหาที่ ๑๐ ถามถึงการทำบาปแห่งผู้รู้กับผู้ไม่รู้“ ข้าแต่พระนาคเสน สมมุติว่ามีคน ๒ คน คนหนึ่งรู้จักบาป อีกคนหนึ่งไม่รู้จัก แต่กระทำบาปด้วยกันทั้งสองคน ข้างไหนจะได้บาปมากกว่ากัน ? ”“ ขอถวายพระพร ข้างไม่รู้จักได้บาปมากกว่า ”“ ข้าแต่พระนาคเสน ราชบุตรของโยมหรือราชมหาอำมาตย์คนใดรู้ แต่ทำผิดลงไปโยมลงโทษแก่ผู้นั้นเป็นทวีคูณ ”“ ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะเข้าพระทัยความข้อนี้อย่างไร...คือสมมุติว่ามีคน ๒ คน จับก้อนเหล็กแดงเหมือนกัน คนหนึ่งรู้ว่าเป็นก้อนเหล็กแดง อีกคนหนึ่งไม่รู้ คนไหนจะจับแรงกว่ากัน ? ”“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า คนไม่รู้จับแรงกว่า ”“ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือผู้ไม่รู้บาปได้บาปมากกว่า”“ ชอบแล้ว พระนาคเสน ”
เกิดเป็นมนุษย์นั้นยากแค่ไหน?
เคยได้ยินเค้าว่ากันว่า เกิดเป็นมนุษย์นั้นยากแสนยาก ความที่ว่ายากนั้นมันยากแค่ไหน อยากจะรู้ไหมครับ??เรื่องนี้องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ว่ายากขนาดไหน ลองจินตนาการตามเอาก็แล้วกันสมมติว่ามีห่วงยางที่มีขนาดเล็กๆ พอๆ กับที่ให้หัวเต่าสอดไปได้อยู่อันนึง เราเอาห่วงยางอันนั้นไปโยนกลางมหาสมุทร (นึกถึงความกว้างใหญ่ของมหาสมุทรกับขนาดของห่วงยางนะ)ห่วงยางก็ลอยไปลอยมาไร้ทิศทาง แล้วสมมติต่อว่ามีเต่าตาบอดอยู่ตัวนึงอาศัยอยู่ในมหาสมุทรนั้น เต่าตัวนี้ ร้อยปีจะโผล่ขึ้นมาข้างบนสักทีนึงลองจินตนาการดูนะครับว่า โอกาสที่เต่าตาบอดตัวนี้จะโผล่ขึ้นมา (ใน 100 ปี) แล้วหัวของมันโผล่ขึ้นมาพอดีกับห่วงยางที่ว่านั้น พอดีเปะๆ เลย มีโอกาสสักเท่าไหร่ครับในความคิดของคุณ!!แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า โอกาสที่เต่าจะโผล่มาเอาหัวสอดเข้าไปในห่วงยางนั้น ยังมีโอกาสมากกว่าการเกิดเป็นมนุษย์เลยพอเห็นภาพไหมครับว่าเกิดเป็นมนุษย์ยากแค่ไหน เมื่อเกิดมาแล้ว ได้เป็นมนุษย์แล้ว ก็อย่าพลาดโอกาสที่จะศึกษาหาความรู้กันนะครับ ไม่งั้นก็หลงๆ กันไปกับความไม่รู้เช่นเดิม เกิดใหม่ก็ไม่รู้อีกแล้ว ชาตินี้ก็อาจจะเป็นอีกชาตินึงของความไม่รู้----------------------------------------------ที่มา: พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรคฉิคคฬสูตรที่ ๑ ว่าด้วยความเป็นมนุษย์ยาก [๑๗๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษโยนแอก ซึ่งมีช่องเดียวลงไปในมหาสมุทร เต่าตาบอดมีอยู่ในมหาสมุทรนั้น ต่อล่วงร้อยปีๆ มันจะโผล่ขึ้นคราวหนึ่งๆ เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เต่าตาบอดนั้น ต่อล่วงร้อยปีๆ มันจะโผล่ขึ้นคราวหนึ่งๆ จะสอดคอให้เข้าไปในแอกซึ่งมีช่องเดียวโน้นได้บ้างหรือหนอ? ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ ถ้าล่วงกาลนานไปบางครั้งบางคราว เต่าจะสอดคอให้เข้าไปในแอกนั้นได้บ้าง.พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เต่าตาบอด ต่อล่วงร้อยปีๆ มันจะโผล่ขึ้นคราวหนึ่งๆ สอดคอให้เข้าไปในแอกซึ่งมีช่องเดียวโน้น ยังจะเร็วกว่า เราย่อมกล่าวความเป็นมนุษย์เพราะคนพาล ผู้ไปสู่วินิบาตแล้วคราวเดียวก็หามิได้ ข้อนั้น เพราะเหตุไร? เพราะว่าในวินิบาตนี้ ไม่มีการประพฤติธรรม การประพฤติชอบ การกระทำกุศล การกระทำบุญ มีแต่การเคี้ยวกินกันและกัน การเคี้ยวกิน ผู้มีกำลังน้อยกว่า ย่อมเป็นไปในวินิบาตนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะไม่เห็นอริยสัจ ๔ อริยสัจ ๔ เป็นไฉน? คือ ทุกขอริยสัจ ฯลฯ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียร เพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.-------------------------------------------
ทำไมต้องจุดธูป 3 ดอก เทียน 2 เล่ม?
เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมเวลาไปไหว้พระต้องจุดธูป 3 ดอก เทียน 2 เล่ม และดอกไม้อีก หรือที่เราเรียกกันว่า เอาดอกไม้ธูปเทียนไปไหว้พระทำไมธูปต้อง 3 ดอก?ทำไมเทียนต้อง 2 เล่ม?แต่ดอกไม้ ไม่เห็นมีการจำกัดว่าต้องเป็นดอกนั้นดอกนี้?จากที่ค้นคว้ามาก็มีหลากหลายความเห็น จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือว่าเค้าเล่าต่อกันมา เค้าเล่าว่า เค้าเล่าว่า แล้วควรเชื่ออันไหนดีสำหรับผม ผมเลือกเชื่อนักปราชญ์ดีกว่า ซึ่งบุคคลที่ผมเลือกเชื่อก็คือ ท่านพระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) ท่านเป็นพระที่น่านับถือและมีสติปัญญาเป็นที่เลื่องลือมาก เชื่อบัณฑิตอย่างท่านน่าจะปลอดภัยกว่า ท่านกล่าวว่าการจุดธูป เทียน และถวายดอกไม้นั้นเป็นการบูชาพระรัตนตรัย ซึ่งก็คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั่นเอง โดยความหมายของแต่ละอย่างนั้นก็คือธูป 3 ดอก เป็นการบูชาคุณ 3 อย่างของพระพุทธเจ้า นั่นคือพระปัญญาิคุณ ที่ท่านตรัสรู้พระวิสุทธิคุณ ความบริสุทธิ์จากการที่พระองค์ตรัสรู้พระมหากรุณาิคุณ ความเมตตากรุณาที่พระองค์มีต่อสรรพสัตว์แล้วทำไมธูปต้องหอม กลิ่นหอมของธูปก็เปรียบเสมือนกลิ่นคุณความดี หรือกิตติศัพท์ คุณความดีของพระองค์ ซึ่งกลิ่นของความดีนั่นดีกว่ากลิ่นของธูป เพราะกลิ่นธูปนั่นต้องไปตามลมเท่านั่น ในขณะที่กลิ่นความดี ไปทวนลมก็ได้ ฟุ้งกระจายไปได้รอบทิศทางเทียน 2 เล่ม เป็นการบูชาพระธรรม ซึ่งศาสนาพุทธแยกออกเป็น 2 ส่วนคือ พระธรรม กับ พระวินัย ที่มักจะได้ยินรวมกันว่า พระธรรมวินัย ทั้งสองอย่างต้องควบคู่กันจึงจะทำให้พุทธศาสนาอยู่ยั่งยืน ถ้ามีพระธรรม ไม่มีพระวินัย ศาสนาก็อยู่ไม่นาน ถ้ามีแต่พระวินัย ไม่มีพระธรรม ก็ไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าพระวินัยจะสื่อไปถึงอะไรพระธรรม คือเนื้อหาสาระ ธรรมคำสั่งสอนที่พระพุทธเจ้าสอนพระวินัย คือรูปแบบ การจัดตั้งวางแผน วางระบบ ทำให้สามารถสื่อธรรมะ หรือพระธรรมออกไปได้ในวงกว้าง มีแบบแผนชัดเจนเทียนจุดแล้วสว่าง ก็เปรียบเสมือนแสงสว่างหรือปัญญา นำทางให้กับผู้คนได้ดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง มองเห็นทางเดินได้ถูกเส้นทาง มีพระธรรมนำทางย่อมเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกและปลอดภัยดอกไม้ เป็นการบูชาพระสงฆ์ดอกไม้ไม่ได้จำกัด ไม่ได้ระบุประเภท จึงมีการนำดอกไม้หลากหลายสี หลากหลายพันธ์มาบูชา ดอกไม้ที่นำมาบูชาจึงมีสารพัด มีสีต่างๆ มีพันธ์ต่างๆ เล็กบ้างใหญ่บ้าง