|
ภาพหลุดของ Samsung S8500 มือถือตัวแรกที่ใช้ Super AMOLED
ก่อนหน้านี้ Samsung เตรียมเปิดตัวโทรศัพท์รุ่นใหม่ที่ใช้ Super AMOLED เป็นเครื่องแรกในโลก ในงาน Mobile World Congress ตอนนี้มีความคืบหน้าเพิ่มเติม เป็นสเปกและภาพหลุดที่เว็บไซต์ Daily Mobile ได้มาก่อนใคร
- จอภาพ 3.3" AMOLED เล่นวิดีโอได้ 720p
- กล้อง 5 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลช
- หน่วยความจำภายใน 2GB, ช่องเสียบ microSD
- ซีพียู 1GHz, แบตเตอรี่ 1500mAh
- Wi-Fi แบบ N
- ระบบปฏิบัติการ bada ของซัมซุงเอง Samsung หนี Symbian เปิดระบบปฏิบัติการตัวใหม่ bada, มีโปรแกรมเล่น DivX ในตัว
- หนาเพียง 10.9 มิลลิเมตร
Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2553 | | |
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2553 15:51:29 น. |
Counter : 461 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
iPad จะอยู่หรือไป เวลาเท่านั้นที่ตอบได้?
ในวินาทีนี้คงไม่มีกระแสอะไรจะแรงกว่าเรื่องของ iPad หรือ tablet ตัวใหม่ของแอปเปิลที่ใครๆ ก็ลือกันมานานแสนนาน กระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ทั้งแง่บวกและลบต่างหลั่งไหลกันมา ตกลงแล้ว iPad นี่คืออะไร และจะสร้างการเปลี่ยนแปลงอะไรให้กับโลกใบนี้?
อย่างที่หลายๆ ที่บอกกัน ไม่มีคำอธิบายอะไรที่ดีกว่าการบอกว่า iPad คือ iPhone / iPod touch ขนาดยักษ์ ด้วยรูปลักษณ์พื้นฐานที่แทบจะถอดแบบกันมา ทั้งกรอบดำ จอขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่ทั้งหมด ปุ่ม Home ที่อยู่ด้านล่าง พร้อมปุ่มและพอร์ทต่างๆ ที่แทบจะไม่แตกต่างกัน สิ่งเดียวที่แตกต่าง คือขนาดหน้าจอที่ใหญ่กว่าเดิมมาก ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว iPad มีความหนาสูงสุดอยู่ที่ครึ่งนิ้ว และมีน้ำหนักประมาณ 0.68 กิโลกรัม หรือครึ่งหนึ่งของ MacBook Air พอดี
ในงานเปิดตัว แอปเปิลได้แสดงจุดยืนที่ชัดเกี่ยวกับการพัฒนา iPad นี้ว่าเป็นอุปกรณ์กลุ่มใหม่ที่จะมาคั่นกลางระหว่าง iPhone / iPod touch กับ Mac / PC โดยการที่จะเป็นอุปกรณ์กลุ่มใหม่ได้นั้น จะต้องมีอะไรที่เหนือกว่าของที่มีอยู่เดิม โดยได้มีการกล่าวถึงเน็ตบุ๊กว่าเป็นอุปกรณ์ที่ช้า และทำอะไรไม่ได้ ซึ่งอาจจะเป็นคำเหน็บแนมสไตล์แอปเปิล (ที่สามารถตอกกลับได้ง่ายๆ ว่า “ทำให้ราคาถูกเท่านี้ได้หรือเปล่า?”)
การออกแบบ iPad ที่สำคัญคือการนำเอาเทคโนโลยี Multi-touch ที่แอปเปิลมีอยู่ใน iPhone / iPod touch มาสร้างประสบการณ์ใหม่ที่ให้มีขีดความสามารถเทียบเท่ากับคอมพิวเตอร์อื่นๆ ทั่วไป แอปเปิลเลือกที่จะใช้ iPhone OS แทนที่จะเป็น Mac OS เพราะการสัมผัสยังเป็นการติดต่อกับผู้ใช้ที่สำคัญ และคงง่ายกว่าที่จะพัฒนาแอพพลิเคชันที่ทำงานได้ทั้งบน iPhone และ iPad หากเทียบกับ iPad และ Mac OS X โดยในงานนี้แอปเปิลยังรักษาจุดยืนที่เคยประกาศไว้เมื่อ 3 ปีก่อนว่า “ใครกันต้องการ stylus?”
