นกน้อยพาเที่ยว - ญี่ปุ่น 'TAKAYAMA 高山' ตอน 1 นั่งทัวร์บัสย่ำหิมะ

หลังจากพาเที่ยวเมืองใกล้ๆโตเกียวมาหลายที่แล้ว คราวนี้ขอลองพาออกมาไกลโตเกียวกันบ้าง


จริงๆแล้ว เมืองนี้เป็นจุดประกายความคิดเริ่มต้นของทริปญี่ปุ่นครั้งนี้เลย ด้วยความที่อยากจะไปๆมาตั้งนานแล้ว


พอดีจังหวะเหมาะไปช่วงหน้าหนาวบวกกับความคิดถึงหิมะเหลือหลาย คงไม่มีเมืองอะไรที่เหมาะไปกว่า Takayama แน่นอน


แค่คิดก็เริ่มตื่นเต้นแล้วนะเนี่ย แต่ว่าจะไปยังไงดีละ นั่งรถไฟหรอ ครั้งนี้ไม่มี JR Pass ถ้านั่งชิงคังเซนคงแพงน่าดู


งานนี้คงต้องปรึกษาเพื่อนชาวญี่ปุ่นซะแล้ว ว่าอารมณ์ไปเที่ยวแบบคนญี่ปุ่นเนี่ยเค้าไปกันยังไง



ลองมาดูแผนที่คร่าวๆกันหน่อย จะได้พอรู้ว่าเมือง Takayama เนี่ยอยู่แถบไหนใกล้กับเมืองอะไร


ไปแถบนั้นทีมีแต่เมืองน่าเที่ยวทั้งนั้น ใครที่มีเวลาเหลือเฟือ ลองแพลนเผื่อไปเที่ยวเมืองใกล้ๆได้นะครับ 



"ทะคะยะมะ" 高山


มีชื่อเรียกเต็มๆว่า Hida-Takayama ตั้งอยู่ในเขต Chubu จังหวัด Gifu


อยู่ในแนวเทือกเขา Japan Alps คำว่า Taka (高) แปลว่าสูง ส่วน Yama (山) แปลว่าภูเขา



ถ้าเลือกวิธีนั่งรถไฟ จากโตเกียวต้องนั่ง Shinkansen ไปลง Nagoya แล้วต่อรถไฟ JR ไปลง Takayama


แต่ครั้งนี้ขอลิ้มลองรสชาดใหม่ๆไปรถทัวร์กับคณะทัวร์ญี่ปุ่นถึงแม้จะใช้เวลามากกว่าแต่ก็ไม่เหนื่อย


เพราะมีแวะให้เที่ยวชมเมืองที่ผ่านตลอดทาง เรียกได้ว่าครั้งนี้ได้สนุกอีกอารมณ์แน่ๆ แถมที่สำคัญประหยัดสุดๆอีกด้วย



ไปเที่ยวหนนี้ เพื่อนคนญี่ปุ่นเลือกใช้ของ H.I.S. หลังจากเปรียบเทียบโปรแกรมกับหลายๆทัวร์แล้ว ของที่นี่ลงตัวที่สุด


ออกเดินทางเช้าวันเสาร์จาก Shinjuku มุ่งหน้าสู่ Takayama แวะเข้าพักที่เมือง Toyama


และวันรุ่งขึ้นไปเที่ยวต่อที่ Kanazawa ก่อนปิดท้ายที่ไฮไลท์ Shirakawa-go และกลับถึงโตเกียวตอนกลางคืนวันอาทิตย์


อ่านโปรแกรมแล้วน้ำลายหยด สนนราคาเพียง 15,500 เยนเท่านั้น คุ้มสุดๆ (เพราะราคานี้แค่นั่ง Shinkansen ก็หมดแล้วมั้ง)


อ้อ ทัวร์ที่นี่มีข้อกำหนดคือต้องจองล่วงหน้าอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ และต้องรวมกันไม่ต่ำกว่า 25 คนถึงจะออกทัวร์นะครับ



ไปกับคนญี่ปุ่น อย่าลืมว่า "เวลา" เป็นสิ่งที่สำคัญมากนะครับ เค้านัดกี่โมง ไม่ใช่ไปถึงพอดีเป้ะ


ควรไปให้ถึงก่อนอย่างน้อย 10 นาที ถ้าไปถึงช้าอาจโดนสายตาประณามได้ ห้ามไปโกรธเค้านะครับ


วันธรรมดาเค้าจะนัด 7 โมงเช้าแต่ถ้าเป็นวีคเอนด์หรือวันหยุดเค้าจะนัดเร็วขึ้นครึ่งชั่วโมงเนื่องจากรถอาจจะติด


ต้องถ่างตาตื่นตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง (ไม่อาบน้ำเพราะหนาว) แต่งตัวเสร็จฟ้ายังมืดอยู่เลย เดินฝ่าลมหนาว ขึ้นรถไฟไปจุดนัดรวมพลที่ Shinjuku



รถทัวร์จอดรออยู่ที่ด้านหลังตึกรังไหมนี่แหละไกลจากสถานีพอสมควร ดีนะที่วิ่งมาทันไม่งั้นคงโดนกองทัพสายตาถล่มแน่ Smiley


มาถึงก่อนเวลานัดตั้ง 8 นาที แต่หัวหน้าทัวร์บอกว่ายังขาดอีก 2 คน กว่าจะมาถึงเลทไปตั้ง 15 นาที


พอ 2 คนนั้นขึ้นมาบนรถปุ้บ โอ้โห ขอโทษขอโพยกันใหญ่ ก้มหัวผงกๆขอขมาลาโทษตลอดเวลา โถๆคงรู้สึกผิดมากนะเนี่ย


