Mygazine : เก็บทุกสิ่งที่สนใจ

11 เคล็ดลับ ลดความกดดันชีวิตคู่

เมื่อคนเรารักกัน และตัดสินใจที่จะมาใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกัน แน่นอนว่า แม้ว่าจะรักกันเพียงใด คู่ชีวิตย่อมเปรียบเสมือนลิ้นกับฟันที่อาจกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่เราจะอยู่อย่างไรไม่ให้มีเรื่องมากระแทกซึ่งกันและกัน ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า กระทบกระทั่งได้แต่ต้องไม่กระแทก

อย่างไรก็ดี ความรัก ความเข้าใจ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ทั้งสามอย่างนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้ชีวิตคู่อยู่หรือไป การใช้ชีวิตคู่ย่อมแตกต่างจากชีวิตของคนโสดอย่างแน่นอน การเปลี่ยนจากชีวิตคนโสดมาเป็นชีวิตคู่จึงต้องการการปรับตัวเข้าหากันของทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย การเตรียมความพร้อมสำหรับบทบาทใหม่ในการใช้ชีวิตคู่ สำหรับคนที่คิดจะมีชีวิตคู่ ลองถามตัวคุณเองว่า คุณพร้อมสำหรับชีวิตคู่แค่ไหน ?

“ความรัก” ข้อนี้ไม่น่าห่วงเพราะเชื่อเหลือเกินว่า การที่ใครสักคนคิดจะใช้ชีวิตคู่ มักจะมีสาเหตุมาจากความรัก การมีความรักเป็นพื้นฐานย่อมส่งผลให้คน ๆ นั้นยอมโอนอ่อนผ่อนตาม ประนีประนอมในการปรับตัวเข้าหาคู่ของตัวเอง จากที่เคยคิดว่า “นี่คือชีวิตฉัน” จะกลายเป็น “นี่คือชีวิตของเรา” ถ้าคุณมีความคิดในลักษณะนี้ นั่นก็หมายความว่า คุณตั้งโจทย์ชีวิตคู่ขึ้นมาได้ซึ่งเป็นการเริ่มต้นที่ดีทีเดียว

“ความเข้าใจ” เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้การใช้ชีวิตคู่ประสบความสำเร็จหรือไม่ การใช้ชีวิตคู่ ต้องเข้าใจตนเอง และเข้าใจคู่ครองของเราด้วย รู้จักความชอบ ความไม่ชอบ ความเหมือน ความต่างของกันและกัน เพื่อปรับจูนเครื่องส่ง-เครื่องรับให้ตรงกัน อันจะช่วยประคับประคองให้ชีวิตคู่ผ่านไปได้ตลอดรอดฝั่ง

“ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ” ก็คือเรื่องเงิน-ทอง ปากท้องของชีวิตคู่นั่นเอง ในปัจจุบันนี้คงหายากมากที่จะเจอคู่รักแบบที่รักกันมากจนยอมกัดก้อนเกลือกินด้วยกัน เงิน-ทองจะช่วยให้ได้มาซึ่งความสะดวกสบาย มีหน้ามีตาได้รับการยอมรับจากสังคม ดังนั้นคนที่จะใช้ชีวิตคู่ต้องร่วมกันสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและตกลงเรื่องการใช้จ่ายเงิน ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้ชัดเจนและเป็นที่เข้าใจของทั้งสองฝ่ายเสียก่อน เพราะเป็นที่รู้กันอยู่ว่า เงินทองเป็นของบาดใจ ถ้าไม่คุย-ตกลงกันให้ชัดเจน ชีวิตคู่ที่ว่ารักกันมากขนาดไหน อาจต้องปิดฉากลงได้เพราะสาเหตุจากเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ

ความรัก ความเข้าใจ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ไม่อาจตัดสินได้ว่า ข้อไหนสำคัญที่สุด ต้องอาศัยการผสมผสานทั้ง 3 ปัจจัยนี้ให้พอดี โดยใช้ความรักเป็นตัวตั้ง และประคับประคองด้วยความเข้าใจ เพื่อร่วมมือกันสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชีวิตคู่ โดยมีจุดหมายคือ ครอบครัวใหม่ที่มีคุณภาพในสังคมไทยต่อไป

แต่การที่จะเพิ่มความสุขและลดความกดดันในชีวิตคู่ จนได้พบกับวิธีที่ง่ายดายและสนุกสนาน ซึ่งเป็นเคล็ดลับในการเพิ่มความสัมพันธ์ให้แนบแน่น และสามารถที่จะช่วยเติมเต็มชีวิตคู่ของคุณได้เป็นอย่างดี มี 11 วิธีง่ายๆให้ลองทำกัน

