ประมุขเฒ่าพรรคมาร
Group Blog
 
All blogs
 
นักชำแหละที่ไม่มีใครไม่รู้จัก Jack the ripper


ชื่อของชายคนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์อังกฤษ ที่ชาวอังกฤษและชาวโลกรู้จักกันดี
ชายคนนี้เป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ก่อคดีสะเทือนขวัญมานับครั้งไม่ถ้วน กับหญิงโสเภณีในย่านสลัมของย่านลอนดอน ซึ่งผ่านมากว่าร้อยปีแล้ว

และมีหนังสือที่เกี่ยวกับแจ๊คออกมามากมาย ไม่เท่านั้น เพลง , เรื่องเล่า , ละครโอเปร่า
และภาพยนตร์ก็ยังเคยนำเรื่องราวของชายผู้นี้ไปสร้างกันหลายต่อหลายครั้ง

นับว่า แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ เป็นอาชญากรชื่อดังแห่งยุคหรือศตวรรษนั่นเลยทีเดียว
เป็นสัญญลักษณ์ของความน่ากลัวต่อชาวอังกฤษ จนถึงทุกวันนี้เมื่อนึกถึงชื่อนี้ขึ้นมา
(the man should not be named) ทำไมชื่อของ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ยังคงเป็นที่จดจำกันได้จนถึงทุกวันนี้ ?

คำตอบที่น่าจะกล่าวได้คือ ชายผู้นี้ยังไม่เคยโดนจับได้เลยตั้งแต่เขาก่อคดีสะเทือนขวัญผู้คนในลอนดอนมา ทั้งยังการฆ่าที่โหดเหี้ยมและน่าสยดสยอง ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าเหยื่อโดยการผ่าท้อง และลากเอาไส้มาแขวนไว้ที่เสาไฟฟ้า การแขวนศพเหยื่อไว้บนกำแพง ฯลฯ และที่สำคัญไม่มีข่าวรายงานเลยว่ามีคนที่เคยเห็นหน้าแจ๊คด้วยซ้ำไป กระทั่งผู้ที่อาศัยอยู่ละแวกใกล้ๆ แม้แต่ตอนที่แจ๊คลงมือยังแทบไม่ได้ยินเสียงอะไรที่ผิดปกติเลย โดยเหยื่อนั้นเสียชีวิตจากการถูกของมีคมแทงหรือไม่ก็ชำแหละ คมมากจนถึงขนาดตัดกระดูกออกมาได้ บ้างก็กล่าวว่าแจ๊คนั้นเป็นหมอผ่าตัดบ้าง คนชำแหละเนื้อบ้าง และหักอกจากหญิงคนรักที่เป็นโสเภณี หรือเพียงผู้หญิงธรรมดา บ้างก็ว่าลูกชายของแจ๊คนั้นโดนโสเภณีหลอกจนกระทั่งต้องฆ่าตัวตาย เลยเป็นเหตุให้เขาก่อคดีเหล่านี้ คดีฆาตกรรมที่แก้ไม่ได้ของแจ๊คเดอะ ริปเปอร์ ทำเอาตำรวจทั้งลอนดอนปวดหัวเป็นการใหญ่ และพยายามสืบหาว่าเขาเป็นใครและทำการฆาตกรรมต่อหญิงโสเภณีไปเพื่ออะไร จนถึงทุกวันนี้ก็ยังมีการตั้งสมมติฐานและสืบจากหลักฐานที่บันทึกไว้อยู่ แต่ก็ยังไม่ได้เรื่องราวคืบหน้าอะไร

ตำนานเรื่องราวที่น่ากลัวนั้นเริ่มจากคืนหนึ่งในกรุงลอนดอน อากาศหนาวและหมอกลงหนาจัด
จนกระทั่งมีชายคนหนึ่งเดินแหวกสายหมอกออกมา พร้อมกับหญิงโสเภณีคนหนึ่ง
โดยไม่รู้ตัวว่าตัวเองนั้นจะไม่มีโอกาสได้เห็นพรุ่งนี้อีกแล้วเมื่อมาอยู่ในอุ้งมือมัจจุราชของชายที่มาด้วยกัน
เมื่อถึงที่ลับตาคน แจ๊คก็เริ่มฆ่าเหยื่อด้วยมีดอย่างรวดเร็วและเงียบกริบ และจากไปโดยไม่มีใครล่วงรู้
อย่างหนึ่งที่ตำรวจและผู้เชี่ยวชาญกล่าวไว้ว่าเหตุผลที่แจ๊คลงมือนั้น แทบจะหาประเด็นมาอธิบายไม่ได้
ชายผู้นี้ลงมือด้วยความพอใจหรือ ? ลงมือด้วยความแค้นต่อ "ใคร" หรือ "อะไร" สักอย่าง
มาจนกระทั่งถึงเหยื่อรายสุดท้าย จากนั้น แจ๊คเดอะ ริปเปอร์ก็ได้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์คดีฆาตกรรม
โดยไม่เหลือร่องรอยอะไรทิ้งไว้ นอกจากตำนานการฆาตกรรมสยองขวัญ ที่ยังคงเป็นที่จดจำของชาวอังกฤษ
มาจนกระทั่งทุกวันนี้ ...


จุดเริ่มต้นของคืนสยอง
เรื่องราวการชำแหละอย่างสยดสยองที่ทำให้คนทั่วโลกกลัวกันจนตราบทุกวันนี้เกิดขึ้นเมื่อออ ค.ศ.๑๘๘๘ ในมหานครลอนดอน โดยเฉพาะประชาชนในย่านไวท์ ซาเบทและย่านอิสต์ เอนด์
ในขณะที่ประเทศอังกฤษนับว่าเป็นชนชาติที่รุ่งเรืองในอารยธรรมมากที่สุดในโลกขณะนั้น ลอนดอนเป็นเมืองหลวงที่มั่งคั่ง ยิ่งใหญ่ หรูหราที่สุด ชาวลอนดอนทุกคนต้องแต่งกายดี มีมารยาททางสังคมสูงส่งเป็นผู้ดีที่ใช้ชีวิตประจำวันราวกับลีลาพญาหงษ์
แต่ทว่า ในอีกด้านหนึ่งของนครอันศิวไลน์นั้นยังมีตรอก ซอก ซอย ที่อยู่ในจุดอับของความเจริญ ซึ่งชีวิตของคนในนั้นจะดูน่าสังเวช ไม่ผิดกับหนูในท่อ
เด็ก ๕ ขวบมักติดโรคตาย วัยรุ่นติดเหล้า เสพยามีสันดานเป็นโจรไพร่ พวกผู้หญิงวัยรุ่นจนถึงกลางคนจะยึดอาชีพค้าประเวณี ทำตนเปป็นหญิงแพศยา ทำให้รูปร่างเหี่ยว โทรม และแก่เกินวัย ทำให้พวกเธอตกเปปป็นเป้าสายตาของมนุษย์ที่เปรียบได้ดังอสูรร้าย ที่เกลียดชังพวกเธอ จนมันผู้นั้นต้องการให้เธอตายเสมือนไล่บี้แมลงสาบให้ไส้ทะลัก และตายอย่างไม่เป็นชิ้นเป็นอัน

รายที่หนึ่ง เริ่มต้นในช่วงตี ๕ ของวันที่ ๗ สิงหาคม ค.ศ.๑๘๘๘ มีผู้เข้าแจ้งความตำรวจแล้วแจ้งว่า มีคนถูกฆ่าตายที่หน้าบ้านของเขา เมื่อตำรวจรุดเข้าไปสถานที่เกิดเหตุ ประจวบกับแสงแดดอ่อนยามเช้าส่องเข้าไป ทำให้เห็นสภาพศพที่ยับเยินของผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้คนแถบนั้นต่างรู้จักเธอ ว่าเธอคือ มาร์ธา เทอร์เนอร์ โสเภณีวัย ๓๕ ปี จากสภาพศพชันสูตรออกมาว่า เธอถูกจู่โจมข้างหลัง และฆาตกรได้เชือดคอเธออย่างทารุณ ก่อนที่จะจ้วงล้วงควงแทงเธออีกกว่า ๓๙ แผล เท่านั้นยังไม่พอใจในความวิปริต มันได้เฉือนเนื้อของเธอเป็นชิ้นโตๆ โปะไว้ตรงกองศพ ทว่า...การตายของเธอยังไม่ได้รับการสนใจพอ เพราะถือเป็นเรื่องปรกติ

รายที่ ๒ จากรายแรกผ่านไป ๒๔ วัน ชาวบ้านก็ต้องผวาอีกครั้ง เพราะครั้งนี้โหดเหี้ยมกว่าครั้งแรก ในคืนวันที่ ๓๑ สิงหาคม ย่านไวท์ ซาเบล............มีผู้พบศพแมรี่ แอนนี่ นิโคล"พริ้ตตี้ พอลลี่" วัย ๔๒ ปี ซึ่งก่อนหน้านี้ ๒ ชั่วโมงเธอได้เดินควงคู่กับชายแปลกหน้าสวมหมวกทรงสูงหลบซ่อนอยู่ในมุมมืด ซึ่งชายผู้นั้นได้เลี้ยงเหล้าเธอ และพาเธอหายไปในความมืด
สันนิษฐานว่าฆาตกรได้ใช้มีดซึ่งผ่านการลับมาอย่างดี ปาดคอเธออย่างรวดเร็ว พอลลี่หมดสิทธิ์ร้อง เพราะหลอดลมของเธอถูกตัดกระจุย และเธอยังไม่ทันตายสนิท คมมีดถูกปักเข้าที่ท้องและชำแหละลากเอาไส้ของเธอออกมา ซึ่งตำรวจผู้ชันสูตรกล่าวว่า*คนร้ายมีความรู้ในด้านกายภาพยอดเยี่ยมมาก เขาน่าจะเป็นหมอก่อนเป็นฆาตกร*

