Group Blog
 
All Blogs
 

เตือน! นุ่งกางเกงรัดๆ เป็นโรคเหน็บชาได้


แพทย์เตือนสาว ๆ ที่ชอบใส่กางเกงยีนส์คับ ๆ จะทำให้ประสาทตามผิวหนังที่วิ่งขึ้นไปจนถึงโคนขา เกิดอาการขาเป็นเหน็บ แนะหากเกินอาการต้องรีบถอดกางเกงออก

แพทย์ผู้เชี่ยว ชาญทางประสาทวิทยากล่าวเตือนสาวผู้รักสวยรักงามทั้งหลายว่า การพยายามยัดเยียดตัวเองลงไปในกางเกงยีนส์คับ ๆ รัดติ้ว อาจสร้างความทรมานตนเอง ด้วยอาการของเส้นประสาทที่เรียกว่า "อาการเป็นเหน็บของต้นขา" ขึ้นได้

หนังสือพิมพ์ "เดอะ นิว ยอร์ก เดลี่ นิวส์" รายงานกล่าวว่า อาการ บีบรัดของกางเกงยีนส์ จะทำให้ ประสาทตามผิวหนัง ซึ่งวิ่งขึ้นไปจนถึงโคนขา เกิดอาการขาเป็นเหน็บหรือปวดแสบปวดร้อนขึ้นตามขา สาวน้อยผู้เคยรู้รสมาแล้วเล่าว่า "มันรู้สึกแปลก ๆ เหมือนกับขาของฉันหลับไม่รู้ นอนคู้ไม่เห็นไปแล้ว"

หมอจอห์น อิงแลนด์ แห่ง "แพทย์ประสาทวิทยาสมาคมแห่งอเมริกา" กล่าวว่า "เส้นประสาทของคนบางคนแพ้กับการถูกบีบรัด มันเป็นประสาทที่รับความ รู้สึก ไม่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อหรือส่วนที่ก่อให้เกิดพละกำลัง ดังนั้น หากอะไรมารัดแถบรอบ ๆ ก็อาจทำให้เส้น ประสาทถูกบีบรัดได้

ข้อสำคัญ เมื่อเกิดเป็นเช่นนั้น ควรจะรีบถอดออก เพื่อเส้นประสาทจะได้ซ่อมแซมตัวเองให้กลับคืนดีดังเดิม"

ที่มา .. ไทยรัฐ




 

Create Date : 24 มิถุนายน 2553    
Last Update : 24 มิถุนายน 2553 23:23:02 น.
Counter : 271 Pageviews.  

โทษของการนั่งทำงานนาน ๆ


พี่เนียน อายุเพิ่งจะ 40 ปี ชีวิตประจำวันของพี่เค้าเป็นดังนี้

- เช้าตื่นตี 5 กว่าๆ อาบน้ำ แต่งตัว ขับรถจากบ้าน (พุทธมณฑลสาย 4) มาส่งภรรยาที่ปูนฯ

- ขับรถกลับไปทำงานที่กรมอู่

- นั่งทำงานที่โต๊ะ จนเย็น การขยับตัวก็คือไปห้องน้ำ และพักทานกลางวัน

- เลิกงานกลับมารับภรรยาที่ปูนฯ และขับรถกลับบ้านที่พุทธมณฑลสาย 4 จะถึงบ้านประมาณทุ่มนึงทุกวัน

- ไม่ทานข้าวเย็น นั่งทำงานต่อ จนถึงเที่ยงคืน ตีหนึ่ง ตี 2 ทุกวัน ( เรียนโทอยู่เลยมีทั้งงานที่ทำงานและงานเรียนผสมปนเปไป)

- ทำอย่างนี้ทุกวันทั้งสัปดาห์

- เสาร์และอาทิตย์ก็ตื่นเช้าขับรถไปเรียนที่ ม.เกษตร กลับมาตอนเย็น นั่งอ่านหนังสือทำงานต่อเหมือนเดิม

ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี เช็คร่างกายทุกปี....ระวังอาหารการกินมากๆๆๆ...ไม่กินของมัน...ไม่กินของที่ ไม่มีประโยชน์

อยู่ดีๆ วันนึงก็บอกว่าหายใจได้ไม่ทั่วท้อง รีบไปตรวจที่โรงพยาบาลทหารเรือแทบจะไม่ทัน...

ตัวเหลือง....เริ่มชาไปหมดทั้งแขน และเริ่มขยับริมฝีปากไม่ได้.....

หายใจ ไม่ออก....คุณหมอต้องสั่งให้ออกซิเจนด่วน นอนโรงพยาบาลอยู่ 2 อาทิตย์

ปัจจุบันดีขึ้นแล้ว และที่ท้ายรถพี่เนียนมีถังออกซิเจนพกอยู่ตลอดเผื่อฉุกเฉิน ….

สรุปโรคที่คุณหมอบอกก็คือ
- โรค Economy Class Syndrome (เขียนอย่างงี้รึเปล่าก็ไม่รู้) คือโรคที่เกิดจากพฤติกรรมนั่งทำงานนานๆ + เครียด Case ที่พบมากๆ ก็พวกที่ขึ้นเครื่องบินบ่อยๆ เพราะเป็นการนั่งในท่าเดิมโดยไม่การขยับเป็นเวลานานๆ เช่นพวกที่นั่งเครื่องบิน 10 กว่าชั่วโมงขึ้นไป เป็นประจำ

- พักผ่อนน้อย …

- ไม่ออกกำลังกาย...

- อาการของโรคของพี่เนียน : มีลิ่มเลือดไปเกาะที่เล้นเลือดหล่อเลี้ยงระหว่างปอดกับหัวใจ

แต่โรคนี้ลิ่มเลือดอาจเกาะที่อื่นๆก็ได้ เช่น สมอง หรือเกาะที่หัวใจเลย ซึ่งทำให้การไหลเวียนของเลือดเป็นได้ไม่สะดวก ร่างกายก็จะได้รับอกซิเจนไม่เพียงพอ...

- วิธีแก้ : ฉีดยา- กินยาสลายลิ่มเลือด , ผ่าตัด , บัลลูน (หัวใจ) หรืออื่นๆ.....

- ถึงเวลาที่เราต้องลุกจากโต๊ะ แล้วไปออกกำลังกายกันรึยังล่ะจ๊ะ ….

- ชีวิตประจำวันของพวกเรา ต่างจากพี่เนียนรึเปล่าเอ่ย




 

Create Date : 19 มิถุนายน 2553    
Last Update : 19 มิถุนายน 2553 23:55:25 น.
Counter : 306 Pageviews.  

ทำ Spa ที่บ้าน ด้วยตัวคุณเอง


ถ้าคุณอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศในบ้านให้เป็นสปาแบบง่ายๆ เพื่อใช้เวลาในวันว่างโดยไม่ต้องไปเสียเงินแพงๆ ก็น่าจะทำเองได้ไม่ยาก เพียงแต่จัดบริเวณที่ชอบที่สุด เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องนอน หรือห้องน้ำ เก็บกวาดให้สะอาด ตกแต่งบรรยากาศด้วยต้นไม้ดอกไม้ หรือหาอ่างน้ำลอยกลีบดอกไม้มาวางสักใบก็ให้บรรยากาศชุ่มเย็นดี อาจหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบลงไปบนเตาอุ่นให้ร้อนจนกลิ่นหอมฟุ้งกระจาย ทั่วห้อง เติมสีสันอีกนิดด้วยเสียงเพลงบรรเลงเบาๆ ช่วยผ่อน-คลายจิตใจให้สบาย จัดการอาบน้ำ ล้างหน้า ชำระร่างกายให้สะอาดสดชื่น ก่อนจะเริ่มการบำบัดโดยการนวดให้กันและกัน หรือทำสปาบำรุงผิวด้วยการบรรเลงสิ่งต่างๆ ลงบนผิวตัว ผิวหน้า และเส้นผมของคุณเองตามที่เราจะแนะนำต่อไป