1. หาซื้อ ซีดี หรือเทปเพลงเพราะ ๆ ที่เขา หรือเธอชอบมาฝากสักม้วน
งานวิจัยล่าสุดแสดงให้เห็นว่าเมื่อคู่รักได้ฟังเพลงที่ชอบ หรือถูกใจ จะทำให้ทั้งคู่มีความรู้สึกที่อยากจะร่วมมือกันมากขึ้น เพราะดนตรีสามารถบรรเทาความสับสนทางอารมณ์ได้ และยังช่วยให้มีสุขภาพจิตดีขึ้นอีกด้วย

2. ออกไปทานข้าวนอกบ้าน หรือพบปะกับเพื่อนนอกบ้านบ้าง
คู่รักที่มีความสัมพันธ์กันแบบส่วนตัว หรือใช้เวลาอยู่ด้วยกัน 2 คนมากเกินไป ควรจะมีการพัฒนาสัมพันธภาพกับผู้อื่นบ้าง โดยการออกไปทานข้าวกับเพื่อนฝูงนอกบ้านหลังแต่งงาน เพราะพวกเขาเหล่านั้น จะมองเห็นในอีกแง่มุมหนึ่งของชีวิตคู่ที่ตัวคุณเองมองข้ามไป หรือมองไม่เห็น โดยเฉพาะในเวลาที่คุณกำลังรู้สึกแย่ พวกเขาสามารถช่วยเหลือ หรือให้คำแนะนำต่าง ๆ จนคุณรู้สึกดีขึ้นได้

3. ใช้เวลากับตัวเองเพียงลำพังบ้าง
บางครั้งการที่คุณขลุกอยู่ด้วยกันมากเกินไป อาจจะทำให้ต่างฝ่ายต่างขาดความเป็นส่วนตัว ในโลกของคนหนึ่งก็ต้องมีอีกคนหนึ่งอยู่ด้วยเสมอ ถ้าคุณแยกไปทำกิจกรรมที่ต่างคนต่างชอบ หรือให้เวลา และโอกาสตัวเองแยกออกไปจากคู่เสียบ้าง แล้วค่อยกลับมารวมตัวกันใหม่ มันจะทำให้คุณมีความสุขทั้งในโลกส่วนตัว และโลกแห่งชีวิตคู่มากขึ้น

4. ควรให้แต่ละคนได้มีเวลาส่วนตัว หรือมีเวลาที่เป็นอิสระบ้าง
คู่รักที่มีความสุขหลายคู่ รู้จักให้เวลาส่วนตัวและอิสระแก่กันและกัน ไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา เช่น นัดกันไว้เลยว่า เจอกันที่ร้านอาหารตอน 1 ทุ่มนะ แต่สำหรับช่วงก่อนเวลานัด คุณสามารถที่จะไปทำอะไรก็ได้ เช่น อาจจะมีธุระสำคัญที่ต้องทำกอนหน้านั้น การกระทำเช่นนี้จะช่วยลดความขัดแย้งลงได้

5. ออกไปโยนโบว์ลิ่ง หรืออยู่ที่ร้านหนังสือด้วยกัน
คู่รักที่ประสบความสำเร็จ 64 เปอร์เซ็นต์ จะมีความสนใจในเรื่องเดียวกัน จากสถิติของสถาบันแก้ไขปัญหาในครอบครัว ระบุว่าเมื่อคุณได้มีโอกาสใช้เวลาว่างที่มีอยู่ทำกิจกรรมร่วมกัน มันจะเป็นการเพิ่มหรือกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้น บางทีคุณอาจจะต้องลองหาสิ่งใหม่ ๆ ที่น่าสนใจทำดู เพราะมันจะให้ชีวิตคู่ของคุณมีรสชาติหลากหลายไม่จำเจ

6. หยอกล้อกันบ้าง
การหยอกล้อหรือเล่นกันเบา ๆ การอำ การแซว การตั้งฉายาน่ารัก ๆ ให้กัน การเล่าเรื่องสัปดน ตลกโปกฮา การพูดคำผวน คำสองแง่สองง่ามที่ไม่หยาบคายเกินไป เหล่านี้จะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดและถือว่าเป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับที่สำคัญ อีกข้อในการเพิ่มความสดชื่นให้กับชีวิตคู่ของคุณด้วย

