พูดภาษาอังกฤษให้ดี แนวจิตวิทยา VI
เจอมาจากกระทู้ในพันทิปนี่แหละค่ะ เลยรวม ๆ จากที่คุณ คนบ้านเดียวกัน เขียนไว้เอามารวมกันจะได้อ่านแบบต่อเนื่อง แต่ถ้าใครสนใจ อยากอ่านแบบมีผู้ชมประกอบด้วย ก็เชิญได้เลยที่ลิงค์ข้างล่างค่ะ ^^


พูดภาษาอังกฤษให้ดี แนวจิตวิทยา

by คนบ้านเดียวกัน from //www.pantip.com/cafe/library/topic/K10586407/K10586407.html



สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน สำหรับท่านใดที่ยังไม่มีบทละคร สามารถไปดาว์โหลดได้จาก คุณ คห 166 (จากบล็อคนี้ดูได้ที่ พูดภาษาอังกฤษให้ดี แนวจิตวิทยา IV นะคะ) ได้เลยน่ะครับ *****และผมก็ได้ไปค้นๆหา จนพบ Facebook ของละครวิทยุเรื่องนี้ แต่เนื่องจากทางเวไม่อนุญาตให้มีการนำลิ้งค์ของเฟชบุคมาโพสไว้ในกระทู้ ผมจึงแนะนำให้ท่านผู้อ่านนั้น พิมพ์คำว่า Script and Scruple MP3 ลงไปใน Google น่ะครับ

------แต่ในตอนนี้ ละครนี้ได้ออกอากาศในประเทศสหรัฐอเมริกาไปล่วงหน้า หลายร้อยตอนเลยในบทละครที่ผมได้นำมาเผยแพร่ไปไกลมากแล้วส่วนไฟล์ MP3 อาจจะล้ำหน้าไปมาก หากผู้ใดสามารถขุดค้นหา ไฟล์ MP3 ตั้งแต่ตอนต้นๆได้ผมจะขอขอบพระคุณมากๆเลยน่ะ ครับ----------------------------


สำหรับ ท่านผู้อ่านที่ต้องการจะเก่งภาษาเพื่อเรียนต่อปริญญาโทหรือเมืองนอก ผมแนะนำให้ไปลงเรียนพิเศษ เป็นช่องทางลัดน่ะครับไม่ว่าจะเป็นการสอบ ILELT หรือ TOEFL ก็ตามเพราะหากจะต้องการทำคะแนนด้วยวิธีของผมและเพื่อนๆในที่นี้อาจจะช่วยได้ ไว้ไม่ทัน เพราะเรื่องของการสอบเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะเป็นเรื่องด่วนและจะต้องใช้ เวลาจำกัด แต่หากท่านผู้อ่านจะต้องการเรียนภาษาอังกฤษในจังหวะสบายๆ ในเวลาที่อำนวยวิธีผมและของท่านผู้อ่านหลายๆคนที่แนะนำมาในกระทู้นี้จะดีมาก เลยน่ะครับ


*****ผมขอย้ำน่ะครับว่าท่านผู้อ่านที่ต้องการจะ ตรวจสอบการใช้ภาษา ไม่ว่าจะเป็นการเขียนหรือการพูด วิธีที่คุณ Horton แนะนำมานั้นถือได้ว่าเป็นวิธีที่ๆดีมากน่ะครับ ใส่ประโยคที่เราจะใช้แต่ไม่แน่ใจว่าถูกหลักหรือไม่ ลงไปในระหว่างเครื่องหมายอัญประกาศ “---“ไปลงบน Google น่ะครับแล้วกด Search ผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็นประโยคที่มีความใกล้เคียงกับประโยคที่ท่านผู้อ่านได้ พิมพ์ลงไป ท่านผู้อ่านลองอ่านเปรียบเทียบกันน่ะครับ ประโยคที่ Google หามานั้นมักจะเป็นภาษาอังกฤษที่เจ้าของภาษาจะใช้กัน เป็นวิธีคร่าวๆ เพราะเนื้อหาบน Google เองนั้นก็ไม่ได้ถูกต้องเสมอไป ก่อนที่ท่านผู้อ่านจะเทียบประโยคของตัวเองและ ผลลัพธ์ที่ Google นำมาแสดงท่านผู้อ่านควรจะตรวจสอบแหล่งที่มาของประโยคนั้นๆเสียก่อนเพื่อความ มั่นใจน่ะครับ******


ในตอนนี้ ผมเองก็มีความคิดเห็นมาเสนอ ท่านผู้อ่านสนใจที่จะจัด Book Club มั้ยครับ เหตุผลที่ผมสนใจที่จะจัดตั้งชมรมนี้ขึ้นมาเพราะให้เป็นสนามทดลองการใช้ภาษา ของท่านผู้อ่าน ผมไม่แนะนำให้มีการแชทกันบนอินเตอร์เน็ตหรือผ่าน Facebook เพราะ ด้วยเหตุผลที่ว่า การสื่อสารผ่านอินเตอรเน็ตนั้น ขาดความเป็นธรรมชาติ ไม่มีการออกเสียง ไม่มีการแสดงความรู้สึก และไม่ได้ฝึกการโต้ตอบระหว่างผู้พูดด้วยกัน ซึ่งในมุมมองผมเองนั้น ดูจะขัดหลักการพูดอยู่ไม่น้อยสำหรับผู้ที่ต้องการจะเรียน พูดภาษาอังกฤษน่ะครับ


อีกเหตุผลหนึ่งของการจัด Book Club นั้นเพื่อเป็นการบังคับให้ผู้อ่านนั้นจะต้องอ่านเรื่องที่ทางกลุ่มกำหนดมา เสียก่อน ก่อนที่จะมาเจอกัน และในการพบปะแต่ละครั้ง ทุกๆคนจะต้องออกความเห็นไม่น้อยกว่า 1 ครั้งเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน ดูคล้ายๆเป็นการให้การบ้าน แต่ก็มีความจำเป็นมากน่ะครับที่เพราะ จุดประสงค์นั้น จะต้องให้ผู้อ่านแสดงความเห็น และเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนจากเรื่อง ที่อ่าน หลักการนี้ต่างประเทศก็นำมาใช้กันน่ะครับ เป็น แนวแม่บ้านมาเจอกัน จิบน้ำชา รับประทานคุกกี้ และนั่งคุยกันเกี่ยวกับนิยายที่อ่านมา ผมคิดว่าการที่จะให้ทุกคนมานั่งถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ ของกันและกัน เป็นภาษาอังกฤษดูจะเป็นการละลาบละล้วงเกินไปเพราะสมาชิก Book Club เองคงไม่เคยมีใครที่จะได้รู้จักกันมาก่อนอยู่แล้ว การจะเริ่มการสนทนาเองอาจจะไม่ไหลลื่นเท่าการกำหนดให้มีเรื่องที่จะนำมาคุย กัน และอาจทำให้ผู้พูดทั้งหลายจะต้องจบบทสนทนาไปโดยปริยาย


ใน ครั้งที่ผ่านๆมานั้นผมได้กล่าวถึงเรื่อง Input ไว้ในหลายแง่มุมอยู่พอสมควร และก็มีหลายๆท่านเองซึ่งก็เคยได้กล่าวไว้ว่า การที่จะไม่มีเพื่อนพูดคุยเป็นภาษาอังกฤษด้วยนั้นเป็นเรื่องลำบาก ซึ่งหากท่านผู้อ่านเองไม่ได้มีเพื่อนต่างชาติไว้ให้พูดภาษาอังกฤษด้วย และหากมี Input จนล้นแล้ว และไม่มี Output เป็นทางออก การเรียนภาษาก็จะไม่ครบวงจร


กลยุทธ์ดังกล่าวผมเล็งเห็นว่า เป็นวิธีที่น่าจะได้ผลดีทีเดียวในระดับหนึ่ง การกำหนดหัวข้อ ศึกษาให้เวลา ท่านผู้อ่านเตรียมตัว และก่อให้เกิดมีการนำเสนอออกมาขึ้น จะเป็นการฝึกการพูดได้ดีทีเดียว เฉกเช่นเดียวกับ ดารานักแสดงสาวสวย พอลล่า เทย์เลอร์ ที่มาเมืองไทยใหม่ๆเองภาษาไทยสู้ไม่ค่อยจะคล่องนัก แต่พอต้องมาทำงานเป็นผู้ดำเนินรายการเพลงทางช่อง Channel V แล้วจึงทำให้ พอลล่า ต้องดันตัวเองให้เก่ง ภาษาไทย “ในบริบทของผู้ดำเนินรายการมากขึ้น” พอลล่า ทำรายการเพลงมาในจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน ไหนจะต้องเล่นละครไทย ใช้ภาษาไทยที่ต้องอาศัยเทคนิค การจำ การแสดง และการพูดเข้ามาประกอบ



ผม เลยไม่ประหลาดใจเลยว่า ลูกครึ่งหลายๆคนหรือคนไทยที่โตเมืองนอก ที่พูดไทยไม่คล่อง พอได้เข้ามาอยู่ในวงการบันเทิงแล้ว ทำให้สามารถพูดไทยได้มากขึ้น จนเหมือนคนไทยแท้ๆ อาจจะมีเพี้ยนบ้างแต่ก็ถือว่าดีมาก ผมใช้วงการบันเทิงเพราะ เป็นสายอาชีพที่จะต้อง พูด ต้องมีการสื่อสารอยู่ตลอดเวลา ทำให้การใช้ภาษาซ้ำๆ บ่อยๆ และความกดดันที่จะต้องพูดให้ได้เพื่อให้งานแสดง ออกมาเป็นธรรมชาติที่สุด ทำให้ เหล่าบรรดา ดาราพูดไทยไม่ชัด สามารถพูดและอ่านภาษาไทยได้เร็วในระยะเวลาอันสั้น ส่วนเรือง Book Club นั้นไว้ผมขอมาลงรายละเอียดอีกครั้งน่ะครับ






Create Date : 25 มิถุนายน 2554
Last Update : 25 มิถุนายน 2554 20:54:42 น.
Counter : 921 Pageviews.