รายที่ ๓ ห่างจากรายที่ ๒ เพียง ๗ วันเท่านั้น"ดาร์ก แอนนี่" หรือ แอนนี่ แชบแมน หญิงบริการผิวคล้ำซึ่งป่วยด้วยวัณโรค ถูกเชือดชำแหละในคืนวันที่ ๘ กันยายนในถนน ฮานเบอรี่ ๒ สองศพที่ผ่านมานั้นยังเทียบกับศพนี้มิได้ เพราะเธอถูกเชือดคอ ก่อนที่จะหั่นเนื้อของเธอเป็นชิ้นๆ และจบลงด้วยการแหวะท้อง ลากเครื่องในออกมากองไว้ข้างนอก
โดยชาวบ้านต่างพากันว่าเป็นฝีมือของตำรวจนั้นเอง เพราะเป็นพวกไม้เบื่อไม้เมากับโสเภณีเหล่านี้มานาน

รายที่ ๔ เช้าวันที่ ๓๐ กันยายน แถวๆ ดัทฟิลด์ ยารัต ตำรวจกำลังออกเวรได้พบขายาวๆ สวมถุงน่องชี้โด่ออกมาจากประตูโรงงาน
ศพนั้นรู้จักกันในนามของ"ลอง ลิซ"วัย ๔๕ ปี เหยื่อรายนี้ถูกขัดจังหวะก่อนที่จะชำแหละเสร็จ ฆาตกรจึงลงกับรายที่ ๕ ทันที อาจเป็นเพราะอารมณค้างน่ะครับ มือชำแหละได้ลงมือสังหารรายที่ ๕ ทันทีเป็นเวลา ๔๕ นาทีหลังจากพบศพของ"ลอง ลิซ"

รายที่ ๕ "เคต เคลลี่" อายุ ๔๓ ปีโดนเชือดเข้าที่ใบหน้า ตามตัวถูกกรัดด้วยและกระหน่ำแทงอย่างไร้ความปราณี ยังไม่พอ.......ฆาตกรตัดไตข้างซ้ายและอวัยวะอื่นๆ กลับบ้านไปด้วย และที่สำคัญ ครั้งนี้ฆาตกรมี Massage เลือดฝากถึงตำรวจด้วยว่า "อย่าโทษชาวยิว พวกนี้ไม่รู้เรื่อง" อันเป็นจุดพลิกผันของเรื่อง เพราะในขณะนั้น ชาวยิวซึ่งอพยบมาจากรัสเซียเกิดถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีส่วนรู้เห็นด้วยกัน ยิ่งทำให้ถูกเข้าใจผิดมากไปกว่าเดิมเสียอีก เพราะชาวยิวในยุคนั้นถูกข่มเหงรังแกจากชาวยุโรป ทำให้เกิดบ้าบอขึ้นมาและลงที่ผู้หญิงหากินก็ได้
ไม่นานนัก สำนักข่าวในย่านถนน ฟรีท สตรีท ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งมีใจความว่าดังนี้
"ท่านที่เคารพ...ผมคอยติดตามข่าวสารอยู่ตลอดเวลาว่าเมื่อไหร่เมื่อไหร่ตำรวจจะได้รู้และตามจับผมได้สักที แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ยังหาไม่พบ ผมขอบอกตามตรงว่า ผมขยะแขยงผู้หญิงบางจำพวก คอยดูสิ ผมจะฆ่าพวกมันให้ได้ครบรูร้อยเข็มขัดของผมเลยจะบอกให้ งานของผมนี่สนุกมากเลย ผมเก็บเลือดของพวกมันใส่เข้าไปปในขวดเอาไว้ใช้ต่างหมึกสำหรับเขียนมาถึงท่านนี่ไง อีกไม่นานท่านจะได้ข่าวคืบหน้าขึ้นมาอีก บางที่ผมอาจจะตัดหูของนังเวรพวกนี้ใส่ซองกับจดหมายด้วยลงชื่อ Jack the Ripper"
นี่เป็นครั้งแรกที่ชื่อของ Jack the Ripper ผุดขึ้นออกมาสู่โกภายนอกและรายสุดท้ายก็มาถึง

(อย่างที่ทราบๆ กันว่าแจ๊คได้ส่งจดหมายให้แก่ตำรวจ แล้ว ๓ เนื้อหาในจดหมายนั้นเนื้อหามีอะไรบ้างล่ะ?
จดหมาย "เจ้านายที่เคารพ"

จดหมาย "เจ้านายที่เคารพ" เป็นฉบับแรก ที่กล่าวถึง นามว่า "แจ๊ด เดอะ ริปเปอร์ เป็นจดหมายลงวันที่ ๒๘ กันยายน ๑๘๘๘ ไปยังสำนักข่าวเซ็นทรัล หลังจากฆาตกรรม แอนนี่ แซ็ปแมน ๑๗ วัน เขียนด้วยลายมือหมึกแดง มีข้อความดังนี้

๒๕ กันยายน ๑๘๘๘

เจ้านายที่เคารพ
ผมได้ยินอยู่เรื่อยว่าตำรวจจะจับผม แต่พวกเขายังหาตัวผมไม่ได้เลย ผมได้แต่หัวเราะเมื่อดูพวกเขาช่างฉลาดล้ำและคุยโวว่ากำลังตามตัวไปถูกทาง เรื่องตลกเกี่ยวกับ ผ้ากันเปื้อนหนัง ทำให้อดหัวเราะไม่ได้จริงๆ ผมอยากกำจัดพวกโสเภณีและผมไม่สามารถหยุดเชือดพวกหล่อนได้จนกว่าจะเอาพวกหล่อนมาคาดรอบพุง งานชิ้นสุดท้ายช่าง ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ผมไม่ให้โอกาสสุภาพสตรีผู้นั้นร้องแม้แต่แอะเดียวตำรวจจะจับผมได้อย่างไรกัน ผมรักงานของผมและอยากจะลงมืออีก ในไม่ช้า คุณ จะได้ยินเรื่องราวของผมอีก เล็กๆน้อยๆ เป็นงานอันสนุกของผม ผมอุส่าเกบเลือดไว้ในขวดเบียร์เพื่อเอาไว้ใช้เขียน แต่มันข้นเหมือนกาวผมเลยใช้มันไม่ได้ แค่หมึกแดงก็เพียงพอแล้วสำหรับผม ฮ่าๆๆๆ งานต่อไปของผมก็คือ ผมจะตัดหูของสุภาพสตรีส่งให้

(ด้านหลัง) เจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อความสนุกน่ะ คุณว่าไหมขอให้เก็บจดหมายนี่ไว้ก่อน จนกว่าผมจะทำงานเล็กๆน้อยๆเสร็จก่อน แล้วค่อยส่งให้ตำรวจทันที มีดของผมคมมากและน่าใช้ จนผมต้องออกไปทำงานเดียวนี้ ขอให้โชคดี
ด้วยความจริงใจ
แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์


คงไม่ว่านะที่ผมจะใช้ยี่ห้อประจำตัว

ถัดลงมา ตรงมุมซ้ายของหน้ากระดาษ เขียนไว้ว่า

คงไม่ดีนักที่จะส่งจดหมายนี้ก่อนที่หมึกแดงจะหลดออกจากมือ โชคยังไม่มีเลย อ้อ พวกเขาว่าผมเป็นหมดด้วยล่ะฮ่า ๆ


ไปรษณีย์แจ็คจอมซ่า

วันเดียวกับเดียวกับการเกิดคดีฆาตกรรมสองครั้งซ้อน สำนักข่าวเซ็นทรั่ลได้รับไปรษณียบัตรเปื้อนเลือดสกปรก ไม่ลงวันที่ แต่ประทับตราต้นทางไว้ที่ ๑ ตุลาคม ลายมือและทำนองเหมือนฉบับแรกใจความว่า



ฉันไม่ได้เข้าประจบนายเก่าของฉันตอนหรอกน่ะ ที่ฉันให้รางวัลนี้แก่คุณเพิ่ม
คุณคงได้เห็นงานของแจ็คจอมซ่า เมื่อวานนี้ คราวนี้ฉันทำถึงสองงานซ้อนเชียวนะ งานแรกมีเสียงร้องออกมานิดหน่อย งานเลยไม่เสร็จเรียบร้อย ไม่มีเวลาตัดหูมาให้ตำรวจเลย ขอบคุณที่เก็บจดหมายฉบับก่อนไว้จนฉันทำงานอีกครั้ง

แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์



อย่างไรก็ตามคนเขียนไปรษณีย์บัตรนี้อาจไม่ใช้ฆาตกรก็ได้ เพราะอาจฟังข่าวในเช้าที่เกิดเหตุ และส่งถึงสำนักงานข่าวเซ็นทรัสเลยก็ได้

ปัจจุบันไปรษณีย์ของจริงนี้สูญหายอย่างลึกลับ ไม่มีใครได้พบเห็นไปรษณีย์บัตรฉบับนั้นอีกเลย


จากนรก

วันอังคารที่ ๑๖ ตุลาคม ๑๘๘๘ จ๊อร์จ เอคิ่น ลัสก์ ประธานกรรมการป้องกันภัยของไวท์แช็พเพลได้รับพัสดุกล่องเล็กๆ ห่อด้วยกระดาษสีน้ำตาล เมื่อเขาเปิดออกดเขาตกตะลึงเมื่อพบ......