7. รู้จักถกเถียงกันบ้าง
ผลการวิจัยข้อหนึ่งบอกว่าคู่รักที่ไม่เคยถกเถียง หรือทะเลาะกันเลยหลังแต่งงาน เป็นต้นเหตุสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะนำไปสู่การหย่าร้างได้ เพราะการบอกเล่า การได้ระบายเกี่ยวกับความรู้สึก หรือความต้องการที่อาจจะกำลังเก็บกดอยู่โดยไม่รู้ตัวของตนเองนั้น ถือว่าเป็นกุญแจดอกสำคัญที่จะทำให้ชีวิตการแต่งงานประสบความสำเร็จ

8. ช่วยกันทำงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ
คู่รักที่ช่วยกันทำงานบ้าน 19 เปอร์เซ็นต์ จะมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกว่าเดิม โดยอาศัยจากการทำกิจกรรมร่วมกัน หรือช่วยกันทำงานภายในบ้าน วิธีหนึ่งที่จะกระตุ้นให้สามีของคุณรู้สึกอยากจะช่วยคุณทำงานบ้านก็คือ กล่าวชื่นชมเมื่อเขาลงมือช่วยคุณล้างจาน หรือทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างอื่น เช่น ถ้าซักผ้าด้วยเครื่อง คุณอาจจะเป็นคนซัก แล้วขอให้เขาช่วยปรับผ้านุ่ม และอบแห้งให้ก่อนที่คุณจะนำไปตาก

9. แบ่งเวลาจากการดูโทรทัศน์สักวันละครึ่งชั่วโมง
คนที่ชอบใช้เวลาดูโทรทัศน์นาน ๆ ความสัมพันธ์กับคู่รักก็จะค่อย ๆ แย่ลง เพราะโทรทัศน์เป็นสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกแบ่งแยก และเป็นส่วนตัว เริ่มตั้งแต่เปิดโทรทัศน์ ความสนใจของคุณที่มีต่อคนรักก็จะลดลงไป

10. ผลัดกันอ่านหนังสือการ์ตูน หรือเล่าเรื่องตลกให้กันฟัง
ถ้าคู่รักของคุณเป็นคนมีอารมณ์ขัน รู้หรือไม่ว่าอย่างน้อยสิ่งนี้สามารถช่วยลดความขัดแย้ง หรือการปะทะคารมลงไปได้อย่างน้อย 67เปอร์เซ็นต์เพราะมันจะทำให้อารมณ์เย็นลง หรือช่วยลดความรุนแรงของการสนทนานั้น และคุณยังสามารถสร้างอารมณ์ขัน หรือสร้างทัศนคติในการมองโลกให้แง่ดีด้วยตนเอง โดยการอ่านหนังสือการ์ตูน หรือผลัดกันกับคู่รักเล่าเรื่องตลกให้กันฟังก็ได้

11. บอกเล่าถึงความฝัน หรือความต้องการของคุณ
ผลัดกันบอกเล่าถึงความฝัน หรือความต้องการในอนาคตว่า คุณอยากจะไปใช้ชีวิตอยู่ที่ไหนอยากจะใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างไร หรือเริ่มต้นโดยสนทนาเกี่ยวกับธุรกิจการงานของคุณ หรือการไปทัวร์ยุโรปของคุณ จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยในอเมริกาพบว่าคู่รักจำนวนมาก นิยมบอกเล่าถึงความต้องการส่วนตัวของตนเอง และ 62 เปอร์เซ็นต์ พบว่ามันช่วยทำให้ชีวิตคู่ของพวกเขามีความสุขมากขึ้น เพราะว่าการแสดงออกถึงความต้องการ หรือความฝันของตนเอง จะช่วยลดพฤติกรรมที่ปิดกั้นระหว่างกันได้มากขึ้น และก็เป็นการดีที่ทั้งคู่จะช่วยกันพยายามสร้างอนาคตร่วมกัน ส่วนคู่รักที่ไม่ยอมบอกถึงความต้องการของตนเอง พบว่าความกดดันจะเพิ่มขึ้นเป็น 48 เปอร์เซ็นต์

ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์




 

Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2552 21:55:58 น.
Counter : 326 Pageviews.  

วิธีป้องกันคนรักนอกใจ

ใครที่มีคนรักแล้วไม่อยากให้คนรักนอกใจ วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีป้องกันคนรักนอกใจมาบอก...

