Group Blog
 
All Blogs
 

แก้ผมมันเยิ้มในหน้าร้อน อย่างไร?

ถ้าคุณเป็นสาวผมมัน ที่มักพบกับปัญหาความมันเยิ้มที่ลุกลามมาถึงผมม้าหรือผมปรกหน้าของคุณ ก็ถึงเวลาที่คุณต้องจัดการกับความมันเยิ้มนั้นแล้วล่ะ เพราะถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปก็อาจนำไปสู่สิวอุดตันหรือหรือสิวอักเสบ บริเวณแนวเส้นผมหรือหน้าผากได้ และนี่คือวิธีง่ายๆ ในการป้องกัน

สระเฉพาะผมม้า ถ้าผมม้าเป็นมันมากก่อนการสระผม ก็สระเฉพาะผมหน้าม้าเพื่อให้มันสะอาดอยู่เสมอ

- ไม่ต้องปรับสภาพ ใช้คอนดิชันเนอร์กับเส้นผมส่วนอื่น แต่อย่าใช้กับผมม้าของคุณ
* ใช้เครื่องสำอางไร้น้ำมัน โดยอาจใช้ครีมรองพื้นสูตรน้ำ แล้วตามด้วยแป้งที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน
- อย่าแตะต้อง น้ำมันจากมืออาจทำให้สถานการณ์ความมันยิ่งเลวร้ายไปกันใหญ่ ฉะนั้น พยายามคุมมือให้อยู่ห่างจากใบหน้าเข้าไว้

ที่มา: Getty Images




 

Create Date : 24 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 24 พฤษภาคม 2553 20:17:36 น.
Counter : 241 Pageviews.  

Mask หน้าด้วย Strawberry



สาวอายุ 25 อัพขึ้นไป อย่าเผลอไผลคิดว่ายังอ่อนเยาว์อยู่ เพราะเผลอแป๊บเดียว ริ้วรอยย่นยับ หมองคล้ำมาเยือนได้โดยง่าย ความสดใสค่อย ๆ หายไป มารู้ตัวอีกทีโอย ! ตายล่ะ ใบหน้ายู่ยี่ย่นยับ ซะขนาดนี้ ซึ่งมันก็เกิดจากความเครียด ได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน และยังต้องมาตากลมกรำแดดซะอีกแน่ะ

นี่เลยคุณสูตรนี้ลองดู แม้จะแพงไปนิด แต่ก็ถูกกว่าครีมพอกหน้านำเข้าจากต่างประเทศ แถมยังมีวิตามินสุดยอดไปเลย "Strawberry" นี่แหละเด็ดสุด ใช้บำรุงผิวหน้า ลดริ้วรอย จุดด่าง จุดดำ บนใบหน้า และทำให้ใบหน้านุ่ม นวลเนียน ของอย่างนี้ต้องใช้เวลาไม่ใช่ทำแค่ 2-3 ครั้งแล้วจะให้สวยเด้งขึ้นมาเลย มันก็เกินไปใจเย็น ทำเป็นประจำ สูตรนี้ทำได้บ่อย ไม่ต้องทุกวันสัปดาห์ละครั้งนานไป 3 วัน ทำซะครั้งหนึ่งกำลังดี วิธีทำง่ายมาก

ล้างผลสตรอว์เบอร์รี่ให้สะอาด สัก 8 ผล ใช้ส้อมยีให้เละ ๆ จากนั้น ล้างหน้าให้สะอาด เก็บผมให้เรียบร้อย ใช้หมวกคลุมผม หรือที่คาดผมก็ได้ นำสตรอว์เบอร์รี่ที่ยีแล้ว มาพอกหน้า นอนนิ่ง ทิ้งไว้ 20 นาที แค่นี้ก็สวยปิ้ง ๆ ได้แล้วล่ะ




 

Create Date : 24 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 24 พฤษภาคม 2553 20:10:26 น.
Counter : 271 Pageviews.  

หน้าพัง! เพราะการลองเครื่องสำอาง

มีสาวๆ หลายคนบ่นกลุ้มใจว่าผิวหน้ามีปัญหาสิวบ่อยๆ บางครั้งก็มีอาการระคายเคืองแปลกๆ เกิดขึ้น สอบถามแล้วก็จะบอกตรงกันว่า ก็ดูแลใบหน้าตามปกติ แต่งหน้า ล้างหน้า บำรุงผิวหน้าเช่นเคย แต่อาการเพิ่งจะมาปรากฏไม่นาน...ทบทวนอยู่สักพัก ก็มาฉุกคิดได้ว่า หรือจะเป็นเพราะผลจากการทดลองเป็นแบบให้บีเอเครื่องสำอางตามเคาเตอร์ต่างๆ ลองแต่งหน้า???