1 comment
พูดภาษาอังกฤษให้ดี แนวจิตวิทยา V
เจอมาจากกระทู้ในพันทิปนี่แหละค่ะ เลยรวม ๆ จากที่คุณ คนบ้านเดียวกัน เขียนไว้เอามารวมกันจะได้อ่านแบบต่อเนื่อง แต่ถ้าใครสนใจ อยากอ่านแบบมีผู้ชมประกอบด้วย ก็เชิญได้เลยที่ลิงค์ข้างล่างค่ะ ^^


พูดภาษาอังกฤษให้ดี แนวจิตวิทยา

by คนบ้านเดียวกัน from //www.pantip.com/cafe/library/topic/K10586407/K10586407.html



สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านอีกครั้งน่ะครับ สำหรับบทความวันนี้จะเป็นเรื่องราวการทดลองของผมกับเพื่อนที่มหาลัย เมื่อหลายปีก่อน ในตอนนี้ผมจะยังไม่กล่าวถึงเรื่อง Input หรือ Output น่ะครับแต่จะเป็นการเล่าประสบการณ์การทดลองส่วนตัวในการเรียนภาษาอังกฤษของผมเอง


หากท่านผู้อ่านยังจำได้ในตอนแรกสุด ผมเคยได้กล่าวไว้ว่า ผมเคยได้มีโอกาสเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่เป็นหลักสูตรนานาชาติแห่งหนึ่ง แต่เนื่องจากนักศึกษามหาวิทยาลัยส่วนใหญ่เป็นนักเรียนที่มาจากโรงเรียนไทยและส่วนน้อยที่มาจากโรงเรียนนานาชาติ จึงทำให้การใช้ภาษาอังกฤษระหว่างนักเรียนด้วยกันจึงน้อยมาก นอกเสียจากในชั้นเรียนจะมีนักศึกษามาจากต่างประเทศ บ้างแต่ส่วนใหญ่เองนั้นก็ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแรก กันเสียเท่าไหร่ ส่วนกลุ่มที่พูดอังกฤษกัน หูดับตับไหม้นั้น ก็จะรวมตัวกัน เพราะคุยกันรู้เรื่องมากกว่า


ผมตัดสินใจที่จะนำสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง จากการท่องประโยค จากบทละคร จากการฟังเพื่อนร่วมห้องคุยกัน จากสื่อต่างๆที่ได้ผ่านตาหรือผ่านเข้ามาให้หู นำออกมาใช้ เพื่อนๆในคณะมีหลายคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ครึ่งๆอยู่หลายคน สำหรับคำนิยามคำนี้ผมได้มาจากหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งได้กล่าวถึงนักเรียนที่มาจากประเทศยุโรป ที่เข้ามาศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกา ว่าเป็นกลุ่ม Half English Speaking ผมขออธิบายเล็กน้อยน่ะครับว่า คำนิยามนี้สำคัญมากต่อการเรียนพูดภาษาอังกฤษ คำว่า พูด ได้ครึ่งหนึ่ง กับ พูด งูๆ ปลาๆ นั้นไม่เหมือนกันน่ะครับ การพูดได้ครึ่งเดียวในความหมายนี้ แปลว่าเป็นผู้ที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องตามอักขระที่เจ้าของภาษาเขาใช้กัน ****แต่ไม่สามารถใช้ได้มากเท่ากับเจ้าของภาษา****พวกเขาเหล่านี้จึงสามารถสื่อสารได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ไม่สามารถสื่อออกมาได้ในทุกบริบทหรือสถานการณ์ต่างๆ อาจจะด้วยเหตุผลเพราะไม่ทราบคำศัพท์ ไม่เคยได้ยินสำนวนต่างๆ หรือคำแสลงที่ปัจจุบันมีมากมายให้เลือกใช้ กลุ่มประชากร Half English Speaking เหล่านี้จึงสามารถสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้ดีในระดับที่สูงพอสมควร ****แต่ไม่สมบูรณ์เท่าเจ้าของภาษา****


กลับมาเรื่องของการลองผิดลองถูกของผมน่ะครับ ในคณะของผม กลุ่ม Half English Speaking มักจะเป็นนักเรียนที่โตมาจากระบบโรงเรียนนานาชาติตั้งแต่เด็กๆ ส่วนมากเป็นต่างชาติและคนไทยปนๆกัน พวกเขาจะใช้ภาษาไทยสื่อสารผสมกับอังกฤษในการพูดคุยกัน เนื่องจาก ตั้งแต่เด็กจนโตพวกเขาเหล่านี้ได้ทั้งสองภาษาไปพร้อมๆกัน ภาษาอังกฤษในห้องเรียน แต่พอคุยกับเพื่อนคนไทยก็จะใช้ภาษาไทยเสียส่วนใหญ่ ****ไม่ใช่โรงเรียนนานาชาติทุกๆที่ ที่เด็กต่างชาติหรือเด็กไทยจะพูดไทยได้น่ะครับ**** และในทางกลับกันก็ไม่ใช้นักเรียนจากโรงเรียนนานาชาติทุกคนจะพูดอังกฤษได้คล่องกันทุกคน ส่วนมากจะเป็น Half English Speaking กันเสียส่วนใหญ่ และส่วนน้อยที่พูดอังกฤษไม่เท่าไหร่นัก****


เนื่องจากจะต้องทำงานกลุ่มด้วยกันบ่อยๆ ผมจึงมีโอกาสได้กลายมาเป็นเพื่อนกับ กลุ่มพูดอังกฤษครึ่งๆกันกับหลายคน ลักษณะการพูดคุยกันระหว่างเพื่อนๆในกลุ่มนี้มักจะมีภาษาไทยและอังกฤษ ผลุบๆโผล่ๆ มาให้เห็นตลอด คนภายนอกจะมองว่า นักเรียนเหล่านี้ โอ้อวดหรือเปล่า เสแสร้งหรือไม่ ผมบอกได้เลยครับว่าพวกเขาใช้สองภาษาพร้อมๆกันเพราะความเคยชินเท่านั้น ผมเลยต้องลองบ้าง ที่นี่ข้อดีของการพูดผสมๆ นั้นทำให้เกิดการลองผิดลองถูกลองศึกษาปฎิกิริยาโต้ตอบที่กลับมาของเพื่อนๆในกลุ่ม ทำให้การพูดของผมไม่เกิดความกดดันมาก เนื่องจากภาษาไทยยังคงเป็นภาษาที่ผมใช้ถนัดที่สุด การร่วมงานจึงดำเนินไปอย่างฉลุย ผมก็มีแอบพูดผสม เป็นประโยคลงไป ผมมักจะไม่พูดเป็นคำๆ ผสมกับคำไทย เพราะจะทำให้สมองเราเกิดความเคยชินกับการใช้ ไทยคำอังกฤษคำ เหมือนที่นักวิชาการ ดารา นักธุรกิจหลายคนใช้กันจนเป็นเรื่องธรรมดาของสังคมสมัยนี้ ที่นี่เวลาที่มีเพื่อนต่างชาติเข้ามาทำงานในกลุ่มด้วย พวกเราก็จะเปลี่ยนการพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นเป็นภาษาอังกฤษแทน เพราะถือเป็นการให้เกียรตินักศึกษาต่างชาติในมหาวิทยาลัยที่ไม่สามารถเข้าใจภาษาไทยได้


เพื่อนๆ ผมเหล่านี้เปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษล้วนๆได้อย่างช่ำชอง ทำเอาผมนั่งนิ่งของฟังอย่างเดียวไปก่อน ถ้าให้ผมเถียงผมคงเถียงไม่ค่อยทันเพราะตอนนั้นยังพูดไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่เลยครับ ได้แต่ฟังและใจจดใจจ่อกับคำที่เพื่อนๆใช้พูดคุยกันเป็นภาษาอังกฤษ ว่าหากภาษาไทย พูดว่า “คุณจะต้องเอาดินสอขีดลากไปตามขอบกระดาษ แล้วจึงตัด” จะต้องพูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษได้อย่างไร ผมคงพูดได้แค่คร่าวๆว่า “Draw the line here and then cut there” ซึ่งเป็นการสื่อสารแบบขาดความหมายซึ่งขาดองค์ประกอบในการสื่อไปมากพอสมควร หากเป็นตอนนี้ ผมจะพูดว่า “Use a pencil and trace around the corner of the paper before you cut it”


