สุดท้ายแล้ว เรื่องที่เราเล่าก็คือเรื่องของตัวเอง
|
|||
3 ขี่ม้าอุทยานเทอเรลจ์
วันที่ 2 กันยายน2554
อากาศสดใส แดดจ้า ในเกอร์ ประเทศมองโกเลีย รถบัสเก่าๆเที่ยว ๑๑โมงวิ่งเข้าอุทยานแห่งชาติเทอเรลจ์ ภายในรถบัสมีนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่หลายราย ส่วนใหญ่แล้วมาพร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่ คุยกันสักพักจึงรู้ว่า นักท่องเที่ยวที่มาวันนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอะไรดี คงอยากปล่อยให้จิตวิญาญล่องลอยไปกับธรรมชาติมากกว่าเดินทางไปตามแผนการ นักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งตั้งใจจะมาตั้งแคมป์เป็นเวลา๕วัน สำหรับเราแล้ว๕วันคงจะนานเกินไปที่จะขอติดสอยห้อยตามไปด้วย หนึ่งในกลุ่มนี้มีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อว่าคริสเป็นชาวแคนนาดา บอกว่าเจอกับกลุ่มเพื่อนในโฮสเทลตอนแรกตั้งใจว่าจะเดินทางไปทางตะวันออก แต่ว่าอยู่ดีๆก็เกิดไม่อยากอยู่คนเดียวขึ้นมา เลยเปลี่ยนแผนมาตั้งแคมป์ที่นี่ คริสเที่ยวแบบไม่มีแผน เราก็เคยเที่ยวแบบนี้เหมือนกัน ทำแผนคร่าวๆ ว่าจะทำอะไร เดินทางไปไหน แต่พร้อมที่จะเปลี่ยนได้ตลอดเวลาถ้าเจอแผนที่ดีกว่า ไม่ต้องจองตั๋วรถยนต์ รถไฟ หรือเครื่องบิน ไม่ต้องจองที่พักล่วงหน้า ช่างเป็นอิสรภาพของการใช้ชีวิตจริงๆ .อย่างนั้นหรือ? .เพราะเมื่อได้สัมผัสแล้วเรากลับรู้สึกกลัวและไม่ปลอดภัย ถ้าถามเราตอนนี้ว่าอิสรภาพคือการใช้ชีวิตแบบไม่มีแผนอะไรใช่หรือเปล่า เราคงตอบว่ายังไม่ใช่สำหรับเรา เพราะเมื่อไม่มีอะไรให้ยึดติด ใจเรายิ่งยึดติดมากยิ่งขึ้น ทั้งกังวล และกลัว โดดเดี่ยวและเหงา เราก็เหมือนเด็กน้อยที่เรียกร้องหาอิสรภาพ โดยที่ยังไม่เข้าใจว่าอิสรภาพคืออะไร แต่เราเข้าใจว่าถ้ารู้สึกไม่ปลอดภัย มันคงไม่ใช่อิสรภาพที่เราตามหา เราได้อ่านได้เข้าถึงคำว่า fault security หรือความปลอดภัยที่ได้รับจากสังคม ไม่ว่าจะเป็นการเงิน หน้าที่การงาน ครอบครัว และตั้งคำถามกับตัวเองว่า มันใช่ความปลอดภัยแล้วหรือ? เหมือนในหนังเรื่อง Into the wild ซึ่งสร้างจากไดอารี่ของชายหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งไม่ต้องการความมั่นคงจากการเงิน จึงตั้งเดินทางเข้าไปในป่า และสักพักเขากระทั่งทิ้งรถยนต์และเผาเงินทิ้งเพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นวัตถุที่แสดงถึงความมั่นคง หลังจากเราดูหนังเรื่องนี้จบ จิตใจเรากลับหดหู่ไปหลายวันจากเรื่องวันนี้และในหนัง เราคิดว่า คำว่าอิสรภาพนั้นน่าจะมีความหมายต่างกันออกไปสำหรับทุกคนมากกว่า