วิธีที่ 1 เขียนบัญชีรัก ลองเอากระดาษและดินสอมาจดรายการ สิ่งที่เขาทำให้คุณมีความสุข ถึงแม้จะเป็นสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ และผลัดกันให้เขาเขียน สิ่งที่คุณทำให้แล้วเขารู้สึกมีความสุขบ้าง ผลัดกันอ่านแล้วอ่านอย่างเดียวไม่พอ ต้องทำด้วย คุณทั้งสองลองทำให้กันและกันอาทิตย์ละหนึ่งอย่าง วิธีนี้เป็นการยืนยันความรักของคุณและเขา และเป็นการบอกเขาว่าเขาสำคัญแค่ไหนสำหรับคุณ

วิธีที่ 2 เอาใจใส่ต่อปัญหาของกันและกันอย่างจริงจัง การเทคแคร์ดูแลกันในเรื่องทั่ว ๆ ไปยังไม่พอ คุณควรต้องหมั่นดูแลเอาใจใส่ต่อปัญหา หรือสิ่งไม่สบายใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ของคู่คุณบ้าง และคอยฟังหรืออาจคอยช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ อย่างจริงจังเท่าที่คุณจะสามารถทำได้ การห่วงใยอาทรกันทั้งในยามสุขและยามทุกข์ จะทำให้ความรักของคุณหยั่งรากลึกไปจนถึงก้นบึ้งหัวใจของอีกฝ่ายเชียว

วิธีที่ 3 เดทกันที่เตียงนอน ไม่จำเป็นต้องรอให้มีอารมณ์อย่างว่าแล้วค่อยขึ้นเตียง บางคู่มักต่างรอให้กันและกันมีอารมณ์ตรงกันก่อนถึงจะตรงดิ่งไปที่เตียงนอนและมีเซ็กซ์ แต่บางทีถ้าอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีอารมณ์ขึ้นมา ต่างฝ่ายต่างรอพอดีเฉาตาย น่าจะลองนัดกันเล่น ๆ ดูว่าวันไหนที่ควรจะจูงมือกัน แล้วตรงดิ่งเข้าห้องโดยไม่ต้องรออารมณ์

วิธีที่ 4 อย่ามีความลับต่อกัน อันนี้สำหรับคู่ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด ความลึกลับระหว่างกันไม่ควรมีอีกต่อไป ถ้าคุณเก็บความลับเรื่องสำคัญไว้ นั่นเท่ากับเป็นการทลายกำแพงความไว้วางใจที่ควรมีต่อกันลงไปอย่างง่ายดาย ทั้งที่อาจจะใช้เวลาเป็นปี หรือหลายปีในการร่วมกันสร้างมันขึ้นมา อย่าลืมว่ารอยร้าวเล็ก ๆ จะขยายใหญ่ได้ไม่ยาก

วิธีที่ 5 จดจำสิ่งดี ๆ บางทีผู้ชายที่แสนดีตรงหน้าคุณ ที่คุณเคยทุ่มเทความรักจนหมดใจเมื่อ 3 ปีที่แล้ว หรือสาวแสนสวยที่อยู่หน้าคุณตรงนี้ ก็กลับกลายเป็นคนที่น่าเบื่อ น่ารำคาญ บ่อยครั้งสิ่งที่เคยน่าดึงดูดใจกลายเป็นสิ่งที่น่ารำคาญเอาง่าย ๆ แต่คิดสักนิดก่อนที่คุณจะไปมองคนใหม่ที่ใสกว่า ลองมองเธอหรือเขาดูอีกครั้ง มองให้เหมือนกับที่คุณเคยมองในตอนแรกๆ คุณอาจจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเก่า ๆ ของความรักและความชื่นชมที่เคยมีให้กันก็ได้

รู้อย่างนี้แล้ว อย่าลืมหันมาดูแลเอาใจใส่คนรัก คนรักจะได้ไม่นอกใจ

ที่มา เดลินิวส์ออนไลน์




 

Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2552 12:27:09 น.
Counter : 336 Pageviews.  

