เที่ยวซิดนีย์ 9 วันแบบชิลๆ : เจาะลึก Barrack Museum&St.Mary Church

สามกระทู้ผ่านไปก็ยังไม่หมดที่เที่ยวกันเลยนะคะ แบบว่าเที่ยวชิลๆนี่ก็ไปมาหลายที่เหมือนกันนะเนี่ย

หลังจากที่กระทู้ที่แล้วพาเดินถนนแม็คไควรี่แล้ว ตอนนี้ขอเจาะลึกสถานที่เที่ยวกันบ้างนะคะ

ที่ แรกที่จะพาไปชมก็คือ Barrack Museum ซึ่งก่อนหน้าที่จะเข้าไปชม บุ๊กจังก็ไม่รู้เลยว่ามันช่างมีความสำคัญเหลือเกิน ตอนแรกก็นึกว่าเป็นคุกธรรมดา แต่ทางเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ได้เล่าให้ฟังตั้งแต่เริ่มแรก ก็ทำให้เข้าใจอะไรมากขึ้น ซึ่งก็ถือได้ว่าตึกหลังอยู่คู่ประวัติศาสตร์ของซิดนีย์มาแต่ต้นจนปัจจุบันก็ ว่าได้


เท่าที่ทราบ ตึกนี้สร้างขึ้นทีแรกเพื่อเอาไว้เป็นที่นอนของนักโทษ ในตึกก็จะมีแต่ห้องแล้วก็เป็นเตียงเปลตั้งเรียงกันไม่มีอย่างอื่นเลย ส่วนเจ้าหน้าที่ก็จะอยู่ตึกที่ถัดออกมาทางด้านซ้ายมือ


หลังจาก ที่ได้สร้างเมืองไปประมาณนึงแล้ว ซิดนีย์ก็เกิดปัญหาว่าขาดแคลนผู้หญิงค่ะ ทั้งเป็นแรงงานสาวใช้ และเอาไว้แต่งงาน ประจวบกับว่าตอนนั้นทางไอร์แลนด์เกิดแห้งแล้งขาดแคลนอาหาร คนอดตายกัน รัฐบาลอังกฤษจึงได้คิดโครงการที่จะให้ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย คือโครงการส่งเด็กผู้หญิงชาวไอร์แลนด์ไปทำงานที่ออสเตรเลีย และก็จัดที่พักให้ที่ตึกหลังนี้นี่เอง


เรือลำแรกที่มาถึงซิดนีย์ เต็มไปด้วยเด็กหญิงกำพร้าชาวไอร์แลนด์ โดยที่นายจ้างที่ต้องการแรงงาน จะต้องมาลงทะเบียนกับเจ้าหน้าที่เสียก่อน แล้วจึงสามารถเข้าไปในตัวตึกเพื่อสัมภาษณ์งานได้ ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพ (เช่นแม่เล้า) มาหาประโยชน์กับเด็กได้ เมื่อทำการสัมภาษณ์แล้ว ก็เป็นการตกลงการจ้างงานกัน เด็กมีสิทธิที่จะปฏิเสธงานได้ และเด็กจะสามารถอยู่ที่บ้านพักได้ตราบที่ยังหางานไม่ได้ หรือเมื่อหางานได้แล้วแต่โดนไล่ออก ภัณฑารักษ์เล่าให้พวกเราฟังว่า เฉลี่ยแล้ว เด็กคนหนึ่งจะใช้เวลาประมาณหกสัปดาห์ในการหางาน