หากสมมติฐานของสาวๆ ออกมาเป็นแบบนี้ อย่านอนใจและคิดว่าเป็นไปไม่ได้แน่ๆ ถึงไม่ไปทำแบบสำรวจ แค่หลักสุขอนามัยขั้นพื้นฐานก็ถือว่าผิดแล้ว หากเคาเตอร์เครื่องสำอางตามห้างไม่เคยเปลี่ยนอุปกรณ์แต่งหน้าหรือแม้แต่ ผลิตภัณฑ์ก็ปนเปื้อนจากการต้องเอาอุปกรณ์ (ซึ่งสัมผัสหน้าสาวๆ มาไม่รู้กี่สิบคน) จุ่มแต้มลงไปซ้ำๆ กัน...

แม้เคาเตอร์แบรนด์ส่วนใหญ่จะคำนึงถึงความสะอาด สั่งให้พนักงานเปลี่ยนหรือทำความสะอาดอุปกรณ์ทดลองแต่งหน้าให้ลูกค้าเป็น ประจำ แต่ก็ใช่ว่าความเผลอเรอหรือตั้งใจจะไม่เกิดขึ้น ในเมื่อลูกค้าเองก็ไม่ได้มานั่งเฝ้าว่าสาวๆ บีเอจัดเตรียมอุปกรณ์แต่งหน้าอย่างไรก่อนจะที่เราจะใบหน้าไปเป็นเหยื่อความ งาม ถาดแป้ง ถาดบลัชออน ถาดอายแชโดว์ที่เห็นแหว่งๆ ไป จะรู้ได้อย่างไรว่าเพิ่งแกะกล่องออกมาใช้ หรือเก่าเก็บไว้จนฝุ่นรามาเยือนเต็มถาด

หากเลี่ยงไม่ได้ที่จะพาใบหน้าไปสังเวยเคาเตอร์แต่งหน้าตามห้าง ก็ขอให้ท่องกฏเตือนใจเอาไว้ทุกครั้ง เพื่อที่จะได้เตรียมตัว-เตรียมใบหน้า ทั้งก่อนและหลังเป็นหนูทดลองให้กับเคาเตอร์อย่างปลอดภัยที่สุด...

- หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่จะต้องสัมผัสด้วยมือ เมคอัพอาร์ติสท์หรือช่างแต่งหน้าตามเคาเตอร์มักจะป้ายบลัชออน อายแชโดว์ รองพื้น บริเวณหลังข้อมือ แล้วใช้นิ้วจุ่มจิ้มขึ้นมาป้ายๆ ทาๆ บนหน้าเรา หากไม่แน่ใจ คุณร้องขอได้ว่าขอเครื่องสำอางแบบปั๊มจากขวด บีบจากหลอด หรือมีช้อนพลาสติกเล็กๆ ป้ายจากกระปุก แล้วค่อยเกลี่ยด้วยพัฟหรือแปรงจะดีกว่า

- หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ร่วมกับผู้อื่น คุณสาวๆ คงเถียงขาดใจว่าจะเลี่ยงยังไงได้กับเคาเตอร์เครื่องสำอางแบบนั้น สอบถามพนักงานก่อนลงมือแต่งหน้าไปเลย ว่าอุปกรณ์เหล่านี้มีการใช้ครั้งเดียวแล้วเปลี่ยนหรือทิ้งบ้างหรือไม่ หากไม่แน่ใจว่าพนักงานจะตอบตามจริง ก็ขอเลือกอุปกรณ์ใหม่แกะออกจากกล่องให้เห็นไปเลยดีกว่า คุณมีสิทธิ์เต็มที่ในฐานะลูกค้า และพนักงานเองก็ควรต้องซื่อสัตย์กับลูกค้าด้วยเช่นกัน

- หมั่นเช็ด-ฆ่าเชื้อทุกครั้ง ไม่ต้องกลัวว่าพนักงานจะแอบเมาท์ว่าคุณอนามัยจัดหรือเรื่องมาก เพราะหากใบหน้าพังขึ้นมา แม่ช่างแต่งหน้าทั้งหลายก็คงไม่ยอมรับว่ามีส่วนทำให้คุณหน้าพัง ดีไม่ดีคุณจะถูกโยนให้ยอมรับว่าผิดเองที่เลือกมาแต่งหน้ากับแบรนด์เขา...แต่ นั่นอาจเป็นเรื่องแย่ๆ เพียงส่วนน้อยที่เกิดขึ้น เพราะกฏของแต่ละเคาเตอร์ก็จะมีอยู่แล้วเรื่องความสะอาดปลอดเชื้อเพื่อลูกค้า ให้มากที่สุด

อย่างน้อยที่สุดกระดาษเช็ดหน้าก็ไม่ควรขาดจากเคาเตอร์ จำเป็นอย่างมากหลังลงลิปสติก ส่วนลิปสติกแท่งทั้งหลายหากพนักงานไม่ได้เตรียมแปรงลิปสติกไว้ ก็ต้องดูด้วยว่ามีการเฉือนลิปสติกส่วนที่ใช้แล้วก่อนหน้านี้ออกไปหรือยัง เพราะเชื้อโรคจากริมฝีปากหากผ่านกันมาเป็นทอดๆ จนถึงปากคุณก็คงเป็นอะไรที่สยองมาก หรือหากจะเพิ่ม แอลกอฮอล์ทำความ สะอาด ตามไปด้วยก็ช่วยได้เช่นกัน...จำไว้เสมอว่า อย่าทดลองเครื่องสำอางหรือชุดแต่งหน้าที่ล้างออกยาก หรือล้างออกไม่ได้ เช่น อายครีม หรือครีมบำรุงผิวหน้าทั้งหลาย เพราะเชื้อโรคปะปนได้ง่ายและยังก่อให้เกิดอาการแพ้สูง

- ต้องรู้ว่าอะไรควร-ไม่ควรลอง ผิวหน้าของคุณอาจบอบบางกว่าที่คิด หลายคนไม่รู้ตัวจนกระทั่งเสียท่าให้เคาเตอร์แต่งหน้ามานักต่อนัก หากเลี่ยงได้ที่จะลองก็ขอแนะนำว่าเลี่ยงดีกว่า โดยเฉพาะเครื่องสำอางที่เกี่ยวข้องกับดวงตา เช่น อายแชโดว์ มาสคาร่า ขนตาปลอมทั้งหลาย หลังลองเสร็จหากมีเชื้อแบคทีเรียปะปนก็จะนำมาซึ่งความคัน ระคายเคือง แสบเป็นผื่นแดง หรือแพ้รุนแรงกว่านั้น อีกบริเวณที่ควรหลีกเลี่ยงการทดลองเครื่องสำอางเช่นกันคือบริเวณรอบๆ จมูก และริมฝีปาก นี่คือในกรณีของคนที่เสี่ยงหรือรู้ตัวว่าจะเกิดอาการแพ้ได้ง่ายกว่าคนอื่น

แวะเคาเตอร์แต่งหน้าครั้งต่อไป อย่าลืมจำให้ขึ้นใจ ก่อนหน้าใสๆ จะพังโดยใช่เหตุ




 

Create Date : 24 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 24 พฤษภาคม 2553 19:59:30 น.
Counter : 213 Pageviews.  

ใช้น้ำผึ้ง เพื่อความงาม


เคยได้ยินกันมานานแล้วหละค่ะว่าน้ำผึง ช่วยบำรุงความงามให้กับสาว ๆ รักสวยได้ บางคนก็เคยได้รับคำแนะนำให้เอาน้ำผึ้งมาล้างหน้า มาพอกหน้า และอีกมากมาย _

ก็ในน้ำผึงน่ะ เข้าวิจัยกันมาแล้วว่า มันมีสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ ช่วยชลอการเสื่อมสภาพของเซลได้ แต่จริง ๆ แล้ว การนำน้ำผึ้งมาใช้ ก็ต้องมีสูตรเหมือนกันนะคะ ทั้งสำหรับใบหน้า ผิวกายและเส้นผมเลยทีเดียวค่ะ จะมีอะไรบ้างนั้น มาดูกันเลย

น้ำผึ้งสำหรับผิวหน้า

Moisture Mask สูตร 1 ให้ผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ กับนมสด 2 ช้อนชา คนให้เข้ากัน นำมาทาทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออก จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว เหมาะสำหรับคนผิวแห้งค่ะ

Moisture Mask สูตร 2 บดกล้วยหอม และน้ำผึ้งเข้าด้วยกัน นำมาพอกทั้งหน้า และผม ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า และมำให้ผมนิ่มสลวย มีชีวิตชีวามากขึ้น

Facial mask นำแอปเปิลปอกเปลือก ปั่นรวมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ นำมาทาทั่วผิวหน้า แล้วนวดเบา ๆ ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น จะช่วยขจัดเซลเก่า และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวหน้าเปล่งปลั่งสดใส