ไตครึ่งซีกส่งกลิ่นเหม็นมันถูกตัดแบ่งเป็นทางยาว มีจดหมายแนบใจความว่า


จากนรก

มิสเตอร์ลัสก์

ท่านที่เคารพ

ผมได้ส่งครึ่งหนึ่งของไตที่เอามาจากผู้หญิงคนหนี่งและเก็บรักษาแบ่งให้คุณ ส่วนอีกส่วนได้ทอดและกินไปแล้ว มันช่างอร่อยมาก ผมจะส่งมีดเปื้อนเลือดที่หั่นมันออกมา ถ้าคุณรออีกสักพัก

ลงชื่อ จับฉันเลยเมื่อ

คุณสามารถจับได้
มิสเตอร์ลัสก์



แต่เขาเก็บเรื่องนี้เอาไว้และบอกสมาชิกในคณะเช้ารุ่งขึ้น

และจากการตรวจสอบก็พบว่ามันเป็นไตของคนจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าเจ้าของใดเป็นใครกันแน่ อาจเป็นศพที่โรงบาลแพทย์ หรือ อาจเป็นไตจากศพของนางคัทรีนที่ศพพบว่าไตหายได้สูญหายไป)


รายสุดท้าย แมรี่ เจน แคลลี่ ถูกฆ่าเมื่อวันที่ ๙ พฤษจิกายน ๑๘๘๘ เธอน่าสงสารที่สุด เพราะด้วยวัยเพียง ๒๔ ปี และหน้าตาที่สวยไม่ใช่เล่น ซึ่งผิดกับครั้งที่ผ่านมาเพราะที่ผ่านมาเป็นผู้หญิงแก่ๆ ร่างกายทรุดโทรม
เคลลี่ เป็นสาวสวยผมบลอนด์ เคยทำงานในราชสำนักของอังกกษ เป็นพี่เลี้ยงให้ทารกสาวน้องให้แก่เจ้าชาย อัลเบิร์ต วิคเตอร์ แต่เธอถูกจับได้ว่าทำงานพิเศษเป็นโสเภณี จึงถูกไล่ออก และเข้ามาอาศัยในมิลเลอร์คอร์ด และเธอค้างค่าเช่าห้องประจำ
ผู้ชายคนสุดท้ายก่อนที่เธอจะตายคือ จอร์ซ ฮัทซิ่งสัน ผู้ที่เธอไปของเน แต่เขาไม่ให้ เธอจึงผละออกไปหาชายผู้สวมหมวกยาวสีดำ ผอมสูง
และนั่นคืออครั้งสุดท้ายที่เธอมีชีวิตอยู่..................
เช้าวันที่ ๙ เคลลี่ถูกพบเป็นศพอยู่ในห้องเช่า เพราะคอที่บอบบางของเธอถูกปาดจนเกือบขาด เนื้อถูกแล่เป็นริ้วๆ จนเหลือแต่กระดูกขาวเว่อร์ ท้องถูกผ่าแหวะออก ตับและไส้ถูกกองออกมาระหว่างเท้าสองข้าง

รู้สึกว่าเคลลี่จะเป็นรายสุดท้ายนะครับ เพราะว่าแจ็ค เดอะ ริ้ปเปอร์ จะหยุดทำการแล้ว เพราะไม่มีศพรายไหนที่เป็นแนวชำแหละแบบ แจ็ค เดอะ ริ้ปเปอร์ อีกเลย เสมือนกับว่าเขาหายไปอย่างกระทันหันเลย
สำหรับในเรื่องโคนัน ที่นิ้วนาง เป็นนิ้วที่เล็กกว่านิ้วอื่น เพราะแหวนที่สวมตั้งแต่เด็ก ที่ฆ่าแต่ผู้หญิง เพราะแม่ที่ทอดทิ้งตัวเองตั้งแต่เด็ก ในเรื่องโคนัน คนที่เป็น Jack the Ripper เป็นผู้หญิง

เหอ...เหอ...เหอ...จู่ๆ ก็เลยเถิดไปการ์ตูนเลย อาจเป็นเพราะว่าเขามีหลักและเหตุผลในการเขียนถึงก็ได้นะครับ ต่อไปกระผมขอกล่าวถึงขอสันนิษฐานของเอกลักษณ์ประจำตนของแจ็ค เดอะ ริ้ปเปอร์ ซึ่งพยานปากเอกทั้งเจ้าของร้านอาหารที่หญิงเหล่านั้นเข้าไปก่อนตายและหญิงบริการที่เป็นเพื่อนของผู้เคราะห์ร้ายได้ให้ปากคำพอจะรวบรวมข้อสันนิษฐานได้ดังนี้ครับ


๑.แจ็ค เดอะ ริ้ปเปอร์ เป็นคนที่ถนัดซ้าย คำยืนยันนี้เป็นของตำรวจที่ต้องกล้ำกลืนฝืนตนเข้าไปคุ้ยเขี่ย เอ้ย ชันสูตรซากศพที่เกิดจากฝีมือของเจ้าแจ็ค เดอะ ริ้ปเปอร์
๒.แจ็ค เดอะ ริ้ปเปอร์ เป็นคนรูปร่างผอง สูง ผิวเผือดซีด
๓.เขามีหนวดซึ่งผ่านการคลิบแต่งอย่างดี
๔.เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีดำ หมวกดำทรงสูง หลุบหน้า
๕.ท่าทางดูเป็นผู้ดี แต่อาจรู้จักย่านอีสต์ เอนด์แทบทุกซอกทุกมุม และบางที่ อาจจะรู้ทางมากกว่าตำรวจท้องถิ่นก็เป็นได้
๖.ท่าทางความกระฉับกระเฉง บ่งบอกถึงความเป็นหนุ่มเป็นแน่นแน่นอน มิใช่คนเเก่ มิฉะนั้นการชำแหละอาจจะต้องเกิดความติดขัดได้(ฮา) นอกจากนั้นยังปราดเปรียว ค่อนข้างมีเสน่ห์
๗.มีความรู้สูงโดยพิสูจน์จากกายวิภาค และการใช้ภาษาในการเขียนจดหมาย ซึ่งรายมือสวยพอๆ กับสะบัดสำนวนที่เขียนจดหมายเข้ามา


และแล้ว รายชื่อผู้น่าสงสัยถูกเปิดออกมา ๑๐ ราย ซึ่งเขาแต่ละคนนั้นประวัติก็ดี้ดีซะเหลือเกินนะครับ เรามาดูกันดีกว่าครับ (สั้นๆ)

๑.เจ้าชาย อัลเบิร์ต วิคเตอร์,ดยุคแห่งคลาเรนซ์ ซึ่งทรงเป็นพระราชนัดดาของสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย และพระองค์ถูกสงสัยไม่ใช่เรื่องอื่นไกล เพราะพระอุปนิสัยเสียจนถึงกับเสียมากนี่เอง เพราะทรงเจ้าชู้ ชอบสำส่อนกับโสเภณีในย่านสลัมจนกระทั่งพระองค์ได้ให้กำเนิดทารกจากโสเภณี ซึ่งแมรี่ เจน เคลลี่ (เหยื่อรายสุดท้าย) เลี้ยง แต่พระองค์จับได้ว่า หล่อนมีอาชีพเสริมคือค้าประเวณี จึงถูกไล่ออก จนเคลลี่ประกาศจะแบล็คเมล์โดยรวมกลุ่มกับโสเภณีทั้งหลาย(ก็เหยื่อที่ถูกแจ็คเดอะ ริ้ปเปอร์ฆ่าตาย) ทางราชสำนักจึงมีบัญชาให้เก็บผู้หญิงแพศยานี้เพื่อปกป้องเกียติยศแห่งราชสกุล

๒.เซอร์ วิลเลียม กัลล์ แพทย์ประจำพระราชสำนัก ซึ่งอาจได้รับบัญชามาจากสมเด็จพระบรมราชินีนาถ วิคตอเรียให้มาจัดการแทนก็ได้ แต่หลังจากที่เเมรี่ เจน แคลลี่ตาย ๒ ปี เขาก็เป็นบ้าแล้วถูกจังในโรงพยาบาลโรคจิตลอนดอน

๓.โจเซพ บาร์เน็ต ซึ่งเขาคือสามีของแมรี่ เจน แคลลี่นั้นเออง เหตุผลอาจเพราะเขาต้องการเชือดไก่ให้ลิงดู เพราะเคลลี่ ชอบทอดกายให้คนอื่นที่ไม่ใช่เขาเชยชม เขาจึงฆ่าคนอื่นเพื่อให้หล่อนเลิกทำอาชีพ แต่หล่อนไม่หยุด เขาจึงตัดสินใจลงมือสังหารหล่อนเสียเอง แต่ไม่มีหลักฐานมัดตัวเขา

๔.มองตากู จอร์น ดรูอิต เนติบันฑิตผู้สติไม่สมประกอบ มีความปราดเปรืองและรูปร่างที่ผอมสูงตรงกับบุคลิคของแจ็ค เดอะ ริ้ปเปอร์ แต่เขากระโดน้ำตายก่อนที่แมรี่ เจน แคลลี่จะถูกสังหารทำให้ความคิดนี้ตกไป

