Fragrance Free แต่ก็ยังแพ้
คนที่แพ้น้ำหอมจะมีอาการแสดงออกทางผิวหนัง ส่วนมากจะเป็นแบบผิวหนังอักเสบ ส่วนน้อยเป็นแบบลมพิษสัมผัสครับ
เมื่อพูดถึงคำว่า น้ำหอม คนส่วนมากมักจะคิดถึงน้ำหอม ที่ฉีดตามร่างกาย แต่ความจริงแล้วเครื่องสำอางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าผู้ผลิตเขาได้ใส่น้ำหอม ลงไปแทบทั้งนั้น เพื่อดับกลิ่นบางอย่างและเพิ่มความน่าใช้ให้แก่ผลิตภัณฑ์นั้นๆ เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกเลยว่าปัจจุบันสถิติการ แพ้น้ำหออม (Fragrance allergy) ทั่วโลกมีมากขึ้น โดยพบการแพ้ตั้งแต่ 7.5%-19.5% ของผู้ที่มาทำการทดสอบผื่นแพ้สัมผัส (patch test)
การรักษาส่วนมากให้ใช้ครีมพวกสเตียรอยด์ และยาแก้แพ้ชนิดรับประทาน(Antihistamine) การแพ้น้ำหอมนี้คนที่ไม่ได้ใส่โดยตรงก็แพ้ได้ครับ ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงใส่น้ำหอมที่ต้นคอแล้วไม่แพ้ แต่เกิดแฟนหนุ่มที่แพ้น้ำหอมมาจูบที่ต้นคอเธอ แฟนหนุ่มคนนั้นก็แพ้ได้ครับ แม้ว่าแฟนหนุ่มนั้นไม่ได้ใส่น้ำหอมเอง เรียกว่า consort dermatitis (consort = คู่, dermatitis= ผิวหนังอักเสบ)
น้ำหอมในเครื่อง สำอางต่างๆ เป็นสารที่พบว่ามีคนแพ้บ่อยมาก ทำให้บริษัทหลายแห่งได้ผลิตเครื่องสำอางที่ไม่มีน้ำหอมขึ้น เรียกว่า Unscented และ Fragrance Free ซึ่งส่วนมากหมอผิวหนังก็จะแนะนำให้ใช้ Fragrance Free มากกว่า เพราะหมายถึงว่าไม่มีน้ำหอม ซึ่งปรากฏว่าคนที่แพ้น้ำหอมส่วนมากก็สามารถใช้ได้ไม่มีปัญหาอะไร แต่มีบางคนที่แพ้น้ำหอมก็ยังไม่สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า Fragrance Free ได้อยู่ดีทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ลองติดตามกันดูนะครับ
คุณหมอ Pamela L.Scheinman ได้เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ชื่อว่า The foul side of fragrance-free products ลงในวารสารโรคผิวหนัง Journal of the American Academy of Dermatology ฉบับเดือน ธันวาคม 1999 และเรื่อง Exposing convert fragrance chemicals ในวารสาร American Journal of Contact Dermatitis ฉบับเดือน ธันวาคม 2001 ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์กับทุกคนที่ใช้เครื่องสำอาง สาระใจความสำคัญเขาว่าไว้ดังนี้ครับ
* นิยามคำว่า fragrance ของ FDA อเมริกาคือ any natural or synthetic substance or substances used solely to impart an odor to a cosmetic product แปลได้ว่า สารจากธรรมชาติหรือสังเคราะห์ที่ให้กลิ่นต่อผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง จากคำจำกัดความดังกล่าวทำให้ สารน้ำหอมบางชนิดซึ่งทำหน้าที่ได้ 2 อย่าง เช่น benzyl alcohol เป็นสารที่มีกลิ่นซึ่งเป็นได้ทั้งน้ำหอมและสารกันบูดไปในตัวนั้น บางบริษัทผู้ผลิตเขาบอกว่าเขาใส่ benzyl alcohol เป็นสารกันบูดในผลิตภัณฑ์ Fragrance Freeของเขา (นี่ละครับที่ Fragrance Free ก็ยังมีกลิ่น แล้วก็สามารถทำให้แพ้ได้)
* กฎหมายของสหรัฐอเมริกาไม่ได้ บังคับว่าผู้ผลิตต้องเปิดเผยข้อมูลน้ำหอมทั้งหมด เพราะถือว่าเป็นความลับทางธุรกิจ trade secrets
* น้ำหอมมี ทั้งแบบธรรมชาติ (natural) และสังเคราะห์ (synthetic) ซึ่งความจริงแล้วน้ำหอมในยุคแรกๆ ก็ได้มาจากธรรมชาติพวกน้ำมันหอมระเหย (essential oils) เช่น rose oil, chamomile oil ซึ่งสามารถทำให้แพ้ได้ไม่ต่างจากชนิดสังเคราะห์ เพราะฉะนั้นคนที่แพ้น้ำหอมแล้วใช้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติจากพืชหรือสมุนไพรก็มี โอกาสที่จะแพ้ได้เช่นกัน นอกจากนี้ผมยังเคยเจอผลิตภัณฑ์จากประเทศอเมริกาที่เขียนฉลากตัวเล็กๆ ว่ามีน้ำหอม แต่คนขายคนไทยกลับบอกลูกค้าว่าไม่มีน้ำหอม ส่วนกลิ่นหอมต่างๆ นั้นเป็นพวกพืช สาหร่ายทะเลหรือส่วนประกอบต่างๆ ของผลิตภัณฑ์นั้นเอง ผมได้ยินคนไข้เล่าให้ฟังถึงกับสะดุ้งและคิดว่าคนขายคนนี้คงเป็น BA (beauty assistant) of the year แน่ๆ เลยครับ
* ควรมีการให้คำนิยาม คำว่า fragrance ใหม่รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่เป็น fragrance free ด้วย ถ้าจำเป็นต้องใช้สารน้ำหอมเพื่อทำหน้าที่อื่นก็ควรใส่เครื่องหมายให้ทราบ ด้วย
ตอนสุดท้ายคุณหมอ Scheinman ซึ่งเป็นอาจารย์ด้านผิวหนังอยู่ที่ Tufts University School of Medicine ได้ฝากเตือนถึงความสำคัญของการอ่านฉลากเครื่องสำอาง และแง่คิดสำหรับคำระบุต่างๆ เช่น hypoallergenic, dermatologist tested, sensitive skin, dermatologist recommended นั้นไม่มีความสำคัญอะไรเลย นอกจากเป็นการโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้นครับ...ซึ่งผมก็เห็นด้วย เพราะยังไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่ชัดหรือดีพอในมาตรฐานการนำคำเหล่านี้มาใช้กับ เครื่องสำอางเลยครับ
ที่มา : Health Today
Create Date : 23 พฤษภาคม 2553 | | |
Last Update : 23 พฤษภาคม 2553 13:18:24 น. |
Counter : 250 Pageviews. |
| |
|
|
|