Honey Cleaning Scrub ผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ กับจมูกข้าวสาลี 2 ช้อนชา คนให้เข้ากัน นำมาทาให้ทั่วผิวหน้าแล้วนวดเบา ๆ ช่วยขจัดเซลผิวเก่า และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด เหมาะกับผิวที่มีริ้วรอย และจุดค่างดำ

น้ำผึ้งสำหรับผิวกาย

Smoothing Skin Lotion ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา น้ำมันพืช 1 ช้อนชาและน้ำมะนาวอีก ¼ ช้อนชา นำมาขัดเบา ๆ ที่ข้อศอก มือ หัวเขา และส้นเท้า ซึ่งเป็นส่วนที่แห้งกร้านได้ง่าย จะช่วยให้ผิวนุ่มนวลและสดใสขึ้น

น้ำผึ้งสำหรับผม

Hair Conditioner ผสมน้ำผึ้ง 2 ถ้วย กับน้ำมันมะกอก ¼ ถ้วย แต่ถ้าเป็นผมธรรมดาให้ใช้น้ำมันมะกอกเพียง 2 ช้อนโต๊ะ นำมานวดให้ทั่วศีรษะ แล้วคลุมด้วยหมวกอาบน้ำ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วสระผมตามปกติ จะทำให้ผมมีน้ำหนัก นุ่มสลวย

Hair Shine ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา และน้ำมะนาว 1 ช้อนชา ในน้ำอุ่น 4 ถ้วย แล้วนำมาชโลมผมให้ทั่วหลังสระเสร็จใหม่ ๆ จะช่วยล้างมลพิษที่เกาะจับผม และทำให้เส้นผมมีประกายเงางาม

นี่หละค่ะ ประโยชน์ของน้ำผึ้ง และถ้าใครกระหายคอแห้ง ก็อาจจะนำไปผสมน้ำมะนาวดื่ม ก็สดชื่นดีนะคะ


ที่มา: mcot.net




 

Create Date : 24 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 24 พฤษภาคม 2553 19:49:49 น.
Counter : 187 Pageviews.  

Fragrance Free แต่ก็ยังแพ้


คนที่แพ้น้ำหอมจะมีอาการแสดงออกทางผิวหนัง ส่วนมากจะเป็นแบบผิวหนังอักเสบ ส่วนน้อยเป็นแบบลมพิษสัมผัสครับ

เมื่อพูดถึงคำว่า น้ำหอม คนส่วนมากมักจะคิดถึงน้ำหอม ที่ฉีดตามร่างกาย แต่ความจริงแล้วเครื่องสำอางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าผู้ผลิตเขาได้ใส่น้ำหอม ลงไปแทบทั้งนั้น เพื่อดับกลิ่นบางอย่างและเพิ่มความน่าใช้ให้แก่ผลิตภัณฑ์นั้นๆ เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกเลยว่าปัจจุบันสถิติการ แพ้น้ำหออม (Fragrance allergy) ทั่วโลกมีมากขึ้น โดยพบการแพ้ตั้งแต่ 7.5%-19.5% ของผู้ที่มาทำการทดสอบผื่นแพ้สัมผัส (patch test)

การรักษาส่วนมากให้ใช้ครีมพวกสเตียรอยด์ และยาแก้แพ้ชนิดรับประทาน(Antihistamine) การแพ้น้ำหอมนี้คนที่ไม่ได้ใส่โดยตรงก็แพ้ได้ครับ ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงใส่น้ำหอมที่ต้นคอแล้วไม่แพ้ แต่เกิดแฟนหนุ่มที่แพ้น้ำหอมมาจูบที่ต้นคอเธอ แฟนหนุ่มคนนั้นก็แพ้ได้ครับ แม้ว่าแฟนหนุ่มนั้นไม่ได้ใส่น้ำหอมเอง เรียกว่า consort dermatitis (consort = คู่, dermatitis= ผิวหนังอักเสบ)

น้ำหอมในเครื่อง สำอางต่างๆ เป็นสารที่พบว่ามีคนแพ้บ่อยมาก ทำให้บริษัทหลายแห่งได้ผลิตเครื่องสำอางที่ไม่มีน้ำหอมขึ้น เรียกว่า Unscented และ Fragrance Free ซึ่งส่วนมากหมอผิวหนังก็จะแนะนำให้ใช้ Fragrance Free มากกว่า เพราะหมายถึงว่าไม่มีน้ำหอม ซึ่งปรากฏว่าคนที่แพ้น้ำหอมส่วนมากก็สามารถใช้ได้ไม่มีปัญหาอะไร แต่มีบางคนที่แพ้น้ำหอมก็ยังไม่สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า Fragrance Free ได้อยู่ดีทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ลองติดตามกันดูนะครับ