ในสมัยเรียนเป็นช่วงที่สมองผมเก็บข้อมูลเป็นอย่างมาก ทั้งอ่าน ทั้งฟังและก็ช่างพูด พูดครึ่งๆนี่แหละครับ ลองไปอยู่กับนักเรียนฝรั่งจริงผมก็คงพูดไม่ได้มากไปกว่าที่ศึกษามา แต่ก็มีหลายครั้งที่ผมมีความจำเป็นจะต้องพูดเป็นภาษาอังกฤษล้วนๆ แต่ผมเองก็ใช้ภาษาอังกฤษเท่าที่ผมศึกษามาเท่านั้น ผมพูดได้ช้า แต่ก็พยายามใช้ประโยคที่ผมเองนั้นคุ้นเคยมากที่สุด เพื่อที่จะสื่อสารให้ได้เรื่องมากที่สุด หากผมไปฟังตอนที่ตัวเองพูดในสมัยก่อน ผมเองก็คงจะเหมือนเด็กๆคนหนึ่งที่ยังพูดไม่ค่อยเป็น พูดออกมาเพียงแต่ไม่กี่คำไม่กี่ประโยค ในการสื่อสารเท่านั้น จริงๆ กลุ่ม Half English Speaking เองนั้นก็ใช่ภาษาอังกฤษเท่าที่พวกเขาทราบเท่านั้น เพียงแต่จะสามารถสื่อสารทางความหมายได้ดีขึ้นมาอีกเท่าตัว


ผมเคยสังเกต เพื่อนชาวใต้หวันที่มหาลัยคนหนึ่งที่จบมาจาก โรงเรียนนานาชาติระดับแนวหน้าของประเทศไทยแห่งหนึ่ง ได้พยายามอธิบายเหตุการณ์ๆหนึ่งให้เพื่อนชาว ตะวันออกกลางฟัง และแน่นอนการใช้ภาษาของเพื่อนชาวใต้หวันที่เรียนนานาชาติตั้งแต่เด็กๆ ย่อมสามารถใช้รูปประโยคและคำศัพท์ที่มีความหลากหลายมากกว่าผมแน่นอน แต่เรื่องจาก เพื่อนผมเองก็ไม่ได้เป็นเจ้าของภาษาและใช้ภาษาไทยมากพอๆกับภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน จึงทำให้การอธิบายของเพื่อนผมนั้นไม่ได้ดีเท่าเจ้าของภาษา แต่เชื่อมั้ยครับว่าที่ผมได้ยินนั้นเป็นภาษาที่ไพเราะมาก ถึงแม้ว่าจะเพื่อนผมคนนี้จะใช้คำวนไปวนมา แต่ทำไมภาษาที่เขาใช้จึงถึงได้ฟังดูใกล้เคียงเจ้าของภาษานัก??


อย่างแรกน่ะครับ ถึงแม้ว่าเพื่อนผมจะไม่ได้ใช้คำศัพท์มากมายให้ดูเกินความจำเป็นแต่ รูประโยคที่นำมาใช้พูดนั้น****ล้วนแต่เป็น ภาษาอังกฤษที่ถูกต้อง**** ยังจำที่ผมเคยกล่าวไว้ตอนแรกๆได้มั้ยครับว่า พูดให้เหมือนเด็กฝรั่ง ไม่ว่าจะพูดได้น้อยหรือไม่รู้คำศัพท์มากพอแต่ขอให้พูดให้ถูกอักขระเท่านั้น ก็ถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นที่ถูกต้องแล้วน่ะครับ และจะเป็นการสร้างนิสัยให้ท่านผู้อ่าน พูดแต่ภาษาอังกฤษที่ถูก อักขระในเชิงวจนะภาษาของเจ้าของภาษาเขาน่ะครับ ตัวผมเองพูดได้เหมือนเด็กประถมฝรั่งเห็นจะได้ ถึงแม้ว่าผมจะยังไม่ทราบคำศัพท์มากเท่าเจ้าของภาษา หรือ พูดได้คล่องเป็นต่อยหอย แต่ผมก็จะพูดให้ถูกอักขระมากที่สุด

อย่างที่สองสำเนียงเพื่อนผมเป็นอเมริกันมากทำให้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น แต่ในตอนนี้ผมจะยังไม่ขอกล่าวเรื่องสำเนียงกันน่ะครับ ผมขอเน้นไปที่เรื่อง Input ไปก่อนในตอนนี้ ต่อมาภายหลังผมเองก็เริ่มทราบถึงปัญหาแล้วว่า ผมเองนั้นยังไม่มีความคล่องพอสมควร ผมเลยตัดสินใจพูดอังกฤษกับเพื่อนที่เป็น Half English Speaking ล้วนๆ เท่าที่ความสามารถผมจะไปถึง


ในตอนนั้นผมเองก็ต้องปรับตัวพอสมควร เนื่องจากในความเป็นจริงไม่มีใครสามารถมานั่งสอนผมได้ตลอดเวลา เพราะผมเองก็โตแล้ว ก็คงไม่มีใครมานั่งสอนว่าจะต้องพูดอย่างไร พูดอย่างไรให้ถูกต้องถึงจะฟังดูธรรมชาติ ผมก็อาศัยจากสื่อต่างๆที่ผมได้แนะนำมานี่แหละครับ แต่นำออกมาพูดในมหาลัยให้บ่อยที่สุด เพื่อนคนไทย ผมพูดไทยด้วย เพื่อนคนไหนที่ถนัดพูดอังกฤษมากกว่าผมก็พูดเป็นภาษาอังกฤษกับคนนั้น มีบางเวลาที่ไม่สามารถอธิบายเป็นภาษาอังกฤษได้ ผมก็พูดไทยออกมาแทน ก็เนียนๆ ไปไม่ให้เพื่อนแอบรู้ว่าเรา แอบเรียนภาษาจากพวกเขา ผมกับเพื่อนสนิทอีกคนที่เป็นคนพูดครึ่งๆเหมือนกันก็ตัดสินใจทำแบบเดียวกับผม โดยใช้ภาษาอังกฤษคุยกันล้วนๆ เพราะเพื่อนผมเองก็เริ่มจะใช้อังกฤษน้อยลงทุกวันๆ หากมีสถานการณ์ไหนที่ผมพูดเป็นภาษาอังกฤษไม่ออก ผมก็กลับมา หาอ่านหาฟังทันทีแล้วเอาไปพูดต่อกับเพื่อน เพื่อไม่ให้ลืม


****ข้อพึงระวังน่ะครับ พยายามอย่าไปตีสนิทกับหรือพูดกับฝรั่งแปลกหน้าเพื่อให้เขาฝึกภาษาให้เรา อย่าไปว่าเขาหรือน้อยใจหากเขาเดินหนี**** ในทางกลับกัน เราเองจะยอมเสียเวลามานั่งสอนภาษาไทยให้กับต่างชาติหรือไม่ หากเราเองก็ไม่ได้เป็นครู เราเองก็อยากมานั่งดื่มเบียร์เย็น สบายๆ แล้วจู่ๆมีคนแปลกหน้าเข้ามาทักแถมพูดไทยไม่ชัด มาทักทาย มาถามชื่อ มาถามอายุ ถามนู่นถามนี่ มาลองสนามภาษาไทยกับเรา เราเองจะรู้สึกว่าเป็นการไม่สุภาพหรือไม่?


การเรียนรู้ค่อยๆ เป็นค่อยๆไป มีวิธีมากมาย ที่จะหา Output แต่ตอนนี้ท่านผู้อ่านพยายามอ่านให้มากๆ ฟังมากๆ และอย่าลืมเขียน Diary ของท่านผู้อ่านเองเป็นภาษาอังกฤษ หากท่านผู้อ่านยังไม่ใม่สามารถสร้างประโยคได้เอง ผมแนะนำให้ไปลอกคำและประโยคเขามาก่อนน่ะครับ เพื่อให้เกิดความคุ้นเคย


การเขียน

สำหรับผู้ที่ต้องการจะเขียนภาษาอังกฤษให้เก่งน่ะครับ อ่านนิตยสารที่เป็นภาษาอังกฤษให้มากๆเข้าไว้ นอกจากเราจะไม่ต้องมาเรียนไวยากรณ์ให้น่าเบื่อ ท่านผู้อ่านจะซึมซับการเขียนผ่านจากการอ่านได้มากกว่าไปเรียนในชั้นเรียนเสียอีก นิตยสารที่ผมแนะนำ ก็เช่น Times, Newsweek หรืออะไรก็ได้ที่เป็นทางการ หรือหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษก็ดีน่ะครับ บทความเหล่านี้มักจะใช้วิธีการเขียน ตามมาตรฐานการเขียนข่าว ไม่ว่าจะเป็นการเว้นวรรค การใช้เครื่องหมาย ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการจะศึกษาไวยากรณ์ไปพร้อมๆกับการเขียนภาษาอังกฤษน่ะครับ


สำหรับการใช้คำในการเขียน ท่านผู้อ่านมีความจำเป็นที่จะต้องพึ่งตัวเองมากๆน่ะครับ โรงเรียนภาษาช่วยได้แค่ในระดับหนึ่งเท่านั้น ท่านผู้อ่านจะต้องถามตัวเองก่อนว่า ท่านผู้อ่านต้องการเขียนในลักษณะใด หากเขียนเป็นบทความทั่วไปท่านผู้อ่านอาจจะอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษทั่วไปๆ ดั่งที่ผมได้กล่าวไว้ในตอนต้นๆแล้วน่ะครับ การเขียนอาศัยการหา Input เช่นเดียวกับการพูด หากเรารู้ว่าจะต้องพูดอย่างไร เราก็สามารถเขียนออกมาได้เช่นนั้น เหมือนกัน


ผมทั้งอ่าน และเขียนออกมาใน Diary เมื่อก่อนทุกวัน เดี๋ยวนี้มีข่าวอะไรสำคัญผมอ่านจากหนังสือพิมพ์ก่อนแล้วเขียนสรุปเอาเอง ติดตรงไหนผมก็ยืมคำมาใช้ทันที เพราะผมถือว่า ผมเองก็ไม่ได้รู้รูประโยครหรือ คำศัพท์ในภาษาอังกฤษทั้งหมด การทดลองพูด ทดลองเขียนจะทำให้ท่านผู้อ่านทราบว่าท่านผู้อ่านนั้นจะต้องศึกษาเรื่องใดเพิ่มเติมน่ะครับ





Create Date : 19 มิถุนายน 2554
Last Update : 19 มิถุนายน 2554 21:41:32 น.
Counter : 700 Pageviews.