สำหรับเราแล้วอิสรภาพไม่ใช่การไม่ต้องการอะไร หรือวางแผนอะไร รถบัสวิ่งผ่านมากเรื่อยๆเริ่มจากตัวเมืองที่มีการจราจรแน่นหนา จนเข้าเขตอุทยาน โดยปรกติแล้วต้องเสียค่าเข้าชม ๓๕๐๐MNT หรือประมาณ ๓USD แต่เนื่องจากเดือนกันยาเป็นช่วงโลซีซั่น เราเลยไม่ต้องจ่ายค่าเข้า บรรยากาศรอบๆเริ่มเปลี่ยนไป มีต้นไม้มากขึ้น ผ่านภูเขา เมื่อของน้อยลง จิตใจกลับรู้สึกสงบมากขึ้น ผ่านไป๒ชั่วโมงครึ่ง รถก็จอดที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง เป็นหมู่บ้านเงียบๆสวยงามอย่างน่าอิจฉา กลุ่มนักเดินทางและเราออกจากรถ และแยกย้ายจากกันไปทำสิ่งที่ตัวเองตั้่งใจ สำหรับเราแล้วก็คือการขี่ม้า เราเดินย้อนไปที่คอกม้า พบกับชายมองโกเลียนายหนึ่ง เราโบกมือให้แต่ไกล เขาดูต้อนรับดี เมื่อตกลงราคากันเสร็จสรรพ เราก็ออกเดินทางบนหลังมา โดยมีชายมองโกเลียคนนั้นเป็นไกด์นำทาง ภาพที่เรานึกตอนแรกเป็นม้าป่าตัวใหญ่ ตลกดีที่เราคิดแบบนั้น ม้าตัวน้อยผมทองหน้าตาดูสวยใส และม้าผมเกรียนสำหรับไกด์ ซึ่งต่อไปขอตั้งชื่อว่า เจ้าเกรียน เพราะมันมีพฤติกรรมเกรียนสมกับผมมันจริงๆ มันทั้งอึ ฉี่ ตด บางทีก็เอาตูดมาชนเข่าเราอีก เกรียนจริงๆ เรานั่งเจ็บตูดมาได้๓๐นาที ไกด์ก็บอกว่าเรานั่งผิดท่า และจับสอนให้นั่งใหม่ โดยที่ลักษณะที่ถูกต้อง (มั้ง) จะเป็นลักษณะของกายภาพที่เราสามารถยืนได้ แต่สายไปแล้วค่ะ . เจ็บขาไปเรียบร้อยแล้ว เราเริ่มจากความตรึงเครียดว่า เราจะฆ่าตัวตายบนหลังม้าวันนี้รึเปล่า กลายเป็นความผ่อนคลายเมื่อเริ่มชินกับหลังม้ามากขึ้น ม้าน้อยพาเราผ่านข้ามแม่น้ำ พื้นที่โล่ง ป่าสน ทุ่งขี้ม้า ทุ่งหมาเห่า ทุ่งวัวน้อย ทุ่งวัวใหญ่ จนมาถึงบ้านของไกด์นี่เอง ไกด์จอดม้าและอวดบ้าน เขายังอนุญาติให้เราถ่ายรูปและยังแบ่งนมยักคุกกี้และขนมหวานให้กินซะอีก พอครบชั่วโมงแห่งความรื่นรมย์ เราก็กลับไปที่คอก ขอบคุณไกด์ด้วยการไหว้แบบไทย และออกเดินทางด้วยเท้าตัวเองต่อไป เราเดินย้อนกลับไปที่ลำธาร กินอาหารกลางวันซึ่งประกอบไปด้วยขนมปัง นม และแอปเปิ้ล อาหารง่ายๆ แต่เป็นมื้อที่อิ่มใจด้วยวิวแม่น้ำภูเขาและโดมเกอร์ แสงอาทิตย์อันอบอุ่น นั่งๆนอนๆไปซักพัก ก็ตัดสินใจเดินไปถึงภูผา ที่เป็นสัญลักษณ์ของอุทยานแห่งนี้ ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปเต่า ออกเดินไปเรื่อยๆตามถนนที่ทอดยาวออกไปสุดสายตา ล้อมลอบไปด้วยภูเขา ทุ่งและป่า ความเงียบที่ไม่ได้สัมผัสมานาน มันช่างอบอุ่นใจ เรารู้สึกถึงธรรมชาติและความรัก เดินทางได้ซักพักก็มีหยดน้ำฝนล่วงลงมา ทั้งๆที่แดดก็ยังแรงอยู่ บางครั้งสายลมก็พัดแรงจนเราแทบปลิวไป จิตใจก็แปลไปตามสภาพอากาศ กังวลเมื่อฝนตก(เพราะน้ำฝนเย็นเฉียบไม่มีที่หลบเลย) อบอุ่นเมื่อแดดแรง ปลอดโปล่งเมื่อสายลมพัด พอสี่โมงเย็น ความกังวลก็เข้ามาครอบงำ เรากลัวว่าจะไม่มีรถกลับไปตัวเมือง เลยตัดสินใจเดินย้อนกลับไปที่หมู่บ้านเราไม่ได้เดินไปถึงเต่า และความจริงก็คือ ถึงเราเดินต่อไปก็คงไม่ถึงเต่าเพราะอยู่ไกลมากกว่าที่เรากะไว้ เราจับรถกลับมาที่ตัวเมือง พร้อมกับพระอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าทางด้านขวามือ และทางด้านซ้ายเราเป็นพระจันทร์สีขาว เราเลยคิดกลอนนี้ขึ้นมา The Moutian, The field and Slience Walking, Hiking, Resting, what to do? that depends The sun was set on my right The moon is big and bright. What if I reach high Terji Ill miss you tonight สี่ทุ่มพอดี ทั้งเหนื่อยและหิว พอเปิดประตูเข้าไปที่พักก็เห็นขนมห่อนึงวางไว้บนเตียง พร้อมโน๊ตที่เขียนว่า ขอโทษที่เมื่อคืนคุยกันเสียงดัง แบบนี้กอบอุ่นใจดีอยู่เหมือนกัน 2 หนาวใจแต่อุ่นกายในมองโกเลีย
วันที่ 1 กันยายน 2554
อากาศสดใส แดดจ้า เกอร์ ประเทศมองโกเลีย คงมีใครสักคนสืบรู้มาว่าเราเป็นสาวเมืองร้อน เลยใจดีเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ให้สัมผัสกับความหนาวเย็นของมองโกเลียอย่างเต็มที่ แหมช่างมีจิตใจงดงาม เราเลยต้องใส่เสื้อหนาวพองๆนอนจนถึงรุ่งเช้า เราก็เดินออกมาจากห้องทั้งที่ยังใส่เสื้อกันหนาวตัวหนาอยู่ และเราก็พบสบตากับลุงคนหนึ่งซึ่งใส่แต่เสื้อกล้ามยืนรับลมอยู่ เราทั้งสองยืนจ้องกันได้สองวินาที งงกันว่าใครแต่งตัวผิดอากาศกันแน่ แน่นอนว่าเป็นเรา ฮิ ฮิ ประมาณเที่ยวตรง เจ้าหน้าที่ก็เดินมาแจกตั๋วคืน เราเลยได้โอกาสถามไปว่าเวลามองโกเลียเป็นเวลาเดียวกับประเทศจีนรึเปล่า หรือต้องปรับเปลี่ยน พยายามสักพักภาษาจีนสักพัก อ้าว..เจ้าหน้าที่พูดอังกฤษได้ เลยสรุปว่าเป็นเวลาเดียวกัน ไม่ต้องปรับเวลาเพิ่มแต่อย่างใด พอถึง๑๓.๔๐รถไฟก็จอด พร้อมเสียงร้องป่าวว่า อุลาบาเต๋อ ถึงแล้วนี่เอง อุลาบาต๊อก เมืองหลวงของประเทศมองโกเลีย ความรู้สึกแรกที่เข้ามาประทะเมื่อคือ ความเป็นยุโรป และเพราะว่าเราเคยไปอังกฤษมาก่อน เราเลยคิดออกมาในแวปแรกว่า เหมือนอังกฤษเลยแฮะ แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ ความเป็นยุโรปนี้ได้รับอิธิพลมาจากสหภาพรัสเซียมากกว่า ประเทศมองโกเลีย สำหรับเราแล้วเป็นประเทศแห่งการผสมผสาน ระหว่างความเป็นเอเชียและยุโรป ระหว่างความเป็นเมืองพุทธและคอมมิวนิส