๕.แอรอน โควิส โคเฮน เป็นคนที่หัวหน้าตำรวจ เซอร์โรเบิร์ต แอนเดอร์สันสงสัยที่สุด เพราะเขาเป็นช่างทำรองเท้าซึ่งโรคจิต เพราะถูฝึกให้ฆ่าสัตว์ตามประเพณีของชาวยิวบ่อยๆ และเขาเคยถูกจับทุกครั้งเมื่อมีการพบศพ แต่ก็ถูกปล่ออยตัวไปทุกครั้ง

๖.โธมัส เฮย์เนส คัทบุช ผู้เป็นโรคประสาทและทำอะไรโดยที่ตนไม่รู้ตัว และเคยฆ่าผู้หญิงที่ชื่อฟรอเลนซ์ จอนสัน

๗.จอร์จ เซปเมน ชายชาวโปแลนด์ผู้ชอบในการผ่าศพ เพราะเคยเป็นลูกมือให้หมอผ่าศพมาก่อน เขาเคยต้องคดีฆ่าตัดคอหญิงคนหนึ่งและในขณะที่คดีของแจ็ค เดอะ ริ้ปเปอร์ ปรากฎแล้วปรากฎเล่า เขาทำงานเป็นช่างตัดผมในย่านไวท์ ซาเบท และในปี ๑๘๙๕ เขาถูกจัในข้อหาวางยาพิษผู้หญิงที่ทำงานในร้านอาหาร และขณะที่ถูกจับ เขายิ้มและหันมาพูดแสดงความยินดีกับตำรวจว่า
"ขอแสดงความยินดี คุณจับ แจ็ค เดอะ ริ้ปเปอร์ ได้แล้ว"

๘.ดร.อเล็กซานเดอร์ เปตาเคนโก เขาเป็นหมอในคลีนิคย่านอิสต์ เอนด์ ซึ่งหมอคนนี้พฤติกรรมดีมาก เคยเชือดคอหญิงโสเภณีจนเกือบขาดมาแล้ว หลังจากที่แมรี่ เจน เคลลี่ถูกสังหาร เขาก็เดินทางกลับรัสเซีย และเผลอไปฆ่าหญิงอีกหนึงคนจนต้องเข้าโรงพยาบาลโรคจิต

๙.ดร.โธมัส นิลส์ ครีม เป็นผู้ต้องคดี ฆ่าโสเถณีไป ๔ ศพ เขาถูกตัดสินประหารชีวติด้วยการแขวนคอ แต่...........
คำพูดที่ทำให้คนนับหมื่นในขณะนั้นตะลึงก่อนที่เชือกจะตึงเพราะประตูกลใต้เท้าเปิดออก เขาได้ตะโกนว่า "I am Jack the........"
มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่

๑๐.โรเบิร์ต คอนสตัน สตีเฟนสัน ลูกชายเจ้าของโรงงานน้ำมันพืชในมณฑลยอร์คเซียร์ ขี้เมาหยำเป ขี้โม้ที่หนึ่ง และชอบใช้ชื่อของดร.รอสลินติ"ออนสตัน และชอบเดินไปในย่านไวท์ ซาเบทในช่วงที่เกิดฆาตกรรมขึ้น

แต่ยังไงก็ตาม ท่านอาจไม่ทราบว่า ความตายนั้นเจ็บปวดเพียงใด แต่.....ความสำคัญของความตายคือ อุปสงค์ที่ทำให้เกิดความตาย บางท่านตายเพราะโรคภัยไข้เจ็บ บางท่านตายเพราะชราภาพ บางท่านประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และอุปสงค์ที่ทำให้เกิดความตายนั่นคือ"เพื่อนมนุษย์"ด้วยกันเอง ซึ่งอาจฆ่ากันด้วยวิธีต่างๆ เช่นปืนผาหน้าไม้ โป้งเดียวอาจตายโดยไม่ทันรู้สึกเจ็บปวด แต่..............
มีด ที่ แจ็ค เดอะ ริ้ปเปอร์ใช้สังหารนั้นไม่สามารถฆ่าคนให้ตายในทันที เขาเหล่านั้นจะต้องทนทุกข์ทรมารจากการกระทำของแจ็ค เดอะ ริ้ปเปอร์ ต้องเหลือบเห็นท้องที่ถูกกรีดออกมา อย่าลืมครับเพราะช่วงท้องของเรานั้นไม่มีจุดที่ทำให้ตายได้ ทำให้ยิ่งทรมารเข้าไปใหญ่


ข้อมูลจากต่วยตูน


แล้วตกลงแจ๊คคือใคร?น่าแปลกทั้งๆ ที่โลกนี้มีฆาตกรปริศนาที่ฆ่าคนโหดกว่าแจ๊คมากมายหลายรายนัก แต่ทำไมแจ๊คถึงดัง และคนอื่นถึงรู้จักแต่แจ๊ค ทั้งๆ ที่แจ๊คไม่ใช้ฆาตกรต่อเนื่องคนแรกของโลก และไม่ใช้ฆาตกรปริศนาคนแรกของโลกอีก

นั้นเป็นเพราะสื่อครับ

ช่วงที่แจ๊คอาละวาดเริ่มจาก ๓๑ สิงหาคม ๑๘๘๘ ช่วงนั้นสก็อตแลนด์ยาร์ดถือว่าเป็นองค์กรที่เจริญรุ่งเรื่องและขี้โม้สุดๆ ในตอนนั้น จากคดีหมอคลิปเปนฆ่าหั่นศพเมีย องค์กรนี้มีชื่อเสียงทันที พวกเขามักออกมาโม้ว่า อิๆ พวกกระผมนะมีทีมงานมีคุณภาพ มีเทคโนโลยี เวลาสืบสวนแต่ละทีต้องละเอียดยิบ ต่อให้ฆาตกรจะฆ่าใครโดยไม่ทิ้งหลักฐาน พวกกระผมก็ลากฆาตกรลงโทษจงได้

และพอเกิดคดีแจ๊คขึ้นขึ้นมา สื่อที่หมั่นไส้องค์กรตำรวจสก็อตแลนด์ยาร์ดอยู่แล้วเริ่มยิ้มถึงความล้มเหลวขององค์กรนี้ และก็เริ่มเดือด เมื่อตำรวจอังกฤษไร้น้ำยาปล่อยฆาตกรฆ่าคนไปหลายราย สื่อเริ่มประโคมข่าว และเริ่มกระจายข่าวไปทั่วโลก และชื่อของแจ๊คเริ่มโด่งดังต่อมาเมื่อมีจดหมายส่งมาถึงผู้สื่อข่าว

อีกทั้งคดีนี้มีการสืบสวนพลาดค่อนข้างเยอะ และไม่รู้เพราะอะไรตำรวจไม่ใช้พยานวัตถุที่สำคัญคือรอยนิ้วมือมาประกอบการสอบสวนเลยสักครั้ง

จนคดีจบลง ปริศนาก็เป็นปริศนาตลอดกาล

กระทั้งปัจจุบัน ก็ยังมีคำถามที่ว่าแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์นั้นแท้จริงเป็นใคร

แน่นอนวันนี้ผมมีคำตอบครับ

ครั้งที่แล้วผมเคยเขียนว่าแจ๊คเป็นนักวาดภาพใช่เปล่าครับ แต่นั้นเป็นเพียงการสันนิษฐานว่าเขาเป็นคนเขียนจดหมาย “จากนรก” ซึ่งไม่ได้หมายถึงเขาเป็นฆาตกรสักหน่อย ซึ่งคราวนี้ผมมีข้อมูลใหม่กว่านั้น

แม้คดีของแจ๊คจะจบลงมาตั้งแต่ ปี ค.ศ. ๑๘๙๒ นานแล้ว แต่ใช่ว่าหลายๆ คนจะไม่หยุดการสอบสวนนะครับ เพราะยังมีผู้สนใจซึ่งเรียกตนเองว่า “นักริปเปอร์วิทยา” และผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรม รวมไปถึง สก็อตแลนด์ยาร์ดที่ล้มเหลวยังคงสืบสวนคดีไม่รู้จักหยุดหย่อน

จนกระทั้งเวลาผ่านไป ๑๒๐ ปี ปลายปี ค.ศ. ๒๐๐๖ สก็อตแลนด์ยาร์ดก็เปิดเผยโฉมหน้าของแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ในที่สุด

ภาพนี้สก็อตแลนด์ยาร์ดไม่ได้โม้เอาเองนะครับ (เขาบอกไว้อย่างนั้น) เพื่อกว่าจะทำแบบนี้มา เขาต้องประมวลจากหลักฐานเก่า มาอิงกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ และความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นอายุรเวช นักประวัติศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาชญากรรม ตำรวจ ฯลฯ และใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เรียกว่า อี-ฟิต หรือชื่อเต็มคือ เทคนิคการพิสูจน์ใบหน้าแยกแยะด้วยระบบอิเล็คทรอนิค (The Electronic Facial Identification Technigue) ซึ่งจะเสก็ตภาพออกมาจากการประมวลคำให้การของพยาน ซึ่งสก็อตแลนด์ยาร์ดใช้ข้อมูลจากพยาน ๑๓ ราย ที่เคยและคาดว่าจะเห็นฆาตกรรายนี้เมื่อ ค.ศ. ๑๘๘๘ (การเปิดเผยหน้าแจ๊คครั้งนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดข่าวด้านวิทยาศาสตร์ประจำปี ค.ศ. ๒๐๐๖)