1 comment
พูดภาษาอังกฤษให้ดี แนวจิตวิทยา IV
เจอมาจากกระทู้ในพันทิปนี่แหละค่ะ เลยรวม ๆ จากที่คุณ คนบ้านเดียวกัน เขียนไว้เอามารวมกันจะได้อ่านแบบต่อเนื่อง แต่ถ้าใครสนใจ อยากอ่านแบบมีผู้ชมประกอบด้วย ก็เชิญได้เลยที่ลิงค์ข้างล่างค่ะ ^^


พูดภาษาอังกฤษให้ดี แนวจิตวิทยา

by คนบ้านเดียวกัน from //www.pantip.com/cafe/library/topic/K10586407/K10586407.html


สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ในตอนนี้ที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้นั้น ผมจะยังคงอยู่ที่เรื่องของ Input น่ะครับ แต่ก่อนที่ผมลงไปในรายละเอียอดอีกนั้น ผมขอย้ำให้ท่านผู้อ่านนั้นจะต้องพึงระลึกไว้ตลอดระหว่างเวลาการเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองก่อนน่ะครับว่า ทุกๆอย่างนั้นจะต้องอาศัยเวลาและความเอาใจใส่


ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่เคยท้อและหยุดที่จะพยายามหลายต่อหลายครั้ง เพราะคิดว่าศึกษาไปเท่าไหร่ก็ไม่เห็นจะพูดได้คล่องและเร็วสักที ผมเองเป็นคนหนึ่งที่มักจะชอบอะไรที่มันเร่งรัดและรวดเร็ว เห็นโฆษณาอะไรที่ทำแล้วได้ผลเลยและเร็วนั้น จะได้รับความสนใจจากผมเป็นอย่างมาก ด้วยความที่ผมมักจะเลือกเอาแต่ความสบายนั้นทำให้ หลายๆครั้งที่ความท้อมักจะเข้ามาเยี่ยมเยือนอยู่เสมอ โดยที่ผมเองนั้นก็ไม่ได้คิดว่า ทุกอย่างล้วนต้องอาศัยเวลา จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่ความยากง่ายของสิ่งที่เราศึกษา แต่ผลที่ตามมานั้นย่อมเป็นสิ่งที่แน่นอนที่สุด


ผมจึงขอแนะนำว่าท่านผู้อ่านหากเหนื่อย หรือเริ่มมีอาการตัน อ่านไม่เข้า ศัพท์จำไม่ได้ ให้วางหนังสือก่อนน่ะครับแล้วไปทำอย่างอื่น ปล่อยให้จิตใจสบายแล้วจึงมาอ่านใหม่อีกรอบ ศึกษาภาษาอังกฤษหรืออะไรก็ตามในขณะที่จิตใจเบิกบาน ไม่ขุ่นมัว จะทำให้การรับรู้เพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว เหมือนเด็ก เล็กๆน่ะครับ ที่สามารถเรียนและรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว เพราะพวกเขานั้นไม่มีเรื่องที่จะต้องเป็นทุกข์หรือกังวลใจ เปรีบเสมือนคอมพิวเตอร์เปล่าๆ ที่รอให้เจ้าของนั้นนำโปรแกรมมาใส่นั้นเอง


ผมหวังว่าทุกท่านนั้นจะได้รับความรู้จาก บทละคร ที่ผมนำมาให้ไม่มากก็น้อยน่ะครับ เป็นบทที่อ่านง่าย เนื้อเรื่องเดินเร็ว แถมเนื้อหาน้ำเน่าไม่แพ้ ดอกส้มสีทอง อ่านไปเรื่อยๆแล้วจะทราบเรื่องเองครับ บทละครนี้มีอีกยาวผมเองยังอ่านไม่จบครบทั้งหมดที่ผมนั้นนำมาให้ผู้อ่านได้เห็นกัน ผมเก็บไว้เป็นคู่มือประจำตัวอยู่พักนึง สมัยตอนที่ทำงานใหม่ๆจะต้องใช้ภาษาอังกฤษในที่ทำงาน จะอ่านซ้ำไปมาหลายรอบก่อนนอน ได้นำประโยคที่ได้เห็น ได้อ่านผ่านตามาใช้บ้าง แต่ถ้าเมื่อไหร่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษนานแล้วๆ ผมก็จะหยิบมาอ่านเพิ่อสร้างคุ้นเคยให้กับสมองเอาไว้ก่อน


และเมื่อไม่นานมานี่ ผมได้เจอ English Speaking Club ซึ่งเป็นชมรมพูดภาษาอังกฤษ ผ่านทาง Facebook โดยบังเอิญ ที่นี่ผมเองก็ไม่ได้เป็นสมาชิกแต่อย่างใด แต่จากที่ดูๆคร่าวๆ ผมเข้าใจว่ากลุ่มดังกล่าวนี้ได้มีการจัดกิจกรรม ให้กับผู้ที่ต้องการฝึกการใช้ภาษาอังกฤษให้ได้มีโอกาสพูดกัน โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน หากท่านผู้อ่านมีโอกาสให้ พิมพ์คำว่า English Speaking Club ไปบนตรงช่อง Search ด้านบนของ Facebook น่ะครับ ที่นี่ลองเข้าไปดูกิจกรรมและรายละเอียดชมรมก่อนน่ะครับ ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเขาจัดกันบ่อยแค่ไหน แต่ยังไงผมว่าเป็นโอกาสที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านเป็นอย่างมาก


กลับมาที่เรื่อง Input น่ะครับ ในตอนนี้ผมจะขอให้ท่านผู้อ่าน ปฎิบัติตามกระบวนการเดิมที่ผมเคยได้วางไว้ ในเรื่องของการเรียนรู้ด้วยการอ่าน Diary ของฝรั่งเขา ส่วนในตอนนี้ผมจะขอเน้นไปที่การใช้ภาษาตามโดยยึดตามบุคคลิกและลักษณะนิสัยของ ท่านผู้อ่านเป็นสำคัญ ส่วนเหตุผลนั้น ประการแรกผมไม่ต้องการให้ท่านผู้อ่านใช้เวลาในแต่ละวันอ่านทุกอย่างหรือใส่ใจกับทุกสิ่งอย่างรอบตัวเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด เพราะการกระทำเช่นนี้ก็เท่ากับเป็นการสร้างความกดดันให้กับตัวผู้อ่านเอง หากอยจู่ๆมาวันหนึ่งท่านผู้อ่านเกิดจะอยากขยันอ่านภาษาอังกฤษมากๆ ขึ้นมา และได้ซื้อ Bangkok Post มาฉบับหนึ่งก่อนที่จะลุยอ่าน โดยไม่ได้คำนึงถึงเนื้อหาแต่อย่างใด เพียงแต่อ่านเพราะคิดว่าขอให้เป็นอะไรก็ได้ที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษก็พอ ฉันอ่านได้หมด การเริ่มต้นในรูปแบบดังกล่าวนี้รังแต่จะบั่นทอนให้ความเพียรพยายามอุตสาหะของทานผู้อ่าน ลดลงไปเรื่อยๆเท่านั้น บุคคลใดๆที่ไม่ชอบเรื่องการเมืองอยู่แล้วเป็นการส่วนตัว จะหยิบหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษแล้วเริ่มอ่านบทความที่เกี่ยวกับการเมือง เพียงเพราะภาษาที่ใช่เขียนเป็นภาษาอังกฤษอย่างเดียวนั้น ไม่ได้อย่างยิ่ง ท่านผู้อ่านจะต้องมีความชอบพอในสิ่งที่ท่านผู้อ่านจะเลือกอ่าน เลือกที่จะรับฟังหรือพูดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก่อนที่ท่านผู้อ่านจะนำมาปฎิบัติโดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลางในการเรียนรู้ทั้งหมด


หากท่านผู้อ่านชอบเรื่องรถยนต์ ท่านผู้อ่านก็สามารถเรียนภาษาอังกฤษผ่าน ทางบทความ เกี่ยวกับรถยนต์ ฟังฝรั่งพูด เกี่ยวกับ รถยนต์บน Youtube เป็นต้น สุภาพสตรีหรือบุรุษท่านใดที่ชอบแฟชั่นการแต่งตัว การออกกำลังกาย เรื่องความสวยความงาม นั้น ก็ควรที่จะศึกษาภาษาอังกฤษผ่านความสนใจของท่านผู้อ่านในเรื่องนั้นๆ ท่านผู้อ่านใช้เวลาสักน้อยนิดศึกษาบุคลลิกและนิสัยของท่านผู้อ่าน ดูก่อนว่า ท่านผู้อ่านเป็นคนที่ ความสนใจในเรื่องใด เป็นคนที่มีปฎิกิริยาต่อคนรอบข้างแบบใด จนได้เป็น คอนเซปต์ของท่านผู้อ่านเองแล้ว ดังนั้นท่านผู้อ่านจึงค่อยๆ แบ่งแยกคุณลักษณะของตัวท่านเอง ออกเป็นหัวข้อย่อยๆได้ ดังตามที่ผมจะยกตัวอย่างให้ต่อไปนี้