คุณค่าจากธรรมชาติที่คุณหาได้ใกล้มือพืชผักผลไม้หลายชนิดมีวิตามิน แร่ธาตุ และสารประกอบที่ช่วยในการบำรุงผิวพรรณและเส้นผม ตัวอย่างที่เรานำมาแนะนำเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่หาง่าย ราคาไม่แพง แต่ได้ผลดีสุดคุ้ม จะเลือกใช้อย่างไรคงต้องพิจารณาจากสภาพผิวของคุณเองด้วย มาดูกันว่าสามารถหยิบอะไรมาใช้ได้บ้าง

ขมิ้นชัน สีเหลืองอมส้ม ที่นิยมนำมาทำแกงเหลือง หรือแกงปักษ์ใต้ มีฤทธิ์ร้อนในตัวเอง จัดเป็นพระเอกของการรักษาผิว ช่วยลบจุดด่างดำทำให้ผิวเปล่งปลั่งเนียนขึ้น บรรเทาผดผื่นคันทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ และช่วยรักษาสิวทำให้สิวสุกและแห้งเร็ว สามารถใช้ได้ทั้งแบบแห้งและเปียก

แบบแห้ง นำขมิ้นชันมาปอกเปลือก แล้วฝานเป็นแผ่นบางๆ นำมาทาที่ผิวบริเวณที่เป็นผดผื่นคันโดยตรง ทิ้งไว้ประมาณ 30-60 นาทีค่อยล้างออก หากต้องการเก็บไว้นานก็นำไปตากแห้งแล้วค่อยบดให้ละเอียดจนเป็นผงใช้ทาบนผิว หรือผสมกับสมุนไพรอื่นๆ

แบบเปียก มาขมิ้นชันมาคั้นกับน้ำ ผสมดินสอพอง มะขามเปียก ใช้ขัดหรือพอกผิวได้ หรือต้มกับน้ำ ผสมเป็นน้ำอาบ หรือลงไปแช่ทั้งตัวก็ได้


ดินสอพอง ที่เรานิยมเอามาประแป้งกันในวันสงกรานต์ ทำจากดินขาวหรือเกาลินที่มักจะนำมาผ่านกระบวนการอบร่ำกับกลิ่นดอกไม้มาแล้ว เป็นแป้งที่มีความเย็นจึงช่วยบรรเทาผดผื่นได้ หรือทำเป็นดินพอกหน้า ช่วยกระชับรูขุมขนให้ผิวเรียบเนียนขึ้นไม่แพ้ครีมพอกหน้าที่ขายกันแพงๆ (หากสังเกตดีๆ จะเห็นส่วนผสมที่ทำจากดินเกาลินเหมือนกัน) ก่อนใช้ควรนำดินสอพองมาอบ หรือคั่วในกระทะให้ร้อนเพื่อฆ่าเชื้อโรค แล้วบดให้ละเอียด ผสมกับผงขมิ้น ในอัตราส่วน 10 : 1 สำหรับผู้ใหญ่ และ 20 : 1 สำหรับใช้ในเด็ก เวลาใช้นำไปผสมน้ำเย็นจัดพอให้ข้น ทาให้ทั่วผิว พอกทิ้งไว้ 15-30 นาที เหมาะกับคนที่ผิวบอบบางแพ้ง่าย หากผสมกับนมสดจะใช้บำรุงผิวให้นุ่มนวล หรือคนที่ผิวมันหรือผิวแห้งมากอาจนำดินสอพองที่ผสมผงขมิ้นแล้วมาเติมน้ำผึ้ง ลงไปสัก 2 ช้อนโต๊ะ พอกหน้าไว้ประมาณ 5-10 นาทีแล้วจึงค่อยล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะช่วยปรับสภาพผิวได้ดีขึ้น