จนได้รูปฆาตกรคนนี้ขึ้นมา ด้วยรูปลักษณ์เป็นชายอายุ ๒๕-๓๕ ปี สูง ๕ ฟุต ๕ นิ้ว ถึง ๕ ฟุต ๗ นิ้ว ผมสีดำหวีรวบไปด้านหลัง คิ้วหนา ไว้หนวด โหนกแก้มสูง เบ้าตาลึก คางเหลี่ยม หน้าตายี่ห้อมหาโจรชัดๆ

ถามว่าข้อมูลนี้เชื่อถือได้แค่ไหน

.....................(เงียบ)

เออ............(สก็อตแลนด์ยาร์ดไม่ตอบ) ผมขอตอบเองก็ไม่ค่อยน่าเชื่อถือแหละครับ เพราะแม้จะมีคนให้ปากคำมากมายว่าเห็นแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ แต่ส่วนใหญ่มีแต่คนบอกว่า “น่าจะเห็น”, “เคยเห็น”,”หรือแค่ผ่านๆ” แต่ไม่เคยมีใครสักคนเห็นจะๆ จังๆ ซึ่งนอกจากเหยื่อละมั้งที่เห็นเขาแบบเต็มๆ

แต่ก็ก็มีพยานคนหนึ่งนะครับที่เห็นแจ๊คแบบจังๆ อยู่แล้วไม่ได้ถูกฆ่าตาย น่าจะเป็นวิลเลียม สมิธ ตำรวจสายตรวจเมื่อ ๑๒๐ ปีก่อน

ในวันที่ ๓๐ กันยายน ค.ศ. ๑๘๘๘ สมิธเห็นชายหญิงคู่หนึ่งอยู่ด้วยกันหลังเที่ยงคืนเล็กน้อย และอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงต่อมาผู้หญิงคนที่พบก็กลายเป็นศพที่ ๓ ของแจ๊ค โดยชายที่สิธเห็นนั้น สูงราวๆ ๕ ฟุต ๗ นิ้ว ไว้หนวดเรียวเล็ก ผิวคล้ำ ซึ่งสอดคล้องกับคอมพิวเตอร์ประมวลผลในปัจจุบัน

ส่วนเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับตัวแจ๊ค ก็มีคนออกมาเสนอความเห็นอีกเช่นกัน โดยนายคิม รอสโม ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิประเทศบอกว่าเขาใช้เทคนิคอย่างหนึ่ง นำสถานที่เกิดเหตุแต่ละครั้งบวกกับรายงานที่มีพยานพบเห็นมาประเมินว่า ฆาตกรน่าจะอยู่ที่ไหน ผลออกมาคือ ฆาตกรรายนี้น่าจะพักอาศัยในอาณาเขตไม่เกิน ๑ ตารางไมล์จากสถานที่เกิดเหตุ และมีการวิเคราะห์พันธงอีกว่า ฆาตกรนี้อยู่บนถนนฟลาวเวอร์ หรือถนนดีน ซึ่งห่างจุดเกิดเหตุแต่ละครั้งราวๆ ไม่เกิน ๑๐๐ หลา

และสองถนนนี้เอง ตำรวจเมื่อ ๑๒๐ ปีก่อนก็เคยเคาะประตูบ้านสอบถามเรื่องราวและตามล่าผู้ต้องสงสัยมาแล้ว แต่ต้องกลับบ้านมือเปล่าไปเพราะไม่ได้อะไรสักอย่าง

และเมื่อหน้าฆาตกรบวกกับที่อยู่แล้วผลคือเราได้ชื่อตัวฆาตกรครับ

เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม มีการเปิดเผยหลักฐานชิ้นสำคัญที่ถูกปกปิดหลายปี นั้นคือบันทึกส่วนตัวของโดนัลด์ ซุทเธอร์แลนด์ สอวนสัน สารวัตรใหญ่ประจำหน่วยสืบสวนคดีอาชญากรรม สก็อตแลนด์ยาร์ดผู้รับผิดชอบคดีนี้นับตั้งแต่วันเกิดเหตุ

ทายาทของสวอนสันตัดสินใจมอบบันทึกนี้ให้พิพิธภัณฑ์อาชญากรรมของสก็อตแลนด์ยาร์ดโดยบันทึกนี้เขียนด้วยมือของสวอนสันเองหลักจากเกษียณอายุราชการแล้ว แต่ยังกังวลและคาใจคดีนี้ไม่ลงเลยเขียนบันทึกนี้ไว้เพื่อเพื่อให้คนรุ่นหลังได้อ่านเพื่อหาความจริงต่อไป

ซึ่งในนั้นเขาบอกชื่อฆาตกรที่เขาคิดว่าเป็น “แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์” อีกด้วย

บันทึกนี้ระบุว่าฆาตกรคนนั้นชื่อ อารอน โคสมินสกี้ เป็นช่างตัดผมชาวยิวที่อาศัยในเขตไวท์แซฟเพลย่านที่เกิดเหตุนั้นเอง

สำหรับนาย อารอน โคสมินสกี้ นี้มีการชี้ตัวอย่างลับๆ ของพยานคนหนึ่งที่อ้างว่าเห็นตัวฆาตกร แต่พยานคนนี้ไม่ยอมร่วมมือกับราชการเท่าไหร่เพราะไม่อยากชื่อว่าเป็นคนทรยศเพื่อนร่วมชาติ (พยานเป็นคนยิวเหมือนกัน)

อย่างไรก็ตาม ในการร่วมมือแบบไม่เปิดเผยนั้น ตำรวจพาพยานไปชี้ตัว โดยนายโคสมินสกี้ไปรวมกับคนอื่นๆ ซึ่งพยานสามารถชี้ตัวได้ถูกต้อง หลักจากนั้นตำรวจก็จับตามองโคสมินสกี้ตลอด แต่ตอนนั้นนายนั้นดันเกิดอาการโรคจิตกำเริบ จนถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลรักษาอาการ

งานนี้หลานของสวอนสัน คือเนวิลล์ สวอนสัน บอกว่าคุณปู่มั่นใจเลยว่านายโคสมินสกี้เป็นฆาตกรแน่นอน แต่มีเหตุผลบางอย่างที่ไม่สามารถจับกุมเขาได้ (อิทธิพล?)

ความเห็นของสวอนสันนั้นก็สอดคล้องกับเจ้านายเขาเหมือนกัน คือเซอร์โรเบิร์ต แอนเดอร์สัน เขาก็เขียนบันทึกเหมือนกันว่า สงสัยนายโคสมินสกี้เหมือนกัน

อันที่จริงชื่อของโคสมินสกี้ไม่ใช้เพิ่งจะโผล่ออกมา แต่เป็นชื่อต้นๆ ที่เคยถูกอ้างมาก่อนโดยเจ้าหน้าที่เซอร์เมลวิลล์ แม็กนักห์ แต่เขาเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับสองเพราะเขาสนใจนายมองตากู จอห์น ดรูอิทท์ ว่าน่าจะเป็นแจ๊คมากกว่า

แต่โคสมินสกี้จะเป็นแจ๊ค หรือไม่นั้นไม่มีใครตอบได้ เพราะตอนนี้เจ้าตัวลาโลกไปนานแล้วจะเชิญมาสอบปากคำคงต้องขึ้นคนทรงเจ้าแหละ แถมแม้มีการเปิดเผยเรื่องมากขึ้น แต่ปริศนาก็คือปริศนา เพราะมีคนบางคนนำเสนอว่าบางที่แจ๊คนั้นไม่ได้มีคนเดียว แต่มันมีสองคนขึ้นไปดำเนินการต่างหาก

นายเทรเวอร์ แมริออต อดีตนายตำรวจอังกฤษทุ่มเทเวลากว่า ๑๐ ปี ในการศึกษาสำนวนคดีแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ และประกาศว่า “ไม่มีทางเลยที่ฆาตกรผู้นี้จะทำงานได้โดยลำพังเพียงคนเดียว”

เขาว่าจำนวนเหยื่อของแจ๊คนั้นไม่ทราบแน่ชัดว่ามีกี่รายกันแน่ บางคนบอกว่ามีกว่า ๑๐ ราย แต่เท่าที่นักริปเปอร์วิทยาทั้งหลายลงความเห็นว่าแท้จริงมีเหยื่อแค่ ๕ รายเท่านั้นโดยนับจากรายแรกตั้งแต่สิ้นเดือนสิงหาคม ค.ศ.๑๘๘๘

แต่สิ่งที่แมริออตสะดุดใจมากคือ เหยื่อรายที่ ๓ และ ๔ เพราะเกิดเหตุในคืนเดียวแต่สถานที่กันซึ่งมีระยะห่างกันเพียง ๑๒ นาที ทำให้มีการคาดว่าน่าจะมีการแยกกันลงมือเพราะในเวลาที่น้อยขนาดนี้ ไม่น่าจะมีใครว่องไวพอขนาดทำงานได้ ๒ ศพ ในเวลาไล่เลี่ยงขนาดนี้

บางทีโคสมินสกี้อาจร่วมมือกับใครคนหนึ่งหรืออาจเป็นองค์กร สมาคม หรือใครสักคนที่มีอิทธิยิ่งใหญ่ในอังกฤษ เขาอาจได้ค่าจ้างร่วมมือกันฆ่าโสเภณีทั้ง ๕ โดยมีวัตถุประสงค์บางอย่างซึ่งเราก็ไม่ทราบได้

เรียงลำดับคดีแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์

· ๓๑ สิงหาคม ค.ศ.๑๘๘๘ ฆาตกรรมเหยื่อรายแรก

· ๘ กันยายน ค.ศ.๑๘๘๘ ฆาตกรรมเหยื่อรายที่สอง

· ๒๕ กันยายน ค.ศ.๑๘๘๘ จดหมายส่งถึงสำนักงานเซ็นทรัล ลงนาม “แจ๊คค เดอะ ริปเปอร์”

· ๓๐ กันยายน ค.ศ.๑๘๘๘ ฆาตกรรมเหยื่อรายที่สามกับสี่ในเวลาไล่เลี่ยกัน

· ๑ ตุลาคม ค.ศ.๑๘๘๘ ไปรษณีย์บัตร์ “แจ๊คจอมซ่าส์”ถึงสำนักข่าวเดิม

· ๑๖ ตุลาคม ค.ศ.๑๘๘๘ พัสดุลงชื่อ “จากนรก” ส่งไตครึ่งซีก ไปให้จอร์ชประธานคระกรรมการป้องกันภัยไวท์แซพเพล

· ๙ พฤศจิกายน ค.ศ.๑๘๘๘ เหยื่อรายที่ห้าคาดว่าเป็นรายสุดท้าย

· ๓๑ ธันวาคม ค.ศ.๑๘๘๘ พบศพมองตากู จอห์น ดรูอิทท์ หนึ่งในผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแจ๊คจมน้ำตาย สันนิษฐานว่าเป็นการฆ่าตัวตาย

· ค.ศ.๑๘๙๐ อารอน โคสมินสกี้ ผู้ส่งเข้าโรงพยาบาลโรคจิตและเสียชีวิตในปี ค.ศ.๑๙๑๙

· ค.ศ.๑๘๙๒ ปิดคดีแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ โดยหาผู้กำระทำความผิดไม่เจอ

· ค.ศ.๑๘๙๔ เซอร์เมลวิลล์ แมคนักห์เต็นเขียนบันทึกร่ายยาวแบบลับๆ ว่า เขาสงสัยมองตากู จอห์น ดรูอิทท์

· ค.ศ.๑๙๐๑ มีการสันนิษฐานว่าจดหมายและพัสดุที่ส่งมาเป็นของปลอมทำขึ้นโดยฝีมือของนักข่าว

· ค.ศ.๒๐๐๖ สก็อตแลนด์ยาร์ดเปิดเผยโฉมหน้า แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่

ฝีมือของแจ๊คจริงเหรอ?

หลังจากคดีฆาตกรรมเหยื่อรายสุดท้าย(?) แมรี่ เจน ก็เกิดคดีที่คล้ายๆ กับแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ อีกจำนวนมาก แต่หลายฝ่ายไม่ยอมรับว่าเป็นแจ๊ค เนื่องจากการลงมือ และวิธีการไม่เหมือนกัน เช่น บาดแผลไม่ฉกรรจ์มาก

- แฟรี่ เฟย์ ๒๖ ธันวาคม ๑๘๘๗ ถูกตอกด้วยลิ่มที่ท้อง

- อานี่ มิลวู้ด ๒๕ กุมภาพันธ์ ๑๘๘๘ ถูกแทงที่ท้องและขาหลายครั้ง เธอไม่ตายทันทีแต่ก็เสียชีวิตหลังจากออกจากโรงพยาบาลในเดือนถัดมา

- เอย์ด้า วิลสัน ๒๘ มีนาคม ๑๘๘๘ ถูกแทงที่คอ ๒ ครั้งแต่รอดมาได้

- เอม่า อลิซาเบธ สมิธ ๓ เมษายน ๑๘๘๘ ถูกทุบด้วยของแข็งที่ท้อง หากมีแรงเดินกลับบ้านเอง เธอให้การว่าถูกแกงค์เด็กวัยรุ่นทำร้ายและเสียชีวิตในอีก ๒ วันให้หลังที่โรงพยาบาล

- มาร์ธา ทาบลัม ๗ สิงหาคม ๑๘๘๘ ถูกแทง ๓๙ ครั้ง มองจากลักษณะคดีและสถานที่แล้วมีความคล้ายคลึงกับแจ๊คมาก แต่เนื่องจากเหยื่อถูกแทงไม่ใช่ปาดคอ จึงถูกแยกไปต่างหาก

- "ไวท์ฮอลมิสเทรี่" ๒ ตุลาคม ๑๘๘๘ ศพไร้หัวของผู้หญิงถูกพบที่ไวท์ฮอล แขนข้างหนึ่งถูกพบภายหลังในแม่น้ำเทมส์ และขาข้างหนึ่งถูกฝังอยู่ใกล้ที่พบศพ ส่วนอื่นหาไม่พบ

- แอนนี่ ฟาร์เมอร์ ๒๑ พฤศจิกายน ๑๘๘๘ ถูกกรีดคอ แต่แผลไม่ลึกมากจึงรอดตาย ตำรวจมองว่าเป็นการทำร้ายตัวเอง ไม่มีการสืบคดีต่อ

- โรส มิเล็ต ๒๒ ธันวาคม ๑๘๘๘ เสียชีวิตเนื่องจากขาดอากาศ มีร่องรอยถูกรัดคอ แต่เนื่องจากผู้ตายเมาเหล้าอยู่ ตำรวจจึงมองว่าเกิดจากสายรัดเสื้อบังเอิญรัดตัวเองหรือไม่

- อลิซาเบธ แจ๊คสัน ๓๑ พฤษภาคม ~ ๒๕ มิถุนายน ๑๘๘๙ ศพของเธอถูกพบทีละชิ้นในแม่น้ำเทมส์

- อลิซ แม็คเค็นซี่ ๑๗ กรกฎาคม ๑๘๘๙ ตายเนื่องจากถูกตัดเส้นเลือดใหญ่

- "ฆาตกรรมที่ถนนพินชิน" ๑๐ กันยายน ๑๘๘๙ รูปคดีคล้ายคลึงกับ"ไวท์ฮอลมิสเทรี่"(แต่แขนไม่ถูกตัด) กล่าวว่าผู้ตายน่าจะเป็นโสเภณีชื่อลิเดีย ฮาร์ท ตำรวจมองว่าน่าจะเป็นคดีต่อเนื่องกับ"ไวท์ฮอลมิสเทรี่"และคนร้ายถูกเรียกว่า"ทอร์โซคิลเล่อร์"หรือ"ทอร์โซเมอร์เดอร์" ไม่แน่นอนว่า ๒ คดีนี้เกี่ยวข้องกับแจ๊คเดอะริปเปอร์หรือไม่

- ฟรานซิส โคลส์ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๑๘๙๑ ถูกปาดคอตาย

- แครี่ บราวน์ ๒๔ เมษายน ๑๘๙๑ ถูกฆ่าที่แมนฮัตตัน นิวยอร์ค เธอถูกรัดคอแล้วเขือดด้วยมีด ขาและลำตัวถูกแทง มีการพบรังไข่บนเตียงแต่ไม่มีส่วนไหนถูกนำไป รูปคดีคล้ายคลึงกับแจ๊คหากตำรวจลอนดอนก็สรุปว่าคดีทั้งสองไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน

การสืบสวนขอตำรวจผิดพลาดตรงไหนทำไมปล่อยให้แจ๊ครอดไปได้สก็อตแลนด์ยาร์ด เป็นกองบัญชาการของตำรวจนครบาลมีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบมหานครลอนดอน ขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทย ได้งบประมาทบางส่วนจากรัฐบาล

ถามว่าตำรวจล้มเหลวในการไล่ล่าแจ๊คตรงไหน บอกเลยว่าผมไม่รู้ (อ้าว) เพราะจากข้อมูลที่ได้มาตำรวจหลายนายแต่ละคนเป็นถึงนักสืบระดับพระกาฬทั้งนั้นและทำงานหนักกันแทบทุกคน โดยเฉพาะตอนที่มีจดหมายริปเปอร์(มั่นนิ่ม)ทะลักเข้ามา ตำรวจยิ่งทำงานหนักเป็นสองเท่าไปอีก อีกทั้งกำลังพลไม่พียงพอ เพราะตำรวจบางส่วนทำงานหนักจนล้มป่วย บางคนถูกแบ่งทำหน้าที่ในงานจราจร ทำให้มีการยืมกำลังพลต่างๆ จากหน่วยงานอื่นๆ อีก ทำให้งานขาดการต่อเนื่อง

สำหรับความยากของคดีนี้ จากรายงานของตำรวจในย่านไว้ท์แซ็พเพลบอกว่าในย่านนี้มีผู้คนอาศัยอยู่จำนวนมากถึง ๘๓๕๐ คน ในจำนวนนั้นมีโสเภณี ๑๒๐๐ คน มีห้องแบ่งเช่า ๒๓๓ หลัง ซึ่งยากที่จะหาเบาะแส ปกป้อง หรือหาผู้กระทำความผิดจากกลุ่มคนเหล่านั้น

อีกปัญหาหนึ่งที่ตำรวจไม่รู้จะสืบสวนยังไงก็คือแรงจูงใจนักการฆ่าโสเภณีเหล่านั้น ว่าทำไมแจ๊คถึงอยากฆ่าเหยื่อตลอดจนคำให้การไม่เหมือนกันของแต่ละคนที่บอกลักษณะแจ๊คแตกต่างกันออกไป