ระหว่างการตกแต่งที่มีทั้งสถาปัตยกรรมของยุโรปและการใช้ชีวิตแบบวิถีเอเชีย รวมทั้งยังพบเห็นบ้านที่เป็นโดม (เกอร์)อยู่ได้ทั่วไป และที่พักที่เราเลือกพักคืนนี้ก็เป็นGerเกอร์ เกสเฮาสต์แห่งนี้มีความพิเศษอยู่ที่ให้บริการที่พักที่เป็นเกอร์ในตัวเมือง เพราะโดยปรกติแล้วจะพบเกอร์ได้นอกตัวเมืองที่เป็นที่ราบมากกว่า ห้องที่เราเลือกพักเป็นเกอร์สำหรับ๔คน ราคารวมอาหารเช้าแล้วตกคืนละ๖USD เท่านั้นเอง ห้องพักที่เป็นห้องพักรวม หรือโฮสเทล Hostelนี้ มีข้อดีคือราคาถูกและได้พบเพื่อนใหม่ๆในห้อง ซึ่งเหมาะสำหรับนักเดินทางที่มีงบประมาณจำกัดจำเขี่ย(เช่นเรา)และเดินทางแบบแบ็กแพ็คซึ่งการได้พบเพื่อนใหม่ๆ ได้แลกคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์นั้นก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง ในการเดินทางแบบนี้นี่เอง (ทีวีแชมป์เปี้ยน??) ส่วนข้อเสียนั้นคงไม่เหมาะกับนักเดินทางที่มีของมีค่าอยู่เต็มกระเป๋า เพราะบางทีที่พักแบบนี้ก็ไม่มีตู้ล็อกเกอร์ให้ หรือคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง เอาเป็นว่าเลือกเอาตามความเหมาะสมและสภาพการเดินทางละกัน ท้าวความกลับไปนิด ตอนที่เราลงจากรถไฟนั้น ตามแผนการที่ร่างไว้ เราควรจะพบไกด์เดินโฉบเฉี่ยวอยู่บนชาลชลาถือกระดาษที่เขียนชื่อเรา และพาเรานั่งรถไปอุทยานแห่งชาติเทอร์ริ เราควรได้พักกับครอบครัวท้องถิ่น แต่ทว่าเราไม่พบว่ามีใครรอเราอยู่ที่สถานีรถไฟเลย ใช้เวลารอและทำใจเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง จึงงัดแผนสองมาใช้ เราเดินทางมาเกสเฮาสต์และตั้งใจว่าจะเดินทางไปอุทยาแห่งชาติพรุ่งนี้แทน วันก่อนเราเดินทางออกจากจีน เราได้พบเพื่อนใหม่คนหนึ่งซึ่งเดินทางมาแลกเปลี่ยนวัตนธรรมที่ปักกิ่ง พอเขารู้ว่าเรากำลังจะไปมองโกเลีย ก็ได้ติดต่อเพื่อนให้ช่วยเหลือเป็นไกด์นำทาง ซึ่งเราควรจะพบกับเพื่อนใหม่คนนี้วันเสาร์นี้หลังจากที่เรากลับจากอุทยาน ถามถึงความปลอดภัยและเชื่อใจเดินทางไปกับคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนนั้นมีมากน้อยแค่ไหน ก็คงต้องบอกว่าขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ซึ่งเราค่อนข้างเชื่อใจเพื่อนคนนี้เป็นเป็นไอเสกเกอร์Aiesecerเหมือนกัน เพื่อนไกด์คนใหม่นั้นมีชื่อยาวเหยียดตามแบบฉบับของชาวมองโกเลียและไม่มีนามสกุล ซึ่งชื่อข้างหลังที่น่าจะเป็นนามสกุลนั้นถูกแทนชื่อด้วยชื่อบิดา แน่นอนว่าถ้ามาอยู่เมืองไทยนั้น คงจะถูกล้อ แต่คงไม่มันส์เท่าสืบรู้เอง เราเรียกเขาสั้นๆว่า บูก้า บูก้าเป็นชายหนุ่มนักศึกษาพูดภาษาอังกฤษได้ดีมากทีเดียว