แม้ว่า iPad จะสามารถใช้งานแอพพลิเคชันบน iPhone เดิมทั้งหมดได้ แต่แน่นอนว่าในสภาพการใช้งานจริงโปรแกรมที่ออกแบบไว้สำหรับจอเล็กๆ มาถูกแสดงผลบนจอใหญ่ๆ ก็คงจะรู้สึกแปลกหูแปลกตาและเสียดายพื้นที่ (เว้นแต่พวกเกมที่อาจจะไม่มีปัญหามาก) แต่สิ่งนี้คือการสร้างความมั่นใจให้กับเหล่านักพัฒนาว่าองค์ความรู้เดิมทั้ง หมดที่พวกเขามีกับ iPhone OS จะสามารถต่อยอดบน iPad ได้ทันที ในขณะที่สร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้ไปในตัวว่า แอพพลิเคชันทั้งหมดที่พวกเขาเคยชื่นชอบบน iPhone OS มีโอกาสจะมาลง iPad อย่างสมบูรณ์แน่นอนเช่นกัน โดยไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเพิ่มเสียด้วยซ้ำ (หากผู้พัฒนาตัดสินใจที่จะอัปเดทให้ฟรี)
คงไม่มีใครกังขาว่า iPad จะสามารถทำหน้าที่พื้นฐานที่ iPod ทำได้อย่างดูหนัง ฟังเพลง อีเมล หรือเล่นอินเทอร์เน็ตได้อย่างไม่มีปัญหา (เว้นเสียแต่ว่ายังคงไม่มี Flash เหมือนเดิม) แถมในบางมุมยังจะดีกว่าด้วยซ้ำเนื่องจากพื้นที่หน้าจอที่ใหญ่กว่า การพิมพ์อีเมลด้วยคีย์บอร์ดบนจอใหญ่ๆ หรือท่องเว็บที่ไม่ต้องเพ่งซูมไปซูมมาก็คงง่ายขึ้น จึงเหลือคำถามหนึ่งที่สำคัญว่า แล้ว iPad จะสามารถใช้งานแอพพลิเคชันในระดับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทั่วไปหรือไม่?
แอปเปิลได้ลองนำเสนอ iWork (ชุดแอพพลิเคชันสำนักงานของแอปเปิล) เวอร์ชันสำหรับ iPad โดยได้มีการปรับเปลี่ยนและพัฒนาส่วนติดต่อกับผู้ใช้ใหม่เกือบทั้งหมด การพยายามรักษาพื้นที่หน้าจอโดยหลีกเลี่ยงให้เหลือแต่สิ่งที่จำเป็น ในขณะที่ตัวเลือกต่างๆ พยายามย้ายหรือซ่อนให้ไปอยู่ในเมนูหรือองค์ประกอบต่างๆ แทน หลายๆ สำนักที่ได้ทดสอบกันพบว่าหากใครที่ใช้ iPhone OS เป็นอยู่แล้ว จะสามารถจับจุดและใช้งานมันได้ทันที สำหรับผู้ใช้ใหม่อาจจะต้องใช้เวลานานกว่าหากเทียบกับ iPhone หรือ iPod touch พอสมควร ปัญหานี้จึงเป็นความท้าทายใหม่ของเหล่าพัฒนาที่จะพยายามใช้การติดต่อแบบ สัมผัสนี้กับแอพพลิเคชันต่างๆ ที่เราอาจคุ้นเคยกับการคลิกด้วยเมาส์ แน่นอนว่าในช่วงเวลาแรกอาจมีความสับสนวุ่นวาย เหมือนกับเกม Wii ในช่วงแรกๆ ที่ยังจับจุดการใช้ Wii Remote กันไม่ค่อยได้ แต่เวลาจะค่อยๆ พิสูจน์ว่าระบบสัมผัสนี้จะสามารถใช้ได้จริงในแอพพลิเคชันเหล่านี้หรือไม่ รวมถึงว่าแม้จะใช้ได้จริง เราจะมีเหตุผลอะไรที่จะเลือกใช้โปรแกรมเหล่านี้บน iPad แทนบนคอมพิวเตอร์ของเราที่คุ้นเคยอยู่แล้ว?