สักพักคุณหัวหน้าทัวร์ก็ขึ้นมาแนะนำตัวพร้อมให้เหตุผลว่ารถไฟขบวนที่สองคนนั้นขึ้นมาเกิดหยุดกระทันหันเลยทำให้มาช้า


และสักพักล้อก็เริ่มหมุน คนขับพาขึ้นทางด่วนยิงยาวเลย งานนี้ของีบหน่อยดีกว่า จะได้เก็บแรงเอาไว้เที่ยวตอนถึงที่หมาย



หลังจากวิ่งไปประมาณ 2 ชม. ก็มีจุดแวะพักระหว่างทางซึ่งจะมีจุดพักแบบนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึง


จุดพักที่ 1 มีชื่อเรียกว่า Yamanakako สามารถมองเห็นภูเขาฟูจิได้ด้วย (มองเห็นมั้ย?)



ใครหิวก็สามารถแวะหาไรกินได้ แต่ต้องรีบหน่อย เพราะเค้าให้เวลาพักแค่ 15 นาทีเอง



เข้าห้องน้ำแล้วเจอป้ายนี้ อย่างฮา จะมีใครกล้าอุตริไปนั่งอย่างที่ห้ามบ้างมั้ยเนี่ย Smiley



ออกเดินทางต่อ มายังจุดแวะพักที่สอง ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกสักหนึ่งชอต มองเห็นทะเลสาปด้วย



ใครไปญี่ปุ่นบ่อย คงคุ้นกับดินสอกดคิตตี้ เพราะไม่ว่าจะไปเมืองไหน คิตตี้จังก็จะเปลี่ยนคอสตูมตามแต่ละเมืองมีให้สะสมกันตลอด


ส่วนรูปขวามือคือ Kitkat รสพริก!! เคยเห็นรสแปลกๆมาเยอะ แต่มีรสนี้แหละแปลกสุดแล้ว Smiley


เค้าเขียนคำโฆษณาเอาไว้ว่า รสชาดที่คุณจะไม่มีวันลืม (ไม่กล้าลองจริงๆ)



ถึงแม้อากาศจะเกือบติดลบ แต่แดดก็แรงดีจริงๆ Smiley



นี่แหละโฉมหน้ารถทัวร์ของเรา นั่งสบายกว้างขวางไม่แออัด



จุดแวะพักที่ 3 หิมะกองสูงพะเนิน หน้ายิ้มบานแฉ่งแบบไม่ทันรู้ตัวทันทีที่เห็นหิมะ Smiley



ภาพนี้ไม่มีการแต่งใดๆทั้งสิ้นนะครับ แสดงให้เห็นว่าแสงแดดของที่นี่เค้าแรงจริงอะไรจริง



ภูเขาหิมะกำลังโดนถล่มแล้ว ไซส์รถเครนหดเหลือกระจึ๋งนึงเอง



เส้นทางที่รถทัวร์ใช้วิ่งมาเมื่อครู่นี้ สวยมั้ยละครับ



แวะเข้าไปช้อปปิ้งกันหน่อยดีกว่า ไหนดูสิมีอะไรขายบ้าง



ชาญี่ปุ่นมาพร้อมกับแพกเกจจิ้งสำหรับใส่น่ารักมาก และตุ๊กตาชื่อดังของที่นี่ Sarubobo



เจอคิตตี้อีกแล้ว สวรรค์ของคนรักคิตตี้เลยนะที่ญี่ปุ่นเนี่ย และ เจ้าซารุโบโบะตัวโตสีทอง



คิตตี้จังขนมากันเต็มกองทัพ



เจ้านี่ก็ไม่ยอมแพ้เหมือนกัน



หลายๆคนคงจะสงสัยว่าเจ้าตัวสีแดงๆนี่คืออะไร ต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ เดี๋ยวจะไขกระจ่างให้ครับ



ซารุโบโบ さるぼぼ


ซารุโบโบ เป็นตุ๊กตาตัวสีแดง รูปร่างคล้ายเด็กทารก ไม่มีหน้าตา เป็นสัญลักษณ์ของเมือง Takayama


เรื่องราวมีที่มาจากในอดีตบรรดาคุณยายจะทำตุ้กตาให้กับหลานที่เพิ่งเกิดเพื่อเป็นเครื่องรางคอยปกป้องจากสิ่งชั่วร้าย


โดยเฉพาะสำหรับหลานสาวเพื่อให้มีชีวิตคู่ที่ดี มีลูกมีหลานที่ดี และมีคู่ครองที่ดี


ทำไมต้องชื่อนี้? Saru แปลว่า ลิง Bobo แปลว่า ทารก รวมแล้วก็คือ ลิงเบบี๋ เป็นต้นแบบของตุ๊กตา



แล้วทำไมต้องเป็นลิง? คำว่า Saru มีอีกความหมายว่า หายหรือจาก


ดังนั้น การที่ครอบครองตุ๊กตาหมายความว่า ความโชคร้ายจะ "Saru" หรือ ความโชคร้ายจะ "หายไป" นั่นเอง


นอกจากนั้น คำว่า Saru ยังสามารถออกเสียงว่า "en" และสื่อความหมายได้ดังนี้


Kanai enman = บ้านที่เต็มไปด้วยความสุข และ Ryo-en = การจับคู่ที่ดี


และความหมายสุดท้าย เพื่อให้คลอดลูกง่าย อย่างที่เห็นว่าตุ๊กตาจะมีใบหน้าและตัวสีแดงซึ่งเป็นสีของลูกลิงเบบี๋ตอนเกิดใหม่ๆ


 ถ้าไปถึงที่แล้ว อย่าลืมเลือกซื้อ Sarubobo เป็นของฝากติดไม้ติดมือกลับมากันด้วยนะครับ



แล้วตอนหน้าจะพาไปเที่ยวเมืองเก่าของ Takayama ที่อนุรักษ์ไว้อย่างดีตั้งแต่สมัยเอโดะกันครับ


Smiley นกน้อยพาเที่ยว Smiley





Create Date : 14 กรกฎาคม 2554
Last Update : 1 สิงหาคม 2554 14:46:57 น.
Counter : 12311 Pageviews.