ส่วนการสืบสวนของตำรวจ ตำรวจใช้วิธีหลายรูปแบบมากในการสืบสวน เช่น การใช้สุนัขดมกลิ่น ตั้งรางวัลนำจับ หาประวัติเหยื่อ แม้กระทั้งการถ่ายม่านตาผู้ตายโดยคิดว่าลูกตาของเหยื่อบางคนอาจบันทึกภาพฆาตกรไว้ก่อนตาย

ดูเหมือนมีวิธีเดียวเท่านั้นที่ตำรวจไม่นำมาใช้ นั้นคือการหารอยนิ้วมือแฝง เนื่องจากช่วงนั้นสก็อตแลนด์ยาร์ดไม่สนใจวิธีนี้มากนัก แม้วิธีนี้จะเป็นที่ยอมรับมากว่าทศวรรษแล้วก็ตาม

อย่างไรก็ตาม แม้คดีแจ๊คจะปิดสำนวนไปนานแล้ว แต่ตำรวจทั้งหลายที่มีส่วนในการไล่ล่าหาตัวแจ๊คยังคงแค้นไม่หาย พวกเขาได้จัดเก็บ พยาน หลักฐาน ที่เกี่ยวข้องกับคดีนั้น มาเขียนเป็นจดหมาย บันทึกความทรงจำ หรืออัตชีวประวัติ จนนำไปสู่การถกเถียงของนักแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ในเวลาต่อมา



อารอน โคสมินสกี้

อารอน โคสมินสกี้ ไม่มีใครทราบประวัติของเขามากนัก รู้แต่ว่าเขาเป็นช่างตัดผมชาวยิวโบลิซ มีอาการป่วยทางจิตตั้งแต่อายุ ๒๕

ปี ๑๘๘๘ ช่วงที่แจ๊คออกอาละวาดนั้น ไม่มีใครทราบข่าวว่า อารอน โคสมินสกี้ ไปไหน และเป็นอย่างไรในปีนั้น กว่าจะโผล่มาอีกทีก็เมื่อ ๒ ปีข้างหน้าช่วงที่แจ๊คหายตัวไปแล้ว

วันเสาร์ที่ ๑๒ กรกฎาคม ๑๕๙๐ อารอน โคสมินสกี้ ถูกส่งตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาลไมล์สเอ็นด์ โอลด์ทาวน์ หลังจากป่วยมาสองปี ตามบันทึกของโรงพยาบาลอนาถาแห่งนี้ระบุว่า เขาร่างกายแข็งแรงดี แต่เป็นโรคประสาท สามวันต่อมาเขาถูกส่งไปอยู่ในความดูแลของพี่ชายซึ่งดูเหมือนจะชื่อวู้ล์ฟ อับราฮัมส์

ปี ๑๘๙๑ อารอน โคสมินสกี้ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลอนาถาอีกครั้ง ในขณะนั้นเขาอาศัยอยู่กับมอร์ริส ลูบ นาวสกี้ซึ่งเป็นพี่เขย

วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๑๘๙๑ เขาถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลโรคจิตโคลนี่ย์แฮ็ทช์ มีบันทึกอาการบอกว่าเขามักทำอะไรที่ไม่รู้ตัว และส่วนมากมักทำอะไรบ้าๆ เช่น ดื่มน้ำก๊อกประปาจากถนน กินอาหารจากขยะ ถือมีดไล่ขู่น้องสาว ทำร้ายตนเอง เนื้อตัวสกปรกไม่ยอมอาบน้ำ แต่กระนั้นเขาก็ไม่มีท่าทีที่ฆ่าตัวตายและไม่เคยอาละวาดฆ่าคน

ปี ๑๙๑๙ อารอน โคสมินสกี้เสียชีวิตในโรงพยาบาลโรคจิตที่ลี้ฟดอน ขณะอายุ ๒๕ ปี



อารอน โคสมินสกี้คือแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์จริงหรือ?

ในด้านนักแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์วิทยาบางคนไม่เห็นด้วยกับทฤษฏีนี้ (ตอนนั้นเขายังไม่ได้อ่านบันทึกลับ) เพราะตามบันทึกประวัติจะเห็นได้ว่าเขาเป็นเพียงคนจรจัดที่เที่ยวหาอาหารตามถังขยะกันมากกว่าจะเห็นเป็นฆาตกรโหดฆ่าโสเภณีต่อเนื่อง ๔-๕ ศพ

นอกจากนี้ ไม่มีพยานคนไหนที่เอ่ยว่าอารอน โคสมินสกี้เหมือนแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์เลย (อย่าลืมพยานเหล่านั้นแค่เห็นผ่านๆ เชื่อถือไม่ค่อยได้) และสารวัตสวอนสันเองก็ไม่เคยเอ่ยชื่อพยานสักคนที่อ้างว่าอารอน โคสมินสกี้คือผู้ต้องสงสัย (ตอนนั้นไม่มีการพูดถึงบันทักลับนี้)

โคสมินสกี้เป็นคนตัวเล็กและบอบบาง แต่คำให้การของพยานส่วนมากบอกว่าแจ๊คที่เขาเห็นเป็นคนรูปร่างกำยำ ไหล่กว้าง อายุราว ๔๐ ปี แต่งตัวเหมือนเสมียนมากกว่ากรรมกร มีท่าทีเหมือนผู้ดีตกยาก ซึ่งต่างจากโคสมินสกี้ที่แต่งตัวเหมือนขอทาน ยกเว้นวิลเลียม สมิธ ตำรวจคนที่เห็นแจ๊คกับเหยื่อรายที่ ๓ ให้การว่าเหมือนโคสมินสกี้มาก



มองตากูว์ จอห์น ดรูอิทท์

มองตากูว์ จอห์น ดรูอิทท์ (หรือมองตากู) เป็นชายที่หลายๆ คน ต่างมีความเห็นว่าเขาอาจเป็นแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์มากที่สุดในผู้ต้องสงสัยในจำนวนหลายๆ คนที่ว่ามา

มองตากูว์ จอห์น ดรูอิทท์ เกิดเมื่อ ๑๕ สิงหาคม ๑๘๕๗ เป็นลูกชายคนที่สองของศัฃยแพทย์วิลเลี่ยม ดรูอิทท์แห่งวิมบอร์นในดอร์เซ็ท จบจากมหาวิทยาลัยอ๊อกซฝอร์ดในปี ๑๘๘๐ ด้วยเกียรตินิยมอันดับสามในสาขาวิชาคล้าสสิค ต่อมาเขาก็ไปเรียนเป็นแพทย์ปีหนึ่งก่อนที่จะเบนเข็มเป็นนักกฎหมายโดยสมัครเข้าเรียนอินเน่อร์ เท็มเพิ่ลเดือนพฤษภาคม ๑๘๘๒ และเดือนเมษายน ๑๘๘๕ ขณะเรียนกฎหมายเขาก็ทำอาชีพเป็นครูไปด้วย และบิดาของเขาก็เสียชีวิตในปีเดียวกัน

ในปี ๑๘๘๘ ปีทีแจ๊คออกอาละวาด ชีวิตของมองตากูว์ช่วงนั้นถึงขั้นล้มเหลวพอดี เมื่อเขาถูกไล่ออกจากงาน เนื่องจากเขามีพฤติกรรมรักร่วมเพศและกระทำการลวนลามละเมิดเด็กนักเรียนชาย แต่ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าเป็นจริงหรือไม่

อย่างไรก็ตามต่อมา ยายและน้องสาวของมองตากูว์เกิดอาการผิดปกติทางจิตและฆ่าตัวตาย และแม่ต้องเข้าไปบำบัดจิตที่แคล็ปตันในเดือนกรกฎาคม ช่วงนี้มองตากูว์ทุกข์มากๆ และส่งผลต่อสถาวะจิตใจ แต่ด้านสถานภาพการเงินของเขายังคงมั่งคงอยู่

ในขณะนั้น มองตากูว์ จอห์น ดรูอิทท์ อายุ ๓๑ ปี

๓๑ ธันวาคม ๑๘๘๘ เวลา ๑๓.๐๐ น. ผู้พบศพขึ้นอืด มองตากูว์ จอห์น ดรูอิทท์ที่แม่น้ำเธมส์เลยท่าเรือธอร์นีย์คร้อฟท์ไปเล็กน้อย จากการสืบสวนพบว่าเขาหายตัวไปจากบ้านไป ๔ อาทิตย์ และไม่มีร่องรอยถูกทำลายใดๆ สาเหตุการตายคือจมน้ำตาย โดยมีก้อนหิน ๔ ก้อนในกระเป๋าเสื้อโค้ทเป็นตัวถ่วงตนเองให้จมน้ำตาย

๓๐ ธันวาคม ก่อนวันที่ มองตากูว์ จอห์น ดรูอิทท์ ตายมีการพบจดหมายลาตายของผู้ตาย มันซ่อนอยู่ในที่อยู่บ้านของมองตากูว์ ในจดหมายเขียนไว้ว่า “นับตั้งแต่วันศุกร์ ผมรู้สึกกำลังจะเป็นแม่ และสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผมก็คือความตาย”



มองตากูว์ จอห์น ดรูอิทท์คือแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์จริงหรือ?