1. เป็นคนชอบโวยวาย ตกใจง่าย – ท่านผู้อ่านก็ไปศึกษาดูว่าคำอุทานภาษาอังกฤษมีอะไรบ้าง นอกจาก OMG แล้วมีอะไรบ้าง เช่น Holy cow, holy smoke ๆลๆ

2. เป็นคนชอบพูดถึงเรื่องการมีแฟน - ประมาณว่าคนนั้นเป็นกับคนนี้ คนนั้นเลิกแล้วกับคนนู้นเป็นต้น บทละครวิทยุที่ผมให้ไปแล้วนั้นมีเนื้อหา ค่อนข้างจะหนักไปในเรื่องนี้พอสมควร

3. เป็นคนชอบถามขี้สงสัย – ท่านผู้อ่านอาจจะฝึกการตั้งคำถามจากสิ่งรอบตัวที่เราได้เห็น

4. เป็นพ่อแม่ที่เป็นห่วงลูก – ท่านผู้อ่าน สามารถเข้าไปอ่านในเวปไซต์ที่เกี่ยวกับการดูแลลูก ซึ่งก็มีเป็นจำนวนมากในภาษาอังกฤษ

5. เป็นคนชอบเถียง – อุปลักษณะนิสัยดังกล่าวนี้ต้องอาศัยไหวพริบพอสมควร และหากจะต้องมีการโต้เถียงเป็นภาษาอังกฤษแล้ว ท่านผู้อ่านอาจจะต้องศึกษาจิตวิทยาคน เป็นภาษาอังกฤษเสียก่อนเอาแบบพื้นๆน่ะครับเช่น Body Language หรือ How to influence people and friends เป็นต้น ซีรี่ย์ของจากอเมริกาเองนั้น สมัยนี้มักจะเน้นไปที่ความขัดแย้งของตัวละครเยอะ และอิงจากเห็นการความเป็นจริงของโลกในยุคปัจจุบัน โดยในแต่ละคนนั้นมักจะแฝงไปด้วยข้อคิดต่างๆนานๆ ซึ่งผมดูแล้วได้ประโยชน์อย่างมาก

“สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเรียน Input ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม ท่านผู้อ่านจะต้อง อ่าน และฟัง พร้อมๆไปกับการศึกษาโครงสร้างประโยค จนสามารถนำไปเลียนแบบและไปพูด (output) ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้เอง”

ถึงทุกวันนี้ผมก็ยังทำแบบนี้อยู่เช่นเดียวกัน ผมเองยังได้นำหลักการบางอย่าง จากเวป www.antimoon.com มาใช้ ผมเคยตัดสินใจที่จะพูดภาษาอังกฤษกับเพื่อนล้วนๆ มาแล้ว ส่วนเรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไปน่ะครับ


สำหรับผู้ที่ต้องการ บทละคร 400 หน้า ในตอนนี้ คุณ kanurak1 //www.mediafire.com/?c5qgub8bzeeu4ez ได้นำมา share ไว้แล้วน่ะครับ ต้องขอขอบคุณอีกมากๆ เลยน่ะครับ

My anecdote

Before I sign off tonight, I just want to give a few words of encouragement. Nothing is impossible if you put your heart into it. I started off by reading Bangkok Post when I was still a Mor 4 student. In the middle school, I did really well in English but it was only because it was simply a rote lesson and I went home every night trying to memorize every word I learnt from the book and came to school the next day and beat the whole class.


I scored the highest in our English class during the dictation test. But you know how bad I was when it came to writing? I sucked at it. I could not write properly. Composing a complex sentence was already a gruesome task. As for my speaking, I did not know how terrible I was until I got to have a few conversations with an exchange student from the United States. I could not carry the conversation beyond what was taught in an English class which was merely how to say “hi” “how are you” “I’m fine, thank you and you”.


When I tried to talk about other things, I found myself struggling for words even though I had probably had about 400 English words in my memory at my disposal. But none of them came in handy at the time. Then I realized what I lacked. I did know enough English expressions. If I m not wrong, the Thai education system has taught us from the very young age the grammar rules.


If you are 24 years old or older, you should have learnt by now everything there is to know about English grammar. But if your answer is no, It is not your fault either. While I was developing my own approach, I also kept a personal journal in English. I did it for months until I got bored and moved on to reading the movie scripts. Writing your own diary is a good way to keep your vocabulary fresh and build a new set of words in your memory. Even to these days, my approach has never changed. I m still doing exactly what I have said in the earlier posts and I m getting better at it.

มี Link อีกอันน่ะครับ ผมว่าเจ๋งดีสำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาภาษาอังกฤษในบริบท ต่างๆ

https://www.youtube.com/user/podEnglish




Create Date : 10 มิถุนายน 2554
Last Update : 10 มิถุนายน 2554 14:26:06 น.
Counter : 808 Pageviews.

4 comment
พูดภาษาอังกฤษให้ดี แนวจิตวิทยา III
เจอมาจากกระทู้ในพันทิปนี่แหละค่ะ เลยรวม ๆ จากที่คุณ คนบ้านเดียวกัน เขียนไว้เอามารวมกันจะได้อ่านแบบต่อเนื่อง แต่ถ้าใครสนใจ อยากอ่านแบบมีผู้ชมประกอบด้วย ก็เชิญได้เลยที่ลิงค์ข้างล่างค่ะ ^^


พูดภาษาอังกฤษให้ดี แนวจิตวิทยา

by คนบ้านเดียวกัน from //www.pantip.com/cafe/library/topic/K10586407/K10586407.html


สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านทุกท่าน ผมขอภัยด้วยที่หายไปวันสองวัน เพราะมีภาระกิจที่จะต้องทำอยู่หลายอย่างด้วยกัน และก็ขอขอบคุณทุกๆคนเลยน่ะครับที่ช่วยกันโหวตเพื่อไม่ให้กระทู้หล่น เพื่อที่ท่านผู้อ่านท่านอื่นๆจะได้กระทู้ของผมได้ง่ายๆ จะได้แบ่งปันประสบการณ์ในการเรียนภาษาอังกฤษด้วยกัน ส่วนเรื่อง Youtube ที่ผมจะพูดภาษาอังกฤษให้ฟังนั้นขอเวลาอีกหน่อยน่ะครับ ขอหาสถานที่ถ่ายทำงามๆ ก่อน

ผมได้กล่าวในครั้งที่แล้วว่าผมจะพูดเป็นภาษาอังกฤษให้ฟังนั้นต้องรอหน่อยน่ะครับ เดี๋ยวจะนำขึ้นมาโพสให้ท่านผู้อ่านได้เห็นกันครับ และสำหรับใน ตอนต่อไปนี้ผมจะกล่าวย้อน ไปถึงตอนแรกๆของก่อนการเริ่มเรียนภาษาอังกฤษด้วยวิธีที่ผมได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น ผมขอย้ำน่ะครับว่าท่านผู้อ่านจะต้องมีความเข้าใจในไวยากรณ์พื้นฐานภาษาอังกฤษได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ไม่ต้องถึงขนาดจะต้องให้เก่งถึงขั้น ขนาดทำข้อสอบ TOEFL ได้ในตอนนี้น่ะครับ ที่สำคัญน่ะครับ เรื่องที่ท่านผู้อ่านจะต้องเข้าใจก็คือ

1 เรื่อง Tense
2 เรื่องของ การใช้ ประธานกับ คำเหล่านี้ is/am/are/have/has/do/does กับคำกิริยาหรือ กรรม หรืออะไรก็แล้วแต่ เอาแค่เป็นพื้นๆก่อนน่ะครับ แต่เราสามารถจับคู่ประธานได้กับคำเหล่านี้ ผมถือว่าพร้อมสำหรับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยวิธีธรรมชาติแล้วครับ
3 คำศัพท์เห็นอะไรใหม่ๆ เข้ามา จดได้จดลงไปเลยครับ ไม่ได้ถามคุณ Longman หรือจะคุณพี่ Oxford ได้น่ะครับ
4. การเปลี่ยนรูปประโยคกลับไปมา ระหว่าง คำถาม คำตอบ ปฎิเสธเป็นบอกเล่า หรือกลับกัน วิธีตามข้อนี้ผมมีหนังสือมาแนะนำ น่ะครับหนังสือหายากนิดนึงส์ ชื่อ New Road เขียนโดยอาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการสอนภาษาอังกฤษให้คนพูดเป็น ท่านได้เขียนประโยคตัวอย่างไว้เป็น พันๆ แถม เปลี่ยนประโยค บอกเล่า ให้เป็นคำถาม และปฎิเสธให้ด้วยให้ด้วย หากท่านผู้อ่านคนใดมีหนังสือเล่มดังกล่าวอยู่ในมือ ถึงแม้ว่ารูปเล่มจะไม่โดดเด่นเหมือนหนังสือเรียนภาษาอังกฤษตามสถาบันสอนภาษาทั่วไป ไม่มีสีสัน ไม่มีรูปภาพประกอบมากมาย เหมือน หนังสือสมัยก่อนที่มีแต่ตัวหนังสือ เรียงกันเป็นตับ แต่ที่สำคัญกว่านั้น เนื้อหาประเมินค่ามิได้น่ะครับ ราคาถูกมาเหมาะกับยุคเศรษฐกิจพอเพียง ผมซื้อมาอ่านสามเล่ม แต่หายเกลี้ยง ตามหาอยู่ ผมท่องไปๆมา เพื่อให้การ พูดของผมสามารถกลับไปมาระหว่าง คำถามคำตอบ ปฎิเสธและบอกเล่าได้คล่องขึ้น หากวันไหนผมเจอหนังสือเล่มนี้ จะนำรายละเอียดลงมาเขียนไว้น่ะครับ แต่น่าเสียดายที่หนังสือไม่ได้รับการโปรโมทให้ใช้ในโรงเรียนเท่าที่ควร