7 comment
นกน้อยพาเที่ยว - ญี่ปุ่น 'KAWASAKI 川崎' ตอน 3 เทศกาลแห่กระจู๋ยักษ์

ครั้งที่แล้วทิ้งท้ายไว้ด้วยรูปชวนสงสัยว่าสิ่งที่เห็นนั้นใช่สิ่งที่คิดอยู่จริงๆหรือเปล่า


คำตอบคืออย่าไปสงสัยเลยครับ เพราะคำตอบแรกที่แวบเข้ามาในความคิดของคุณนั้นถูกต้องแล้ว


แต่ว่าอย่าเพิ่งคิดเลยเถิดไปจนเกินงาม เพราะว่าสิ่งนี้คือเทพเจ้าบูชาที่เป็นที่เคารพนับถือของคนญี่ปุ่นเลยทีเดียว


Smiley อ่านตอนที่แล้วได้ที่นี่ Smiley


งานนี้เรามาพิสูจน์ความจริงกันถึงที่พร้อมๆกันเลยดีกว่า



Wakamiya Hachiman-gū 若宮八幡宮


ศาลเจ้าชินโตเล็กๆเงียบๆ (ยามไม่มีงานเทศกาล) ซ่อนตัวอยู่อีกด้านหนึ่งของศาลเจ้า Kawasaki-Daishi


ถ้าหันหลังให้กับสถานี Kawasaki-Daishi ที่เราออกมาในตอนแรก ศาลเจ้าแห่งนี้จะอยู่มาทางขวามือ


ทุกคนเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวเทศกาลแห่ "เทวลึงค์" กันมั้ยครับ ที่ญี่ปุ่นนั้นมีชื่อเสียงมาก


หรือพูดว่าคนทั่วโลกให้ความสนใจกับการแห่รูปปั้น "กระจู๋" ขนาดใหญ่นี้มากจนเป็น ทอล์ค ออฟ เดอะ เวิลด์ น่าจะเหมาะกว่า



งานนี้มีชื่อเรียกว่า Kanamara Matsuri かなまら祭り


(หรือฝรั่งเค้าเรียกกันว่า Penis festival ชื่อชวนจึ๊กกะดึ๋ยยังไงไม่รู้ ขอเรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นละกันนะครับ)


เทศกาลคะนะมะระ จะจัดช่วงต้นเดือนเมษายนของทุกปี ลักษณะคล้ายกับ Chiwawa Matsuri ที่เมืองโคมากิ (ใกล้กับเมืองนาโงยะ)


จุดประสงค์ของงานนั้นก็คล้ายคลึงกันเพื่อขอพรด้านความอุดมสมบูรณ์ ผลผลิตทางเกษตรกรรม และขอให้มีบุตรหลานเยอะๆ


อ้อ! ส่วนเทวลึงค์ของคนญี่ปุ่นเค้าเรียกกันว่า Kanamasa-sama かなまら様 ตามชื่องานเทศกาลเลย



ตามตำนานเก่าแก่เล่ากันต่อมาว่า กาลครั้งหนึ่งมีปีศาจตนหนึ่งที่มีฟันเขี้ยวแหลมคม ตกหลุมรักหญิงสาวบริสุทธิ์นางหนึ่ง


แต่แล้ววันนึงได้ยินว่าหญิงสาวคนนั้นกำลังจะเข้าพิธีแต่งงาน ด้วยอาการหวงของเจ้าปีศาจเข้าจับใจ เจ้าปีศาจจึงตัดสินใจ


เข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ภายใน "จิมิ๊" ของหญิงสาวผู้นั้น และแล้วงานแต่งก็เสร็จสมบูรณ์ผ่านไปอย่างราบรื่น


เมื่อถึงตอนกลางคืนขณะที่สามีของเธอกำลังจะปฏิบัติภารกิจอยู่นั้น


แทนที่จะเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขแต่คุณสามีกลับต้องร้องจ๊ากเสียงดังสนั่นลั่น เพราะโดนเจ้าปีศาจตนนี้กัด "กระปู๋" เข้าอย่างจัง


สุดท้ายทนไม่ไหวจึงได้หนีจากหญิงสาวคนนี้ไป แต่แล้วเรื่องราวก็ไม่ยอมจบ ยังคงเกิดขึ้นซ้ำซากกับสามีผู้โชคร้ายคนต่อไปของเธออีก



เรื่องนี้กลายเป็นที่กล่าวขวัญไปทั่วหมู่บ้าน แต่ชาวบ้านกลับสงสารและเห็นใจเธอผู้อาภัพอย่างมาก 


จึงคิดอุบายเพื่อจัดการกับเจ้าปีศาจวายร้ายตนนี้ โดยให้ช่างตีเหล็กประจำหมู่บ้านสร้าง "กระปู๋เหล็ก" ขึ้นมา


เมื่อปีศาจกัดเข้าไปเต็มแรง ทำให้ฟันหักร่วงหมดปากเจ็บปวดทรมาน จนหลบหนีออกจากตัวของเธอไปในที่สุด