แต่ แผนที่เหมือนจะวางไว้เป็นอย่างดีก็ไม่ได้ดำเนินไปอย่างราบรื่น ภัณฑารักษ์เล่าให้เราฟังต่อว่า ตัวเค้าเองก็เพิ่งจะได้พบเอกสารบางอย่างที่บอกว่า โครงการนี้ทำให้เกิดกระแสการต่อต้านเชื้อชาติไอริชอย่างรุนแรงในสังคม ซิดนีย์สมัยนั้น เนื่องจากว่า ถึงแม้ว่าโครงการนี้จะมีต้นคิดมาจากทางนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ แต่ผู้ออกค่าใช้จ่ายการเดินทางและการเลี้ยงดูเด็กผู้หญิงเหล่านี้ก็คือภาษี ของชาวซิดนีย์นั่นเอง และก็ต้องยอมรับว่าไอร์แลนด์เป็นประเทศที่ไม่เจริญเท่าอังกฤษ และเด็กผู้หญิงเหล่านั้นก็เป็นชาวไร่ชาวนาเป็นส่วนใหญ่ จึงทำงานกันไม่เป็น เหล่าผู้ดีอังกฤษที่ต้องการสาวใช้ ก็ต้องการสาวใช้ที่ทำงานเป็น ไม่ต้องการหัด ดังนั้น เมื่อเจอกับเด็กชาวนาที่ไม่รู้เรื่องราว ก็ไม่พอใจ มีหลักฐานบ่งชี้ว่า เด็กที่ได้งานไปแล้วหลายคน ต้องกลับมาอยู่ที่ Barrack อีกเพราะนายจ้างไม่ต้องการจ้างไว้อีก นี่ก็เป็นเหตุผลนึงที่ทำให้เรือลำหลังๆที่นำแรงงานหญิงมา จะเป็นแรงงานสัญชาติอังกฤษ แทบไม่มีชาวไอร์แลนด์


หลังจากนั้น ตึกหลังนี้ก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นที่ทำงานของศาล มีการสร้างตึกด้านนอกล้อมรอบเพื่อทำเป็นศาล และต่อมาก็เปลี่ยนให้เป็นที่ทำงานของราชการมาจนถึงปัจจุบัน


หาก เริ่มเดินกันจากด้านนอกตัวพิพิธภัณฑ์ จะแบ่งเป็นด้านในตัวตึกกับด้านที่ติดริมรั้ว ในตัวตึกตรงกลางจะเป็นส่วนที่ต้องเสียเงินเข้าไปดู แต่ด้านนอกสามารถเดินชมได้ฟรี (ถ้าเปิดทำการ) เมื่อเดินเข้าไปก็ขอให้วนทางด้านซ้าย ก็ตรงป้อมด้านหน้าข้างๆประตูนั่นแหละค่ะ เดินเข้าไปเค้าก็จะมีคำบรรยาย พร้อมโชว์หลักฐานทางโบราณคดีว่าแต่ก่อนป้อมนี้เอาไว้ทำหน้าที่อะไร


ตรงหัวมุมด้านซ้ายเค้าจะเขียนว่าเป็นห้องขังเดี่ยว แต่ตอนนี้เหมือนว่ากลายเป็นคาเฟ่ไปซะแล้ว


ตึก ด้านนอกทางด้านซ้ายมือจะมีส่วนที่เดินเข้าไปดูการขุดค้นทางโบราณคดีได้ คนชอบของเก่าๆอย่างเราก็กรี๊ดเลยสิคะ เค้าจะขุดพื้น ลอกผนังออก ทำให้เห็นว่าแต่ก่อนห้องนี้เคยเป็นอะไร ถูกเปลี่ยนเป็นอะไร ฯลฯ


ถ้า หากเดินไปเรื่อยๆจะพบกับศาลเลขที่ 24 ซึ่งเค้าจะเปิดไว้ให้คนเข้าไปดูว่าแต่ก่อนหน้าตาของศาลเป็นยังไง ที่นั่งไหนเป็นที่นั่งของใคร โดยเค้าจะมีแผ่นข้อมูลวางไว้ให้หยิบไปอ่านได้ เราอ่านเจอที่หนึ่งก็ขำดี คือเค้าบอกว่า มีอยู่ช่วงนึงที่การระบายอากาศมันแย่มาก ทำให้คนในศาล หลับกลางวันกันเป็นแถว แหม ไม่เคยรู้เลยว่ามันเป็นเพราะอย่างนี้ มิน่า เวลาเรียนแล้วได้หลับในห้องทุกทีเลยสิน่า
ออกจากศาลเลขที่ 24 มาก็จะเจอกับตึกทางด้านหลัง เค้าก็จะเขียนว่าเป็นห้องพักพยาน ฯลฯ มีห้องน้ำให้เข้าด้วย หน้าห้องน้ำจะมีกระบะแมวอยู่ ป้ายติดว่า ตรงนี้เป็นที่อยู่แมวสามตัว ซึ่งเป็นแมวของทางพิพิธภัณฑ์ สามารถเล่นด้วยได้ หรือนำอาหารมาให้ก็ได้ น่ารักมากมายค่ะ แต่เสียดายว่าตอนนั้นแมวสามตัวหายหัวไปหมดเลย -_-“


