Group Blog
 
All Blogs
 

เจ็บ "ตาปลา" ทำยังไงดี?

nt size="2">ใครเป็น “ตาปลา” ที่ เท้า คงจะรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดทรมานเป็นอย่างดี เพราะกว่าจะรักษาหายต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ แต่ปัญหา คือ ในบางคนรักษาหายแล้ว กลับมาเป็นใหม่ได้อีก หากไม่แก้ไขที่ต้นเหตุ

รศ.พญ.พรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน สาขาตจวิทยา (ผิวหนัง) ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า ตาปลา เป็นก้อนของหนังขี้ไคลซึ่งเกิดจากการเสียดสีของผิวหนังเรื้อรัง พบบ่อยบริเวณฝ่าเท้าซึ่งรับน้ำหนักตัวจึงเกิดอาการเจ็บเวลาเดิน

ทั้งนี้ ผิวหนังของคนเราประกอบด้วยชั้น ผิวหนังกำพร้ากับชั้นหนังแท้ โดยมีสารเชื่อมให้เกาะกัน เมื่อผิวหนังมีการเสียดสีรุนแรง ผิวหนังกำพร้าแยกเป็นตุ่มน้ำพองใส แต่การเสียดสีเป็นแบบเรื้อรังจะกระตุ้นให้ผิวหนังกำพร้าสร้างหนังขี้ไคลหนา เพิ่มขึ้นกลายเป็นรอยด้านแข็ง พบบ่อยบริเวณด้านข้าง ของฝ่าเท้าซึ่งมีการเสียดสีกับรองเท้า และในบางจุดหนังขี้ไคลหนาแข็งเป็นก้อนเล็กฐานของก้อนแหลมคล้ายลิ่มจึงเจ็บ เมื่อกดลง และเมื่อปาดส่วนบนของก้อนออกจะเห็นหนังขี้ไคลกลมใสคล้ายตาปลา

ปัญหาหนังฝ่าเท้าด้านและตาปลาพบบ่อยขึ้น เพราะการสวมใส่รองเท้าแฟชั่นซึ่งไม่สอดคล้องกับโครงสร้างของกระดูกเท้า โดยเท้าประกอบด้วยกระดูกขนาดเล็กจำนวนมากเรียงต่อกันเป็นแนว ข้อกระดูกเชื่อมโยงด้วยพังผืดและมีเส้นเอ็นเกาะกระดูกเพื่อบังคับการทรงตัว ให้มั่นคง กระดูกเท้ามีหนังฝ่าเท้าห่อหุ้ม ผิวหนังบางส่วนมีการเสียดสีกับวัสดุรองเท้าเรื้อรังจึงหนาด้านขึ้น ถ้ารองเท้าบีบรัดให้การเรียงตัวของกระดูกผิดทิศทางมีการรับน้ำหนักของกระดูก บางชิ้นเพิ่มขึ้นก็จะยิ่งทำให้การเสียดสีเพิ่มมากขึ้น ก้อนหนังที่หนาแข็งของหนังกำพร้าหรือตาปลาจะกดหนีบเนื้อหนังแท้และชั้นไขมัน ซึ่งมีใยเส้นประสาทกับกระดูกทำให้เจ็บปวดเวลาเดิน


ลักษณะหนังหนาและตาปลา ยังพบได้บริเวณซอกนิ้วนางและนิ้วก้อย ซึ่งมีการเสียดสีของหนังซึ่งทับกันระหว่างซอกนิ้วกับกระดูกนิ้ว นอกจากนี้ยังพบบริเวณฝ่าเท้าระหว่างโคนหัวแม่เท้ากับนิ้วชี้ และฝ่าเท้าบริเวณโคนนิ้วกลางและนิ้วนาง จากการสวมใส่รองเท้าหัวแหลมบีบนิ้วทั้ง 2 ข้างเข้าหากัน หนังฝ่าเท้าจะห่อเข้าหากันเกิดการเสียดสีเรื้อรังเมื่อเดินเป็นก้อนแข็งยาว ตามร่องฝ่าเท้า และอาจมีตาปลาตรงกลางก้อนแข็ง

