นกน้อยพาเที่ยว - ญี่ปุ่น 'HAKONE 箱根' ตอน 1 นั่งรถรางขึ้นสู่ยอดเขา

ตื่นเช้ากันอีกวัน เสื้อผ้าหน้าผมพร้อม มุ่งหน้าตรงดิ่งไปที่สถาณีชินจูกุ เพราะจุดเริ่มต้นของทริป ฮาโกะเนะ เริ่มต้นจากที่นี่นั่นเอง


ไปตอนเช้าแบบนี้ ได้สัมผัสบรรยากาศ Rush hour ของญี่ปุ่นแบบเต็มๆ รู้ๆกันดีอยู่ว่าช่วงเช้าก่อนไปทำงานและช่วงเย็นหลังเลิกงาน


เป็นช่วงเวลาที่ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางโดยรถไฟอย่างเป็นที่สุด เพราะกระแสมหาชนบรรดา Salary man และ OL


จะพาให้เราขยับเขยื้อนขึ้นรถไฟได้โดยไม่ต้องเสียแรงเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่น่าเชื่อว่าจากแถวที่ต่อขบวนรถไฟยาวเหยียด


จะสามารถเบียดยัดเข้าไปได้หมด คนที่อยู่ริมประตูคงแปลกใจว่าทำไมอยู่ดีๆฉันถึงได้ถูกดันมาอยู่ริมขอบสุดประตูอีกฝั่งได้


คนญี่ปุ่นทุกคนให้ความร่วมมือและเห็นอกเห็นใจกัน จึงสามารถทำให้ทุกคนที่อยู่ในช่วงเร่งรีบขึ้นรถไฟไปได้ทันพร้อมๆกัน



(ขอบคุณภาพจาก //www.landor.com) 


ท่ามกลางกระแสมหาชนที่วุ่นวายเหลือเกิน กว่าจะไปถึง Ticket office ได้เล่นเอาเหนื่อยพอควร


สายรถไฟที่เราจะขึ้นไปเที่ยวกันนั้นคือ Odakyu Odawara Line (小田急小田原線)


ด้วยขบวน Romance car หรือ Limited Express (特急) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 85 นาที


แต่ว่าถ้าไม่อยากเสียเงินเพิ่มก็สามารถรอขบวน Rapid express (快速急行) ก็ได้เหมือนกัน



ที่ Ticket office จะมีเจ้าหน้าที่ที่สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับ Hakone Free Pass (箱根フリ―パス) ได้


โดยสามารถใช้พาสนี้เที่ยวฮาโกเนะได้ในราคาที่เซฟกว่าแยกจ่ายโดยมีขายสำหรับ 2 วันและ 3 วันเท่านั้น


ถึงตั้งใจจะไปเช้าเย็นกลับก็ต้องซื้อแบบ 2 วันเพราะไม่ว่าจะยังไงก็คุ้มกว่าจ่ายแยกอยู่ดี ควักกันไปคนละ 5,000 เยน



Hakone Free Pass จะรวมตั๋วรถไฟไป-กลับ ชินจูกุ-โอดาวะระ และเมื่อไปถึงแล้วสามารถใช้ตั๋วนี้ขึ้นพาหนะขนส่งต่างๆได้ฟรี


เฉพาะในฮาโกเนะซึ่งมีทั้งหมด 7 ประเภทไม่ว่าจะเป็น Hakone Tozan Train, Hakone Tozan Cablecar,


Hakona Tozan Ropeway, Hakone Sightseeing Cruise, Hakone Tozen Bus ถ้าได้นั่งกันหมดนี่ แค่นี้ก็รู้สึกคุ้มแล้ว


นอกจากนี้ยังสามารถใช้ Free Pass นี้เป็นส่วนลดในการเข้าชมสถานที่ต่างๆอีกกว่า 80 แห่งได้อีกด้วย



นั่ง Romance car มาจนสุดสายที่สถาณี Hakone-Yumoto (箱根湯本)



สำหรับคนที่มีเวลาสามารถแวะลงที่สถาณี Odawara (小田原) ก่อนเพื่อไปเที่ยวปราสาทโอดาวะระก่อนได้