ซึ่งเขาบอกว่าชาวมองโกเลีย ถ้าพูดภาษาอังกฤษได้จะพูดได้ดีมาก แต่ถ้าไม่ได้ก็จะไม่ได้เลย วันที่เราเดินทางมาถึงเป็นวันที่๑กันยายน เป็นวันเปิดเทอมวันแรก เราจึงได้เห็นหนุ่มสาวน้อยใหญ่แต่งตัวด้วยชุดเสื้อผ้าสวยงาม หนุ่มน้อยหลายๆคนใส่สูทด้วยซ้ำ น่ารักน่าดูทีเดียว ขอแอบบอกว่าหนุ่มสาวชาวมองโกเลียหน้าตาดีค่อนข้างมาก และแล้วเราก็โดนล้วงกระเป๋า เราเอากล้องถ่ายรูปใส่ไว้ในกางเกงยีนส์ มีชายหนุ่มยืนดักรออยู่ที่บันใด พอเราเดินขึ้นไปเขาก็เบียดตัวลงมาแล้วเราก็รู้สึกว่ากล้องถูกดึงไป แน่นอนว่าคนที่เคยถูกล้วงกระเป๋ามาก่อนคงจะรู้สึกได้ว่า ใครเป็นคนล้วง เพราะคนที่ทำมีลักษณะที่ออกจะแปลก แต่ว่าทุกอย่างมันรวดเร็วกว่าที่สมองจะตามทันได้ น่าจะเป็นเพราะพื้นฐานมนุษย์สังคมแล้ว จะมีความเชื่อใจกันสูง และทุกอย่างก็เหมือนภาพสโลโมชั่นดังนี้ กล้องถ่ายรูปเราถูกดึงออกไปจากกระเป๋า เราร้องตะโกนออกไป เรามองลงไปเห็นชายเสื้อขาว เอากล้องไปให้ชายเสื้อดำ และแยกกันไปสองทาง เราตรวจเช็กกระเป๋าเพื่อให้แน่ใจว่าเราไม่ได้พลาดไปเอง บูก้าถามว่าแน่ใจรึเปล่า เราแน่ใจ เราวิ่งตามชายเสื้อขาวไป คว้าแขนเค้าไว้ และภาพก็กลับมาเป็นภาพตามเวลาปรกติ บูก้าวิ่งตามมา เราพยายามจ้องตานักล้วงกระเป๋าแล้วตะโกนบอกว่า เอากล้องคืนมาไม่งั้นไปสถานีตำรวจ บูก้าแปล ตอนนี้ทุกคนหันมามองแล้วแน่นอน นักล้วงเสื้อขาวมีท่าทางเหมือนกลัว ระหว่างการสนทนาเขาไม่สบตาเราเลย เราจับแขนเขาไว้แน่น โดยที่เขาพูดพรึมพัมว่า ไม่ใช่เขา จำคนผิดแล้ว ถ้าไม่เชื่อไปดูที่กล้องได้เลย ซ้ำไปซ้ำมา แต่ด้วยท่าทางที่เป็นแบบนั้น เรายิ่งแน่ใจว่าเป็นเขาแน่นอน เราตะโกนบอกว่า เรียกให้เพื่อนเอากล้องคืนมา คืนมาเดี๋ยวนี้ ผ่านไปซักพักชายเสื้อดำก็เอากล้องมาคืน เราปล่อยเขาไป ซึ่งจนถึงตอนนี้เรายังสงสัยว่า ในฐานะมนุษย์ในสังคมแล้ว เราทำสิ่งที่ถูกต้องรึเปล่า อันที่จริงกล้องถ่ายรูปอันนั้นก็ไม่ได้แพงอะไร ออกจะถูกด้วยซ้ำ ถ้าถามว่าเราคิดถูกรึเปล่าที่วิ่งตามขโมยไป คงไม่คุ้มแน่ แต่เราก็ยังยินดีที่เราได้ยืนหยัดเพื่อตัวเอง และถ้านักล้วงเสื้อขาวมีดุกว่านี้ เราคงยอมแพ้ไปแน่นอน จบจากเรื่องตื่นเต้น บูก้ากับเราเดินทางไปที่วัดพุทธ วัดพุทธแห่งนี้ได้รับอิทธิพลมาจากพุทธในทิเบต ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่แห่งในอุลาบาต็อก ซึ่งวัดส่วนใหญ่แล้วถูกทำลายลงเนื่องจากความเป็นคอมมิวนิส วัดแห่งนี้จึงมีความสำคัญต่อชาวมองโกเลียซึ่งส่วนใหญ่แล้วเคยเป็นเมืองพุทธมาก่อน ด้านในวัดมีพระพุทธรูปขนาดใหญ่อยู่ รวมทั้งองค์เล็ก๑๐๐๐องค์จัดวางไว้รอบห้อง