น้ำผึ้ง ในเชิงแพทย์แผนโบราณถือว่าน้ำผึ้งเป็นยาอายุวัฒนะ มีการใช้น้ำผึ้งเป็นตัวประสานเนื้อยาสมุนไพรในการทำยาลูกกลอนมาแต่โบราณ เมื่อใช้กับการบำรุงผิวก็จะแทนมอยสเจอไรเซอร์ ช่วยให้ผิวเปล่งปลั่งชุ่มชื่นและนุ่มนวล เหมาะกับฟื้นฟูสภาพผิวที่แห้ง แตกเป็นขุย หรือผิวมัน

วิธีใช้ ให้นำน้ำผึ้งประมาณ 3 ช้อนโต๊ะผสมกับดินสอพองหรือผงขมิ้น ครึ่งช้อนชา ใช้แทนครีมนวดหน้า ประมาณ 15 นาทีจึงล้างออก หรือหากต้องการบำรุงผิวเป็นพิเศษสำหรับคนผิวหน้ามัน ให้เอาน้ำผึ้งผสมไข่ขาวทาให้ ทั่วใบหน้า (เว้นรอบดวงตา) หากผิวแห้ง ใช้น้ำผึ้งผสม ไข่แดง หรือโยเกิร์ต ช่วยบำรุงผิวล้ำลึกถึงผิวชั้นในได้


มะขามเปียก คุณทราบไหมว่ามะขามเปียกเป็นสินค้าส่งออกของบ้านเราไปยังประเทศที่ผลิต น้ำมันเพื่อไปล้างท่อน้ำมัน เป็นข้อยืนยันว่ามะขามเปียกมีสรรพคุณในการทำความสะอาดความมันบนใบหน้าอย่าง ล้ำลึก ทำให้ผิวเปล่งปลั่ง โดยเฉพาะจะเหมาะมากกับผู้ใหญ่ที่เริ่มมีริ้วรอยเหี่ยวย่น หรือคนที่เป็นฝ้า ในมะขามเปียกจะมีสาร AHA ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไป และมีสารเคลือบผิวเป็นฟิล์มบางๆ ช่วยเคลือบเซลล์ที่เริ่มแห้งเพราะสูญเสียความชุ่มชื้น เมื่อใช้เป็นประจำจะค่อยๆ ลบเลือนริ้วรอยได้ และช่วยทำให้ผิวเต่งตึงขึ้น


วิธีใช
้ เวลาเราไปซื้อมะขามเปียกจากตลาดจะขายเป็นปั้นๆ ขนาดกำมือ แบ่งมาสักส่วนหนึ่ง ดึงใยและผิวแข็งๆ ออกให้เหลือแต่เนื้อและกากเล็กน้อย ใช้ถูนวดบนผิวหนังเป็น scrub ได้อย่างดี หรือเติมน้ำแล้วคั้นกรองเอาแต่น้ำมะขามให้ได้น้ำประมาณ 1 ถ้วยเล็กๆ นำมาชโลมผิวตัว ถ้าผิวหน้าก็ใช้เพียง 1-2 ช้อนโต๊ะ ทิ้งไว้ 3-5 นาที ค่อยล้างออก

มะเขือเทศ ช่วยบำรุงผิวให้นุ่มเนียนใสเป็นสีชมพู โดยใช้มะเขือเทศสุกลูกโตๆ 1 ลูก แช่ให้เย็น แล้วนำมาฝานเป็นแว่นบางๆ แปะไว้ให้ทั่วผิวหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 30-60 นาทีแล้วจึงล้างออกด้วยน้ำเย็น หรืออาจใช้มะเขือเทศสีดาที่ใช้ทำส้มตำสัก 2-3 ลูก นำมาเจาะแล้วคว้านเอาน้ำข้างในออกมาชโลมผิวหน้า หรือผ่าแบ่งครึ่งแล้วกลับเอาด้านในออกมาคลึงเคล้าไปบนใบหน้าก็ได้