อาหาร 10 อย่างที่ควรมีไว้ในตู้เย็น

- น้ำเปล่า
"น้ำ" ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิต ช่วยทำให้ระบบการทำงานของร่างกายเป็นไม่อย่างปกติ ช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดี หัวใจทำงานปกติและมีประสิทธิภาพแข็งแรงขึ้น รวมทั้งช่วยให้การขับถ่ายของเสียทำงานได้ดี ที่สำคัญยังช่วยให้ผิวชุ่มชื่น โดยน้ำที่เหมาะแก่การดื่มคือน้ำอุณหภูมิปกติ

- ผัก
"ผัก" ถือเป็นอาหารที่มีคุณค่ามาก เพราะมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการ อาทิ วิตามิน เกลือแร่ อยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ในผักยังมี "ใยพืช" (Fiber) ซึ่งช่วยกระตุ้นลำไส้ให้ทำงานดีขึ้น ทำให้ท้องไม่ผูก ป้องกันโรคริดสีดวงทวาร โรคมะเร็งลำไส้

- ไข่ไก่
"ไข่ไก่" เพราะในไข่ไก่มีทั้งโปรตีนและกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย 9 ชนิด ทั้งยังมีวิตามินกับเกลือแร่อีกหลายชนิด เช่น วิตามินเอ , บี, ดี และ อี
ธาตุเหล็ก , สังกะสี, ซีลีเนียม และไอโอดีน ส่วนใครที่เคยเชื่อมาผิด ๆ ว่าทานไข่แล้วจะเสี่ยงกับความอ้วนนั้น คุณเข้าใจผิด เพราะโคเลสเตอรอลใน
ไข่แดงมีประมาณ 230 มิลลิกรัมต่อฟอง ซึ่งนับว่าปลอดภัยกว่าการกินเนย แป้ง น้ำตาล และเนื้อสัตว์ติดมันมาก

- นม
"นม" ในที่นี้จะเป็นประเภทใดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นนมวัว นมถั่วเหลือง หรือนมเปรี้ยว เพราะทุกประเภทล้วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าเราต้องอ่านฉลากข้างกล่องหรือขวดให้ดีก่อนจะซื้อมาเก็บไว้ในตู้ เย็น เพราะในนมแต่ละยี่ห้อแต่ละสูตรก็จะมีปริมาณน้ำนมและสารปรุงแต่งไม่เท่ากัน สำหรับคนที่ไม่มีปัญหาในเรื่องระบบย่อยอาหารคุณควรดื่มนมวัว เพราะในนมวัวมีแคลเซียมและโปรตีนซึ่งมีความสมบูรณ์ของกรดอะมิโนดีกว่าโปรตีน จากถั่วเหลือง

- เนื้อปลา
"เนื้อปลา" เพราะโปรตีนจากเนื้อปลามีไขมันต่ำ ย่อยง่าย และมีสาอาหาร คือ กรดโอเมก้า 3 ซึ่งมีกรด DHA และกรด EPA โดย DHA จะช่วยบำรุงเซลล์สมอง เซลล์ประสาท และเรตินาในดวงตา ส่วนกรด EPA ช่วยควบคุมระดับโคเลสเตอรอล และลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในร่างกาย จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

- ผลไม้รสเปรี้ยว
ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม , มะม่วง,ฝรั่ง, กีวี่ ,ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เพราะผลไม้ประเภทนี้จะมีวิตามินซีสูง (แถมยังปลอดภัยจากความอ้วนกว่าผลไม้รสหวานที่มีน้ำตาลมาก) ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของภูมิต้านทานโรค ช่วยลดระดับไขมันที่จะไปพอกพูนเส้นเลือดในร่างกายแล้วทำให้หลอดเลือดอุดตัน ทั้งยังช่วยควบคุมโคเลสเตอรอล และป้องกันการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี ที่สำคัญวิตามินซีทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นเหตุของการเสื่อมของร่างกายอีกด้วย

- โยเกิร์ต
"โยเกิร์ต" มีวิตามิน ได้แก่ วิตามิน เอ, บี1, บี2, บี3, บี6, บี12, ดี, อี มีกรดที่ช่วยในการดูดซึมโปรตีน แคลเซียมและเหล็กเข้าสู่ร่างกาย ช่วยการทำงาน
ของระบบย่อยอาหาร และระบบการขับถ่าย ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด ช่วยบำรุงผิวพรรณ แต่ก่อนซื้อต้องอ่านฉลากให้ดีก่อนว่าในโยเกิร์ตรสและยี่ห้อนั้น ๆ มีส่วนประกอบและคุณค่าทางอาหารอะไรบ้าง แนะนำว่าโยเกิร์ตธรรมชาติที่มีน้ำตาลน้อยดีที่สุด