แน่นอนว่าห้ามนับเพราะจะแสดงให้เห็นถึงความเคลือแคลงสงสัย เดินออกมาอีกนึด ก็พบอาคารสีเหลืองชั้นเดียว น่าจะเป็นอุโบสถ ตอนเราเข้าไปได้เวลาทำวัดพอดี การสวดมนต์แบบพุทธทิเบตนี้ สำหรับเราแล้ว สวยงามถ้าดูด้วยตา แต่ไม่ไพเราะถ้าใช้หูฟัง เราอยู่กันด้านในได้สักพักก็เดินออกมา เว้นสถานที่เพิ่มไว้ให้ชาวพุทธที่เลื่อมใสดีกว่า หลังจากนั้นก็เดินออกมาบนถนน ตรงไปที่square ซึ่งตั้งตามชื่อของนักรบผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นผู้นำเอกราชมาสู่ประเทศมองโกเลียจากจีน ด้านตรงข้ามนั้นเป็นรูปปั้นของนักรบเจงกิสข่าน ลูกชายและหลานชาย รอบๆสแควเป็นตึกสถานที่สำคัญต่างๆเช่น ตึกรัฐบาล โฮเปล่าเฮาส์ ตึกไปรษณีย์ จากนั้นก็เดินตัดถนน Peach avenue ออกมา เจอร้านค้า ห้างสรรพสินค้า และ ร้านอาหารเกาหลี ถ้าถามเราแล้ว เราว่าประเทศมองโกเลียมีสายสัมพันธ์ต่อประเทศเกาหลีมาทีเดียว เนื่องจากมีร้านอาหารเกาหลี รวมทั้งมีถนนสายที่เรียกว่า Seoul Stree อีกด้วย แต่พูดถึงเรื่องเกาหลี สิ่งที่ทำให้เราว้าว น่าจะเป็นสถานทูตเกาหลีเหนือที่ตั้งอยู่ในมองโกเลีย ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามองโกเลียยังมีสายสัมพันธ์ต่อประเทศเกาหลีเหนืออยู่อีกด้วย บูก้าเล่าว่าชาวเกาหลีเหนือบางคนเดินทางมามองโกเลียเพื่อทำพาสปอรต์จากนั้นจึงเดินทางย้ายไปเกาหลีเหนืออีกด้วย (เรื่องนี้ได้ยินมา) มื้อเย็นเราขอให้บูก้าพาเราไปกินอาหารท้องถิ่น ซึ่งมื้อเย็นวันนี้เป็นเกี้ยวทอด อันใหญ่เท่าผ่ามือ ใส้ด้านในทำจากเนื้อ จากนั้นจึงแยกย้ายกันกลับที่พัก ซึ่งหนาวมากในตอนกลางคืน แต่เราก็ยังหลับได้ สงสัยจะเป็นเพราะเหนื่อยมาทั้งวัน 1 เมื่อออกเดินทางจากปักกิ่ง
วันที31 สิงหาคา2554
หมอกจัด ฝนตกปลอยๆ รถไฟ ประเทศจีน เรื่องที่เราไม่เคยสัมผัสหรือไม่เคยคิดว่าจะมี ไม่ได้แปลว่ามันจะเกิดขึ้นไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น ความเงียบบนรถไฟในประเทศจีนเป็นต้น ท้าวความกลับไปนึด เมื่อคืนเรานัดเจอเพื่อน เพื่อกินอาหารเย็นและล่ำลาก่อนที่เราจะออกเดินทาง หลังจากนั้นก็พบว่าเป็นเวลาตีหนึ่งครึ่ง พวกเราจึงตกลงกันว่าจะไม่นอนจนถึงเช้าเพราะเข้าใจถึงความทรมานในการตื่นนอนในระยะเวลาสั้นๆ พอถึงเวลาเราก็เดินทางไปสถานีรถไฟและเมื่อเราก้าวเท้าข้ามเข้าไปยังตัวรถไฟเท่านั้นแหละ ความเหงาหงอยก็แล่นเข้าจับหัวใจ สักครู่เดียวรถไฟก็แล่นผ่านหุบเขา ทำให้เรามองไม่เห็นอะไรนอกจากความดำมืด และเงาสะท้อนของตัวเอง ความรู้สึกโดดเดี่ยวโถมเข้าใส่ในทันที เหมือนติดอยู่ในคุก มันช่างอัดอั้นจนอยากร้องไห้ออกมา