ด้านบนของหลังเท้าบริเวณนิ้วนางก็พบตาปลาบ่อยเนื่องจาก การสวมรองเท้าหัวแบน ผิวหนังบริเวณดังกล่าวเสียดสีกับรองเท้าซึ่งหุ้มหลังเท้า ส่วนผิวหนังหนาด้านข้างฝ่าเท้าบริเวณหัวแม่เท้าและนิ้วก้อย มักเกิดจากการสวมรองเท้าหลวมเกินไป

ผู้ป่วยสามารถวินิจฉัยตาปลาได้เอง โดยตาปลาส่วนใหญ่จะเป็นทั้ง 2 เท้า แต่ก้อนเจ็บบริเวณฝ่าเท้าคล้ายตาปลาอาจเป็นโรคหูดจากไวรัส เอชพีวีได้ โดยไวรัสจะกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังแบ่งตัวเพิ่มขึ้นเป็นก้อนในชั้นหนังกำพร้า แต่มีข้อแตกต่าง คือ หูดมักเป็นเท้าเดียวและเจ็บมากถ้าบีบก้อนทางด้านข้างเข้าหากัน ส่วนตาปลามักเจ็บมากเมื่อกดลง และเมื่อปาดผิวหูดออก เนื้อหูดเป็นเส้นสีขาวอัดแน่น หรือถ้าตัดลงลึกจะมีเลือดออกเพราะหูดเป็นเนื้องอกของหนังกำพร้ามีเซลล์ผิว หนังในชั้นหนังกำพร้าหนาขึ้น และมีหลอดเลือดเพิ่มมากขึ้น แต่ตาปลามีเฉพาะผิวหนังขี้ไคลหนาเท่านั้น

ตาปลาจะหายขาดต้องรักษาที่ต้นเหตุ ว่าเป็นจาก ความผิดปกติของกระดูก หรือการสวมรองเท้าไม่เหมาะสม แต่ การผ่าตัดแก้ไขกระดูกยุ่งยากมาก จึงนิยมรักษาตามอาการ เช่น ขูดหรือเฉือนส่วนแข็งออก ใช้ยากัดหูดซึ่งประกอบด้วยกรดซาลิซิลิคหรือกรดแลคติก นอกจากนี้การแก้ไขรองเท้าเพื่อลดการเสียดสี และการใช้อุปกรณ์เสริมวางบนเท้าหรือรองเท้าเพื่อกระจายน้ำหนักหรือลดการ เสียดสีจะช่วยทุเลาอาการ เช่น บริเวณพื้นรองเท้าอาจตัดแผ่นรองใต้ฝ่าเท้าให้เป็นหลุมเพื่อลดการกดทับเมื่อ เดิน

ที่มา : mcot.net




 

Create Date : 02 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 2 กรกฎาคม 2553 22:45:11 น.
Counter : 300 Pageviews.  

"มะเร็งปอด" โรคร้ายของคนไม่สูบบุหรี่


หนึ่งในโรคร้ายที่คร่าชีวิตคน ทั่วโลกนั่นคือ มะเร็ง!

ผู้ป่วยบางคนโชคดี รู้ตัวว่าเริ่มป่วยตั้งแต่ระยะแรกๆ จนสามารถรักษาให้หายได้ทัน แต่บางคนไม่ทราบ เพราะไม่ปรากฏอาการ หรือไม่ได้ตรวจสุขภาพร่างกายเป็นประจำ กว่าจะรู้...ก็เหลือเวลาไม่มาก!

เหตุใดจึงเกิดมะเร็งขึ้น ปกติเซลล์ต่างๆ ในร่างกายเมื่อเสื่อมและตาย ร่างกายก็จะสร้างเซลล์ใหม่มาทดแทนภายใต้การควบคุมของร่างกาย แต่เมื่อไม่สามารถควบคุมได้ ร่างกายจะสร้างเซลล์ให้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นก้อนเนื้อที่ผิดปกติ หรือเนื้องอก แต่หากเนื้อส่วนนั้นเข้าไปแทรกแซง ทำลายอวัยวะอื่นๆ ก็จะเรียกว่า เนื้อร้ายหรือมะเร็ง

ในส่วนของมะเร็งปอด มักเกิดจากเซลล์ของเยื่อบุหลอดลม แบ่งได้ 2 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มมะเร็งชนิดที่มีเซลล์ขนาดเล็ก พบได้ร้อยละ 15-20 เป็นก้อนเล็ก ที่มักจะใช้ยาในการรักษา และ 2.กลุ่มมะเร็งชนิดเซลล์ขนาดใหญ่ พบสูงถึงร้อยละ 80 ของมะเร็งปอด ก้อนเนื้ออยู่ได้นานกว่าชนิดแรก มักจะพบในปอดส่วนกลางใกล้ขั้วปอด ในผู้ที่สูบบุหรี่จัด ถัดไปมักพบที่ปอดส่วนนอก ของคนที่ไม่ได้สูบบุหรี่ บางครั้งเป็นผลจากการเป็นแผลที่ปอด เช่น แผลวัณโรค แผลปอดบวม ซึ่งมะเร็งปอดก็เป็นอีกชนิด ที่มีจำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตมาก ติดอันดับ 1 ใน 5
สิงห์อมควันทั้งหลาย อาจเตรียมใจตายผ่อนส่งในโปรแกรมมะเร็งปอดกันอยู่แล้ว แต่คนรอบข้างอย่างคุณผู้หญิงที่ไม่เคยสูบบุหรี่ เพียงแต่ต้องร่วมรับกลิ่นควันพิษ ทั้งที่ตั้งใจ และไม่ตั้งใจ จนป่วยเป็นมะเร็งปอดนั้นสมควรแล้วหรือ!

มะเร็งปอด มีอาการแรกเริ่ม คือ ไอเรื้อรัง มีไข้โดยไม่ทราบสาเหตุ น้ำหนักตัวลด เสียงแหบ เสมหะมีเลือดปน และหายใจหอบเหนื่อย เจ็บหน้าอก เพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ส่วนใหญ่เมื่อผู้ป่วยมีอาการข้างต้นก็ยังไม่ยอมพบแพทย์เพื่อตรวจ จนทำให้ร้อยละ 85 เสียชีวิตในเวลาต่อมา

หลังจากตรวจพบและทำการรักษา ผู้ป่วยแต่ละรายจะมีชีวิตอยู่ได้นานเท่าใดนั้น ขึ้นอยู่กับการตรวจพบและการเริ่มรักษาในระยะใด ซึ่งมีผลต่อผู้ป่วยมะเร็งชนิดขนาดใหญ่ ส่วนการป่วยเป็นมะเร็งชนิดเซลล์ขนาดเล็ก การคาดการณ์เวลาที่เหลือของชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับการรักษาในระยะใด เพราะโรคจะแพร่เร็ว ผลวิจัยจากสถาบัน มะเร็งนิวเจอร์ซีย์ ระบุถึงสาเหตุที่ทำให้ผู้หญิงป่วยเป็นมะเร็งปอดมากกว่าชาย อันดับ 1 เพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคมะเร็งปอดในผู้หญิงทั้ง ที่สูบและไม่สูบบุหรี่...หรือโชคร้ายที่เกิดมาเป็นผู้หญิง! รองลงมา เพราะการสูดดมควันบุหรี่ ใยหิน ก๊าซเรดอนจากพื้นดิน มลพิษในอากาศ สารพิษในที่ทำงาน หรือมีประวัติคนในครอบครัวเคยป่วยเป็นมะเร็งปอด

อย่างไรก็ตาม วิธีการป้องกันย่อมดี กว่าการแก้ไขเสมอ ในเบื้องต้น ควรตรวจร่างกายประจำปี โดยเฉพาะผู้ที่มีคนในครอบครัวมีประวัติป่วยเป็นมะเร็ง มีอายุเกิน 50 ปีขึ้นไป ผู้ที่ทำงานอยู่ในโรงงานอุตสาหกรรม เหมือง ผู้ที่สูบกัญชา สูดดมควันน้ำมันดีเซลจากท่อไอเสีย คนกรุงที่ต้องเผชิญกับมลภาวะเป็นพิษต่างๆ