และหญิงสาวผู้น่าสงสารคนนั้นก็ไม่อับโชคในเรื่องของความรักและคู่ครองอีกต่อไป


เธอและชาวบ้านจึงได้อัญเชิญ "กระปู๋เหล็ก" นี้ขึ้นหิ้งบูชานับแต่นั้นเป็นต้นมา


ถ้าไปงานนี้ก็อย่าพลาดซื้อขนมหรือของฝากที่ทำออกมาเป็นรูป "กระปู๋" กันด้วย ไอเดียบรรเจิดกันมากทีเดียว Smiley



ขายกันอย่างโจ๋งครึ่ม รสชาดจะเป็นยังไงน้า สนนราคาอันละประมาณ 200 บาท



มาสำรวจศาลเจ้ากันต่อ วันนี้บรรยากาศเงียบเชียบ ไร้ผู้คน ไม่เห็นแม้เพียงเงา


บริเวณด้านหน้าทางเข้า มองเข้าไปด้านในติดกันมีโรงเรียนประถมด้วย



ผ่านพ้นประตูทางเข้าก็พบกับศาลเจ้าอยู่ตรงหน้าเลย



มองดูดีๆ เห็นหน้าตาคล้ายมังกรแต่ไม่ใช่นี่นา แต่มีฟันแหลมๆแบบนี้


หรือว่าจะเป็นปีศาจในตำนานตนนั้น ฟันแหลมขนาดนี้คงเจ็บน่าดูเลยนะเนี่ย



ลองซูมดูใกล้ๆ ฟันแหลมเฟี้ยววว



ด้านหน้าของศาลเจ้าเป็นเต็มๆชัดๆ



ส่วนพระเอกของเราแอบซุ่มตัวอยู่ด้านนอกข้างศาลเจ้า



มีไซส์มินิไว้ให้ลูบขอพรกันด้วย



สามาถเขียนป้ายขอพรทั้งในเรื่องของบุตรและความรักคู่ครองได้ที่นี่



ใกล้ๆกันมีจุดขายเครื่องรางของที่ระลึกแต่วันนี้ปิดทำการ และมีทางเข้าศาลเล็กๆอยู่ด้านใน 



ใครชื่นชอบโทริอิสีแดงที่เรียงกันเป็นแนวยาวเหมือนเกียวโต ที่นี่ก็มีให้ชมแต่เป็นไซส์ย่อส่วน



ศาลเล็กๆด้านหลังศาลเจ้า



ที่นี่ก็มีเจ้าฝูงลิงแห่งเมืองนิคโก้ แต่คราวนี้มากันครบ 5 ตัวเลย อ่านความหมายจากในรูปได้เลยนะครับ



แอบอ่านคำขอพรของคนอื่นจะผิดมั้ยนะ



และแล้วก็จบลงเท่านี้ จริงๆเมืองคะวะซะกิยังมีที่ให้เที่ยวอีกเยอะมาก แต่คงต้องใช้เวลาเกินหนึ่งวันแน่นอน


ตอนบ่ายยังมีที่ๆอยากไปในโตเกียวอยู่ด้วย เลยต้องรีบขึ้นรถไฟกลับเข้าเมืองก่อนที่ฝนจะตกซะก่อน



แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าครับกับ


Smiley นกน้อยพาเที่ยว Smiley





Create Date : 10 กรกฎาคม 2554
Last Update : 1 สิงหาคม 2554 14:47:03 น.
Counter : 5006 Pageviews.

4 comment
นกน้อยพาเที่ยว - ญี่ปุ่น 'KAWASAKI 川崎' ตอน 2 วัดสวยเจดีย์งาม


มาเที่ยวเมือง Kawasaki กันต่อนะครับ


Smiley อ่านตอนที่แล้วได้ที่นี่ Smiley


เดินทางมาถึงศาลเจ้ากันเป็นที่เรียบร้อย เดินเข้าไปที่ทางเข้าด้านหน้ากันเลย



Kawasaki Daishi 川崎大師


มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า Heikenji 平間寺 สร้างขึ้นเมื่อปี 1128 อุทิศให้แก่พระที่มีความสำคัญของเมือง นามว่า Kobo Daishi


ในวันปีใหม่และช่วงเทศกาลของทุกปีจะมีชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวมาขอพรและร่วมงานเทศกาลประจำปีไม่น้อยกว่า 4 ล้านคน


ถือว่าวัดนี้มีความสำคัญไม่น้อยไปว่า Meiji Jingu ในโตเกียว และวัด Naritasan ที่เมืองนาริตะเลยทีเดียว 



โคมแดงขนาดใหญ่ตรงประตูทางเข้า (คล้ายกับที่วัด Naritasan ในภาพข้างบนตรงกลาง)


ข้างใต้โคมนั้นเป็นภาพไม้แกะสลักลายมังกรสีทอง เห็นมีแต่คนเดินข้าม น้อยคนที่จะแหงนคอมอง



วันนี้มาเที่ยวเองคนเดียว ไม่มีใครถ่ายรูปให้ เลยต้องหยิบกล้องมาถ่ายตัวเองเป็นที่ระลึก Smiley



ลองเดินรอบๆชมบรรยากาศวัดกันก่อน คนน้อยๆแบบนี้แหละถือว่าเป็นโอกาสดี


เพราะถ้าเป็นช่วงเทศกาลจะแทบไม่มีที่ยืนกันเลยทีเดียว ว่ากันว่าคนญี่ปุ่นนิยมมานั่งสวดมนต์ข้ามปีในคืนวันที่ 31 ธันวา กันด้วย