แตงกวา เราสามารถใช้น้ำที่คั้นจากแตงกวามาชะโลมที่ผิว เพื่อรักษาความชุ่มชื้นบนใบหน้า และรอบดวงตา โดยเฉพาะช่วงหลังจากตากแดดมานานๆ ทำให้ผิวเย็น นำแตงกวา 2 ลูกหั่นเป็นชิ้นๆ แล้วใส่เครื่องปั่นให้ละเอียด ผสมกับน้ำวุ้นว่านหางจระเข้และน้ำผึ้ง ใช้ล้างหน้าแทนสบู่ หรือพอกไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออก หรือฝานเป็นแว่นบางๆ วางแปะบนผิวหน้า พอรู้สึกว่าแห้งติดผิวแล้วก็ดึงออกเป็นมาสก์ (mask) ที่ช่วยดึงสิ่งสกปรกและเซลล์ที่ตายแล้วหลุดออกจากผิวหนังไปด้วย เป็นการรักษาความสะอาดในชั้นผิวที่ลึกขึ้น แล้วค่อยล้างน้ำออกเป็นปกติ

ว่านหางจระเข้ เป็นพืชสารพัดประโยชน์ ช่วยในการผลัดเซลล์ผิว เคลือบผิวเพื่อรักษาสมดุลของน้ำและไขมันใต้ผิวหนัง รักษาผิวอักเสบ และผิวที่ถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวกได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังช่วยปรับสภาพผิวไม่ให้แห้งหรือมันมากเกินไป และรักษาสิว ฝ้า

วิธี ใช้ เมื่อตัดว่านหางจระเข้แล้วแช่น้ำไว้สักครู่ให้ยางเหลืองไหลออกมา ปอกเปลือกแล้วล้างยางออกให้หมด เพราะส่วนนี้มีฤทธิ์กัดผิว นำแต่วุ้นสีขาวด้านในมาหั่นเป็นแผ่นบางๆ ทาบนผิวเป็นประจำช่วยทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง หรือบดให้ละเอียดคั้นจนได้น้ำวุ้นชโลมผิวบริเวณที่ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ให้เร็วที่สุด จะช่วยลดการพุพองให้น้อยลง และช่วยสมานผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากใครต้องการแก้สิวฝ้าใบหน้าด่างดำ ให้นำวุ้นแปะให้ทั่วใบหน้าพอกไว้จนแห้งประมาณ 30 นาทีเป็นอย่างน้อย แล้วค่อยล้างออก

นอกจากนี้ยังวุ้นของว่านหางจระเข้ก็ยังสามารถนำมา ใช้หมักผมได้ ทำให้ผมนุ่มสลวย ในคนที่ผมเริ่มเปลี่ยนสีก็สามารถใช้ส่วนที่เป็นยางสีเหลืองที่ติดเปลือกมาทา ละเลงบนเส้นผม ช่วยย้อมให้ผมเป็นสีดำ เงางามยิ่งขึ้น แต่ต้องระวังควรใส่ถุงมือเวลาทำ เพราะยางเหลืองนี้มีฤทธิ์กัดผิว และเมื่อถูกผิวจะเปลี่ยนเป็นสีคล้ำอาจเกิดรอยด่างดำได้


น้ำมันมะกอก สามารถนำมาผสมกับน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบเล็กน้อย แล้วใช้เป็นน้ำมันนวดตัว เพื่อบำรุงผิวให้นุ่มนวลโดยเฉพาะกับคนที่ผิวแห้ง หรือนำมาใช้หมักผมเพื่อบำรุงให้ผมนุ่มสลวยไม่แห้งกรอบ ด้วยการชโลมน้ำมันเล็กน้อยประมาณ 1 ช้อนชาบนเส้นผมแล้วเอา ผ้าขนหนูอุ่นๆ ห่อไว้ เพื่อความร้อนจะได้ช่วยเปิดให้รูขุมขนขยายตัวรับอาหารที่ให้เข้าไปอย่างเต็ม ที่ หมักทิ้งไว้สัก 15 นาที แล้วค่อยสระออก สำหรับคนที่มีเส้นผมค่อนข้างอ่อนจัดทรงยาก อาจเอาน้ำมันมะกอกตีกับไข่แดงแล้วใช้หมักผมวิธีเดียวกัน โปรตีน และทองแดงในไข่แดงจะเคลือบบนเส้นผมช่วยให้ผมแข็งแรง มีน้ำหนักมากขึ้น

สูตรทรีตเมนต์ต่างๆ ตามภูมิปัญญาไทยเหล่านี้จะเห็นว่าเป็น การรวมวิธีการบำบัดทั้ง 5 แบบที่กล่าวถึงข้างต้นไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน คุณสามารถทำได้บ่อยเท่าที่ต้องการ หรือหมุนเวียนเปลี่ยนสูตรต่างๆ กันไป แล้วค่อยล้างออกด้วยการอาบน้ำสระผมตามปกติ ในการอาบน้ำ ยังอาจนำ ใยบวบ ที่เป็นเส้นใยธรรมชาติมาใช้แทนฟองน้ำช่วยขัดผิวและกระตุ้นการไหลเวียนของ เลือด ช่วยทำให้ผิวสะอาดและสดชื่นยิ่งขึ้น

เมื่อผิวคุณได้รับอาหาร อย่างเต็มที่ ก็จะมีสุขภาพดีและแข็งแรง และคุณเองก็ต้องไม่ลืมที่จะรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ เน้นความหลากหลายโดยเฉพาะผักและผลไม้เพื่อเสริมวิตามินและเกลือแร่ให้กับ ร่างกาย ลดของมันๆ ให้น้อยลง และทำ จิตใจให้เบิกบาน สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะอยู่เสมอ เท่านี้ คุณก็จะได้ประโยชน์จากสปาสูตรบำรุงความสวยที่คุณทำได้เองที่บ้านอย่างเต็ม ที่แล้วล่ะค่ะ




 

Create Date : 19 มิถุนายน 2553    
Last Update : 19 มิถุนายน 2553 23:45:13 น.
Counter : 213 Pageviews.  

พบไก่ทอดแมคโดนัลด์ & เบอร์เกอร์คิง มีสารก่อมะเร็ง


แพทย์สหรัฐฯ ฟ้องร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดชื่อดัง 7 แห่ง อาทิ แมคโดนัลด์ เบอร์เกอร์คิง ขายไก่ทอดที่มีสารก่อมะเร็ง

นายนีล บาร์นาร์ด ประธานคณะกรรมการด้านการแพทย์ที่รับผิดชอบด้านยาในกรุงวอชิงตัน หรือ PCRM เปิดเผยว่า PCRM ได้ยื่นฟ้องร้องต่อศาลในแคลิฟอร์เนีย

หลังตรวจพบตัวอย่างผลิตภัณฑ์ไก่ทอดจากร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดชื่อดัง 7 แห่ง คือ Chick-fil-A, chili´s,Applebee´s, Outback Steakhouse, TGI Friday´s,แมคโดนัลด์ และเบอร์เกอร์คิง มีค่า PhIP เป็นบวก

ซึ่งสาร PhIP เป็นกลุ่มสารประกอบก่อให้เกิดมะเร็ง ที่พบในเนื้อสัตว์ย่าง ซึ่งไก่ทอดเป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็งและผู้บริโภคสมควรที่จะได้รับรู้ว่า ผลิตภัณฑ์ไก่ทอดนอกจากมีไขมันสูงแล้วยังก่อให้เกิดมะเร็ง

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ




 

Create Date : 19 มิถุนายน 2553    
Last Update : 19 มิถุนายน 2553 23:37:10 น.
Counter : 509 Pageviews.  