ที่สถาณี Hakone-Yumoto นี้เราสามารถเปลี่ยนขบวนไปขึ้น Hakone Tozan Train ได้


โดยรถไฟขบวนนี้จะวิ่งตั้งแต่ Hakone-Yumoto – Gora ที่เป็นเป้าหมายต่อไปของเรานั่นเอง



ให้ข้อมูลไว้หน่อยละกันสำหรับคนที่มีเวลาและอยากจะแวะชมที่ ปราสาทโอดาวะระ (小田原城)


ปราสาทแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของเมืองโอดาวะระ สร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1447 ในตระกูลของ Odowara Hojo


หลังจากนั้นมาตกอยู่ในการปกครองของโชกุนโทกุกาวะ อิเอยาซึ ในสมัยเอโดะ และส่งทอดต่อตามยุคสมัยจึงได้มีการปรับปรุงเรื่อยมา


จนกระทั่งมีการบูรณะครั้งใหญ่ในปี 1960 หลังจากที่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเขตคันโต


ปัจจุบันได้เปิดให้เข้าชมโดยภายในเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมโบราณวัตถุที่สำคัญมากมายในอดีต มีทั้งหมด 3 ส่วนแบ่งเป็น 5 ชั้น


และบนชั้นบนสุดสามารถขึ้นไปชมวิวสามารถมองเห็นอ่าว Sagami ได้ เสียค่าเข้าชม 400 เยน


ในบริเวณรอบๆยังมีสวนญี่ปุ่นที่ตกแต่งไว้อย่างสวยงามให้เดินชมกันอีกด้วย



(ขอบคุณภาพจาก //www.jcastle.com) 


จากสถาณี Hakone-Yumoto เราแค่เดินไปฝั่งตรงข้ามก็สามารถขึ้น Hakone Tozan Train (箱根登山電車) ได้เลย


คำว่า Tozan (登山) มีความหมายว่าไต่เขา เพราะนับตั้งแต่นี้ไปเราจะทำการไต่เขากัน ด้วยความสูงที่เพิ่มขึ้นทีละนิดๆ


เช่นที่สถานี Odawara อยู่บนความสูง 26 m ส่วนที่สถาณีนี้อยู่บนความสูง 108 m


และจากนี้ด้วย Hakone Tozan Train เราจะไปที่สถาณีปลายทาง Gora ที่ความสูง 553 m กัน ตื่นเต้นๆ



Mountain Railway (Hakone Tozan Train) เริ่มต้นที่สถาณี Hakone-Yumoto มีระยะทาง 15 ก.ม.


ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีไปสุดสายที่สถาณี Gora เริ่มเปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อปี 1919 โดยการก่อสร้างเส้นทางรถไฟนี้


กระทำขึ้นโดยให้กระทบกับธรรมชาติน้อยที่สุดเนื่องจาก Hakone ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสวนสาธารณะแห่งชาติ


ผู้โดยสารสามารถเห็นวิวทิวทัศน์อันเป็นธรรมชาติที่แสนบริสุทธิ์ได้ตลอดการเดินทางบนทางรถไฟสายนี้


ตอนขาขึ้น รถไฟจะสลับเปลี่ยนทิศทางหัวขบวนทั้งหมด 3 ครั้งในการไต่เขาขึ้นไปเรื่อยๆ



(ขอบคุณภาพจาก //www.japan-guide.com) 


โดยวิวธรรมชาติอันแสนงดงามสามารถชมได้ตลอดทั้งปีไม่ว่าจะเป็นฤดูใบไม้ผลิที่จะได้ชมดอกซากุระ


หรือช่วงฤดูร้อนที่จะได้ชมดอกไม้ Hydrengea ส่วนในช่วงฤดูใบไม้ร่วงจะพบกับใบไม้


ผลัดใบเป็นสีแดงสีเหลืองสลับกันสวยงาม ส่วนในช่วงฤดูหนาวก็จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน


และที่ไม่น่าพลาคือบริเวณสะพานเหล็ก Deyama Bridge ที่อยู่บนความสูง 43 m จะเห็นธารน้ำใสที่


อยู่เบื้องล่าง รถไฟสายนี้ถือว่าเป็นรถไฟผู้น้องของ Rhatische Bahn ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ด้วย



(ขอบคุณภาพจาก //www.superstock.com) 


โดยส่วนตัวแล้วมีความชอบรถไฟสายโรแมนติกนี้เป็นพิเศษ เพราะขนาดที่เล็กคิกขุกะทัดรัด สีสันหน้าตาน่ารัก


เลยมีความสุขทุกครั้งที่ได้มาขึ้นรถไฟขบวนนี้ ยิ่งครั้งนี้ได้พาเพื่อนๆมาตามรอยความชอบของเราอีก ยิ่งรู้สึกมีความสุขเข้าไปใหญ่


ภายในขบวนมีเส้นทางท่องเที่ยวทั้งหมดแบ่งเป็นสัดส่วนว่านั่งพาหนะแบบนี้จะไปได้ถึงที่ไหนบ้าง


มีระบุความสูงและสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจแต่ละสถาณีให้ด้วย ด้านในเป็นที่นั่งแบบ 2 ฝั่ง มาทีไรไม่เคยได้นั่ง


เพราะนักท่องเที่ยวเยอะจริงๆ จึงต้องเน้นที่ไว้สำหรับให้ยืนมากหน่อย



คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ที่มาก็จะมากันเป็นครอบครัว หรือ เป็นคณะผู้สูงอายุซะมากกว่า วัยรุ่นเห็นค่อนข้างน้อย


แต่ก็น่าแปลกทั้งๆที่การมาเที่ยวที่นี่ถือว่าทรหดอยู่ไม่น้อย เพราะว่ามีสภาพเป็นภูเขาเวลาเดินก็ต้องใช้แรงเยอะ


แต่ไม่สามารถทำอะไรผู้สูงอายุชาวญี่ปุ่นได้ เพราะว่าแข็งแรงกันมาก เดินเป็นเดินไม่มีบ่นเหนื่อยหอบให้เห็นเลยต้องขอยกนิ้วให้


(เพราะเพื่อนเราบางคนยังบ่นแทบทุกครั้งที่เห็นทางลาดทางชัน)



กว่า 40 นาทีบนรถไฟพวกเราชมวิวตลอด 2 ข้างทางกันอย่างเพลิดเพลิน ยิ่งสูงยิ่งสวย


ขึ้นมาแล้วทำให้เห็นว่าต้นไม้เยอะมากมองไปทางไหนมีแต่ต้นไม้เต็มไปหมด


ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเขาแห่งนี้ถึงมีความเป็นธรรมชาติแสนบริสุทธิ์และสวยงามขนาดนี้



เผลอแป้บเดียวเราก็มาถึงสถาณีปลายทาง Gora 強羅駅 มาถึงตอนเที่ยงพอดี แวะนอกสถาณีหาอะไรหม่ำก่อนดีกว่า


ที่สถาณีนี้มีสถาณที่ท่องเที่ยว ที่สำคัญเข้าฟรีด้วยนั่นก็คือ สวนสาธารณะโกระ นั่นเอง



จากทางออกสถานีจะเห็นร้านค้ามากมายให้เดินตรงขึ้นมาก่อนและสังเกตทางด้านซ้ายมือจะพบกับทางแยก


พร้อมป้ายขนาดใหญ่สีน้ำตาล มองไปเห็นเป็นทางชันที่จะต้องขึ้นไปข้างบนสุด แสดงว่า งานนี้ต้องมีไต่เขาเรียกเหงื่อกันหน่อยแล้วล่ะ



หันไปด้านหลังจะเป็นภูเขา Myojogatake 明星ヶ岳山 และบนนั้นถ้ามองดีๆจะเห็นว่ามีการตัดแต่งให้เป็นรูป “大”


ที่มีความหมายว่า ใหญ่ ถ้ามาช่วงหน้าร้อนประมาณเดือนสิงหาคมจะมีการจุดไฟรอบตัวอักษรนี้


ในเทศกาลเก่าแก่ของชาวญี่ปุ่นโอบ้ง お盆祭り เรียกว่า Daimonjiyaki Bonfire 大文字焼き




ตรงบริเวณทางขึ้นจะมีสถาณที่ให้บริการเฉพาะบ่อแช่น้ำร้อนตามธรรมชาติหรือ “องเซ็น” เท่านั้น


แต่ไม่ใช่ว่าจะเป็นแบบนี้ทั้งหมดเพราะมีหลายแห่งที่ให้บริการพร้อมที่พักด้วย



ที่ฮาโกเนะก็ถือว่ามีชื่อเสียงในด้านของน้ำพุร้อน Onsen มากๆด้วย


ดังนั้นนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ตั้งใจจะมาพักสไตล์เรียวกัง 旅館 พร้อมทั้งแช่น้ำพุร้อนให้สบายอารมณ์



Onsen 温泉 หรือ Hot springs ด้วยภูมิประเทศของญี่ปุ่นเป็นภูเขาไฟซะส่วนใหญ่ ทำให้มีแหล่งน้าพุร้อนเป็นพันๆแห่งทั่วเกาะญี่ปุ่น


ในอดีตการอาบน้ำพุร้อนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันทั่วไปแต่ปัจจุบันได้กลายเป็นจุดเด่นของญี่ปุ่นดึงดูดนักท่องเที่ยว


Onsen นั้นมีทั้งแบบ Outdoor และ Indoor  野天風呂/ 露天風呂 บางแห่งให้บริการเฉพาะบ่อน้ำพุร้อน 内湯


บางแห่งให้บริการพร้อมกับที่พักด้วย 民宿 คนญี่ปุ่นมีความเชื่อกันตั้งแต่สมัยโบราณว่าการแช่น้ำพุร้อน


นอกจากจะเป็นการผ่อนคลายจากความเครียดแล้วยังเป็นการเปิดอกเปิดใจในวงสนทนา


เมื่อเข้าไปแช่น้ำพุร้อนทุกคนจะต้องถอดเสื้อผ้าออกหมดเป็นการปลดปล่อยสิ่งที่กั้นขวางอยู่ทำให้เราคุยกันได้อย่างสนิทใจมากที่สุด


เรียกว่า "Naked Communion" 裸の付き合い ส่วนใหญ่แหล่งที่ให้บริการจะมีอักษรคันจิ ‘湯’


หรือตัวอักษรฮิรางานะ ‘ゆ’ เพื่อให้เด็กๆเข้าใจง่าย โดยทั้งสองคำนี้อ่านว่า Yu แปลว่า Hot water หรือใช้สัญลักษณ์ ♨ แทน



(ขอบคุณภาพจาก badunla.blogspot.com) 


Hakone Gora Park 箱根強羅公園 เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเนินเขา


ทำให้เห็นวิวทิวทัศน์ในมุมโปร่งของฮาโกเนะซ้ำยังตกแต่งสุดหรูด้วยสไตล์ฝรั่งเศสจึงทำให้สถานที่แห่งนี้มีเสน่ห์ให้อารมณ์ไม่เหมือนที่ไหน



เหมาะสำหรับเดินผ่อนคลายอารมณ์พร้อมกับอากาศที่แสนจะบริสุทธิ์ (อากาศดีมาก ประทับใจก็ตรงนี้แหละ)


เนื่องจากเป็นเนินเขา ด้านในจึงค่อนข้างสลับซับซ้อนมีหลายขั้นต้องขึ้นบันไดกันหลายช่วงหน่อยแต่ก็ทำให้ดูคล้ายกับเขาวงกตดี



บริเวณโซนกลางจะมีลานน้ำพุขนาดใหญ่ด้านในมีเรือนกระจก (Greenhouse) อยู่ 2 หลัง เรือนแรกเป็นพืชเขตร้อน


ส่วนอีกเรือนเป็นดอกไม้นานาพันธุ์ถ้าใครมีเวลาชิลล์ๆ ลองนั่งจิบชาที่ร้าน Hakuun-do Chaen Teahouse ได้



หลังจากนั้นถ้าเดินเข้าไปด้านในจะเป็น Rose Garden ローズガ―デン ที่มีพันธุ์กุหลาบกว่า 140 ชนิดและมีมากกว่า 1,000 ต้น


แต่น่าเสียดายช่วงที่ไปดอกไม้ก็เหลือแต่กิ่งก้านแล้ว แต่ก็ยังมีบางต้นที่ยังมีดอกกุหลาบที่สามารถบานให้ได้ยลโฉมอยู่บ้าง



โดยช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือช่วงเดือน 6 และ ช่วงเดือน 10-11 ถ้าได้มาช่วงนี้ดอกกุหลาบคงแข่งกันบานท่าทางจะสวยงามน่าดู



ส่วนบริเวณอื่นทั่วทั้งสวนก็จะมีดอกไม้นานาพันธ์สลับกันบานต่างช่วงเวลากันไป สามารถชมพันธุ์ไม้ได้ตลอดทั้งปี


ดูรายละเอียดได้ที่ //www.hakone-tozan.co.jp/gorapark/index.html



และที่นี่ยังมีให้บริการงานปั้นงานฝีมือด้วย ถ้าใครสนใจอยากมีงานฝีมือเป็นของตัวเอง


สามารถแวะลองทำได้ที่ Crafthouse クラフトハウス โดยเสียค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ 1,000 เยน


ใช้เวลาตั้งแต่ 30 นาที~1 ช.ม. ขึ้น อยู่กับแบบที่เลือก ลองดูข้อมูลได้ที่นี่ //www.crafthouse.org/



หลังจากเดินเที่ยวเรียกเหงื่อและปล่อยให้ท้องหิวมาสักพักแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะฝากท้องไว้ที่แถวนี้ซะหน่อย


ย่านนี้จากที่มองๆดูแล้ว มีร้านอาหารค่อนข้างน้อยแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเลย เราบังเอิญไปสะดุดตากับร้านๆหนึ่งตั้งแต่ตอนขาขึ้นเนิน


ถ้าไม่ดูป้ายก็คงไม่รู้ว่าร้านนี้ขายอะไร เพราะหน้าร้านเป็นประตูไม้แบบเลื่อนติดกระจกบานเล็กๆไม่มีรูปหรืออาหารตัวอย่างโชว์


มีเพียงป้ายและธงสีขาวที่ปักไว้ด้านหน้าบ้านทรงญี่ปุ่นสไตล์โบราณสุดแสนคลาสสิคนั้นเขียนไว้ว่า “とんかつ 里久”


อ่านว่า Tonkatsu Rikyu จึงได้รู้ว่าร้านนี้เป็นขายหมูทอด Tonkatsu อาหารสุดโปรดของเรานั่นเอง



ความรู้สึกบอกว่าร้านสไตล์นี้จะต้องมีความโดดเด่นไม่เหมือนที่ไหนในเรื่องของรสชาดและวัตถุดิบแน่ๆ


เมื่อเข้าไปในร้านก็จะพบกับคุณลุงเจ้าของร้าน ต้อนรับเราด้วยโทนเสียงนุ่มๆนิ่งๆว่า “Irasshaimase (いらっしゃいませ)”


และเชิญพวกเรา 3 คนนั่งที่หน้าเคานเตอร์ ด้านในที่นั่งค่อนข้างน้อยมีเฉพาะบริเวณเคานเตอร์เท่านั้น


เพื่อที่ว่าลูกค้าทุกคนที่เข้ามาจะได้เห็นกรรมวิธีในการทำตั้งแต่เริ่มแรกกันเลยทีเดียว



เมนูที่แปะไส้ที่ข้างขวาเขียนเฉพาะภาษาญี่ปุ่นเพียวๆ และมีราคาที่เขียนเป็นตัวคันจิกำกับไว้เท่านั้น 


เริ่มอ่านทีละเมนูให้เพื่อนฟังพร้อมกับราคา ถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ แล้วกระซิบบอกเพื่อนๆว่า


“เห้ย ชั้นขอโทษว่ะ พาแกเข้ามาร้านนี้ก่อนที่จะดูดีๆ ท่าทางของเค้าจะดีจริงว่ะ เพราะตั้งราคาสูงลิบลิ่วมาก”


พูดไปพลางกลัวเพื่อนหนีออกจากร้านเหมือนกัน เพราะว่า ไม่ได้ตั้งใจจะมากินแพงขนาดนี้ สรุปแล้วพวกเรามีความเห็นตรงกันว่า


“เอาเถอะ ไหนๆก็เข้ามาแล้ว ก็ของเค้าดีจริง จ่ายแพงแค่ไหนก็ยอมวะ สักครั้งในชีวิต” และนั่นถือเป็นการตัดสินใจที่เฉียบแหลมมาก



พวกเราสั่งเมนูเดียวกันนั่นคือ Rosu-katsu Set (ロースかつ定食) สนนราคาเพียง 2,400 เยน


ด้วยความที่รู้ว่าจะต้องเป็นของดีที่ไม่เหมือนที่ไหนและหากินได้ที่นี่ที่เดียวเท่านั้น เราจึงไม่เสียดายและเลิกสนใจเรื่องราคาไปเลย


พอเราออเดอร์เสร็จปุ้บคุณลุงและคุณป้าผู้ช่วยอีกสองคนจึงเริ่มปฏิบัติการนำวัตถุดิบต่างนานาออกมา


และเริ่มทำให้เราเห็นตั้งแต่ขั้นตอนแรกให้เห็นกันจะจะ ระหว่างที่พวกเรานั่งรอ ก็มีลูกค้าเปิดประตูเข้ามาเรื่อยๆทำท่าทางสนใจจะกิน


แต่สักพักหลังจากอ่านเมนูแล้วก็ลุกออกจากร้านไปเลย สงสัยจะสู้ราคาไม่ไหวกระมัง 




คุณลุงก็ทำหน้าเฉยๆมากเหมือนกับว่าวันๆนึงคงเจอลูกค้าเข้ามานั่งแล้วก็ลุกออกจากร้านบ่อยจนเป็นเรื่องปกติ


ทำให้เรามองเห็นว่า ถ้าเป็นคนอื่นคงอาจจะเสียเซลฟ์ หรือ ต้องปรับตัวปรับราคาให้ถูกลง เพื่อที่จะได้มีลูกค้ามากขึ้น


แต่สำหรับคุณลุงคงไม่ได้คิดแบบนั้น เพราะด้วยความภูมิใจในสูตรและวัตถุดิบ จึงได้มั่นใจว่าราคานี้ึเป็นราคาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว



(ขอบคุณภาพจาก //www.rikyu.info) 


พูดกันมาตั้งนานว่าวัตถุดิบดีอย่างนั้นของไม่เหมือนใครอย่างนี้ ถึงขนาดเชียร์ออกนอกหน้านอกตา


ยังไงก็คงต้องขอพูดสักหน่อยว่าของๆคุณลุงเค้ามีที่มาและดียังไง วัตถุดิบหลักที่ว่านี้คือ เนื้อหมู ที่ถือว่าเป็นจุดเด่นจุดขายของร้านนี้


และไม่เหมือนใครที่ไหนตรงที่เป็น หมูดำ 黒豚 ที่เลือกคัดสรรมาอย่างดีจากเกาะในแถบคิวชู Kagoshima 鹿児島


กรรมวิธีในการทำแต่ละขั้นตอนก็ละเมียดละไม เริ่มจากขั้นตอนแรกคือนำเนื้อหมูสดๆออกจากตู้เย็นที่หั่นเตรียมเอาไว้แล้วอย่างดี


เนื้อหมูชิ้นค่อนข้างใหญ่ คิดว่าคงนำมาหั่นครึ่งเพื่อสำหรับเสิร์ฟได้ 2 ที่ แต่ผิดคาดทั้งชิ้นนั้นแหละคือของคนๆเดียวกินเลย




(ขอบคุณภาพจาก //www.rikyu.info)


เนื้อที่คุณลุงนำออกมาคือเนื้อสันที่มีน้ำหนักประมาณ 220g หลังจากนั้นนำชิ้นเนื้อไปคลุกแป้งสาลีให้ทั่วทั้งชิ้น


และนำไปคลุกกับชามที่ตอกไข่ไก่เอาไว้ให้ทั่วทั้งชิ้นก่อนนำลงไปคลุกกับเกล็ดขนมปังกรอบที่ทำเองกับมือ


ก่อนตบด้วยมือเบาๆเพื่อให้เกล็ดขนมปังเกาะเนื้ออย่างได้สัดส่วนและนำไปทอดลกระทะที่มีน้ำมันเดือดๆร้อนๆรออยู่


ความอร่อยถือว่าอยู่ตรงที่จังหวะการทอดนี้แหละ คุณลุงบอกว่าต้องให้เนื้อด้านในสุกพอดีและให้ด้านนอกเป็นสีเหลืองทองอร่าม


ต้องทอดในปริมาณน้ำมันที่พอเหมาะและในเวลาที่พอดี จึงจะได้  Rosu-katsu ในรสชาดที่สุดยอดออกมา



หลังจากทอดเสร็จแล้วก็พักสะเด็ดน้ำมันไว้ครู่หนึ่งก่อนนำมาวางลงบนจานที่จัดเตรียมไว้


พร้อมกะหล่ำปลีซอยละเอียดกองโต หน้าตาดูน่าทานที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลยก็ว่าได้ เราจึงเริ่มบรรเลงคำแรกพร้อมกับซอสสูตรพิเศษ


ที่เข้ากับเนื้อหมูดำชุบแป้งทอดกรอบได้อย่างดี ไร้ที่ติ มื้อนี้ช่างแสนอร่อย มีความสุขจริงๆ


สำหรับใครที่อยากทำความรู้จักกับร้านนี้ก่อน เข้ามาดูรายละเอียดได้ที่นี่ //www.rikyu.info


อย่าลืมไปทานกันให้ได้นะ ร้านนี้ Recommend おススメで〜す




ระหว่างทางที่ขึ้นมาสถาณีโกระนั้นยังมีสถานที่เที่ยวน่าสนใจอีก 1 แห่ง นั่นคือ Hakone Open-air Museum 箱根彫刻の森美術館


ตั้งอยู่บริเวณของสวน Fuji Hakone Izu National Park 富士箱根伊豆国立公園 เปิดให้บริการในปี 1969


เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะกลางแจ้งแห่งแรกของญี่ปุ่นที่รวบรวมและจัดแสดงผลงานทั้งภาพวาดและรูปปั้นกลางแจ้ง


ของศิลปินชื่อดังระดับมาสเตอร์พีซจากทั่วโลกมากมายไม่ว่าจะเป็น Henry Moore, Rodin, Bourdelle, Miro, Vangi,


Taro Okamoto บนเนื้อที่กว่า 70,000 ตารางเมตร และเพิ่งฉลองครบรอบ 42 ปีไปเมื่อ 1 ส.ค. 2011 ที่ผ่านมานี้เอง



(ขอบคุณภาพจาก //www.traveljapanblog.com)


บริเวณด้านในมี Exhibition hall รวมทั้งหมด 5 ฮอลล์ซึ่งรวมพื้นที่จัดแสดงพิเศษเฉพาะผลงานของ Picasso กว่า 300 ชิ้น


ที่ Picasso Pavillion ピカソ館 และผลงานศิลป์ประติมากรรมกลางแจ้งด้านนอกมีจัดแสดงมากกว่า 120 ชิ้น


ด้วยการจัดวางที่จะทำให้เราเพลิดเพลินและเด็กๆก็สามารถสนุกได้ด้วย ส่วนที่แปลกไม่เหมือนใครคือมีโซนสำหรับอาบน้ำเท้า


Footbath Spa หรือเรียกว่า “Hot Foot” ほっとふっと ในแบบพิเศษสุดๆด้วยน้ำพุร้อนธรรมชาติจากขุนเขา




(ขอบคุณภาพจาก //www.flickr.com)


วิธีการเดินทางมานั้นก็ง่ายนิดเดียว นั่งรถไฟสายโรแมนติก Hakone Tozan Train มาลงที่สถาณี Choukoku no mori 彫刻の森


ก่อนถึงสถาณีโกระเพียงสถาณีเดียว และเดินต่อเพียง 1 นาที ก็ถึงแล้ว การมาที่นี่นอกจากจะได้ความรู้แล้วยังได้คุณค่าทั้งทางสายตา


และจิตใจอย่างล้นเหลือและที่สำคัญการได้สัมผัสผลงานศิลป์ของศิลปินท่ามกลางธรรมชาติอันแสนบริสุทธิ์นี้ช่างสุนทรีย์เกินบรรยาย


เสียค่าเข้าชมคนละ 1,600 เยน 



(ขอบคุณภาพจาก //www.japan-i.jp)


กลับมาที่สถาณีโกระกันต่อ อย่างที่บอกไปแล้วว่า Hakone Tozan Train มาสุดทางที่สถาณีนี้


และถ้าจะขึ้นไปต่อ ก็ต้องเปลี่ยนขบวนซึ่งคราวนี้เราจะนั่ง Hakone Tozan Cable Car 箱根登山ケーブルカ― กัน


โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมใดๆทั้งสิ้นเพราะว่าเรามี Hakone Free Pass แล้ว


โดยเป้าหมายของเรารอบนี้คือลงสุดป้ายที่สถาณี Sounzan 早雲山駅




Hakona Tozan Cablecar เริ่มต้นที่สถาณี Gora และสุดสายที่สถาณี Sounzan


โดยจะวิ่งขึ้นเป็นเส้นตรงมีระยะทาง 1.2 ก.ม. ใช้เวลาประมาณ 9 นาที ได้รับการออกแบบและสร้างโดยฝีมือชาวสวิส