เจดีย์แปดเหลี่ยม 5 ชั้นของศาลเจ้าแห่งนี้สวยงามและมีชื่อเสียงมาก


อยู่ในบริเวณด้านนอกของอารามวัด เข้ามาปุ๊บก็เห็นเลย


ท่าทางเพิ่งจะบูรณะใหม่เพราะสีสันสวยสดงดงาม ไม่มีเค้าความเก่าแก่หลงเหลือให้เห็น




ล้างมือและชำระกายใจให้บริสุทธิ์ ตามธรรมเนียมการเข้าวัดเข้าวาของที่นี่



เป็นรูปดอกบัว พ่นน้ำได้ด้วย



สามารถซื้อธูปได้ที่ด้านหน้าเลย อ้อ! อย่าลืมกวักควันธูปเข้าหาตัวเพื่อความเป็นสิริมงคลกันด้วยนะครับ



เมื่อทำทั้งสองขั้นตอนเป็นที่เรียบร้อยก็ถึงเวลาเข้าไปสักการะกันต่อที่ด้านใน


ทางเข้าโอ่โถงอลังการมาก และด้วยความที่เป็นวัดใหญ่ประจำเมือง


จึงต้องมีคุณมาวาริซังหรือคุณตำรวจคอยเฝ้าเวรยามอยู่ด้วย


งานนี้จึงต้องเก็บกล้องตัวใหญ่เข้าไปในกระเป๋าตามระเบียบ อดถ่ายรูปข้างในอีกแว้ว~ Smiley



เป็นจังหวะพอดีที่มาถึง เพราะว่าเป็นเวลา 11 นาฬิกาตรง และกำลังจะมีพิธีกรรมให้ผู้ที่มีจิตศรัทธาสามารถเข้าไปร่วมได้


โดยจะมีพระประจำวัดออกมาทำพิธีและสวดมนต์ ต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าไปด้านใน และจะมีถุงพลาสติกให้ใส่รองเท้าถือเข้าไปด้านใน


โชคดีจังอยู่ญี่ปุ่นมานานยังไม่เคยมีโอกาสเข้าพิธีทางศาสนาเลย งานนี้ต้องขอลองสักหน่อย


ถึงแม้กล้องตัวใหญ่จะไม่สามารถควักออกมาแชะภาพได้ เลยต้องใช้ไอโฟนแอบถ่าย เลยได้ภาพออกมาแบบนี้



จีวรของพระที่นี่ไม่เหมือนบ้านเรา จริงๆก็ไม่เคยเห็นจีวรของวัดที่ไหนที่มีสีสันคัลเลอร์ฟูลขนาดนี้มาก่อน


อย่างที่เห็นในภาพ พระองค์ที่ยืนอยู่ทำหน้าที่เป็นพิธีกร สวมจีวรซะสีเขียวสะท้อนแสงเลย 


และสักพักคณะสงฆ์ก็ออกมาร่วมพิธีด้านหน้า โอ้โห สีสันกันทั้งซ้ายทั้งขวา มีทั้งส้ม ทั้งม่วง ชมพูก็มี เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมา


อยากรู้จริงๆเลยว่าเป็นเฉพาะที่วัดแห่งนี้ หรือมีนิกายเฉพาะกันนะ



เดินออกมาด้านนอก ขอชื่นชมเจดีย์อีกสักรอบ เห็นมีเต้นท์กางขายของแต่รู้สึกว่าวันนี้จะปิด


นี่ถ้าเป็นช่วงวีคเอนด์หรือหน้าเทศกาล ร้านค้าต่างๆก็คงจะมาเปิดขายอาหารขนมขบเคี้ยวกันเต็มด้านหน้าแน่ๆ



ด้านหลังของเจดีย์จะมีรูปปั้นของท่าน Kobo Daishi ให้สักการะขอพรกันด้วย



สามารถเดินออกที่ประตูด้านหลังได้ ถ้าไม่อยากเดินกลับทางเดิม


จริงๆแล้วกลัวจะต้องเดินฝ่าร้านค้าตรง Nakamise อีกรอบตะหาก



มุ่งหน้าสู่สวนสาธารณะ Daishi-Koen 大師公園 



สวนสาธารณะนี้เป็นสวนใหญ่ประจำเมือง แต่ดันมาหน้าหนาวก็คงไม่มีต้นอะไรให้เห็นนอกจากกิ่งไม้แห้งๆแบบนี้


จริงๆแล้วที่ Daishi Park มีสวนสไตล์จีน Shinshu-en ที่มีชื่อเสียง ได้รับเป็นของขวัญจากเมืองจีนเมื่อปี 1987



 เดี๋ยวกลับมาตอนหน้า จะมาเฉลยนะครับ ว่าในภาพที่เห็นข้างล่างนี้คืออะไร Smiley





Create Date : 07 กรกฎาคม 2554
Last Update : 1 สิงหาคม 2554 14:47:08 น.
Counter : 2234 Pageviews.