- แอปเปิ้ล
แอปเปิ้ลมีสารอาหารที่มีประโยชน์หลายชนิด อาทิ สารเบตาแคโรทีน วิตามินซี นอกจากนี้แอปเปิ้ลยังเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยมาก ซึ่งจะทำหน้าที่ทำ
ความสะอาดลำไส้ ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น และถ้าอยากได้คุณค่าเต็มเปี่ยมแนะนำให้ทานแอปเปิ้ลทั้งเปลือก เพราะเปลือกของแอปเปิ้ลแดง 1 ผลนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่ากับวิตามินซี 820 มิลลิกรัม

- ถั่ว
“ถั่ว” ถือเป็นโปรตีนจากพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูงไม่แพ้โปรตีนจากเนื้อสัตว์เชียว ดังนั้นคนที่อยู่ในช่วงทานเจหรือมังสวิรัติแต่ไม่อยากให้ร่างกายขาดโปรตีน ถั่วจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด และที่สำคัญถั่วยังอุดมไปด้วยวิตามินที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของผิวหนัง ผม การควบคุมความดันโลหิต ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบการแข็งตัวของเลือด นอกจากนี้ไขมันไม่อิ่มตัวในถั่วจะช่วยลดระดับโคเลสเตอรอล

- ธัญพืช
"ธัญพืช" จำพวกข้าวโพด , ลูกเดือย ,งา ,ข่าวฟ่าง,เมล็ดทานตะวัน, จมูกข้าว, รำจ้าว (ชนิดที่อบกรอบพร้อมทาน) ติดตู้เย็นไว้จะช่วยให้คุณประหยัด
เวลาได้มากทั้งยังดีต่อสุขภาพ โดยในธัญพืชจะมีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ต้องใช้เวลาในการย่อย ทำให้น้ำตาลในเลือดไม่ขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว จึงไม่ทำ
เกิดเป็นโรคเบาหวานตามมาในภายหลัง (ต่างจากแป้งขัดขาวซึ่งน้ำตาลจะถูกย่อยเร็ว) นอกจากนี้ธัญพืชยังเปี่ยมด้วยวิตามิน เกลือแร่ และไฟเบอร์

รู้อย่างนี้แล้ว ลองหาอาหารแต่ละชนิดมาติดไว้ในตู้เย็น เพื่อสุขภาพที่ดี

ที่มา เดลินิวส์ออนไลน์




 

Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 12 มกราคม 2553 15:44:20 น.
Counter : 354 Pageviews.  

เทคนิคมองโลกแง่ดี

ในชีวิตประจำวันของหลาย ๆ คน คงได้ประสบกับสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความหงุดหงิดใจ และบั่นทอนสุขภาพจิต ว่ากันว่า วิธีที่จะทำให้อยู่ได้อย่างมีความสุขในทุก ๆ วัน นั้น ‘การมองโลกในแง่ดี’ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเรียกความเข้มแข็ง สร้างกำลังใจ และช่วยให้ดำรงชีวิตในสังคมได้ดี

‘เกร็ดน่ารู้’ สัปดาห์นี้ มี ‘เทคนิคการมองโลกในแง่ดี’ มาฝาก เป็นหลักปฏิบัติง่าย ๆ เหมาะกับหนุ่มสาวสมัยใหม่ และวัยรุ่นยุคไอที

เพื่อนนินทา แสดงว่าเรามีดี มีจุดเด่นที่เขาไม่มีจึงนำเราไปนินทา (หลายคนบอกเปลี่ยนความโกรธ เป็นความภูมิใจแทน)

อกหัก คิดเสียว่าได้เรียนรู้ชีวิต เป็นประสบการณ์ หลังจากนี้เดินหน้าดูแลตัวเอง พอชีวิตดีเดี๋ยวคู่มาเอง

เงินหมด โอ๊ย! เรื่องขี้ผง คนอื่นที่ทุกข์กว่าเรามีเยอะแยะ ดีเลยฝึกนิสัยอดทน (สักระยะ) แต่ถ้าไม่อยากทนบ่อย ๆ คราวต่อไปก็ระวังอย่าใช้เงินเกินงบ

รถติด ฝึกสมาธิมันซะเลย นั่งกำหนดลมหายใจเข้าออก นอกจากจะเป็นผลดีต่อความจำแล้ว ยังช่วยฝึกความเป็นคนใจเย็นอีกด้วย