ถึง ตรงนี้ ก็จะเดินอ้อมหลังตึกมาออกทางด้านขวาของพิพิธภัณฑ์ ที่กำแพงด้านนอกก็จะเป็นรูปปั้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้แก่สาวไอริชที่มากับเรือ ลำแรก ก็ทำเป็นโต๊ะ เก้าอี้ มาชามช้อนส้อม แต่เราก็ไม่เข้าใจความหมายหรอกค่ะ ก็ได้แต่ถ่ายรูปแล้วก็เดินชมนิดหน่อย

======

หลังจากเดินชมครบรอบแล้วก็ได้เวลาเดินเข้าด้านในตึก เข้าไปจ่ายเงินก่อนนะคะ จากนั้นเค้าก็จะบอกให้เราเดินเข้าห้องที่อยู่ด้านหน้าเพื่อให้เจ้าหน้าที่ อธิบายความเป็นมาของพิพิธณฑ์ให้ฟัง เราโชคดีที่เดินเข้าไปพร้อมกับลุงป้าคู่นึง ซึ่งชอบซักถาม ก็เลยได้ฟังอะไรแถมๆมาเยอะเลย ถ้าฟังคนเดียวก็คงฟังๆที่เค้าแนะตามสคริปต์แล้วก็จบไป


ด้านล่าง ของพิพิธภัณฑ์จะเป็นที่จัดแสดงหมุนเวียนซึ่งตอนนี้เค้าแสดงข้าวของและเรื่อง ราวของนักโทษที่ต้องอาศัยอยู่ในท้องเรือก่อนที่จะสร้างตึกสร้างเมืองเสร็จ นิทรรศการที่เค้าจัดแสดงนี้ รู้สึกว่าจะเป็นเรือนักโทษที่เค้ากู้ขึ้นมาจากทางคาริบเบี้ยนค่ะ แต่เค้าบอกว่า สภาพก็จะประมาณนี้ทุกที่รวมถึงที่ซิดนีย์เองด้วย ที่สยองก็คือเครื่องมือขังเดี่ยวของเค้าสิคะ เพราะเรือมีที่ไม่มาก ก็ไม่มีห้องให้ขังเดี่ยว เค้าก็เลยทำเป็นตู้ไว้แบบพอดีตัวอย่างกับโลงศพ เรียกว่าเข้าไปก็ไม่น่าจะนั่งได้เลยแหละค่ะ

ขอข้ามชั้นสองไปที่ชั้น สามของพิพิธภัณฑ์ก่อนนะคะ ชั้นนี้เค้าทำไว้เรียบง่ายมากค่ะ เค้าจำลองสภาพความเป็นอยู่ของนักโทษในสมัยแรกไว้ ก็จะเป็นห้องโล่งๆ มีโครงไม้ตั้งไว้เพื่อแขวนเปลยวน ซึ่งก็จะติดกันมาก ห้องนึงนอนกันได้หลายสิบคน ภัณฑารักษ์บอกว่า ถึงแม้จะเห็นว่ามีการสร้างเตาผิงไว้ที่ริมผาผนังห้อง แต่ก็ไม่ได้มีการใช้เลยในตอนที่เป็นที่อยู่ของนักโทษเพราะว่าในห้องนั้นเต็ม ไปด้วยไม้(โครงไม้) แล้วก็ผ้าเปล ซึ่งก็จะติดไฟได้