4 comment
นกน้อยพาเที่ยว - ญี่ปุ่น 'KAWASAKI 川崎' ตอน 1 บุกแดนตุ๊กตาดารุมะ

ใครที่ไปโตเกียวบ่อยครั้งซะจนเห็นเกือบทุกซอกทุกมุมแล้ว


ก็อย่าเพิ่งนึกเบื่อ หนีไปเที่ยวเมืองอื่น เมืองไกลๆ กันซะก่อน


เพราะเมืองที่อยู่บริเวณรอบๆโตเกียว หรือที่เรียกว่า Greater Tokyo นั้น


ยังมีที่ให้เสาะสรรหาไปเยือนอีกเยอะมาก ถึงแม้อาจจะไม่ได้เป็นเมืองโด่งเมืองดังอะไร



แต่เพราะความที่มีคนพูดถึงน้อยนี่ละที่เป็น เสน่ห์ดึงดูดชวนค้นหา ให้เราได้ไปสัมผัสก่อนใครๆเขา 


อย่างที่พาไปเที่ยวกันใน Blog ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น Kawagoe, Enoshima, Kamakura


ล้วนแต่เป็นทางเลือกน่าสนใจทั้งนั้น และเมืองที่กำลังจะเขียนถึงนี้ก็น่าจะเป็นอีกเมืองหนึ่งที่น่าเที่ยวไม่แพ้กัน




คะวะซากิ


เมืองเล็กๆ ตั้งอยู่ในจังหวัด Kanagawa ถูกประกบข้างเป็นแซนวิชไว้ด้วย 2 เมืองเด่นดัง คือ Tokyo & Yokohama


มีความสำคัญมาตั้งแต่สมัยโชกุน Tokugawa โดยเป็นจุดพักในเส้นทาง Tokaido ที่ใช้เดินทางระหว่างเมือง Tokyo & Kyoto


หรือเรียกได้ว่าเป็น ศูนย์กลางสำคัญของ Greater Tokyo เลยทีเดียว 


ที่สำคัญเป็นบ้านเกิดของ Fujiko F. Fujio ผู้ให้กำเนิดเจ้าหุ่นยนต์แมวขวัญใจคนทั่วโลกอย่าง โดราเอมอน ドラえもん


และโครงการพิพิธภัณฑ์ Fujio กำลังจะเป็นจริงและเปิดให้บริการในเดือนกันยายนนี้แล้วด้วย สงสัยคงได้กลับไปอีกรอบแน่ๆ



การเดินทางนั้นก็ง่ายแสนง่ายไม่ว่าจะมาจาก Tokyo หรือ Yokohama


สายรถไฟพระเอกของเราในวันนี้คือ Keihin-Tōhoku Line 京浜東北線


ที่ครอบคลุมเส้นทางตั้งแต่ Saitama-Warabi-Kawaguchi-Tokyo-Kawasaki-Yokohama เมืองยอดฮิตของนักท่องเที่ยวทั้งนั้น 


และสามารถเลือกขึ้นได้ในหลายสถานีใหญ่จากตัวเมือง ไม่ว่าจะเป็น Ueno, Akihabara, Tokyo เป็นต้น


เริ่มต้นการเดินทางจาก สถานี Akihabara (เพราะว่าใกล้บ้านและเดินทางง่าย) ไปลงที่ Kawasaki ใช้เวลา 22 นาที 310 เยน




เมื่อถึงสถานี Kawasaki แล้ว ให้เดินไปทางออกและจะพบกับทางให้ไปขึ้นรถไฟต่อ ไปยังสถานีเป้าหมายของเรา Kawasaki-Daishi


หากใครมีปัญหากับตั๋วรถไฟไม่สามารถใช้ผ่านทางได้ให้ไปหานายตรวจตั๋วที่ทางออกแล้วขอเปลี่ยนตั๋วแจ้งว่าจะไปสถานีนี้


เนื่องจากผู้ให้บริการเป็นคนละบริษัทกัน จึงต้องมีการเปลี่ยนตั๋วที่ถืออยู่ซึ่งเป็นของบริษัท JR ก่อนเข้าชานชาลาของบริษัท Tokyu


ใช้เวลาอีกประมาณ 5 นาทีก็เดินทางมาถึงแล้ว 京急川崎大師



มองซ้ายมองขวา หาป้ายบอกทาง เดินตามฝูงคน ก็เจอกับประตูทางเข้า อยู่ใกล้ๆกับสถานีนี่เอง 



เดินเข้าไปกันเลย ไม่รู้ว่าเพราะยังเข้าอยู่ (ประมาณ 10 โมง) หรือเพราะไม่ใช่ช่วงหน้าเทศกาลรึเปล่า


ก็เลยดูวังเวง เงียบเหงา ไม่มีคนมาเที่ยวเลย หรือ จะเป็นเมืองที่ถูกลืมจริงๆ ไม่นะๆ Smiley



มีเสาโคมไฟสีแดงประดับดอกไม้สีชมพูตลอดถนน เฮียวซังโด 表参道 คงเป็นธรรมเนียมต้อนรับเทศกาลของศาลเจ้าที่กำลังจะมาถึง


เดินตามทางมาสักพักก็เห็นกำแพงที่ทั้งสูงและยาวตลอดฝั่งถนน ให้เห็นถึงอาณาเขตของศาลเจ้าอันกว้างใหญ่ 



อุ๊ยๆ เห็นอะไรแว้บๆ คุ้นหน้าคุ้นตากันบ้างมั้ยเอ่ย



ยิ่งเดินยิ่งเจอ เอ๊ะนี่มันยังไงกันเนี่ย มากันเป็นกองทัพ เต็มไปหมดเลย Smiley



เจ้าตุ๊กตาตัวกลมๆสีแดงนี้มีชื่อเรียกว่า ดารุมะ だるま


ทำด้วยไม้หรือกระดาษ เชื่อกันว่าตุ๊กตาดารุมะช่วยให้บันดาลให้พรปรารถนาเป็นจริง


ตุ๊กตาดารุมะหนึ่งตัวจะสามารถขอพรได้หนึ่งข้อ โดยจะมีใบหน้าแต่ไม่มีลูกตา เจ้าของจะวาดลูกตาให้หนึ่งข้างเมื่อขอพร


