|
ไคโรแพรคติก อีกทางเลือกไม่ต้องง้อยา
เมื่อรู้ว่าภาวะ "ออฟฟิศซินโดรม" เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ กับหนุ่มสาวชาวออฟฟิศ "ภาษาหมอ" สัปดาห์นี้ขอเสนอ "ไคโรแพรคติค" หนึ่งทางเลือกรักษาออฟฟิศซินโดรม
ย้อนไปเมื่อปี ค.ศ.1895 ที่เมืองแดฟเวิร์นพอร์ท มลรัฐโลวา สหรัฐฯ คุณหมอปาล์มเมอร์ พัฒนาศิลปะปรัชญา และวิทยาศาสตร์การแพทย์ "ไคโรแพรคติค" ขึ้นมา
''Chiropractic'' เป็นภาษากรีก เกิดจากการผสมกันระหว่างคำว่า "Cheir" และ "Praktikas" ได้ความหมายว่า การรักษาด้วยมือ แพทย์ผู้รักษาจะใช้มือจัดข้อกระดูกสันหลัง และกระดูกเชิงกรานที่เคลื่อนผิดตำแหน่งให้กลับเข้าที่ โดยเน้นความสมดุลของระบบโครงสร้าง สภาวะจิต และสารเคมีต่าง ๆ ในร่างกาย โดยไม่ใช้ยา เข็ม หรือการผ่าตัดรักษา
สำหรับผู้ที่เข้าข่ายเป็นออฟฟิศซินโดรมนั้น จะมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบริเวณต่าง ๆ เช่น หลัง คอ ไหล่ ปวดตามข้อ ปวดศีรษะ มักมีอาการชาตามแขนและขา ซึ่งอาจเป็นเพราะการเคลื่อนไหวผิดจังหวะ หรือนั่งทำงานนานโดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถ ส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ หมอนรองกระดูกเคลื่อน สร้างความเจ็บปวดทรมานสะสมจนเป็นอุปสรรคในการทำงานและการใช้ชีวิต สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อขอตรวจรักษาด้วยการแพทย์แบบไคโรแพรคติกได้
Create Date : 21 กุมภาพันธ์ 2553 | | |
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2553 13:20:03 น. |
Counter : 282 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
โรคมะเร็งตับ และมะเร็งตับอ่อน
มะเร็งตับ (liver cancer) เป็น มะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 1 ในเพศชายและอันดับ 2 ในเพศหญิง และเป็นมะเร็งที่มีการดำเนินโรคเร็วมาก มักจะเสียชีวิตใน 3 -6 เดือน คนที่มีไวรัสตับอักเสบมาก่อน เช่น ไวรัสตับอักเสบชนิดบี ไวรัสตับอักเสบชนิดซี เป็นมาระยะหนึ่งจะเป็นตับแข็ง และพัฒนาเป็นมะเร็งได้ คนที่ดื่มสุรา การกินอาหารที่มีอัลฟาท๊อกซินบ่อยๆ วิธีการที่จะติด อาจจะเกิดจากการคลอด การได้รับเลือด การร่วมเพศ การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
ตับ เป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย ทำหน้าที่ในการจัดการกับสารอาหารที่ดูดซึมเข้าจากลำไส้ สร้างสารต่างๆ เช่น สารประกอบที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน การแข็งตัวของเลือด และทำลายสารพิษที่รับประทานเข้าไป
ประเภทของมะเร็งตับ 1.ชนิดที่เกิดกับตับโดยตรง (มะเร็งปฐมภูมิ) ในประเทศไทยพบมากมี 2 ชนิด คือ
* มะเร็งชนิดเซลล์ตับ เป็นมะเร็งที่พบได้ทั่วทุกภาค * มะเร็งชนิดเซลล์ท่อน้ำดี เป็นมะเร็งที่พบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
2.ชนิดที่ลุกลามมาจากมะเร็งของอวัยวะอื่น (มะเร็งทุติยภูมิ) เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ และ ทวารหนักที่กระจายไปยังตับ
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งตับ 1. ผู้ป่วยที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบ บี จะพบในอัตรา 0.4–0.6 % ของผู้ป่วยดังกล่าว 2. ผู้ป่วยที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบซี
3. ผู้ ป่วยที่มีภาวะตับแข็ง ที่มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัส จากการใช้ยา จากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ จากธาตุเหล็กและแคลเซี่ยม 4. ผู้ป่วยที่ได้รับสารอะฟลาทอกซิน 5. ผู้ป่วยที่มีประวัติสมาชิกในครอบครัวเป็นมะเร็งตับ หรือโรคไวรัสตับอักเสบบี 6. อัตราเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งตับ เฉลี่ยระหว่างผู้ชายและผู้หญิงคือ 4.6 : 1 คือพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง 7. ปัจจัย เสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรค เช่น โรคไวรัสตับอักเสบชนิดบี พยาธิใบไม้ในตับ สารเคมีต่างๆ ยารักษาโรคบางชนิด ยาฆ่าแมลง สารพิษที่เกิดจากเชื้อรา สารเคมีที่เกิด จากอาหารหมักดอง สุรา ฯลฯ ภาวะทุพโภชนาการ ภาวะทางระบบอิมมูน คุณสมบัติ ทางพันธุกรรม และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เป็นสาเหตุช่วยในการเกิดโรค
อาการ * เบื่ออาหาร แน่นท้อง ท้องผูก * อ่อนเพลีย น้ำหนักลด และมีไข้ต่ำๆ * ปวดหรือเสียดชายโครงด้านขวา อาจคลำก้อนได้ * ตัวเหลือง ตาเหลือง ท้องโตและบวมบริเวณขาทั้ง 2 ข้าง
* มะเร็ง ที่มีขนาดเล็กหรือมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ผู้ป่วยในระยะนี้มักจะไม่มีอาการทางกายที่ชัดเจนมากนัก อาจเรียกว่าไม่มีอาการเลยก็ว่าได้ แต่เมื่อก้อนมะเร็งโตขึ้นแล้ว อาจส่งผลแสดงอาการต่างๆ ได้ เช่น ปวด แน่นท้องบริเวณด้านขวาบน หรือหากเป็นก้อนตรงตับกลีบซ้าย อาจมีอาการบริเวณลิ้นปี่ อาจมีอาการเหม็นเบื่ออาหาร ทานไม่ค่อยได้ ซึ่งส่งผลให้น้ำหนักลดลงโดยไม่รู้ตัว บางคนอาจมีอาการเกี่ยวการย่อยอาหาร ท้องอืด อาหารไม่ย่อย เพราะเคมีน้ำดีในตับบกพร่อง คนที่ก้อนโตมากขึ้น อาจคลำก้อนได้บริเวณใต้ชายโครงขวา รู้สึกท้องโต แน่นตึง บางคนอาจมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง หรือมีน้ำไปที่ช่องท้องที่เรียกว่า ท้องมาน เกิดขึ้นได้หากก้อนลุกลามมาก แต่อาการเหล่านี้บางครั้ง อาจเกิดจากภาวะตับแข็งเฉยๆ โดยที่ยังไม่ได้เป็นมะเร็งก็ได้
การตรวจวินิจฉัย การตรวจและรักษามะเร็งตับในระยะแรกเริ่มมักได้ผลดี แต่มะเร็งตับระยะแรกเริ่มมักไม่มีอาการ ผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงควรปรึกษาแพทย์ 1. การตรวจโดยเจาะเลือดหาระดับของสารแอลฟาฟีโตโปรตีน ซึ่งเป็นสารที่มะเร็งตับ ชนิดเซลล์ตับผลิตออกมา 2. การตรวจดูก้อนในตับโดยใช้อุลตราซาวด์ คอมพิวเตอร์เอ็กซเรย์ คลื่นแม่เหล็ก MRI หรือฉีดสีเข้าเส้นเลือดแดงที่ไปเลี้ยงตับ
mthai.com
Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2553 | | |
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2553 8:21:35 น. |
Counter : 263 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
การปอกผลไม้ไม่ให้ดำ
เราคงจะเคย ปอกผลไม้ แล้วเก็บทิ้งไว้ค่อยกลับมาทาน แต่ปรากฏว่า พอจะมาทานอีกที ผิวของผลไม้ที่ปอกไว้กลับมีสีดำ ไม่น่าทานเลย จะทำยังไงดี มาดูวิธีนี้กัน
การปอกผลไม้ไม่ให้ดำ เช่น ปอกแอปเปิ้ล สาลี่ ฝรั่ง ชมพู่ เมื่อปอกทิ้งไว้มักจะมีผิวดำไม่น่ารับประทาน ยิ่งปอกไว้นานจะยิ่งดำมาก เพราะยางในผลไม้จะออกมาทำปฏิกิริยากับอากาศ ควรใช้เกลือ 1 ช้อนชาผสมน้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ ผสมในน้ำสะอาดแล้วแช่ผลไม้ที่ปอก ทิ้งไว้สักครู่ เมื่อนำไปจัดใส่จานวางไว้บนโต๊ะอาหาร ผิวผลไม้จะไม่ค่อยดำ หรืออาจจะปอกผลไม้ใหม่ๆใส่จาน โรยบนด้วยน้ำแข็งก้อนเล็กๆแล้วเสิร์ฟทันทีก็ได้
Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2553 | | |
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2553 22:04:13 น. |
Counter : 397 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
อีเมล มลพิษใหม่ในออฟฟิศ
แต่ก่อน เส้นตายการส่งงานและการมาทำงานให้ทัน คือปัญหาหลักที่สร้างความกดดันแก่พนักงานส่วนใหญ่ แต่ในโลกศิวิไลซ์ยุคนี้ พนักงานต้องผจญกับความเครียดชนิดใหม่ในการรีบเช็คและตอบอีเมล ทำให้สมองอ่อนล้า หงุดหงิด และทำงานไม่มีประสิทธิภาพ บางคนกังวลขนาดต้องเช็คเมลชั่วโมงละกว่า 40 ครั้ง
งานวิจัยของนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยกลาสโกว์ และมหาวิทยาลัยเพสลีย์ในสก็อตแลนด์ พบว่าพนักงานเช็คเมลบ่อยกว่าที่ระบุไว้ในแบบสำรวจ
ครึ่งหนึ่งของกลุ่มตัวอย่าง 177 คนบอกว่า เช็คเมลชั่วโมงละมากกว่าหนึ่งครั้ง โดย 35% เช็คทุก 15 นาที แต่อุปกรณ์ติดตามผลที่ติดอยู่กับเครื่องพีซีฟ้องว่า ผู้ตอบแบบสอบถามเช็คเมลบ่อยกว่านั้น พนักงานยังบ่นว่า รู้สึกว่าตัวเองถูกบังคับให้เช็คว่ามีเมลด่วนเข้ามาหรือไม่
คาเรน เรโนลด์ นักวิทยาศาสตร์สาขาคอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยกลาสโกว์ ชี้ว่า อี เมลเป็นเครื่องมือที่น่าอัศจรรย์ แต่ขณะเดียวกันก็สร้างปัญหาต่อการทำงาน เพราะอีเมลจะคอยเร่งเร้าให้พนักงานอยากรู้ว่า เมล์นั้นมาจากคนที่บ้าน เพื่อน หรือเจ้านาย จึงต้องวางมือจากงานไปอ่านเมล์ก่อน "เมื่อกลับมาทำงานอีกครั้ง ความคิดเกี่ยวกับงานก็หายไปหมดแล้ว เท่ากับว่าประสิทธิภาพการทำงานถดถอยลง" นอกจากนั้นแล้ว ยังทำให้เสียสมาธิไปกับสิ่งเร้า ซึ่งรวมถึงอีเมลมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้สมองเหนื่อยล้าและประสิทธิภาพการทำงานด้อยลง
เรโนลด์ และ จูดิท แรมเซย์ นักจิตวิทยา และมาริโอ แฮร์ นักสถิติจากมหาวิทยาลัยเพสลีย์ ทำการสำรวจนักวิชาการ และคนทำงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อศึกษาว่าคนเหล่านี้จัดการกับอีเมลที่ได้รับในที่ทำงานอย่างไร ทีม นักวิจัยพบว่า 34% ของกลุ่มตัวอย่างเครียดกับอีเมลจำนวนมากที่เข้ามา รวมถึงความรับผิดชอบในการตอบอีเมลเหล่านั้นโดยเร็ว, 28% บอกว่าการได้รับอีเมลทำให้รู้สึกถูกกดดันให้ต้องอ่าน ที่เหลือ 38% รู้สึกผ่อนคลาย เพราะจะตอบอีเมลหลังจากได้รับ 1 วันหรือ 1 สัปดาห์ การวิจัยยังพบว่า ผู้หญิงรู้สึกกดดันให้รีบตอบอีเมลมากกว่าผู้ชาย
ขณะเดียวกัน คนทำงานที่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ หรืองานที่ต้องใช้สมาธิเป็นเวลานาน ๆ เพื่อให้โครงการสำคัญลุล่วง เช่น นักวิชาการ นักเขียน สถาปนิก และนักหนังสือพิมพ์ มีแนวโน้มได้รับผลกระทบมากที่สุด
นักวิจัยแนะนำว่า คนที่ส่งอีเมลไม่ควรกดดันให้ผู้รับตอบกลับโดยเร็ว เหมือนการรับโทรศัพท์ ขณะที่ผู้รับควรหลีกเลี่ยงการนั่งเฝ้าอีเมล เนื่องจากจะกระทบต่อกิจกรรมการทำงานอื่น ๆ ทั้งหมด แต่ควรกำหนดช่วงเวลาเฉพาะสำหรับการอ่านเมล์แทน
Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2553 | | |
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2553 20:36:07 น. |
Counter : 270 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|