ผนังด้านนอก ห้องนอนจะมีรูเล็กๆเจาะไว้ ป้ายข้อมูลบอกว่าเป็นของที่ทำขึ้นภายหลัง เพื่อป้องกันไม่ให้นักโทษ “ทำ” อะไรกันให้ประเจิดประเจ้อ




======

ชั้นสองเป็นการจัดแสดงของที่ขุดค้นขึ้นมาได้จากพื้น ของตึกค่ะ ส่วนนี้เป็นส่วนที่เราชอบมากกกกกกก เราว่ามันบอกถึงเรื่องราวอะไรมากมาย คือเรื่องมันเริ่มที่ว่าเค้าจะการบูรณะและปรับปรุง รวมถึงขุดค้นทางโบราณคดีในตึกนี้ แล้วเค้าก็พบว่า ใต้พื้นไม้ของตึก ทุกๆชั้นเนี่ย มีของอะไรที่น่าสนใจเต็มไปหมด ของบางอย่างก็ตกลงไปตามซอกไม้ ของบางอย่างก็ถูกซ่อนไว้ ส่วนของบางอย่างก็โดนหนูขโมยไปสร้างรัง อย่างรังหนูที่เค้าโชว์ให้ดูก็จะเห็นผ้าลายสวยๆ เค้าก็บอกว่าเป็นผ้าของสาวๆที่อยู่ที่นี่ ฯลฯ

นิทรรศการอีกส่วนก็จะแสดงของที่ขุดพบรอบๆตึก เป็นเปลือกถั่วที่พวกทนายกินเล่นรอเวลาขึ้นศาล หรือเบียร์กระป๋องแบบเก่าๆ ก็มี



======

จบจาก Barrack Museum ก็ขอแนะนำให้เดินไปโบสถ์ St.Mary เลยค่ะ อยู่ข้างๆกันนั้นเอง โบสถ์สวยแบบไร้คำบรรยาย เหมือนเป็นดินแดนของพระเจ้าจริงๆนะ วันที่ไปแดดค่อนข้างแรง มันส่องเข้ามาทางกระจกสี สวยมากๆเลย ด้านในก็ทำไว้สว่างแวววาว ไม่เหมือนโบสถ์ยุโรปโกธิคที่ก็ดูขลังเหมือนกัน แต่ออกแนวน่ากลัว



======

ตามปกติแล้ว เค้าจะเปิดให้ดูชั้นใต้ดินของโบสถ์ด้วย แต่เราไปตอนเย็น เค้าปิดตั้งแต่สี่โมง เราเลยไม่ได้เข้าไปดู

จบ จากโบสถ์แล้ว ถ้ายังมีเวลาเหลือ ก็เดินข้ามไฮด์ปาร์คตรงไปเรื่อยๆ เพื่อไปขึ้น Sydney Tower ซึ่งรับรองว่าทำยังไงก็ไม่หลงเพราะเห็นกันอยู่ชัดๆ จะมีหลงหน่อยก็ตรงหาบันไดขึ้นจากในห้างเท่านั้น

เราซื้อตั๋วทาวเวอร์ รวมกับอะควาเรี่ยม ซึ่งก็แนะนำให้ซื้อกันเพราะมันก็ถูกกว่าซื้อเดี่ยวๆ จริงๆแล้วเค้าขายรวมกับ wildlife center ด้วย แต่ไกด์บุ๊คบอกว่า ถ้าไปทารองก้าแล้วก็ไม่ต้องเข้าที่นี่ก็ได้ เราก็เลยไม่เข้า

มาต่อ กันที่ทาวเวอร์ดีกว่า ตั๋วที่ซื้อจะรวมเข้าชม oztrek ด้วย จะดูก่อนหรือดูทีหลังก็ได้ แต่เราดูก่อน เพราะว่าเดินหลง หาทางขึ้นทาวเวอร์ไม่เจอ ซึ่งจริงๆลิฟต์ขึ้นก็อยู่ข้างๆที่ขายตั๋ว แต่คนต่อคิวเยอะมาก แล้วเราก็ซื้อตั๋วแล้ว เราเลยเดินผ่านไปเจอกับ oztrek ที่สีส้มแปร๊ด