และวาดอีกหนึ่งข้างเมื่อพรที่ปรารถนากลายเป็นจริงและสมหวัง



และตุ๊กตาดารุมะที่ใช้แล้วจะถูกเผา แต่หนึ่งปีจะทำได้ครั้งเดียวซึ่งถ้าพลาดจะต้องรอปีถัดไป


ปัจจุบันดาระมุมีหลายสีสันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสีขาว เหลือง หรือ ชมพู


สามารถซื้อตุ๊กตาดารุมะให้ได้ทั้งตัวเองและเป็นของฝากคนที่เรารักด้วย


มีหลากหลายขนาดตั้งแต่ใหญ่มากจนเล็กจิ๋ว ราคามีตั้งแต่ 700 เยนไปจนถึง 35000 เยนนู่นแน่ะ



 และก็มาเจอกับทางเข้าศาลเจ้า Kawasaki-Daishi กันแล้ว (ชื่อสถานีก็ตั้งตามชื่อศาลเจ้าแห่งนี้นี่เอง)


เดินเลี้ยวขวาตามลูกศรกันไปโลด Smiley



ระหว่างทางเดินเข้าไปในอาคารศาลเจ้า มีร้านค้าขายของมากมาย ลักษณะคล้ายๆกับวัดอาซะคุสะที่ Ginza


บริเวณนี้มีชื่อเรียกว่า Daishi Nakamise 大姉仲見世


 ถึงแม้นักท่องเที่ยวในช่วง Low season แบบนี้จะน้อยมาก แต่ว่าร้านรวงก็เปิดทุกร้าน มีของขายกันแน่นขนัด


กลายเป็นความลำบากใจเล็กๆของนักท่องเที่ยวน้อยๆตัวคนเดียว ที่ต้องเดินฝ่าเสียงเรียกลูกค้าของบรรดาพ่อค้าแม่ค้าย่านนั้น


ทั้งเรียกให้ชิม ให้ดู ให้ซื้อ พอซื้อร้านนึงร้านต่อไปก็เรียกอีก ถ้าใจไม่แข็งพอรับรองเงินหมดกระเป๋าแน่ๆ Smiley



บรรยากาศอีกด้านของ Nakamise เงียบเหงาอย่างที่บอก



และพอหันหลังมาก็พบกับความอลังการของ Kawasaki-Daishi ตระหง่านอยู่ตรงหน้า




Smiley เดี๋ยวมาเที่ยววัดกันต่อในตอนหน้านะครับ Smiley




Create Date : 06 กรกฎาคม 2554
Last Update : 1 สิงหาคม 2554 14:47:12 น.
Counter : 6798 Pageviews.

1 comment
นกน้อยพาเที่ยว - ญี่ปุ่น 'KAMAKURA 鎌倉' เมืองพระใหญ่ ตอนที่ 2

Smiley กลับมาพาเที่ยวเมือง Kamakura กันต่อ Smiley


Smiley อ่านตอนที่แล้วได้ที่นี่ Smiley


อย่างที่ได้บอกไปเมื่อตอนก่อนว่า เมืองนี้เคยเป็นศูนย์กลางทางการเมืองของญี่ปุ่น


 เป็น เมืองหลวง แห่งแรกของสมัยยุคการปกครองโดยโชกุน


เข้าสู่ยุครุ่งเรืองสูงสุดใน ช่วงสมัยรัฐบาลคะมะคุระ ตั้งแต่ปี 1180-1333 


และสมัยก่อน "ซามูไร" มีบทบาทสำคัญต่อระบอบการปกครองของญี่ปุ่น


ดังนั้น เมืองนี้จึงมีสมญานามว่า Home of the Samurai อีกด้วย



กลับมาเที่ยวกันต่อดีกว่า Smiley


หลังจากสักการะองค์ Daibutsu เป็นที่เรียบร้อยแล้ว


ถ้าอยากแวะซื้อของที่ระลึก (Omiyage お土産) มีร้านค้าตั้งอยู่ด้านวัด Kotoku-in ให้ช้อปกันตามสะดวก



มีรถบัส ตกแต่งซะสีสันน่ารัก ให้บริการเที่ยวชมเมืองด้วย Smiley



จุดหมายต่อไปของเราไม่ไกลจาก Kotoku-in เท่าไรนัก


ให้เดินย้อนกลับมาทางเดิม แล้วตามป้ายบอกทาง 


เพื่อไปสักการะเจ้าแม่กวนอิมที่ วัด Hasedera 長谷寺



Hasedera เป็นชื่อเรียกแบบง่ายๆติดปากของชาวบ้าน


ชื่ออย่างเป็นทางการ คือ Kaikōzan Jishōin Hase-dera (海光山慈照院長谷寺)


ที่มีชื่อเล่นคงเป็นเพราะแม้แต่คนญี่ปุ่นก็รู้สึกว่าชื่อเต็มนี่ยากเกินจะเรียกล่ะมั้ง Smiley




วัดแห่งนี้มีชื่อเสียงมากโดยเฉพาะ องค์เจ้าแม่กวนอิม 11 เศียร งั้นลองมาดูตำนานความเป็นมากันหน่อยท่าจะดี


ในอดีตกาลนานมาแล้ว มีพระองค์หนึ่งนามว่า Tokudo Shonin ค้นพบต้นการบูน (หรือ Kusunoki 楠) ขนาดใหญ่


ในป่าแถวหมู่บ้านฮาเซะ เมืองนาระ ท่านคิดว่าด้วยขนาดของไม้ต้นนี้น่าจะสามารถแกะสลักเป็นองค์พระพุทธรูปได้ถึง 2 องค์