ใส่ใจในอาหารการกินให้ถูกต้องตามโภชนบัญญัติ ไม่กินอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง เช่น อาหารที่มีรอยไหม้จากการปิ้ง-ย่าง อาหารหมักดอง มีดินประสิว ของทอดที่ใช้น้ำมันเก่าทอดซ้ำ ไม่กิน ปลาน้ำจืดดิบ เพราะที่เกล็ดและที่เนื้อปลามักจะมีตัวอ่อนพยาธิใบไม้ตับหากกินแบบสุกๆ ดิบๆ ไม่สูบหรือสูดดมบุหรี่ ไม่มีเซ็กส์มั่ว ไม่มัวเมาสุรา ไม่ตากแดดจ้า หมั่นสังเกตความผิดปกติต่างๆ ของร่างกาย เช่น หากพบว่ามีก้อนเนื้อขึ้นที่บริเวณใดก็ตาม ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา รวมทั้งการออกกำลังกาย มองโลกในแง่ดี มีจิตใจที่สดชื่น ร่าเริง สร้างความสุขเพื่อเป็นเกราะกั้นความทุกข์ที่จะนำมาโรคภัยมาหาอีกต่อหนึ่ง




 

Create Date : 28 มิถุนายน 2553    
Last Update : 28 มิถุนายน 2553 22:39:27 น.
Counter : 227 Pageviews.  

เคล็ดลับ เดินเพื่อสุขภาพ


การเดินก็ถือว่าเป็นการออกกำลังกายที่ดีอีกทางหนึ่ง ทำให้สุขภาพแข็งแรง วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเคล็ดลับในการเดินมาบอกกัน

1. เริ่มจากหารองเท้าที่ใส่สบาย เดินนาน ๆ แล้วไม่เจ็บ เวลาซื้อก็อาจจะซื้อรองเท้าสำหรับวิ่ง แล้วหาสถานที่กว้าง ๆ อย่าง สวนสาธารณะ หรือพื้นที่ในหมู่บ้าน
2. เดินได้เลย ทุก ๆ 30 วินาที ให้เพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงระดับความเร็วที่คิดว่าพอสำหรับการเดินเร็ว
3. เมื่อเดินเร็วจนถึงจุดสูงสุด คอยรักษาระดับนี้ไปเรื่อยประมาณ 30 นาทีแต่ต้องมั่นใจว่าเดินไม่ใช่การวิ่งจนเหนื่อยหอบ แต่ในครั้งแรก ๆ อาจใช้เวลาประมาณ 10 นาทีก็ได้ แล้วค่อย ๆ เพิ่มเวลาให้นานขึ้นทุก ๆ สัปดาห์ และจะสังเกตุได้ว่าร่างกายจะแข็งแรงมากขึ้น
4. นึกไว้อยู่เสมอว่าเดินอย่างไร ต้องรู้ว่าตัวเองเดินอย่างถูกต้องหรือยัง เพราะถ้าไม่งั้นอาจจะเจ็บข้อเท้าและปวดเมื่อยได้ วิธีเดินให้ถูกต้องคือ ให้ส้นเท้าแตะพื้นก่อนแล้วค่อย ๆ วางฝ่าเท้า และนิ้วเท้าหลังสุด เดินต่อไปด้วยฝ่าเท้าทั้งหมด

รู้อย่างนี้แล้ว หันมาเดินเพื่อสุขภาพกันดีกว่า

ที่มา - เดลินิวส์




 

Create Date : 28 มิถุนายน 2553    
Last Update : 28 มิถุนายน 2553 22:19:33 น.
Counter : 322 Pageviews.  

ต้านทานโรคด้วยผลไม้


อาหารที่ช่วยส่งเสริมให้ร่างกายแข็งแรงมีแรงต้านโรคหา ได้ง่ายในบ้านเรา แถมยังอร่อยน่ารับประทานด้วย เช่นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพแต่ควรเลือกรับประทานผลไม้หลากหลายชนิด เพื่อร่างกายได้รับวิตามินและเกลือแร่อย่างเพียงพอ

มะเฟือง มีกรดผลไม้สูงซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงาน

สับปะรด ช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย มีกรดผลไม้และเอนไซม์ เช่น Bromelinซึ่งช่วยในการย่อยโปรตีน