ใน oztrek ก็สนุกใช้ได้ เครื่องไม้เครื่องมืออาจจะเก่าหน่อย แต่ก็มีความคิดสร้างสรรดี แนะนำให้เข้าไปดู มีอะไรขำๆให้ดูอยู่เหมือนกัน



======

ส่วนตัวทาวเวอร์เอง ก็ค่อนข้างเล็ก เทียบกับที่เคยไปตึกที่ไต้หวันมา คือเดินนิดเดียว ไม่ทันรู้ตัวมันก็รอบซะแล้ว แต่ด้วยความที่ว่าตึกที่ซิดนีย์มันไม่สูงอยู่แล้ว ก็ทำให้เห็นวิวค่อนข้างไกล แล้วก็โชคดีที่เป็นวันฟ้าใส เลยเห็นวิวได้ไกลมาก เห็นเค้าว่าเห็นไปถึงบลูเม้าเท่น เราก็มองๆไปทางนั้นอยู่ แต่ก็เห็นแต่ทิวเขา ก็คิดว่าคงใช่แหละนะ

นอก จากนั้น เค้ายังมีตู้ไปรษณีย์ที่สูงที่สุดในซีกโลกใต้ให้ส่งจม.ไปหาเพื่อนๆกันอีก ด้วย เราก็เลยต้องเขียนโปสการ์ดส่งให้เพื่อนกันตรงนั้นเอง



==

เราชมวิวอยู่บนนั้นนานเลย อย่างที่บอกว่าเป็นพวกกินวิว เดินถ่ายรูปบ้าง แล้วก็มีตู้ให้ทำเหรียญที่ระลึก เดินชมของที่ระลึกด้วย มีตุ๊กตาสตีฟ เออร์วิน กับตุ๊กตาลูกสาว น่ารักดี (แต่ไม่ได้ซื้อหรอกนะ) เป็นตุ๊กตาพูดได้ ใช้เสียงของเค้าจริงๆ



======

วันที่เราไป กว่าจะชมเสร็จ ก็เกือบบ่ายโมง คิดว่าถ้ากว่าจะเดินลงไปหาของกินอีกก็คงจะเสียเวลา ก็เลยตัดสินใจกินวิวอีกแล้ว ก็กินกันที่คาเฟ่ในทาวเวอร์นั่นแหละ จริงๆแล้วเค้าก็ตั้งเก้าอี้ไว้เฉยๆ ไม่ได้ห้ามกินอาหารที่นำมาจากข้างนอก (เราไม่เห็นป้ายนะ) ซึ่งอาหารเค้าก็ค่อนข้างแพง ดังนั้นถ้าใครจะหอบแซนวิชมาเอง เราว่าก็เป็นไอเดียที่ดี

อย่างที่บอก เวลาเห็นคาเฟ่ในจุดชมวิว เราจะสงสัยไว้ก่อนว่ามันไม่อร่อย (คือเมืองไทยมันมักเป็นแบบนี้นี่นา) แต่ต้องยอมรับว่า มาตรฐานอาหารของออสเตรเลียเนี่ย ใช้ได้เลย อาหารที่กินมาเนี่ย ผ่านทุกอย่าง ไม่มีอะไรให้ติได้ จะมีก็อร่อยมาก อร่อยน้อยแค่นั้นเอง



======

แล้วนี่ก็เป็นเอ็นทรี่สุดท้ายที่เราเขียนลงในบลูแพลเน็ตนะคะ จริงๆยังเหลือที่เที่ยวอีกสองสามที่แต่ก็...อ่ะนะ

เอาเป็นว่าก็ขอให้งานเขียนของเรามีประโยชน์กับคนที่กำลังหาข้อมูลจะไปเที่ยวซิดนีย์นะคะ

บุญรักษาค่ะ




Create Date : 27 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2551 20:12:27 น. 1 comments
Counter : 1088 Pageviews.

 
เพิ่งได้มาอ่าน สุดยอดค่ะ


โดย: ชะเวง IP: 124.121.247.66 วันที่: 9 มีนาคม 2556 เวลา:10:57:09 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 
 

booklovers
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add booklovers's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com