ด้วยสไตล์ที่เป็นกระจกขนาดใหญ่รอบด้านเอื้ออำนวยให้ผู้โดยสารได้เห็นวิวทิวทัศน์รอบทิศทางตลอด 4 ฤดู


ความแตกต่างของระดับความสูงระหว่าง 2 สถาณีนี้อยู่ที่ 214 เมตร เริ่มเปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อปี 1922


ส่วนเคเบิลคาร์สุดเท่สีแดงดำขบวนนี้เปิดตัวครั้งแรกเมื่อมีนาคม 1995 และจุผู้โดยสารได้มากถึง 250 คน


สามารถมองเห็นภูเขา Kami และ เขา Myojogatake ที่มีสัญลักษณ์ 大 และมีทั้งหมด 4 สถาณี


สามารถไปยังสถาณที่ท่องเที่ยวอื่นๆได้อีก เช่น Gora Park, Museum of Art, Hakone Sounzan Museum



(ขอบคุณภาพจาก //www.superstock.com) 


แอบบอกนิดว่า จริงๆแล้วถ้าใครที่อยากจะไป Gora Park แต่ไม่อยากจะเดินขึ้นเนินเขาให้เหนื่อยสามารถนั่ง Cable Car


แวะลงที่สถาณี Koen-shimo (公園下駅) และเดินต่ออีกประมาณ 2-3 นาทีก็ถึง


แต่ก็จะไม่ได้เดินผ่านร้าน Tonkatsu Rikyu นะ (ถ้าอยากกินก็ต้องเดินย้อนลงมาอีกอยู่ดี วิธีแรกดีกว่าๆ)


ส่วนตอนหน้าจะพาไปชิมไข่ดำกันครับ


Smiley นกน้อยพาเที่ยว Smiley





Create Date : 04 กันยายน 2554
Last Update : 4 กันยายน 2554 20:07:21 น.
Counter : 22193 Pageviews.

7 comments
  
ทริปน่าเที่ยว คนพาเที่ยวกะน่ารักนะคะ
โดย: mariabamboo IP: 118.172.62.18 วันที่: 7 กันยายน 2554 เวลา:21:01:51 น.
  
จะมาอ่านต่อพรุ่งนี้นะคะ อยากไปญี่ปุ่นเหมือนกัน
โดย: HappySomseng วันที่: 19 กันยายน 2554 เวลา:2:06:09 น.
  
ตามมาจาก bp ค่ะ รอชมต่อนะคะ
ว่าจะไปเที่ยวเส้นทาง โตเกียว-ฮาโกเน่-โตเกียวค่ะ
ขอลอกการเดินทางเลยนะคะ
โดย: joy IP: 124.121.7.48 วันที่: 22 ตุลาคม 2554 เวลา:18:15:24 น.
  
หายไปนาน กำลังจะเขียนภาคต่อให้จบ รอติดตามนะครับ
โดย: Bird Freedom วันที่: 16 พฤศจิกายน 2554 เวลา:10:53:02 น.
  
ขอบคุณข้อมูลดีๆ ครับ
โดย: mhompooh IP: 115.31.176.194 วันที่: 18 สิงหาคม 2557 เวลา:13:08:31 น.
  
กำลังพยายามเก็บข้อมูลเพื่อไปเที่ยวที่ Hakone อยู่ พอมาอ่าน Blog นี้ ได้เจอสถานที่ใหม่ๆที่ไม่เคยมีคนรีวิวด้วย น่าไปมากเลยค่ะ พออ่านถึงหมูทอดน้ำลายหยดเลยล่ะค่ะ แต่คงไม่มีโอกาสได้ทานเพราะราคาสูงมากเลย 555+
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆนะคะ
โดย: pompo IP: 180.183.121.141 วันที่: 25 ตุลาคม 2557 เวลา:0:17:45 น.
  
ขอบคุณมากค่ะ ละเอียดมากค่ะ
โดย: Jiraporn IP: 171.96.181.90 วันที่: 2 กรกฎาคม 2558 เวลา:11:36:18 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Bird Freedom
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 39 คน [?]



All Blog