ทับทิม มีแคลเซียม ช่วยกำจัดสารพิษและช่วยรักษาระดับน้ำในร่างกายให้สมดุล มีไนอาซินสูงซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้มีการเผาผลาญพลังงาน

ฝรั่ง มีวิตามินซีสูง รวมทั้งวิตามินบี (ช่วยบำรุงประสาท)โปรวิตามินเอและแร่ธาตุต่างๆซึ่งจะให้พลังงานใหม่ๆ

กีวี เต็มไปด้วยวิตามินซี ธาตุเหล็ก แคลเซียม เกลือแร่จำเป็น และกากใย ซึ่งจะช่วยในการย่อยอาหารได้ดี

มะพร้าว มีวิตามินอีสูงซึ่งช่วยในการปกป้องเซลล์ และมีแมนีเซียมซึ่งช่วยต้านความเครียด

ลิ้นจี่ เป็นผลไม้ที่ย่อยง่าย มีกลุ่มวิตามินบีซึ่งช่วยบำรุงประสาท และแคลเซียม

มะม่วง มีสารอาหารที่ช่วยในการปกป้องเซลล์ต่างๆ นั่นคือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี แคลเซียม และธาตุเหล็ก และช่วยในการย่อยอาหาร

เสาวรส มีวิตามินซีและบี 12 สูง (ช่วยให้จิตใจสงบ) รวมทั้งมีแคลเซียมและธาตุเหล็ก

แก้วมังกร เป็นผลไม้ที่มีกากใยมาก ช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย มีธาตุเหล็กสูงและมีแคลเซียมบำรุงกระดูก มีฟอสฟอรัส

มะละกอ มีเอนไซม์มากมาย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้มีการเผาผลาญ มีวิตามินบี 2 วิตามินซี และโปรวิตามินเอ ซึ่งจะช่วยในการปกป้องเซลล์ต่างๆ

ส้มโอ เต็มไปด้วยวิตามินซี เบต้าแคโรทีน และแคลเซียม

ลูกพลับ เต็มไปด้วยวิตามินซี เบต้าแคโรทีนและแคลเซียม

ที่มา - Lisa




 

Create Date : 28 มิถุนายน 2553    
Last Update : 28 มิถุนายน 2553 22:11:06 น.
Counter : 347 Pageviews.  

ระวัง! ดื่มน้ำจากขวดพลาสติก มีสาร BPA ปนเปื้อน


ผลการศึกษาล่าสุดจาก Harvard School of Public Health (HSPH) ชี้ให้เห็นว่า

ผู้ที่ดื่มน้ำจากขวดโพลีคาร์บอเนตหรือขวดพลาสติกแข็งหรือขวดนมเด็กเป็นเวลา หนึ่งสัปดาห์จะมีสารบีพีเอ (bisphenol A; BPA) เพิ่มขึ้นในปัสสาวะถึงสองในสามส่วน สารจำพวกนี้ใช้มากในอุตสาหกรรมบิสฟีนอลเอและพลาสติกชนิดอื่น มีผลต่อการพัฒนาระบบสืบพันธุ์ในสัตว์ สำหรับในคนเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและเบาหวาน

จัดเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ครับที่พบ ว่า

การดื่มน้ำจากขวดโพลี คาร์บอเนตทำให้ปัสสาวะมีสารบีพีเอเพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นว่าสารบีพีเอจากขวดบรรจุน้ำดื่มปนเปื้อนเข้าสู่ของเหลวในขวดและ หากเราดื่มในปริมาณที่พอเหมาะก็จะทำให้พบสารตัวนี้เพิ่มในปัสสาวะ

นอกจากจะพบสารบีพีเอในขวดโพลีคาร์บอเนตซึ่งเป็นขวดน้ำที่นิยมใช้ กันในหมู่เด็กนักเรียน นักท่องเที่ยวและของใครอีกหลายคนแล้วยังพบสารนี้ในขวดนมเด็ก ชิ้นส่วนงานทันตกรรม กาว อลูมิเนียมที่ใช้ใส่อาหาร และเครื่องดื่มกระป๋องอีกด้วย