สำหรับในการเล่นเกม จุดที่น่าสนใจของ iPad ที่สุดน่าจะเป็นขนาดจอ ใน iPhone / iPod touch เดิมที่มีปัญหาสำคัญคือการควบคุมที่ต้องใช้การสัมผัสหลายๆ ครั้งมักจะทำให้นิ้วของผู้เล่นไปบังหน้าจอโดยไม่จำเป็น แต่ด้วยขนาดจอที่ใหญ่ขึ้นมากของ iPad จุดนี้อาจจะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป คงจะเหลือเพียงความรู้สึกของการได้ขยี้ปุ่มเท่านั้นที่ยังไม่มีทางทดแทนได้ จากอุปกรณ์เล่นเกมเจ้าอื่นๆ
แอปเปิลได้อ้างว่า iPad มีแบตเตอรี่ที่สามารถใช้งานทั่วไปได้ยาวนานถึง 10 ชั่วโมง ซึ่งคงเป็นเรื่องปกติที่ตัวเลขนี้จะมากกว่าสภาพการใช้งานจริงที่เราจะได้ใช้ มัน แต่คำถามที่น่าสนใจคือ เราคาดหวังให้ตัวเลขนี้สูงแค่ไหน?
หากเปรียบเทียบกับอุปกรณ์พกพาอย่างโทรศัพท์ตัวเลขนี้จะถือว่าน้อย ในขณะที่หากเราเทียบกับสารพัดโน๊ตบุ๊กและเน็ตบุ๊ก ตัวเลขนี้กลับกลายเป็นตัวเลขที่น่าตื่นตาตื่นใจขึ้นมาทันที และเพราะสิ่งนี้คืออุปกรณ์จำพวกใหม่ จึงยากที่เราจะมีตัวชี้วัดที่จะมาเปรียบเทียบว่าสภาพการใช้งานจริงๆ แล้วเราต้องการแบตเตอรี่นานแค่ไหน อย่างไรก็ตามหากดูจากภาพที่แอปเปิลนำเสนอมาในวีดีโอต่างๆ ดูเหมือนอุปกรณ์นี้จะมุ่งเน้นให้มีการใช้งานในสภาพที่เราอยู่กับที่มากกว่า เช่นนั่งอยู่กับบ้าน หรือที่ออฟฟิศ ซึ่งทำให้การหาที่เสียบสายชาร์จไปด้วยใช้ไปด้วยไม่ใช้เรื่องยากเท่าไหร่ รวมกับว่า iPad มีขนาดที่ใหญ่พอสมควร การจะพกพาติดตัวไปทุกวันอย่าง iPhone คงไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้
ยังมีอีกสัญญาณหนึ่งที่แอปเปิลแสดงถึงการที่ iPad ไม่ใช่อุปกรณ์ที่เน้นให้ใช้คนเดียวอย่าง iPhone / iPod touch นั่นคือการเลือกใช้จอ LED LCD แบบ IPS ที่มีจุดเด่นที่สำคัญคือมุมมองที่กว้างกว่าจอแบบอื่นๆ มาก และย่อมทำให้ประสบการณ์การใช้ iPad กับคนอื่นที่นั่งหรือยืนอยู่ข้างๆ เราง่ายขึ้น แต่แน่นอนว่ามีข้อเสียที่สำคัญ นั้นคือการใช้พลังงานที่สูงกว่าตัวเลือกอื่นๆ อย่าง AMOLED ที่ Zune HD หรือ Nexus One ใช้
แอปเปิลยังเปิดตัว iBooks โดยนำเสนอ iPad นี้ไปเปรียบเทียบกับ Kindle ของ Amazon แน่นอนว่าในตอนนี้ iBooks ยังเสียเปรียบอยู่มากทั้งในเรื่องของจำนวนหนังสือที่ให้เลือก จนถึงตัว iPad เองที่ไม่ได้ออกแบบมาไว้สำหรับให้อ่านอย่างเดียวอย่าง Kindle ที่เบาหวิว แต่ iPad เองก็มีฟีเจอร์อื่นๆ มากมายที่อาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกอยากที่จะจ่ายเงินก้อนเดียวเพื่อทุกอย่างไป เลยได้เช่นเดียวกัน และจอสีก็เป็นอีกจุดขายสำคัญ แม้ว่าคนอย่างพวกเราๆ กันเองจะรู้ดีกว่าจอ e-Ink มีข้อดีในเรื่องของพลังงานและราคา แต่ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่สนใจเรื่องนี้ ผมเคยดูรายการ Martha ที่มีการเอา Kindle มาโชว์ มาร์ธา (ซึ่งน่าจะแทนผู้ใช้ทั่วไปได้ดีกว่าพวกเรา) มีการพูดอย่างชัดเจนว่า “อยากได้จอสี” ซึ่งออกจะขัดจากความตั้งใจของ Amazon ที่อยากให้ Kindle ถูก เบา และใช้ได้นานๆ สักหน่อย แต่ผู้ใช้ทั่วไปไม่มีทางรู้หรือเข้าใจถึงเหตุผลเชิงเทคนิกเหล่านี้นอก จากราคา ซึ่ง iPad ก็ชดเชยราคาด้วยฟีเจอร์อีกมากมายได้เป็นอย่างดี
อีกผู้เล่นหนึ่งที่น่าถูกเปรียบเทียบคือ Chrome OS แม้ว่าในตอนนี้จะยังไม่มีความชัดเจนในตัวฮาร์ดแวร์ที่จะออกมา แต่สิ่งที่เราคงยืนยันได้แน่ๆ คือ iPhone OS น่าจะทำทุกอย่างที่ Chrome OS ทำได้ แต่แน่นอนว่าตัว Chrome OS เองน่าจะมีอิสระของฮาร์ดแวร์ที่สูงกว่าที่อาจจะมาทั้งในรูปแบบ tablet หรือโน๊ตบุ๊กให้เลือกใช้ก็ว่ากันไป รวมถึงความต้องการทางฮาร์ดแวร์ที่น่าจะต่ำกว่า และส่งผลถึงราคาที่ถูกกว่าอย่างแน่นอน และเมื่อถึงจุดนั้นหากแอปเปิลคิดจะมาสู้ด้วยจริงๆ คงไม่ยากสำหรับแอปเปิลแล้วที่จะทำอุปกรณ์ที่มีแต่ Safari บน iPhone OS กับฮาร์ดแวร์พอประมาณราคาถูกมาสู้ด้วย ดังนั้น Chrome OS คงจะต้องหาจุดขายอื่นๆ (นอกเหนือจากอิสระของฮาร์ดแวร์) มาต่อสู้ให้ได้เช่นเดียวกันเมื่อถึงเวลานั้น
อีกข้อกังขาหนึ่งที่ทุกคนสงสัย คือทำไมแอปเปิลถึงเลือกใช้จอขนาด 4:3 ยิ่งกับตัวเลข 1024 x 768 ที่มีกลิ่นไอของความโบราณซ่อนอยู่ เหตุผลหนึ่งที่เป็นไปได้คือ อุปกรณ์นี้จำเป็นต้องถือได้ด้วยมือเดียว (เพราะอีกมือต้องใช้สัมผัสเป็นหลัก) ในขณะที่ต้องสามารถปรับเปลี่ยนมุมมองได้ทั้งแนวนอนและแนวตั้ง การจับอุปกรณ์ลักษณะนี้ในแนวนอนที่มีอัตราส่วน 16:9 ด้วยมือซ้ายที่ขอบด้านซ้ายคงไม่ง่ายเท่าใดนักจนอาจจะต้องหาวิธีการจับแบบ อื่นๆ ซึ่งเป็นรูปแบบที่แอปเปิลไม่ต้องการ หากเราสังเกตการออกแบบของ iPad จะพบว่ามีขอบรอบจอที่หนาผิดปกติ และเท่ากันรอบๆ ทุกด้าน ซึ่งแตกต่างจาก iPhone / iPod touch ที่จะมีเฉพาะด้านบนและล่างเพื่อเป็นพื้นที่สำหรับอุปกรณ์พวกพอร์ทต่างๆ จะเห็นได้ว่าแอปเปิลตั้งใจให้ผู้ใช้จับ iPad ในสภาพที่สามารถหมุนไปหมุนมาได้โดยง่าย โดยมือที่จับก็ยังไม่ไปสัมผัสจอจนทำให้โปรแกรมเข้าใจผิดไป
นอกจากนี้เรายังสังเกตได้ว่า แอปเปิลพยายามที่จะนำเสนอ iPad ว่ารูปแบบพื้นฐานของมันคือแนวตั้ง ทั้งจากภาพประชาสัมพันธ์ต่างๆ การถือของสตีฟบนเวที การเสียบบน Dock ตำแหน่งของปุ่ม Home หรือแม้แต่หน้าจอ Home Screen ก็ตาม เพราะนั่นคือแนวทางที่เหมาะสมในการถือ iPad นี้ อาจจะเป็นไปได้ว่าแอปเปิลต้องใช้เวลาในการสร้างความเคยชินนี้ ก่อนที่จะออก iPad ที่กลายเป็น 16:9 หรือ 3:2 ต่อไป