ท่านผู้อ่านผู้ใดเป็นเจ้าของช่วยนำรายละเอียดหนังสือมาแบ่งปันเพื่อนๆในกระทู้นี้ด้วยน่ะครับ
4 สิ่งเหล่านี้ท่านผู้อ่านต้องหมั่นซ้อมและทำความเข้าใจบ่อยๆน่ะครับ และที่สำคัญท่านผู้อ่านเองสามารถอ่านบทละครหนัง หรือ A Wimpy Kid Diary หรือไม่ว่าจะเป็นนิยายเด็กเรื่องใดก็ตาม ไปพร้อมๆกับการทำความเข้าใจ ทั้งเรื่องของ กาลเวลา ประโยค และคำศัพท์ใหม่ๆ

มาต่อที่เรื่องของ Input ต่อน่ะครับที่ผมยังกล่าวไม่จบจากครั้งก่อนๆ คราวนี้ นอกจากความสำคัญของการ ศึกษารูปประโยคและ การเลียนแบบการพูดการจา ของเจ้าของภาษาแล้วนั้น เรายังจะต้องมีการศึกษาหาความรู้ด้านวิชาการโดยใช้ภาษาอังกฤษทั้งหมดเป็นสื่อการเรียนการรู้ครับ ท่านผู้อ่านสังเกตน่ะครับ เด็กไทยที่เรียนโรงเรียน นานาชาติย่อมได้ความสามารถทางภาษาอังกฤษที่รวดเร็วกว่า เด็กไทยที่เรียนโรงเรียนมาทั้งชีวิต แต่ไม่ได้หมายความว่าท่านผู้อ่านหรือผมเองจะไม่มีวันทำได้อย่างผู้ที่เรียน ต่างประเทศหรือนานาชาติมาน่ะครับ ผมจะตั้งข้อสังเกตให้ท่านผู้อ่านดูสักสองสามตัวอย่างน่ะครับ

นาย A ทำงานกับฝรั่ง นานหลายปี ตั้งแต่พูดไม่เป็นสับปะรด จนสามารถพูดใช้สำนวนและคำศัพท์ได้ประหนึ่งเหมือนไปอยู่ต่างประเทศมาระยะสั้นๆ นาย A เล่าเรื่องราวต่างๆในชีวิตประจำวันได้ เล่าเหตุการณ์ หรือ จะโต้ตอบเป็นภาษาอังกฤษทั่วไป ได้อยู่ในระดับดี ทีเดียว เหตุผลที่ นาย A ทำได้เพราะถึงแม้ว่านาย A จะไม่ได้อ่าน นิยายปรัมปราของเด็กๆที่ผมแนะนำ

แต่นาย A นั้นมีเจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานต่างชาติพูดด้วยตลอด ภาษาอังกฤษที่นาย A พูด ฟังดูแล้วคล่องเพราะหู โดยเฉพาะการสื่อสาร เรื่องงานในออฟฟิศ เพราะนายมักจะสั่งให้ไป ซีร็อกเอกสาร นำเอกสารไปให้แผนก คนนั้นคนนี้ ชวนไปกินข้าว พูดเรื่องเงินเดือน เรื่องไปหยุดลาพักร้อน และแน่นอนภาษาอังกฤษที่นาย A ใช่จึงจะอยู่แต่ในกรอบของทักษะการพูดในบริบทของการทำงานในลักษณะแบบนี้เท่านั้น

แต่หากวันหนึ่งนาย A จะต้องอธิบายว่าเครื่องซีร็อกถึงพัง เพราะถาดรองกระดาษชั้นที่ 2 ของเครื่องแตกทำให้เศษของถาดเข้าไปติดในเครื่องข้างใน (เป็นตัวอย่างน่ะครับ) นาย A กลับพูดเป็นภาษาอังกฤษออกมาไม่ได้

หรือ หากท่านผู้อ่านเคยไปนั่งตามสถานที่เที่ยวที่มีชาวต่างชาติไปกันเยอะๆ ท่านอาจะประหลาดใจว่าคนไทยที่ทำงานที่นั่นหรือ คนไทยที่เป็นแฟนกับเจ้าของภาษา สามารถพูดภาษาอังกฤษในบริบทของความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง ได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่มีงูไม่มีปลาหลุดออกมา หรือ คนที่จะใช้ภาษาอังกฤษในการขายของ ก็จะคล่องแต่ภาษาอังกฤษในการขายของ เท่านั้น เหมือนผมหรือท่านผู้อ่านเช่นเดียวกัน หากผมทำงานในโรงพยาบาล แน่นอนน่ะครับ ที่ผมจะต้องสามารถใช้ภาษาไทยในเชิงการแพทย์ได้อย่างคล่องแคล่วเช่นเดียวกัน

ที่นี่วิธีต่อไปที่ผมจะแนะนำนั้น เป็นวิธีการอาศัยการเรียนทักษะทางภาษาอังกฤษผ่านทางการการศึกษาในระบบของโรงเรียนนั้นเอง ผมไม่ได้ให้ท่านผู้อ่านไปเรียนภาษาอังกฤษน่ะครับ แต่ให้ท่านผู้อ่าน เรียนวิชาเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็น คณิตศาสตร์ วิทยาศาตร์ สังคม เป็นภาษาอังกฤษให้หมด การเรียนภาษาอังกฤษด้วยในแง่ของวิชาการ ก็เปรียบเสมือนได้กับ ท่านผู้เรียนเองนั้นได้มีโอกาสไปเรียนต่างประเทศ เพียงแต่อาจจะไม่ได้มีเพื่อนผมสีทองมานั่งคุยด้วยเท่านั้น

แต่การเรียนรู้ในลักษณะนี้เป็นการเพิ่มทักษะในการสื่อสารในแง่ต่างๆของชีวิตให้มากขึ้นไปอีก หากท่านผู้อ่านสังเกต ดูว่าชีวิตในแต่ละวันของเรานั้น บทสนทนากับคน รอบข้างเรามักจะวนเวียนอยู่ไม่กี่เรื่อง

ไม่ว่าจะเป็นฝน ฟ้าอากาศ (เรียนรู้ได้จากวิชา Science) เรื่องการคิดทอนหรือแบ่งกันออกเงินเวลาไปกินข้าวกับเพื่อนที่ร้านอาหาร (วิชา Math ท่านผู้อ่านอยากรู้ว่า บวก ลบ คูณ หารนั้นเขาพูดเป็นภาษาอังกฤษกันอย่างไร เดี๋ยวผมจะแนะนำลิ้งค์ให้น่ะครับ) หรือตอนนี้เรื่องการเมือง การสังคมกำลังมาแรงเนื่องจากเราเองก็กำลังจะมีการเลือกตั้งในเดือน กรกฎาคม (อันนี้ต้องวิชา Social Science) เอาแค่สามตัวหลักๆ นี้ก่อนน่ะครับ ค่อยๆเรียน ค่อยๆ ซึมเข้าไป ส่วนลิ้งค์ที่ผมจะแนะนำมีดังนี้น่ะครับ

วิชา Math - ฟังครูเขาสอนเลขอย่างง่ายๆน่ะครับ

วิชา Science และ Social Science ไปเวปนี้เลยครับ
//www.learner.org มีวิดีโอแบบในชั้นเรียนก็มี หรือเป็นวิดีโอ presentation ดูๆ ฟังๆให้เข้าหูน่ะครับ เลือก ดูของระดับเด็กเล็กๆก่อนน่ะครับเนื่องจากจะฟังได้ง่ายกว่า ฟังไป

หรือ จะเอาแบบเป็นตัวหนังสือให้อ่านก่อนน่ะครับ ไปที่ลิ้งค์นี้ได้ //www.sciencewithme.com หากท่านผู้อ่านยังไม่สามารถฟัง ภาษาอังกฤษแล้วเข้าใจได้ทั้งหมด นั้น เหตุผลง่ายๆครับ ท่านผู้อ่านต้องอ่านผ่านตา หรือได้ยินคนพูดมาก่อน หลายๆครั้งจนท่านผู้อ่านไปศึกษาหาความหมายมา และได้เข้าใจว่า อ้อ ที่ได้ยินคนเขาพูดกันแปลว่าเช่นนี้นี่เอง

ผมเองเข้าใจภาษาอังกฤษได้มากน้อยแล้วแต่ประเภทของหนัง แนววิทยาศาสตร์ปล่อยแสงยิงจรวด คุยกันเรื่องเครื่องยนต์ ผมดับสนิท แต่ถ้าเรื่องในชิวิตประจำวันผมเข้าใจได้มากพอสมควรโดยที่ไม่ต้องอ่านคำแปลข้างล่าง อาจารย์ชาวอเมริกันท่านหนึ่งที่ผมเคยได้คุย ท่านเองก็บอกว่า ชาวอเมริกันบางคนที่ไม่ได้เรียนหนังสือ ก็ฟังภาษาอังกฤษในระดับที่นอกเหนือจากในชีวิตประจำวันออกบ้างไม่ออกบ้าง

ภาษาอังกฤษเรียนเป็นคำศัพท์ ภาษาไทยใช้การผสมคำเอา เลยทำให้การเดาความหมายนั้นไม่ยาก ในขณะที่ภาษาอังกฤษ หากไม่มีการเรียนการศึกษาแล้ว จะทำให้ไม่สามารถใช้คำ หรือเข้าใจความหมายของคำนั้นๆได้ เพราะคำศัพท์ในภาษาอังกฤษส่วนมากเป็นการบัญญัติขึ้นมา และจะต้องได้รับการเรียนรู้จากการศึกษาในระบบของโรงเรียนเป็นการช่วยเหลือ
ในวันนี้ขอเท่านี้ก่อนน่ะครับ เดี๋ยวไว้มาต่อใหม่………..