และพระพุทธรูปที่ท่านว่านั้นคือ องค์เจ้าแม่กวนอิม (เทพคันนง) 11 เศียร หรือ Statue of Eleven-Headed Kannon



โดยองค์หนึ่งอยู่ไว้ที่วัด Hasedera เมืองนาระ และ อีกองค์หนึ่งถูกลอยลงสู่ทะเล


ด้วยคำภาวนาหวังว่า ท่านเทพคันนงจะคอยปกป้องรักษาชาวบ้านเมื่อท่านลอยไปถึงฝั่ง


หลังจากนั้นอีก 15 ปีให้หลัง รูปแกะสลักได้ลอยไปถึงชายฝั่ง Nagai คาบสมุทร Miura อีกด้านหนึ่งของเมือง Kamakura


จึงได้อัญเชิญท่านมาที่เมือง Kamakura และสร้างวัด Hasedera ถวายแก่ท่าน


และวัดแห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่ 4 จากทั้งหมด 33 แห่งที่เรียกกันว่า Bandō Sanjūsankasho (坂東三十三箇所)



ถ้าดูจากแผนผังคร่าวๆด้านบน จะเห็นถึงอาณาเขตอันกว้างใหญ่


และต้องเดินขึ้นบันไดไปอาคารวัดที่อยู่ด้านบนสุด



ถึงแล้ว องค์เจ้าแม่กวนอิมอยู่ตรงหน้าเราแล้ว (วันนั้นเค้าห้ามถ่ายรูป หรือจริงๆแอบถ่ายได้ก็ไม่รู้ เสียใจจัง Smiley)



ได้เพียงแต่ยืนทึ่งถึงความสวยงามและอลังการ แต่ก็ได้ขอพรให้คุณแม่หายป่วยตามที่ได้ตั้งใจมา Smiley



 ด้านบนนี้โรแมนติกมาก นอกจากจะมีวิวสวยๆให้ชมแล้ว ยังเป็นโลเคชั่นสวยๆให้โพสท่าถ่ายรูปได้ด้วย



บรรยากาศวัด มาพร้อมกับ กิ่งไม้แห้งๆ อากาศหนาวๆ 



เดินมาอีกมุม ก็มีองค์พระให้กราบไหว้อีกหนึ่งจุด (และมีอีกหลายแห่งตามรอบอาคารวัด)



ระหว่างทางเดินลง ก็พบกับสิ่งนี้




ลงไปเข้าถ้ำหาท่าน Benten กัน



เที่ยวเล่นเพลินไปหน่อย ฟ้าก็ใกล้มืดแล้วด้วย แย่ละๆๆ ยังเหลืออีกที่นึง ต้องรีบกันหน่อยแล้ว


นั่งรถไฟไปลงป้ายสุดสาย Kamakura



คิดถึงจัง คราวก่อนมาถึงตอนเช้า คราวนี้มาถึงตอนเย็นแฮะ



มีเสาโทริอิสีแดงฉานมาตั้งอยู่กลางใจเมือง แบบไม่ต้องเสียเวลา งมหาทางกันเลย


นั่นหมายความว่า ถ้าเดินตามทางเดินนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะไปถึงตัววัดแบบไม่ต้องหลงแน่นอน



จุดหมายของเราคือ วัดที่มีความสำคัญที่สุด หรือ วัดหลวงแห่งเมือง คะมะคุระ


Tsurugaoka Hachiman-gu Shrine (鶴岡八幡宮)


มาถึงแล้ว ต้อนรับด้วยเสาโทริอิไซส์บิ้กเบิ้มอีกรอบ 



ปกติเวลานี้ถ้าเป็นวัดอื่นๆคงปิดกันหมดแล้ว


แต่ด้วยความที่วัดแห่งนี้เป็นวัดหลวง จึงปิดดึกเป็นพิเศษ เปิดให้เข้าชมถึง 2 ทุ่มครึ่งแน่ะ


เห็นแสงไฟสีส้มๆไกลๆให้ใจชื้นขึ้นว่าอย่างน้อย เดินมาไม่มีเหนื่อยฟรี Smiley



วัดแห่งนี้สร้างขึ้นโดยท่าน Minamoto Yoriyoshi เมื่อปี 1063 ต่อมาได้สร้างขึ้นใหม่ให้ใหญ่โตขึ้น


และย้ายมายังสถานที่ปัจจุบัน โดยท่านโชกุนคนแรกของรัฐบาลคะมะคุระ Minamoto Yoritomo เมื่อปี 1180


เพื่ออุทิศให้กับเทพเจ้าประจำตระกูลมินะโมะโตะ มีชื่อเรียกว่า Hajiman 八幡


ไม่ลืมแวะชำระล้างกายและใจให้สะอาดก่อนเข้าไปด้านใน 



วัดแห่งนี้ยังเป็นสถานที่จัดงานเทศกาลยิ่งใหญ่แห่งปี Kamakura-Matsuri 鎌倉祭り ทุกเดือนเมษายน อีกด้วย



วันนี้ช่างเป็นวันที่ยาวนานเหลือเกิน อิ่มอกอิ่มใจอิ่มบุญ ถึงแม้จะต้องเดินขาลากกลับบ้าน


ก็เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขอย่างแท้จริง Smiley





Smiley แล้วพบกันใหม่กับ นกน้อยพาเที่ยว ตอนหน้าครับ Smiley





Create Date : 29 มิถุนายน 2554
Last Update : 1 สิงหาคม 2554 14:47:38 น.
Counter : 3199 Pageviews.

4 comment
1  2  3  4  5  

Bird Freedom
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 39 คน [?]



All Blog