คุณสมบัติอื่นๆ ทางด้านฮาร์ดแวร์ก็ไม่มีอะไรที่คาดเดาไม่ได้หรือแตกต่างจากเจ้าอื่นถ้าจะทำ เป็นพิเศษ มี Accelerometer, Ambient Light Sensor, Wi-Fi a/b/g/n, Bluetooth 2.1 EDR, Digital Compass นอกจากนี้หากเป็นรุ่นที่มี EDGE/3G ก็จะมี A-GPS เพิ่มขึ้นมา
จุดที่น่าตื่นเต้นที่สุดอีกอย่างหนึ่งคือราคาของ iPad ที่เริ่มต้นเพียง $499 หากเราเทียบกับ JooJoo ที่มีราคาเท่ากัน iPad เหนือกว่าในแทบทุกแง่มุม ทั้งขนาด 16GB เทียบกับ 4GB, ความบาง 0.5 นิ้วเทียบกับ 0.7 นิ้ว น้ำหนัก 0.68 กิโลเทียบกับ 1.1 กิโล แบตเตอรี่ 10 ชั่วโมงเทียบกับ 5 ชั่วโมง ทิ้งไว้สิ่งที่เหนือกว่าของ JooJoo คือจอที่ใหญ่กว่า ละเอียดกว่า
หากเราลองมาเปรียบเทียบ iPad 3G 16GB กับ iPhone 3GS 16GB องค์ประกอบที่ต่างกันหลักๆ ทางฮาร์ดแวร์มีเพียงกล้อง ขนาดเครื่อง ขนาดจอที่สุดท้ายแล้วน่าจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า แต่ iPad กลับขายที่ $630 เทียบกับ iPhone 3GS ที่ราคาประเมินอยู่ที่ $700 จะเห็นได้ว่าแอปเปิลตั้งใจตั้งราคา iPad ไว้ในจุดที่ต่ำกว่าปกติมาก และน่าจะมีกำไรสุทธิจริงๆ ต่ำกว่ามาตรฐานทั่วไป
คำถามคือ...ทำไม?
ประเด็นแรกที่อาจเป็นไปได้ คือการที่แอปเปิลอาจคาดหวังการได้กำไรจาก iTunes Store, App Store และ iBookstore แต่ประเด็นนี้ก็อาจจะขัดกับประกาศผลประกอบการเมื่อไม่นานนี้ของแอปเปิลที่ ระบุว่า กำไรจาก iTunes Store และ App Store น้อยมากหากเทียบกับรายได้จากการขายฮาร์ดแวร์
อีกประเด็นหนึ่ง คือการรีบแย่งพื้นที่นี้ไว้เพราะเป็นสมรภูมิที่หลายๆ คนกำลังจะเตรียมลงมาเล่น อุปกรณ์นี้ไม่ใช่ของที่จะมาแทนโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ แปลว่าผู้ใช้ต้องเจียดเงินเพิ่มเพื่อที่ว่างตรงนี้ จึงแน่นอนว่ามันต้องมีราคาถูกพอที่ผู้ใช้จะยอมจ่าย แม้ว่า $499 อาจจะยังแพงไปสำหรับหลายๆ คนในตอนนี้ แต่อย่างน้อยที่สุดก็คงสร้างฐานลูกค้าได้มากกว่า $999 ที่เคยลือกันไว้ และฐานลูกค้าเหล่านี้ก็จะมีประโยชน์กับตัวแอปเปิลเองในอนาคต เหมือนที่ iPod สามารถดึงให้ผู้ใช้หลายๆ คนมาใช้ Mac ได้ เป็นต้น
คงไม่มีใครกังขาว่า iPad มีจุดเริ่มที่น่าสนใจมากมาย มีฟีเจอร์และแนวทางการใช้งานมากมายที่เราหลายๆ คนจินตนาการกันไว้ แต่ปัญหาเดียวและใหญ่ที่สุดที่จะชี้ชะตา iPad คือ พวกเราจะมีที่ว่างในชีวิตให้กับอุปกรณ์ประเภทที่สามนี้จริงๆ หรือ?