Create Date : 05 มิถุนายน 2554
Last Update : 5 มิถุนายน 2554 12:12:42 น.
Counter : 650 Pageviews.

2 comment
พูดภาษาอังกฤษให้ดี แนวจิตวิทยา II
เจอมาจากกระทู้ในพันทิปนี่แหละค่ะ เลยรวม ๆ จากที่คุณ คนบ้านเดียวกัน เขียนไว้เอามารวมกันจะได้อ่านแบบต่อเนื่อง แต่ถ้าใครสนใจ อยากอ่านแบบมีผู้ชมประกอบด้วย ก็เชิญได้เลยที่ลิงค์ข้างล่างค่ะ ^^


พูดภาษาอังกฤษให้ดี แนวจิตวิทยา

by คนบ้านเดียวกัน from //www.pantip.com/cafe/library/topic/K10586407/K10586407.html



เรื่องของ Input ภาคต่อ

ข้อความข้างล่างต่อไปนี้คือตัวอย่าง Diary ที่ผมทำขึ้นมาอย่างง่ายๆ ผมไม่ได้เขียนเองแต่อย่างใด แต่ผมต้องการสาธิตให้ท่านผู้อ่านเห็นว่าการเรียนภาษาอังกฤษจากสภาวะแวดล้อมที่ใกล้ตัวเรานั้นง่ายแค่ไหนและมีความสำคัญเช่นไร

ตัวอย่าง

ภาษาไทย: ตื่นนอนตอนเช้า – ล้างหน้าแปรง ฟัน อาบน้ำ แต่งตัว ขับรถไปทำงาน

English: I wake up, brush my teeth, shower, get dressed find my keys and my shoes. ... Eight hours of my life is gone. I get in my car. Traffic for half an hour.

หมายเหตุ: สำหรับข้อความภาษาอังกฤษที่ผมนำมานั้น ผมไม่ได้แปลขึ้นมา จะสังเกตได้จากเนื้อหาที่ไม่เหมือนกันแต่พอมีความคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง ผมแนะนำให้ท่านผู้อ่าน นั้นลองใช้ Google หาดูแล้วเลือกเอาว่าภาษาอังกฤษที่ท่านผุ้อ่านเห็นใน ผลลัพธ์ของการค้นหา ข้อความใดหรือบความใดตรงกับชีวิตประจำวันของผู้อ่านมากที่สุด แต่จำไว้ด้วยน่ะครับว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเหมือนเป้ะทีเดียว ให้มีประโยคใหม่ๆที่ท่านผู้อ่านไม่เคยเห็นหรืออ่านผ่านตามาก่อนบ้าง เพื่อที่ท่านผู้อ่านจะได้สำนวนใหม่เพิ่มขึ้นมาน่ะครับ

ที่นี่ ข้อความบางอย่างเราอ่านปุ้บ เราสามารถแปลได้เลย อย่างเช่น I get in my car.....ผมขอถามคำถามหนึ่งน่ะครับ…..หากมีฝรั่งเข้ามาคุยกับท่านผู้อ่าน แล้วให้ท่านผู้อ่านเล่าให้เขาฟังว่า กิจวัตรตอนเช้าของผู้อ่านนั้นมีอะไรบ้าง แล้วให้ตอบเดี๋ยวนั้น ท่านผู้อ่านต้องการจะบอกว่าอาบน้ำแต่งตัวเสร็จจากนั้นขับรถไปทำงาน ท่านผู้อ่านจะใช้คำว่า I get in my car หรือไม่ หรือจะข้ามช็อต ใช้คำว่า I drive to work ไปเลย ครับ

จุดประสงค์ที่ผมจะบอกนั้น คือการใช้ภาษาในการสื่อความหมายในลักษณะเดียวกันนี้ สามารถพูดได้หลายวิธี แต่เนื่องจากภาษาอังกฤษที่เราเรียนในกันโรงเรียนระบบการศึกษาของไทย มีแค่มิติเดียวและไม่ได้เน้นหลักสอนไปที่เรื่องของ Expressions หรือการสื่อสารด้วยวิธีพูด สิ่งที่ยังคงหลงเหลือในความจำของเรานั้น ที่เป็น มิติเดียว คือ

ประธาน + is,am,are+คำคุณศัพท์ หรือไม่ก็ง่ายๆ ประธาน+กิริยา+กรรม เช่น I ride a motorcycle to work คงมีน้อยคนที่อาจจะเคยได้ยินคำว่า I hop on a motorcycle and go to work ฉันกระโดดนั่งลงไปบนวินมอเตอรไซต์เพื่อไปทำงาน ใครเรียนคำว่า hop มาก่อนคงนึกถึงกระต่ายกระโดดเหยงๆ อย่างเดียวไม่คิดว่า เออแฮะ เอามาใช่กับอิริยาบถแบบนี้ก็ได้…….

และนี้ก็คือตัวอย่างและเหตุผลที่ผมต้องการให้ท่านผู้อ่านหา Input ในภาษาอังกฤษที่เขียนด้วยเจ้าของภาษาจริงในบริบทต่างๆ และนำมาประยุกต์ใช้กับของตัวเอง อย่าลืมน่ะครับท่านผู้อ่านยังเป็นเด็กฝรั่งตัวน้อย ที่พร้อมจะเปิดรับความรู้ใหม่ๆที่มีภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลางในการสื่อสาร และในการหา Input เข้ามาในตัวเราท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งไปใส่ใจเรื่องไวยากรณ์มากนัก แต่จำไว้เพียงเข้า เจ้าของภาษาเขาใช้กันแบบนี้ ฉันก็จะใช้แบบนี้เหมือนกัน! พอท่านผู้อ่านใช้เวลาในการศึกษาไปนานๆเข้า ท่านผู้เจ้าก็จะเข้าใจไปเองครับ

สิ่งที่ผมจะกล่าวต่อไปข้างหน้า ผมอยากให้ท่านผู้อ่านนั้น ทำเป็นกิจวัตรประจำวันไปเลยก็ได้ ผมจะลักษณะนิสัยทางการพูดของเด็กเป็น ส่วน หากท่านผู้อ่านสังเกตลูกหลานของท่านเองท่านก็จะเข้าใจว่าที่พวกเขาถาม สาเหตุที่พวกเขาพูดเยอะไม่หยุดหย่อน เพราะเป็นกระบวนการทักษะที่ธรรมชาติได้สร้างให้พวกเขาเองนั้นเกิดการเรียนรู้ขึ้น

1 หัดเป็นคนช่างถาม – เป็นวิธีเลียนแบบหนูน้อยทั้งหลาย เหตุผลนั้น นอกจากผมจะต้องการให้ท่านผู้อ่านถามคำถามเป็นภาษาอังกฤษได้แล้ว สิ่งที่ท่านจะได้รับกลับมาคือคำตอบ เป็นภาษาอังกฤษอันยาวเหยียดจากผู้ที่ท่านพูด ด้วย แต่หากผู้ที่ท่านถามไม่ใช้ฝรั่ง ผมพอจะมีทางลัด พึ่ง Youtube เลยครับ ผมมีตัวอย่าง

https://www.youtube.com/watch?v=JcAuO0PNnrs&feature=related

เป็นบทสัมภาษณ์ของนาย Anderson Cooper จาก CNN ถามเด็กเกี่ยวกับสีผิว (เนื้อหาในคลิปอันนี้เกี่ยวข้องการ racismในสหรัฐอเมริกา) สังเกตการใช้ประโยค ในการถามน่ะครับ และการตอบของเด็กๆซึ่งฟังได้ง่ายมาก ท่านผู้อ่านเองก็สามารถเลียนแบบน้ำเสียงหรือสำเนียงได้เช่นกัน ส่วนอีกคลิปหนึ่ง เป็นพิธีกรลูกครึ่งสัมภาษณ์ทาทายังเป็นภาษาอังกฤษฟังง่ายน่ะครับ แล้วเป็นคนที่พูดไม่เร็วเกินไป ตามลิงค์นี้ไปไดเลย

https://www.youtube.com/watch?v=DiIEm4zNlMM

อีกเหตุผลหนึ่งที่ผมอยากจะให้ท่านผู้อ่านฝึกถามคำถามให้เก่งๆ อย่างแรกน่ะครับ หากท่านผู้อ่านอยู่ในสถานการณ์ที่จะต้องพูดกับชาวต่างชาติแต่ ท่านผู้อ่านพูดภาษาอังกฤษยาวๆ ยังไม่คล่องมาก ท่านผู้อ่านสามารถยิงคำถามง่ายๆไปได้ เพื่อให้บทสนทนาไหลลื่นไปได้เรื่อยๆ (ผมรอดจากสถานการณ์ เงียบกริบแบบนี้ได้มาหลายครั้งเพราะผมชอบถาม ผมเองก็ได้เรียนรู้จากผู้ตอบอีกทางหนึ่งด้วย)