ระวัง! ทานเนื้อแดง เสี่ยงอายุสั้น


       ไม่ใช่แค่ความเชื่อ แต่การศึกษาครั้งแรกและใหญ่สุดยืนยันแล้วว่า ทานแค่เท่าแฮมเบอร์เกอร์ 1 อันต่อวันเสี่ยงอายุสั้นกว่าปกติ 30% 

      บ้างก็ว่ารับประทานเนื้อมาก ๆ ไม่ดีอาจเป็นมะเร็งได้  บาง คนก็ว่าทานสัตว์ใหญ่ เป็นกรรมเยอะ แต่ก็ยังไม่ค่อยมีการกล่าวอ้างถึงผลการวิจัยที่บอกกันชัดๆ ไปเลยว่าตกลงแล้วการรับประทานเนื้อสัตว์อย่างเช่นเนื้อวัว ซึ่งฝรั่งเรียกกันว่าเนื้อแดงเป็นประจำจะก่อผลเสียต่อปัญหาสุขภาพจริงอย่าง ว่าหรือเปล่า จนล่าสุดมีผลการศึกษาอย่างเป็นทางการออกมาเป็นครั้งแรกและครั้งใหญ่ที่สุด ซึ่งมีคำตอบให้กับคำถามนี้


       การศึกษานี้ ทำในผู้สูงอายุรุ่นกลางมากกว่า 500,000 คนในสหรัฐอเมริกาโดยทำ การติดตามผลกันนานถึง 10 ปี โดยระบุว่าคนที่รับประทานเนื้อแดงเป็นประจำทุกวันประมาณ 4 ออนซ์ หรือเทียบได้กับการทานแฮมเบอร์เกอร์เนื้อวันละ 1 ชิ้นมีความเสี่ยงในการเสียชีวิตเร็วกว่าปกติเฉลี่ย 30% 

       โดยสาเหตุของการเสียชีวิตมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคเนื้อสัตว์ ได้แก่ โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง ไม่เพียงแต่เนื้อแดงที่ปรุงสดๆ เท่านั้น แต่การรับประทานเนื้อแดงที่ผ่านการแปรรูปแล้วก็มีความสัมพันธ์กับการตายเร็ว กว่าปกติด้วยเช่นกัน โดยผลการวิจัยนี้เพิ่งได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการอายุรเวชศาสตร์ Archives of Internal Medicine


       การวิจัยยังพบด้วยว่าการรับประทานเนื้อขาว เป็นต้นว่า เนื้อปลา ไก่ ไก่งวง และสัตว์ปีกอื่นๆ กลับทำให้ความเสี่ยงในการเสียชีวิตด้วยสาเหตุแบบเดียวกันนี้ น้อยลงถึงแม้ว่าจะเพียงแค่นิดหน่อยก็ตามที      “ความเป็นหนึ่งเดียวของการศึกษาอันนี้คือจำนวนประชากรที่ศึกษาที่มากและระยะ เวลาการติดตามผลที่นาน ซึ่งทำให้ผลการวิจัยนี้เป็นการตอบที่ชัดเจนและแน่นหนักว่า ใช่แล้วถ้าใครอย่างมีสุขภาพดีและมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นต้องทานเนื้อแดงให้ น้อยลง” ศาสตราจารย์ด้านโภชนาการ แบร์รี่ เอ็ม ป๊อปคิน จากมหาวิทยาลัยแห่งนอร์ธ แคโรไลน่า ผู้เขียนบทบรรณาธิการนำผลการวิจัยเรื่องนี้กล่าว สำหรับคำอธิบายที่ว่าทำไมการรับประทานเนื้อจึงมีผลเสียต่อสุขภาพได้มากถึง เพียงนี้ นักวิจัยบอกว่ามีหลากหลายปัจจัยด้วยกัน เป็นต้นว่า การปรุงอาหารจากเนื้อแดงจะทำให้เกิดสารประกอบที่เป็นสารก่อมะเร็งบางชนิด และยิ่งไปกว่านั้นเนื้อแดงคือเนื้อที่มีปริมาณไขมันอิ่มตัวสูง ซึ่งไขมันประเภทนี้มีความสัมพันธ์กันกับการป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านมและโรง มะเร็งลำไส้และทวารหนัก และอีกทฤษฏีหนึ่งคือเนื้อแดงมีปริมาณธาตุเหล็กที่สูงซึ่งเชื่อว่ามีส่วนทำ ให้กระตุ้นการเป็นโรคมะเร็งได้อีกด้วย

       ข้อน่าสังเกตอีกประการหนึ่งที่การวิจัยชิ้นนี้ได้ให้ไว้คือ การรับประทานเนื้อหมูที่มักถูกโปรโมตว่าเป็นเนื้อขาวไม่ใช่เนื้อแดงนั้นพบว่าทำ ให้มีความเสี่ยงในการเสียชีวิตเร็วขึ้นด้วย ทั้งนี้ นักวิจัยเชื่อว่าอาจเป็นเพราะธาตุเหล็กที่มีอยู่ในเนื้อหมูด้วยเช่นกัน

       แม้การวิจัยครั้งนี้จะไม่ได้อธิบายลงลึกไปถึงกลไกที่ทำให้คนที่รับประทาน เนื้อแดงหรือเนื้อแปรรูปมีความเสี่ยงในการเสียชีวิตเร็วกว่าปกติ แต่ก็ได้ตอกย้ำถึงคำแนะนำโดยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพที่มีการกล่าวถึงมายาว นานว่าควรรับประทานเนื้อให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

        ส่วนคำนิยามของเนื้อแปรรูปที่การวิจัยนี้พบว่าทำให้คนกินเสี่ยงตายเร็วขึ้น ด้วย ได้แก่ ไส้กรอกทุกชนิดเนื้อแผ่นสไลด์ชนิดแช่เย็น เบคอน ซึ่งการวิจัยนี้พบว่าในกลุ่มประชากรตัวอย่างหญิง คนที่รับประทานเนื้อแปรรูปมากที่สุดมีความเสี่ยงในการเสียชีวิตเร็วกว่าปกติ ด้วยสาเหตุโดยรวมเมื่อเทียบกับคนกลุ่มที่รับประทานน้อยที่สุดอยู่ที่ 11% และหากจะจำแนกตามสาเหตุการตายจะพบว่าผู้หญิงกลุ่มทานเนื้อแปรรูปเยอะเสี่ยง ตายด้วยโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น 11% และด้วยโรคหัวใจ 38% ส่วนในกลุ่ม ประชากรผู้ชายนั้นพบว่ากลุ่มทานเนื้อแปรรูปมากเสี่ยงตายด้วยสาเหตุทั่วไปสูง กว่าปกติที่ 16% และความเสี่ยงในการตายจากโรคมะเร็ง 12% ขณะที่ความเสี่ยงในการตายเร็วด้วยโรคหัวใจอยู่ที่ 9%         ทั้งนี้และทั้งนั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการหลายรายย้ำทิ้งท้ายว่าผลการวิจัยนี้ไม่ได้หมายความ ว่าคนเราต้องตัดเนื้อแดงออกจากเมนูอาหารของตัวเองไปเลยโดยสิ้นเชิงแต่ควรจะ เลี่ยงการรับประทานเนื้อให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้จะดีกว่า

ที่มา : สสส.




 

Create Date : 13 มิถุนายน 2553    
Last Update : 13 มิถุนายน 2553 0:08:32 น.
Counter : 331 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  

DeWalt
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add DeWalt's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.