เจอข้อผิดพลาดในการเรียน - การทำงาน คิดเสียว่าไม่เป็นไร ปัญหาหรืออุปสรรคเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ หลังจากนั้น คิดสู้ปัญหา โดยการ ‘เริ่มใหม่’ เพราะความสำเร็จอยู่ไม่ไกลเกินความพยายาม และถ้าเราสามารถผ่านมันไปได้ งานนั้นจะนำมาซึ่งความภูมิใจ และหลังจากนี้ ต่อให้เจออุปสรรคเล็ก - ใหญ่แค่ไหน จะไม่มีทางมาบั่นทอนจิตใจเราได้ จำไว้ว่า ‘ไม่เป็นไร’

มีปัญหากับเพื่อนมนุษย์ คิดเสียว่ามันยังไม่ได้เลวร้ายจนถึงที่สุด ยังดีที่ไม่เจอหนักกว่านี้ คิดปล่อยวาง และคิดถึงสิ่งดี ๆ ที่เขาพอจะมีอยู่ หรือคิดถึงในแง่ดี ๆ ของเขา แต่หากปัญหานั้นเกิดจากตัวเรา ให้มองย้อนกลับไป แล้วแก้ไขปรับปรุง

‘การมองโลกในแง่ดี’ นั้น เชื่อว่าทุกคนสามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้ การรู้จักคิดปล่อยวาง คิดให้สบายใจ ในยามที่พบกับปัญหา นอกจากจะไม่เป็นการซ้ำเติมตนเองแล้ว จะรู้สึกว่าชีวิตดูมีความสุขมากขึ้นอีกด้วย.

โดย 'รัตติกาล'
ที่มา เดลินิวส์ ออนไลน์




 

Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 12 มกราคม 2553 15:37:42 น.
Counter : 309 Pageviews.  

14 พฤติกรรม เสี่ยงมะเร็ง

ความน่ากลัวของ มะเร็ง คือ เป็นแล้วมักลาม หายแล้วเป็นใหม่ได้ ด้วยเหตุนี้ผู้ป่วยหลายคนจึงถูกมะเร็งคร่าชีวิตไปนับไม่ถ้วน แม้จะได้รับการเยียวยารักษาอย่างดีแล้วก็ตาม

สำหรับพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งนั้น นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ บอกว่า มี 14 ประการ ดังต่อไปนี้

1.นอนดึก ทำให้ไม่มีฮอร์โมนต้านมะเร็งหลั่งออกมา นอกจากนี้ยังจะทำให้เกิดโรคร้ายอื่น เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง และโรคอ้วน เพราะการนอนดึก มักจะหิวและต้องหาของขบเคี้ยวมากินแก้ปากว่างกัน

2.คึกสูบบุหรี่และขี้เหล้า ทั้งสองสิ่งนี้ทำให้ปอดและตับทำงานหนัก ทำให้คนที่เสพทั้งแก่เร็วและตายไวได้จากโรคมะเร็ง

3.เอาแต่ไขมันเข้าปากและอยากแต่เนื้อแดง ไขมันอิ่มตัวและโปรตีนจากเนื้อนั้นเป็นแหล่งอาหารชั้นหนึ่งของมะเร็งที่จะใช้เจริญเติบโตได้ไม่แพ้ทารกเกิดใหม่ มัน จะสร้างหลอดเลือดยื่นไปดูดกินเลือดเนื้อของเราจนแทบ ไม่เหลือเลือดอันสมบูรณ์ไปเลี้ยงอวัยวะอื่น ตัวเราจึงผอมเอา ๆ ตรงข้ามกับมะเร็งกาฝากที่โตไว

4.แฝงด้วยเครียดจัด จนมีสารทุกข์หลั่งออกมาหล่อเลี้ยงมะเร็งให้โตขึ้นเร็ว ราวกับน้ำมันราดบนกองไฟให้คุโชนขึ้น

5.ไวรัสตับอักเสบบีและมีภูมิแพ้ที่รักษาไม่หาย ในคนที่ภูมิไม่ดี ไม่มีการออกกำลัง พักผ่อนน้อย โดยเฉพาะผู้อายุมากที่ภูมิต่ำก็จะได้มะเร็งแถมเข้ามาในชีวิตทันที ดังนั้นถ้าเคยมีประวัติไวรัสตับอักเสบบีแล้ว ก็ต้องพยายามเสริมภูมิต้านโรคไว้ให้รู้สึกอยู่เสมอว่าเรามีระเบิดเวลาในกายจะได้ไม่ประมาท

6.ปล่อยกายให้อ้วน สร้างให้เกิดธาตุแก่ออกมาแช่อิ่มอวัยวะภายในร่างกาย และไขมันตามตัวยังสร้างให้เกิดฮอร์โมนกระตุ้นให้มะเร็งแบ่งตัวดีขึ้นด้วย