ตอนนั้นเรากำลังประสบกับสถานการณ์สุดขั้วอยู่ เหมือนอย่างที่ว่าถ้าไม่เคยจนมาก่อนคงจะไม่เข้าใจความรวย ถ้าไม่เคยเห็นแสงสว่างแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่ามืด หรือเมื่อได้มีเวลาเล่นสนุก ห้อมล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย มีบทสนทนาดีๆ ได้หัวเราะ ร้องเพลงร่วมกันกับเพื่อน คงจะเข้าใจความเหงาถ้าต้องได้อยู่คนเดียว ซึ่งเราก็ทนไม่ได้กับการต้องอยู่คนเดียวในความมืดจริงๆ ตอนนั้นเราคิดว่าคงจะได้มีเวลาอยู่กับตัวเองอีกพักใหญ่ๆ ซักพักเราก็ผลอยหลับไป เมื่อได้เวลาเกือบสิบเอ็ดโมงพนักงานก็เอาตั๋วอาหารกลางวันและเย็นมาให้สองมื้อ อ้อ!ที่ราคานักท่องเที่ยวแพงกว่ามากคงเป็นเพราะจับพวกเราขายรวมทุกอย่างนี่เอง ตั๋วรถไฟสายTrans-Mongolian หรือ Trans-Siberian จะไม่สามารถหาซื้อได้โดยตรงในปักกิ่ง ต้องซื้อผ่านเอเจ้นท์เท่านั้น และถ้าได้ยินมาว่ามีคนสามารถซื้อได้ด้วยตัวเอง ลองตรวจถามดูว่าเป็นคนมองโกเลียนหรือรัสเซียหรือเปล่า เนื่องจากรถไฟสายK3หรือK23เป็นรถไฟระหว่างประเทศจึงมีเรื่องการผ่านด่านต.ม.เข้ามาเกี่ยวด้วย รัฐบาลจีนจึงบังคับขายผ่านเอเจ้นท์เท่านั้น (หาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการซื้อตัวได้ที่เวปไซด์ seat61.com) และแน่นอนว่าราคาตั๋วที่ซื้อด้วยตัวเองและราคาที่โดนบังคับซื้อผ่านเอเจ้นท์นั้นต่างกันอยู่มาก เราเดินเข้าไปในห้องอาหารบนรถไฟเพื่อกินข้าวกลางวัน อยู่ดีๆก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวประกอบอยู่ในหนังเรื่องbefore sunrise ฉากที่พระเอกนางเอกนั่งคุยกันในห้องอาหารบนรถไฟ โรแมนติกดี แหมทำไมเราไม่เจอแบบนี้บ้างทว่าเด็ดกว่านั้นเพราะเราได้นั่งร่วมโต๊ะกินข้าวกับสามหนุ่มที่ทะเลาะกันว่า แคงการู (จิงโจ้) สะกดขึ้นต้นด้วยตัว เคK หรือตัวซีC แต่เพราะเรายังทำตัวดราม่าเป็นนางเองหนังเกาหลี ยังเศร้าและจ๋อยกับประสบการณ์สุดขั้วไม่หาย เลยไม่ได้เข้าไปร่วมทะเลาะด้วยแต่อย่างใด เรากลับไปนั่งๆนอนๆ ฟังเพลงและอ่านหนังสือ เวลาประมาณสองทุ่มรถไฟก็จอดที่สถานีเออร์เหลียง Er-liang ซึ่งเท่าที่ศึกษาเส้นทางสถานนีนี้เป็นสถานีสุดท้ายก่อนเดินทางผ่านเข้ามองโกเลีย ซักพักเจ้าหน้าที่ตรวจคนออกจากเมืองก็เดินขึ้นมาบนรถไฟ เรายื่นพาสปอร์ตให้ ซึ่งตอนนั้นเรากำลังคุยโทรศัพท์กับแม่อยู่ พอเจ้าหน้าที่เห็น ก็มองหน้าแล้วพูดด้วยเสียงอันดังและเข้มกว่าการสนทนาทั่วไปให้วางโทรศัพท์ลง จนท.พลิกดูหนังสือเดินทางสี่ห้ารอบ เหมือนหาอะไรไม่เจอแล้วเดินถือหนังสือเดินทางลงไปจากรถไฟ แล้วเราค่อยนึกได้ว่าไม่ได้เขียนใบตม.