หากสองคลิปนี้ยังไม่จุใจน่ะครับ ลองหาดูใน Youtube ไปเรื่อยน่ะครับและถ้าผมเจอคลิปดีๆ ผมจะนำมาโพสไว้ให้คราวหน้าน่ะครับ

ต่อน่ะครับ
จากที่ผมได้โพสไว้ในข้อความก่อนหน้านี้ ผมลืมเน้นไปว่า ท่านผู้อ่านจะต้องรู้จักการเลียนแบบน้ำเสียง การใช้คำพูดของผู้พูดที่ผู้อ่านได้ยินมา แล้วนำไปใช้ และต่อยอดจากคุณ Pilkyo_Oilly น่ะครับ ใครก็ตามที่ไม่ได้มีโอกาสอยู่สภาพแวดล้อมที่มีคนพูดภาษาอังกฤษด้วยนั้น ผมแนะนำให้ไปลงเรียนตามสถาบันภาษา เพื่อเป็นทางระบาย (output) จากสิ่งที่ท่านผู้อ่านได้ศึกษามา เพื่อให้ได้เกิดการโต้ตอบเป็นภาษาอังกฤษในชิวิตจริง

ตอนเด็กผมเคยลงเรียน AUA ตอนนั้นจำได้ว่าฟังอาจารย์ไม่รู้เรื่องเลย ได้บ้างไม่ได้บ้าง จนพอมาคิดสูตรเรียนเองเอาดีกว่า บวกกับความทะเยอทะยาน การใช้ภาษาผมเลยพัฒนาเร็วมากขึ้น พอตอนอยู่มหาลัยปี 1 หรือปี 2 ถ้าจำไม่ผิดไปลงเรียน AUA อีกครั้งหลังจากครั้งสุดท้ายที่ Level 3 ตอน มอ สอง ไปสอบใหม่ได้ Level 12 ถ้าผมจำไม่ผิด Level ก่อนสูงที่สุดครับ ผมแย่งคนในห้องพูดจนอาจารย์ต้องห้าม (จริงๆไม่ควรทำอย่างยิ่ง แต่ตอนนั้น Input มันเต็มไปหมดไม่มี Output ถ้าไม่ได้ใช้เดี๋ยวลืมได้ง่ายๆครับ) เรียนไปได้ เทอม เดียวเลิกเลย

แต่สำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาจะไปลงเรียนภาษา ผมยังพอมีหนทางอยู่ครับ แต่ต้องอาศัยความขยันน่ะครับ หลังจากที่ผมตัดสินใจไม่เรียนต่อที่ AUA แล้วผมเลยได้ไอเดียใหม่ หลังจากที่หาสิ่งนี้ในอินเตอร์เน็ต ในที่สุดผมก็เจอบทละครของอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น ตลก หรือ ซีรีย์ หรือละครทีวี วิทยุมีหมด บทพูดเหล่านี้ล้วนเป็นบทสนทนาที่ใกล้เคียง การใช้ภาษาของเจ้าของภาษาสถานการณ์จริงมากที่สุด และเป็นบทพูดล้วนๆ ผมดีใจมากที่หาจนเจอซึ่งในตอนแรกผมไม่คิดว่าจะมีด้วยซ้ำไป หลังจากนั้นผมก็ปริ้นมาอ่านอย่างไม่บันยะบันยัง (ขออภัยถ้าสะกดคำนี้ผิดน่ะครับ) กด ดิ้ก ขีดเส้นใต้ อ่านทวนแล้วทวนอีกจนจำเข้าไปในหัว

สำหรับท่านผู้อ่านคนใดที่สนใจอยากได้บทละครของฝรั่ง สามารถเข้าไปในเวปนี้ได้น่ะครับ //www.simplyscripts.com แต่สำหรับผู้ที่ต้องการเนื้อหาอ่านง่ายๆ ผมได้เลือกบทละครวิทยุมา เหตุผลน่ะครับ เพราะเป็นบทละครพูดไม่ยืดเยื้อ การใช้คำพูดมักจะมีใจความครบถ้วน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนการพูดภาษาอังกฤษอย่างมีประสิทธิภาพทิ้งอีเมลล์ไว้ในนี้ น่ะครับผมจะส่ง file word ไปให้ มีความยาว 400 หน้า เป็นละครวิทยุ น้ำเน่าได้ใจ ผมใช้วิธีศึกษา แสลง ภาษาชาวบ้าน หรือสำนวนในสถานการณ์ต่างๆ จากบทละครเหล่านี้ทั้งสิ้น ซึ่ง AUA หรือจะ Wall Street หรือ Boston Bright ไม่มีให้แน่นอนครับ

ที่นี่ มาต่อที่ลักษณะนิสัยอันที่สอง ของเด็กน่ะครับ อันแรกนั้นเป็นการฝึกถามเป็นภาษาอังกฤษ อันที่สองเป็นลักษณะนิสัยการเล่าเรื่องของเด็กๆ อันนี้เป็นสิ่งที่ผมอยากให้ท่านผู้อ่านฝึกพูด ถึงแม้ว่าจะไม่มีอาจารย์หรือเพื่อนเจ้าของภาษามาคอยแก้คำพูดให้ แต่ท่านผู้อ่านสามารถเลียนแบบจาก บุคคลต่างๆ ใน Youtube ได้น่ะครับ

เวลาเด็กๆเล่าเรื่อง เด็กมักจะพูดง่ายๆ แต่สามารถเล่าได้เป็นฉากๆ จากในตอนที่แล้วที่ผมให้ท่านผู้อ่านดูคลิป สิ่งที่ท่านผู้อ่านจะต้องหมั่นสังเกตและบันทึกตลอดเวลา ซึ่งนอกจากจะใช้วิธีการเลียนแบบแล้ว ****ท่านผู้อ่านต้องศึกษาเรื่องโครงสร้างประโยค ฟังบ่อยๆ จนเราสามารถพูดกับเองได้ว่า “อ๋อ เขาพูดกันอย่างนี้เอง”****** ในการเล่าเรื่องนั้น เรามักจะพูดถึงบุคคลที่สาม บ่อยครั้ง ด้วยวิธีดังกล่าวนี้ผมมีคลิปจะให้ท่านผู้อ่านดู คลิปนี้ได้เลยครับ

https://www.youtube.com/watch?v=hQx__B1cr0U

ในตอนถัดไปผมจะเข้าเรื่องวิชาการน่ะครับ

ขอขอบคุณทุกๆ ความเห็นเลยน่ะครับและผู้ที่เสนอแนะแนวทางในการเรียนภาษาอังกฤษในกระทู้นี้ ผมยินดีที่จะช่วยเหลือเต็มความสามารถ (เท่าที่มีตอนนี้ 555)

ใครที่ท้อ ว่าเรียนไวยากรณ์แล้วไม่เก่งสักที ต้องจำไว้น่ะครับว่าไวยากรณ์ไม่เหมือนคณิตศาสตร์ที่มีหลักการตายตัว ฝรั่งที่ทำงานผม ไวยากรณ์แย่มากจนมีคนเอาไปตำหนิ แต่ที่ผมได้พยายามและจะเรียนรู้ต่อไปนั้นคือการพูดด้วยอักขระและการสื่อสารให้ได้เหมือนเจ้าของภาษามากที่สุด

ถึงแม้ว่าผมจะใช้ไวยากรณ์ ภาษาไทยไม่ได้เก่งมากนัก แต่ผมก็ยังได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของภาษา (ไทย) อยู่ นี่เป็นอีกผลหนึ่งที่ผมไม่ให้อยากให้ท่านผู้อ่านใส่ใจไวยากรณ์มากเีสียเกิน เพราะจะทำให้ท่านผู้อ่านเสียเวลาไปกับการวิเคราะห์รูปแบบประโยค ลงลึกถึงรากเกินไป แทนที่จะสนใจความหมายของประโยคหน่ะครับ

สิ่งที่จะแยกแยะได้ชัดเจนที่สุดสำหรับผู้ที่ใช้ภาษาอังกฤษได้เหมือนภาษาแม่ และผู้ที่กำลังเรียนอยู่นั้น คือ การใช้ภาษาในการสื่อสาร หรือ expressions นั่นเอง หากท่านมีจุดมุ่งหมายดังนี้แล้ว ผมว่าเรื่องอื่นๆ หายห่วงเลยครับ



Create Date : 25 พฤษภาคม 2554
Last Update : 25 พฤษภาคม 2554 20:22:01 น.
Counter : 3213 Pageviews.

8 comment
1  2  

..ว่าแล้วก็ม้วนเก็บ..
Location :
ยะลา  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]