7.ล้วนขาดวิตามิน ด้วยวิตามินทำหน้าที่ต้านเชื้อมะเร็งให้ดับเป็นจุณไปก่อนที่จะเผยอหน้าขึ้นมาแบ่งตัวปนเปไปในร่างกายเรา

8.กินของร้อนจัดไป เช่น ซดชาร้อน หรือกาแฟร้อนจัดประเภทควันฉุย จะไปลวกให้เซลล์หลอดอาหารอักเสบอยู่ทุกบ่อย เมื่ออักเสบเป็นอาจิณก็จะมีโอกาสเปลี่ยนไปเป็นเซลล์มะเร็งง่ายขึ้น

9.ทำให้คอเลสเตอรอลลดต่ำ พบว่า ถ้าต่ำเกินไปก็ไม่ดี มีผลกับภูมิคุ้มกันที่แย่ลง เมื่อภูมิต่ำแล้วก็จะหมดปัญญาต้านเซลล์มะเร็งที่จะเข้ามาหา

10.ทำกลั้นปัสสาวะ น้ำปัสสาวะเป็นของเสียยิ่งอยู่นิ่งเป็นเวลานานจากการอั้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับน้ำนิ่งในคลองแสนแสบซึ่งทิ้งไว้ไม่นานจะกลายเป็นน้ำเน่า แต่ถ้าเน่าในกระเพาะฉี่เราก็มีผลให้เกิดเซลล์มะเร็งงอกขึ้นมาได้

11.ปะทะเค็มจัด พบว่า สิ่งมีชีวิตที่ทานอาหารเค็มมีอัตราการเกิดมะเร็งสูงกว่า โดยเฉพาะในอาหารจำพวก เนื้อเค็ม เนื้อแห้ง หมูแดง ที่นอกจากเค็มแล้วยังมีสีแดงดีจากดินประสิวอีกด้วย

12.ประวัติมะเร็งในครอบครัว มะเร็งร้ายในครอบครัวบางอย่างสามารถถ่ายทอดมาทางพันธุกรรมได้ แม้จะไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์แต่ต้องรับไว้ด้วยความไม่เต็มใจ เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่ถ้าป้องกันไว้ดี ๆ แล้วบางทีก็ไม่เกิดขึ้นมา

13.ตัวตากแดดบ่อย แสงแดดเป็นรังสี ที่กระตุ้นอณูเซลล์ของคุณให้สะดุ้งตกใจจนเครื่องในรวนหมด เมื่อเครื่องในรวนแล้วก็ไม่สามารถที่จะคุมการแบ่งตัว ได้ ทำให้แบ่งต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งกลายเป็นก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ

14.ไม่ค่อยช่วยใคร ถ้าพูดให้ง่ายเข้า คือ เห็นแก่ตัวและไม่ค่อยได้ทำบุญนั่นเอง เพราะเมื่อใดก็ตามที่ได้หมั่นช่วยเหลือผู้อื่นจนชินแล้วเรามักไม่ค่อยได้นึกถึงตัวเองนัก และเมื่อไม่หมกมุ่นกับตัวเองแล้วก็ไม่ค่อยเกิดความ อยาก อันนำไปสู่ความเครียดร้อนอกร้อนใจ หรือถ้าไม่มีเวลาก็แค่อนุโมทนากับบุญที่เราได้พานพบก็ทำให้มี สารสุข หลั่งออกมาเสริมภูมิรู้สู้มะเร็งแล้ว.

โดย : นวพรรษ บุญชาญ

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์





 

Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 14 มกราคม 2553 11:43:52 น.
Counter : 279 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  

Never be Afraid to Dream
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]









หมายเหตุ :
1. ขอขอบคุณเจ้าของโค้ด รูป และของแต่งบล็อกที่รวมกันเป็นบล็อกนี้ทุกท่านและขออภัยที่ไม่สามารถเอ่ยชื่อได้ เนื่องจาก จขบ.เซฟมาเยอะจนไม่สามารถจำได้ว่าเอามาจากบล็อกของท่านใดบ้าง

2. ขอขอบคุณไว้ล่วงหน้า ณ ที่นี้ สำหรับทุกท่านที่แวะมาเยี่ยม มาแสดงความเห็นค่ะ และขออภัยหากไม่ได้กลับไปเยี่ยม
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Never be Afraid to Dream's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.