ขาออกนี่เอง เราเลยเดินตามออกไปเพื่อและเพื่อยืดเส้นยืดสายซื้อของกินเล่นด้วย อากาศยามค่ำคืนที่นี่สดชื่นมากจนบางครั้งก็กลายเป็นว่าหนาวเกินไปแล้วสำหรับสาวไทยอย่างเรา ครั้นพอจะกลับขึ้นรถไฟก็ได้ยินประกาศบอกว่า รถไฟจะเปลี่ยนหัวขบวนจากสัญชาติจีนให้เป็นมองโกเลีย โปรดอย่าอยู่ในตัวรถ เราเดินกลับเข้าไปในชานชาลา แล้วซักพักรถไฟก็วิ่งหายไปในความมืด ซึ่งเราที่ออกมาตัวเปล่าจึงได้แต่คิดถึงของบนรถไฟ (หลักๆแล้วก็คิดเสียดายหนังสือที่ไม่ได้เอาติดตัวลงมาด้วย) เพราะว่าเราไม่ได้เอาหนังสือลงมาอ่านด้วย เลยมีเวลามากมายคอยสังเกตผู้โดนสารกลุ่มอื่นๆในชานชาลา บ้างก็นั่งอ่านหนังสือ นั่งกินขนม หรือแม้แต่จับกลุ่มตั้งวงเล่นไพ่กันก็มี พอห้าทุ่มกว่ารถไฟก็กลับมา เรากลับขึ้นรถไฟและหลับไป จนกระทั่งเวลาตีหนึ่งเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองมองโกเลียก็เดินเข้ามาตรวจหนังสือเดินทาง ตอนนนั้นเราง่วงหัวทิ่มบ่อแต่ก็ต้องถ่างตาให้ตื่นไว้จนกว่าจะได้รับหนังสือเดินทางคืนมา ขณะนั่งรออยู่ก็มีเจ้าหน้าที่รถไฟนายหนึ่งเดินเข้ามาพูดคุยด้วย (เป็นภาษาจีน) เราก็ออกตัวว่า พูดจีนไม่ได้ แต่เค้าก็ยังคุยต่อเป็นภาษาจีน เราเลยคุยๆไปเดาไป ไม่สนุกเลยและง่วงนอนมาก (เจ้าหน้าที่อ่านภาษากายไม่ออก) แล้วซักพักเจ้าหน้าที่รถไฟนายนั้นก็ถือวิสาสะนั่งเบาะตรงข้ามเราซะเลย แล้วก็ถามว่ามีเงินไทยไหม ขอดูหน่อย (แน่นอนว่าเขารู้ว่าเรามีเพราะเราเขียนไว้ในใบดีแคลย์) เราเลยจำใจยื่นแบงค์หนึ่งร้อยให้ไปดู แล้วอยู่ดีๆเค้าก็ขอเงินเราไปซะดื้อๆ ตอนแรกพยายามอย่างหนักที่จะทำเป็นฟังไม่ออก แต่เค้าก็ยังพยายามอธิบายด้วยภาษาและพยายามอธิบายด้วยภาษากาย แต่เราก็บอกว่าไม่ได้เรามีอยู่ใบเดียวเท่านั้น เค้าก็ยังพยายามขออยู่นั่งแหละ (ในระหว่างการดื้อดึงเราก็ได้รับหนังสือเดินทางคืนมา) ขออยู่สักพัก เราเริ่มมั่นใจแล้วว่าเจ้าหน้าที่นายนี้จะไม่ออกไปถ้าเราไม่ยอมให้เงินไป เราเลยจำให้ไปโดยหวังว่าเขาจะออกไปเสียที แต่เขาก็ยังไม่ออกไปซักที ถามต่อว่าภาพที่อยู่ในธนบัตรคือใคร เราผู้ที่ได้ออกตัวตั่งแต่แรกว่าพูดจีนไม่ได้เริ่มโมโห เขาก็หยิบธนบัตรจีนขึ้นมาและชี้ว่า เหมาเจ๋อตุง เหมาเจ๋อตุง เจ้าหน้าที่อีกคนได้ยินเข้าเลยเดินเข้ามา พูดประมาณว่า เหมาเจ๋อตุงอะไร ไปทำงานไป๊ แล้วลากพนักงานคนแรกออกไป เราดีในรีบล็อคห้องปิดไฟและนอนเลย เฮ้ออออ |
อย่าลังเล
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?] All Blog
Link |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |