ประมุขเฒ่าพรรคมาร
Group Blog
 
All blogs
 
เคยถามตัวเองบ้างไหมว่าความล้มเหลวคืออะไร?


สำหรับผมนะความล้มเหลวคือการที่เราทำผิดเล็กๆ น้อยๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีกทุกวันๆ ตอนนี้ก็มานั่งถามตัวเองว่า “เฮ้ย อายุก็ปูนนี้แล้วนา กูทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันรึยังวะเนี้ย?” ไอ้คำว่าเป็นชิ้นเป็นอันสำหรับผมไม่ได้แปลว่า มีงานประจำทำหาเลี้ยงตัวเองพอกันอดตายได้, เปิดร้านขายของเล็กๆ พอยาไส้, หรือมีชีวิตอยู่ไปวันๆ กับงานประจำที่มันผลาญชีวิตเราให้หมดไปทุกๆ วินาที ห่า นี่กูต้องใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ พอแก่ปั๊บก็มารำลึกความหลังแล้วตายไปอย่างไร้ความหมายเหรอวะ

มาย้อนดูสมัยพ่อแม่เรา ทำไมคนยุคนั้นทำไมเขาได้งานดีๆ ตำแหน่งใหญ่ๆ กันทั้งนั้นเลยวุ้ย พอมายุคนี้ คนเรียนจบแทบไม่มีความหมายอะไร คำว่า “มีความรู้” แม่งก็รู้กันทุกคนอ่ะเปิด Net เข้า Google แป๊ปเดียวรู้หมดแล้ว ไม่ต้องไขว่คว้าเข้าห้องสมุดดั่งกาลก่อน ที่ว่า “รู้เฉพาะทาง” ก็เห็นกันดาดดื่น สุดท้ายไม่เห็นมีใครที่เดินตามระบบทางสังคมแล้วโดดเด่นได้สักกะคน

พึ่งมารู้เหตุผลว่า ที่ผู้ใหญ่เขาเป็นใหญ่เป็นโตกันได้เนี้ยมันอาศัยหลายปัจจัยอยู่เหมือนกันนะ อย่างเช่น

๑. ขยัน แน่นอนล่ะขยันกันทุกคน ยิ่งเด็กสมัยนี้ ในยุคที่ทุกอย่างคือการแข่งขัน แม่งขยันกันตาบวมเบ่ง อาเจียรเป็นเลือดยังเคยเห็นเลย เรื่องขยันไม่ต้องพูดถึง

๒. มีทุนทรัพย์ ก็แปลว่ามรดกนั่นล่ะ แต่อันนี้ขอผ่านแล้วกันปัจจัยมันง่ายไป

๓. โอกาส คำเนี้ยจริงๆ แล้วเราสามารถสร้างมันได้ ขอเพียงมีสติและคอยหมั่นสังเกตกลไกของสังคมรับรองโอกาสนี่ขนมเลย

๔. จังหวะ บางทีต่อให้เก่งขนาดไหน มี Skill สุดเทพที่ในโลกนี้มีคุณคนเดียวมี หากจังหวะไม่ดี ก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังตีนได้ง่ายๆ เหมือนกันนะ คนสมัยก่อนมี “โอกาส” ในการ “สร้างจังหวะ” ให้ชีวิตเยอะ เพราะความบีบรัดและช่องว่างให้หายใจเยอะกว่าทุกวันนี้มาก ความ “กว้างของสังคม” มันต่างกัน

๕. ยุค ยุคสมัยของพ่อแม่เรา คือยุคเบบี้บูมเมอร์ ยุคนิคมอุตสาหกรรม การสร้างเงินมันเอื้อต่อการลงทุนลงแรงอย่างยิ่ง ถือเป็นยุคบุกเบิกการดำเนินธุรกิจและชีวิตในการทำเงิน ทำงานเลยทีเดียว

เมื่อพิจารณาครบ ๕ ข้อแล้วจะเห็นเลยว่า ข้อสุดท้ายนี่แหละคือคำตอบที่ผมถามทิ้งไว้ในช่วงแรก แต่ช่างมันเถอะ เพราะมันเป็นเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ แต่คำถามที่น่าสนใจกว่าคือ เราจะไม่มีทางแก้ไขหรือสร้าง ข้อ ๓ กับข้อ ๔ เพื่อกรุยทางให้สามารถโชว์ ข้อ ๑ กับ ข้อ ๒ ให้โลกได้รับรู้เพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิตหรือหนทางรวยกะเขาบ้างรึไงหว่า

ประเด็นคือผมไม่อยากเห็นเด็กรุ่นใหม่พอเรียนจบ ไม่มีงานทำสุดท้ายก็มุกเดิมๆ ล่ะครับพี่น้อง เรียนจบง่ายๆ ต่อโทไม่ก็บวชแม่งเลยมีเวลาเยอะนักก็ หากหนักหน่อย ขายประกันมันซะโทรจิกกูดีนัก หรือจะไปทำขายตรงธุรกิจล่าความฝันหากอึดคุณสำเร็จหากอ่อนแอก็ตายเยี่ยงเขียดริมฟุตบาท อันนี้ผมให้คำตอบคุณไม่ได้ แต่ผมจะให้ข้อคิดดีที่กลั่นกรองมาจากสมองที่รอบหยักน้อยๆ อันนี้มาแบ่งปันให้แล้วกัน