เจ้าหน้าที่เซอร์เมลวิลล์ แม็กนักห์ ตำรวจที่สืบคดีแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ปลักใจเชื่อสุดๆ ว่า มองตากูว์ เป็นคนร้ายแน่นอน เพียงแต่จากพยาน (ที่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือนัก) บอกว่ามองตากูว์นั้นมีรูปร่างผอมซูบซีด ไม่กำยำและไหล่กว้างเหมือนกับแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ที่พยานทั่วไปพบเห็น และแจ๊คนี้คาดว่าเป็นชาวต่างชาติแต่มองตากูว์ไม่ใช้

นอกจากนั้นเขายังมียังมีหลักฐานอ้างที่อยู่อีก คือ หนึ่งวันหลังจากแมรี่ แอนน์นิคอลส์เสียชีวิต มองตากูว์ซึ่งเป็นนักกีฬาคริกเก็ตกำลังเล่นให้ทีมในมณฑตดอร์เซ็ทอยู่ซึ่งอยู่ห่างที่เกิดเหตุไกลเหมือนกัน และตอนเกิดเหตุคดีฆาตกรรมแอนนี่ แซ็ปแมน ๖ ชั่วโมง เขากำลังเล่นให้ทีมแบล็คฮี๊ธในลอนดอนตอนใต้ ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ว่าเขาสามารถเดินทางข้ามเมืองไปฆ่าคนและกลับไปตอนเช้าไปเล่นคริกเก็ตได้ทันตามที่กำหนด

พลังจิตช่วยหาตัวแจ๊คโรเบิร์ต เจมส์ ลีส์ เขาเป็นคนดังมีชื่อเสียงในฐานะเป็นนักสืบพลังจิตหยั่งรู้อดีตและอนาคต เมื่ออายุ ๑๙ ปี เขาเคยแสดงพลังอำนาจจิตให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของพระเนตรของพระราชินีวิคทอเรียมาแล้ว จนถึงขั้นได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาราชินีแบบลับๆ อีกด้วย

เมื่อตอนช่วงแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ออกมาไล่ฆ่าคนรายแรกนั้น ลีส์ลองใช้พลังจิตหาตัวฆาตกรว่าในอนาคตฆตกรรายนี้จะฆ่าใครเล่นๆ ดู พบว่าเขามองเหตุการณ์อนาคตทั้งหมดก่อนเกิดคดีฆาตกรรมครั้งที่สอง เขาเห็นหญิงชายคู่หนึ่งเดินมาด้วยกันตามตรอกซอยแคบๆ นาฬิกาบอกเวลา ๐๐.๓๐ น. จู่ๆ ฝ่ายหญิงก็ถูกลากหลบไปที่ซุ้มประตู และฆาตกรก็ใช้มีดคมกริบบาดคอเธอ ร่างเธอแน่นิ่ง และมันก็ชำแหลจนแหลกเละ คนร้ายเช็ดเลือดออกจากตัวแล้วแจกแจงสวมเสื้อคลุมยาวปกปิดร่างก่อนหายลับ ไปในเงามืด

ภาพนั้นรบกวนจิตใจของลีล์มาก เขาได้เขียนบันทึกเอาไว้อย่างละเอียด แล้วตรงดิ่งไปสถานีตำรวจสก็อตแลนด์ และเล่าเรื่องเหตุการณ์ณือนาคตของคดีที่สองให้ตำรวจฟัง แต่เนื่องจากพอดีเวลานั้นไม่มีรายงานคดีฆาตกรรมแบบนี้เกิดขึ้น ลีส์เลยโดนไล่ออกไปในเวลาอันรวดเร็ว พร้อมกลับตกเป็นผู้ต้องสงสัยอีก

และในคืนนั้นเองที่แจ๊คออกปฏิบัติการฆ่าเหยื่ออีกครั้งในรูปแบบเดียวที่ลีส์บรรยายในสมุดพกไม่ผิดเพี้ยน!

ท่านคิดว่ามันบังเอิญเหรอ งั้นก็จงอ่านต่อ

หลักจากที่มีการฆาตกรรมเหยื่อรายที่สอง ลีส์ก็ได้เห็นภาพการฆาตกรรมอีก แต่ไม่ละเอียดเท่าหนแรก เขาเห็นหูผู้หญิงคนหนึ่งถูกเฉือนทิ้ง เขาตรงดิ่งไปสถานีตำรวจอีกครั้ง คราวนี้ตำรวจสนฟังเรื่องของเขามากกว่าเดิม(นิดหน่อย) เนื่องจากพอดีมีจดหมายลงนามแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ส่งมายังสถานี ในนั้นมีคำว่า “เฉือนหูของนังหญิงทิ้ง แล้วส่งให้เจ้าหน้าที่ดูเล่นๆ สนุกๆ”

แต่ที่แน่ๆ วันที่ ๑ ตุลาคม มีการพบเหยื่อรายที่สาม หล่อนถูกเฉือนหูทิ้งตามคำบอกเล่าของลีส์ไว้ไม่มีผิดเพี้ยน

และแล้วลีส์ก็ได้มองทะลุล่วงเวลาเห็นฉากฆาตกรรมครั้งที่สามและถือว่าเป็นการมองอนาคต (แต่เป็นอดีต) เป็นครั้งสุดท้ายของลีส์ เพียงแต่มันเกิดขึ้นหลังจากฆาตกรรมครั้งที่สามไปแล้ว คราวนี้มันแจ่มชัดกว่าครั้งแรกเพราะเขาเห็นฆาตกรแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ชัดเจน ลีส์เดินตรงไปสถานีตำรวจ บอกว่าเขารู้ตัวว่าใครเป็นแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ คราวนี้ตำรวจประทับใจรายละเอียดที่ลีส์บรรยายให้ฟัง จากนั้นตำรวจพาลีส์ไปยังสถานที่เกิดเหตุเมื่อเร็วๆ นี้ จากจุดนั้น ลีส์เดินนำเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตามถนนในกรุงลอนดอน พลางบอกว่าเขารู้ดีว่าเขากำลังตามหาใคร ตำบลไหน และแล้วเขาก็โผล่มาที่บ้านของ เซอร์ วิลเลียม กัลล์ นายแพทย์ที่นับถือหน้าถือตา แต่เบื้องหลังเป็นบุคคลเสียสติ ภรรยายอมรับว่าเขาจะหายตัวทุกครั้งที่มีการปรากฏตัวของแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์

เซอร์วิลเลี่ยม กัลล์คือใคร? เขาไม่ใช้ขี้แน่ เพราะเขาเป็นถึงแพทย์หลวงรักษาองค์ราชินี!? และมีชื่อเป็นผู้ต้องสงสัยของตำรวจมานานแล้ว และเป็นเจ้าของทฤษฏีที่ว่าราชวงศ์อังกฤษอาจอยู่เบื้องหลังของแจ๊ค

ไม่รู้ว่าลีล์จะพาตำรวจไปถูกบ้านหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ นายแพทย์ วิลเลียม กัลล์ถูกส่งไปอยู่โรงพยาบาลบ้าเรียบร้อย และบังเอิญเหลือเกินช่วงที่เขาถูกส่งไปโรงพยาบาลคดีฆาตกรรมเขย่าขวัญก็สิ้นสุดลงในช่วงนั้นเอง

มันเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องบังเอิญกันแน่?

และเรื่องยุ่งๆ ของแจ๊คก็จบลงเพียงเท่านี้ครับ

จากหนังสือ ปิดคดี แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ สำนักพิมพ์รหัสคดี
แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ต้นแบบฆาตกรต่อเนื่อง โดยกอบกุล สำนักพิมพ์รหัสคดี
ต่วยตูน



Create Date : 28 มีนาคม 2552
Last Update : 28 มีนาคม 2552 22:41:32 น. 5 comments
Counter : 3029 Pageviews.

 
ขอบคุณมากค่ะ ชอบอ่านมากๆ


โดย: เจ้าหญิงแห่งเมืองชามเบค วันที่: 29 มีนาคม 2552 เวลา:2:07:25 น.  

 
แอร๊ยย สยองงง


โดย: ถั่วงอกน้อยค่ะ วันที่: 29 มีนาคม 2552 เวลา:10:33:41 น.  

 
ดร.โธมัส นิลส์ ครีม เป็นผู้ต้องคดี ฆ่าโสเถณีไป ๔ ศพ เขาถูกตัดสินประหารชีวติด้วยการแขวนคอ แต่...........
คำพูดที่ทำให้คนนับหมื่นในขณะนั้นตะลึงก่อนที่เชือกจะตึงเพราะประตูกลใต้เท้าเปิดออก เขาได้ตะโกนว่า "I am Jack the........"
มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่




ความจริงแล้ว เขาจะพูดว่า "I am Jack the ... Ba"



ดีจัย ๆๆ มีแฟนคลับเดอะบ้าด้วยยย


โดย: yosita_yoyo วันที่: 29 มีนาคม 2552 เวลา:14:24:04 น.  

 
โหดด สยอง


โดย: ธิดาดอง วันที่: 5 เมษายน 2552 เวลา:11:35:21 น.  

 
สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะค่ะ

เราแบ๋มนะ ชอบเรื่องแบบนี้

เหมือนเราเลย


โดย: ไอซิส (bam#egypt ) วันที่: 1 พฤษภาคม 2552 เวลา:23:56:20 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ประมุขเฒ่าพรรคมาร
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add ประมุขเฒ่าพรรคมาร's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.