คุณหมอ Pamela L.Scheinman ได้เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ชื่อว่า The foul side of fragrance-free products ลงในวารสารโรคผิวหนัง Journal of the American Academy of Dermatology ฉบับเดือน ธันวาคม 1999 และเรื่อง Exposing convert fragrance chemicals ในวารสาร American Journal of Contact Dermatitis ฉบับเดือน ธันวาคม 2001 ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์กับทุกคนที่ใช้เครื่องสำอาง สาระใจความสำคัญเขาว่าไว้ดังนี้ครับ

      * นิยามคำว่า fragrance ของ FDA อเมริกาคือ any natural or synthetic substance or substances used solely to impart an odor to a cosmetic product แปลได้ว่า สารจากธรรมชาติหรือสังเคราะห์ที่ให้กลิ่นต่อผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง จากคำจำกัดความดังกล่าวทำให้ สารน้ำหอมบางชนิดซึ่งทำหน้าที่ได้ 2 อย่าง เช่น benzyl alcohol เป็นสารที่มีกลิ่นซึ่งเป็นได้ทั้งน้ำหอมและสารกันบูดไปในตัวนั้น บางบริษัทผู้ผลิตเขาบอกว่าเขาใส่ benzyl alcohol เป็นสารกันบูดในผลิตภัณฑ์ Fragrance Freeของเขา (นี่ละครับที่ Fragrance Free ก็ยังมีกลิ่น แล้วก็สามารถทำให้แพ้ได้)

      * กฎหมายของสหรัฐอเมริกาไม่ได้ บังคับว่าผู้ผลิตต้องเปิดเผยข้อมูลน้ำหอมทั้งหมด เพราะถือว่าเป็นความลับทางธุรกิจ trade secrets

      * น้ำหอมมี ทั้งแบบธรรมชาติ (natural) และสังเคราะห์ (synthetic) ซึ่งความจริงแล้วน้ำหอมในยุคแรกๆ ก็ได้มาจากธรรมชาติพวกน้ำมันหอมระเหย (essential oils) เช่น rose oil, chamomile oil ซึ่งสามารถทำให้แพ้ได้ไม่ต่างจากชนิดสังเคราะห์ เพราะฉะนั้นคนที่แพ้น้ำหอมแล้วใช้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติจากพืชหรือสมุนไพรก็มี โอกาสที่จะแพ้ได้เช่นกัน นอกจากนี้ผมยังเคยเจอผลิตภัณฑ์จากประเทศอเมริกาที่เขียนฉลากตัวเล็กๆ ว่ามีน้ำหอม แต่คนขายคนไทยกลับบอกลูกค้าว่าไม่มีน้ำหอม ส่วนกลิ่นหอมต่างๆ นั้นเป็นพวกพืช สาหร่ายทะเลหรือส่วนประกอบต่างๆ ของผลิตภัณฑ์นั้นเอง ผมได้ยินคนไข้เล่าให้ฟังถึงกับสะดุ้งและคิดว่าคนขายคนนี้คงเป็น BA (beauty assistant) of the year แน่ๆ เลยครับ

      * ควรมีการให้คำนิยาม คำว่า fragrance ใหม่รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่เป็น fragrance free ด้วย ถ้าจำเป็นต้องใช้สารน้ำหอมเพื่อทำหน้าที่อื่นก็ควรใส่เครื่องหมายให้ทราบ ด้วย

ตอนสุดท้ายคุณหมอ Scheinman ซึ่งเป็นอาจารย์ด้านผิวหนังอยู่ที่ Tufts University School of Medicine ได้ฝากเตือนถึงความสำคัญของการอ่านฉลากเครื่องสำอาง และแง่คิดสำหรับคำระบุต่างๆ เช่น hypoallergenic, dermatologist tested, sensitive skin, dermatologist recommended นั้นไม่มีความสำคัญอะไรเลย นอกจากเป็นการโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้นครับ...ซึ่งผมก็เห็นด้วย เพราะยังไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่ชัดหรือดีพอในมาตรฐานการนำคำเหล่านี้มาใช้กับ เครื่องสำอางเลยครับ

ที่มา : Health Today




 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 23 พฤษภาคม 2553 13:18:24 น.
Counter : 250 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  

quosego
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add quosego's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.