ในความคิดผมนะ ทุกอย่างมีแรงกระตุ้น แรงกระตุ้นเพื่อให้เรากระทำอะไรสักอย่างออกไป สำหรับในการทำงาน นักปรัชญาโลกจิม รอน เคยบอกไว้ว่า

แรงกระตุ้นของมนุษย์มี ๔ อย่าง

๑. ต้องการได้รับความยอมรับ

๒. ได้รับชัยชนะ

๓. ครอบครัว

๔. การกุศล (การให้)

ถ้าเกิดมีคำถามว่า คนเราเนี้ยส่วนใหญ่ทำมาหาแดกดิ้นรนแข่งขันกันหูลู่หูถังเพื่ออะไร ชัวร์ตอบเหมือนกัน ๙๙.๙๙% เลยว่าเพื่อเงิน แต่หากถามต่อไปอีกล่ะว่า เมื่อได้เงินตามที่ต้องการแล้วคุณจะเอาเงินเนี้ยไปทำอะไรล่ะ มันก็จะได้อีกคำตอบหนึ่ง และคำถามสุดท้าย เมื่อคุณได้ทุกอย่างตามที่ต้องการแล้ว คุณอยากได้อะไรในชีวิตของคุณจริงๆ

เห็นไหมว่าทุกอย่างไปเป็นลำดับขั้น มนุษย์ส่วนใหญ่ต้องการความยอมรับ (อย่างว่าคนคือสัตว์สังคมนี่เนอะ) เมื่อเรามีเพื่อน มีฝูงของเรามักจะสบายใจ ยิ่งได้รับความยอมรับด้วยแล้ว ก็ยิ่งมีความสุข บางคนอาจต้องการชัยชนะ เพราะถูกดูถูกเอาไว้แยะ เพราะอดอยากปากแห้งมานานอยากที่จะได้อยากมีกับเขาบ้าง สารพัดเหตุผลก็เพื่อชัยชนะกันทั้งนั้น บางคนอยากให้ครอบครัวของตนมีความสุข หาเลี้ยงพวกเขาได้ อยากสร้างบ้าน อยากซื้อรถ อยากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ก็เพื่อครอบครัวและความสะดวกสบายหรือเรียกเป็นศัพท์เท่ห์ๆ ว่า “หาซื้อความคล่องตัวในชีวิตประจำวัน” แต่เมื่อใดที่เราผ่านทั้ง ๓ ข้อนี้มาแล้ว เชื่อผมไหมมันจะเกิดข้อ ๔ นั่นคือการให้ นอกเสียจากคุณเป็นคนเห็นแก่ตัวโลภมากจนไม่สามารถควบคุมตนเองได้อีกต่อไป เมื่อนั้นแหละผมก็ยินดีต้อนรับและแสดงความยินดีด้วยที่คุณได้เข้าสู่

ยุคมิสัญญี อย่างแท้จริงแล้ว มนุษย์ยุคใหม่เอ๋ย





๔ กันยายน ๒๕๕๐

เขียนคาราวะให้แก่ทุกความเห็นแก่ตัวทุกผู้ที่มอบให้แก่ฉัน ที่ทำให้ฉันมองโลกยุคนี้กระจ่างขึ้น


Create Date : 19 มีนาคม 2552
Last Update : 19 มีนาคม 2552 19:05:31 น. 3 comments
Counter : 869 Pageviews.

 
ขอบคุณคะที่ไปเยี่ยมบล๊อก และแนะนำ ถ้าเรากินต่ำกว่า 1250 มันจะโยโย่เหรอคะ


โดย: NOKKIE-CM วันที่: 19 มีนาคม 2552 เวลา:23:04:29 น.  

 
กริตเตอร์ ลดโลกร้อน จากใจ COOL93


โดย: t-sakarin1968 วันที่: 20 มีนาคม 2552 เวลา:13:11:52 น.  

 
ขอบคุณมากที่แวะไปอ่านบทกวีหลี่ไป๋ที่บล๊อคนะคะ ถ้าชอบบทกวีจีน ยังมีให้อ่านอีกยี่สิบกว่าบท เป็นผลงานของนักกวีลือชื่อของจีนทั้งนั้น สมเด็จพระเทพฯท่านทรงเลือกมาแต่บทเพราะ ๆ ทั้งนั้นเลยค่ะ ไว้มือหายแล้วจะเขียนพู่กันจีนอัพให้อ่านอีก


โดย: haiku วันที่: 20 มีนาคม 2552 เวลา:18:46:40 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ประมุขเฒ่าพรรคมาร
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add ประมุขเฒ่าพรรคมาร's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.