การศึกษาหลาย เรื่องแสดงให้เห็นว่าสารบีพีเอขัดขวางการทำงานของต่อมไร้ท่อในสัตว์ ตั้งแต่ขัดขวางการเจริญของระบบสืบพันธุ์ การพัฒนาและการจัดเรียงตัวของเนื้อเยื่อบริเวณต่อมน้ำนม ลดการผลิตสเปิร์มในรุ่นลูกรุ่นหลาน และอาจอันตรายอย่างยิ่งต่อการพัฒนาการแรกเริ่ม

คาริน บี มิเชล กล่าวว่า

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยาจาก HSPH และ Harvard Medical School กล่าวว่า การดื่มน้ำเย็นจาก ขวดโพลีคาร์บอเนตแค่เพียงอาทิตย์เดียวก็สามารถทำให้ระดับบีพีเอในปัสสาวะ เพิ่มขึ้นถึงสองในสามส่วนได้ และหากน้ำในขวดร้อนอย่างกรณีของขวดนมเด็กระดับของสารบีพีเอที่พบในปัสสาวะก็ จะมากขึ้น จึงต้องระวังอย่างยิ่งเนื่องจากสารบีพีเอจะขัดขวางการทำงานของระบบต่อมไร้ ท่อในทารกได้มากกว่า

การศึกษานี้ใช้อาสา สมัครจำนวนทั้งสิ้น 77 คน โดยให้อาสาสมัครทำการ ‘ล้างท้อง’ ก่อนด้วยการดื่มน้ำเย็นจากขวดสแตนเลสเป็นเวลา 7 วันเพื่อลดระดับสารบีพีเอในร่างกาย ระหว่างนี้ทีมวิจัยก็จะตรวจสารบีพีเอในปัสสาวะไปด้วย จากนั้นจึงให้ขวดโพลีคาร์บอเนตแก่อาสาสมัครคนละสองขวดและให้อาสาสมัครดื่ม น้ำทุกชนิดจากขวดที่เตรียมให้ตลอดสัปดาห์และทำการตรวจปัสสาวะไปด้วย

ผลตรวจแสดงให้เห็นว่า

สาร BPA ในปัสสาวะอาสาสมัครเพิ่มขึ้นถึง 69% หลังดื่มน้ำจากขวดโพลีคาร์บอเนต (ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าสารบีพีเอที่ตรวจพบในกลุ่มเด็กนักเรียนใกล้เคียง กับคนอเมริกาทั่วไป) การศึกษาก่อนหน้านี้รายงานว่า สารบีพีเอ สามารถปนเปื้อนเข้าสู่ของเหลวในขวดได้ และการศึกษานี้เป็นงานแรกที่แสดงให้เห็นถึงระดับความเข้มข้นของสารบีพีเอใน ปัสสาวะคน

ที่น่ากังวลก็คือ เด็กนักเรียนส่วนใหญ่ใช้ขวดประเภทนี้ดื่มน้ำเป็นประจำ แถมยังไม่ค่อยยอมล้างขวด และหากเด็กเด็กกรอกน้ำร้อนลงไปก็จะทำให้ได้รับสารบีพีเอเพิ่มมากขึ้น เพราะความร้อนช่วยทำให้สารบีพีเอรั่วไหลออกมามากขึ้น

นับได้ว่าการศึกษานี้เห็นผลพอดีเวลาก็ว่าได้ครับ เพราะหลายประเทศกำลังตัดสินใจว่าจะออกมาตรการห้ามใช้บีพีเอในขวดนมเด็กดี หรือไม่ แถมยังช่วยเติมเต็มข้อมูลผลเสียของสารตัวนี้ต่อสุขภาพให้เห็นชัดยิ่งขึ้น หากไม่จำเป็นจริง ๆ ลองลดการดื่มน้ำจากขวดพลาสติกดูนะครับ ไม่แน่ว่าสารบีพีเอส่วนใหญ่ในตัวเราอาจมาจากขวดน้ำพลาสติกเหล่านี้ก็ได้ใช่ไหมครับ

ที่มา : วิชาการดอทคอม




 

Create Date : 24 มิถุนายน 2553    
Last Update : 24 มิถุนายน 2553 23:34:09 น.
Counter : 340 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  

DeWalt
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add DeWalt's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.