เวลาเท่านั้นที่ตอบได้ครับ...
Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2553 | | |
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2553 21:45:03 น. |
Counter : 453 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ปิดตำนานซัน: Oracle เผยแผนในอนาคต..
และแล้ว การควบกิจการออราเคิล-ซันก็เสร็จสมบูรณ์ ซันกลายเป็นบริษัทลูกของออราเคิล และออราเคิลได้เผยแผนการเกี่ยวกับอนาคตของซันในวันนี้ (แม้ว่าจะโดนข่าว iPad กลบซะเกือบมิด แต่ก็ยังถือว่าสำคัญมากในโลกไอทีองค์กร)
ออราเคิลจะยังคงแบรนด์ "ซัน" ไว้เหมือนเดิม แต่จะปรับแบรนด์ใหม่หมด โดยสัญญาว่าจะรวมเทคโนโลยีของออราเคิลกับซันเข้าด้วยกันเป็นชุดเดียว ที่การันตีการทำงานร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์
สำหรับเทคโนโลยีแต่ละอันมีแผนการเฉพาะของตัวเองดังนี้
Java
ภาษาจาวายังเป็นหัวใจสำคัญในการซื้อกิจการรอบนี้ ออราเคิลสัญญาว่าจะพัฒนาจาวาต่อไป
* Java Community Process จะต้องเปิดกว้างต่อคนภายนอก และกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมมากขึ้น * Java Standard Edition (โดยเฉพาะส่วนของ Java Virtual Machine) จะมุ่งไปในทิศทางที่รองรับภาษาเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นแนวทางที่ซันทำอยู่ก่อนแล้ว * ออราเคิลจะรวม Sun HotSpot กับ Oracle JRockit JVMs เข้าด้วยกัน ปรับปรุงประสิทธิภาพของ HotSpot * ปรับปรุงประสิทธิภาพของ garbage collector * Java Enterprise Edition จะแยกส่วนมากขึ้น (modularity) และสนับสนุน profile หลายรูปแบบ * รวม API ของ Java ME และ SE Java Micro Edition (ME) เข้าด้วยกัน * ปรับปรุงการจัดการพลังงานของ Java ME * JavaFX จะได้รับการใส่ใจมากขึ้นอย่างมาก (ต้นฉบับใช้คำว่า aggressive investments) * GlassFish จะได้รับการใส่ใจจากออราเคิลมากขึ้นเช่นกัน แม้ว่าออราเคิลจะยังยึด WebLogic เป็นหลักมากกว่า
NetBeans
จะถูกวางตัวเป็นเครื่องมือในการพัฒนา "ขนาดเบา" ส่วนตลาดบนจะยังใช้ JDeveloper ของออราเคิลเอง
NetBeans จะถูกวางเป้าให้เป็นเครื่องมือสำหรับภาษาแบบไดนามิก, ภาษาสคริปต์ และการพัฒนาโปรแกรมบนมือถือ
Virtualization
* VirtualBox จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของ Oracle VM * ออราเคิลจะยังคง Sun ESB และ Sun Master Index ไว้ * Sun Cloud จะถูกยกเลิก
Solaris
Solaris จะได้รับการพัฒนาต่อในฐานะระบบปฏิบัติการสำหรับองค์กร และเน้นการพัฒนาบนซีพียูตระกูล x86 ให้มากขึ้น
MySQL
จะย้ายไปอยู่ในแผนกโอเพนซอร์สของออราเคิล มีทีมขายเฉพาะ และจะถูกพัฒนาให้ทำงานร่วมกับเทคโนโลยีอื่นๆ ของออราเคิลอย่าง Oracle Enterprise Manager, Secure Backup, Audit Vault ได้
JavaOne
งานสัมมนา JavaOne จะยังจัดต่อไปเหมือนเดิม แต่จะถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งในงาน Oracle OpenWorld Conference แทน
ประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจคือ ออราเคิลจะจ้างงานเพิ่มอีก 2,000 ตำแหน่ง โดยส่วนมากจะเป็นทีมขาย เพราะออราเคิลตัดสินใจเปลี่ยนวิธีการขายผลิตภัณฑ์ของซัน จากเดิมที่ขายผ่านพาร์ทเนอร์ มาเป็นทีมขายตรงของตัวเอง (อย่างไรก็ตามมีข่าวว่าออราเคิลจะปลดพนักงานออกบางส่วนเช่นกัน)