และเวลานำมาบูชาก็มักจะมีการจัดให้สวยงาม เช่น จัดเป็นพวงมาลาพวงมาลัย จัดใส่แจกัน จัดใส่พาน ซึ่งดูเป็นระเบียบเรียบร้อยดอกไม้พวกนี้ก็โยงไปเปรียบเทียบกับพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งประกอบไปด้วยหมู่คณะ เป็นชุมชน ประกอบด้วยพระสงฆ์ที่มาจากชาติตระกูลต่างๆ กัน ภูมิหลังการศึกษา การอบรมต่างๆ กัน ชีวิตความรู้สึกจิตใจต่างกัน คือมีความต่างกันในหลายๆ อย่าง แต่พอเข้ามารวมกันเป็นคณะสงฆ์ อยู่ในหมู่สงฆ์ด้วยกัน จะมีวินัยอันหนึ่งอันเดียวกัน และปฏิบัติตามธรรมะของพระพุทธเจ้าอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยเฉพาะปฏิบัติตามพระวินัยอันหนึ่งอันเดียวกัน จึงทำให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ก็มีความงดงามซึ่งเปรียบเสมือนดอกไม้ต่างสีต่างพันธ์ดอกเล็กดอกใหญ่มากมายนั้น ช่างจัดดอกไม้สามารถจัดให้ดูสวยงามได้ ทำให้การบูชาดอกไม้เปรียบเหมือนกับการบูชาพระสงฆ์นั่นเอง เพราะพระสงฆ์เมื่อมารวมกันแล้วปฏิบัติตามพระวินัยก็ดูงดงามเรียบร้อย น่าเคารพบูชาอย่างไรก็ตาม การบูชาในพุทธศาสนามีอยู่ 2 อย่างคือ อามิสบูชา และปฏิบัติบูชาอามิสบูชา คือการบูชาด้วยสิ่งของ การบูชาธูปเทียนดอกไม้นั้นก็จัดว่าเป็นอามิสบูชา เป็นการแสดงออกของความมีน้ำใจ การแสดงออกถึงความเคารพ เราจึงบูชาด้วยสิ่งของเหล่านี้ แต่การบูชาแบบนี้พระพุทธเจ้าไม่นิยมสรรเสริญธรรมบูชา หรือเรียกอีกอย่างว่า ปฏิบัติบูชา คือการปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ถือว่าเป็นการบูชาที่สูงสุดและพระพุทธเจ้านิยมสรรเสริญมากกว่าอามิสบูชา เพราะว่าพระองค์ไม่ได้ต้องการสิ่งของจากพุทธศาสนิกชน แต่พระองค์ต้องการให้ทุกคนปฏิบัติธรรม ตามที่พระองค์ได้ทรงเผยแผ่มากกว่า ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์ต่อตัวผู้ปฏิบัติเอง พระองค์ไม่ได้รับประโยชน์อันใดเพิ่มขึ้นเลย----------------------------------------------------ส่วนการจุดธูป 1 ดอก 5 ดอก 7 ดอก 9 ดอก หรือมากมายกว่านั้น ท่านพระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) ไม่ได้กล่าวไว้ แล้วที่มีการกล่าวอ้างกันสืบๆ ต่อกันมา ก็หาหลักฐานไม่ได้ ไม่แน่ใจว่าเป็นพิธีกรรมของศาสนาอื่นหรือเปล่า ศาสนาพุทธเราจริงๆ มีพิธีกรรมน้อยมากๆ สิ่งที่เราเห็นกันปัจจุบันนี้ ปะปนกันเยอะมาก บางอย่างเป็นของพราหมณ์ ฮินดู หรือของศาสนาอื่น แต่เราเข้าใจไปว่าเป็นพุทธก็มีเพราะคนเราเกิดมาพร้อมกับความ "ไม่รู้" ไงครับ เมื่อไม่รู้แล้วรออะไรล่ะครับทุกท่าน???? อยู่เฉยๆ จะรู้ขึ้นมาได้เองได้ยังไงล่ะครับ????