Larry Ellison ซีอีโอของออราเคิลบอกว่า Jonathan Schwartz ซีอีโอของซํนจะลาออกจากตำแหน่ง แต่เขาจะพยายามดึงให้ Scott McNealy ผู้ก่อตั้งบริษัทอยู่กับออราเคิลต่อไป
Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2553 | | |
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2553 21:44:27 น. |
Counter : 394 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Nokia กลับมากำไรดี Ovi Store ให้บริการกว่าล้านแอพลิเคชั่นต่อวัน
ช่วงปีสองปีมานี้แม้โนเกียจะทำกำไรในแดนบวกเสมอมาแต่อัตรากำไรก็ลดลง เรื่อยๆ เช่นกัน แต่ในไตรมาสที่สี่ที่ผ่านมาโนเกียก็กลับมาทำกำไรได้ดีอีกครั้ง แม้ว่ายอดขายรวมจะตกลงไปบ้าง
ยอดขายในปีนี้ของโนเกียอยู่ที่ 11,988 ล้านยูโรขณะที่ปลายปีที่แล้วอยู่ที่ 12,655 ล้านยูโรลดลง 5.3% แต่กำไรนั้นเพิ่มขึ้นจาก 1,239 ล้านยูโรมาอยู่ที่ 1,473 ล้านยูโร ทำให้ผลกำไรกลับมาอยู่ที่เลขสองหลักเป็น 12.3% อีกครั้ง
ผลกำไรที่ดีนี้มาจากการลดต้นทุนอย่างหนัก ในแง่ของปริมาณแล้วโนเกียยังทำตลาดได้เพิ่มขึ้นเป็น 126.9 ล้านชุดเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 12% แสดงว่าแม้ยอดขายดีขึ้นแต่ราคาต่อชิ้นนั้นกำลังต่ำลงเรื่อยๆ (แต่ยังดีที่ยังทำกำไรได้ดีขึ้น)
ในแง่ของการแข่งขันในเรื่องแอพลิเคชั่นแล้ว Ovi Store ให้บริการดาวน์โหลดแอพลิเคชั่นเกิน 1 ล้านรายการต่อวัน นับว่าโนเกียจับตลาดได้ดีพอสมควร แม้ตัวเลขนี้จะตามหลังแอปเปิลอยู่ถึงเกือบสิบเท่า แต่ก็นับว่า Ovi พอ "เกิด" ได้อยู่ ที่น่าสนใจคือโนเกียกำลังผันตัวเองสู่ตลาดล่างลงเรื่อยๆ เช่นโครงการ Nokia Life Tools ในอินโดนีเซีย มีการใช้โทรศัพท์รุ่นล่างๆ ราคาถูกเพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารทางการเกษตรโดยไม่ต้องพึ่งพิงเครือข่ายไอ พีเช่น GPRS แต่อย่างใด
Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2553 | | |
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2553 21:43:38 น. |
Counter : 403 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Apple เตรียมถูก Fujitsu ฟ้อง ขาย iPad ตั้งแต่ปี 2002
ข่าวเล็กๆ ที่สำคัญอันหนึ่งท่ามกลางข่าว iPad จำนวนมหาศาล คือ บริษัท Fujitsu นั้นเคยขายอุปกรณ์พกพาที่เป็นจอสัมผัสชื่อ iPad ตั้งแต่ปี 2002 และเคยขอยื่นจดเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าเสียด้วย
Masahiro Yamane หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ Fujitsu ให้สัมภาษณ์ว่า "ชื่อนี้เป็นของเรา" และบริษัท Fujitsu เตรียมรับมือการวางขาย iPad ของแอปเปิลล่วงหน้า โดยปรึกษากับทนายความรอไว้ก่อนแล้ว
Fujitsu iPad มีจอสัมผัสขนาด 3.5 นิ้ว ใช้ระบบปฏิบัติการ CE.NET ของไมโครซอฟท์ มี Wi-Fi และ Bluetooth อย่างไรก็ตามราคาขายอยู่ที่ 2,000 ดอลลาร์
Fujitsu ไม่ได้เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า iPad อย่างสมบูรณ์ เพราะเคยมีบริษัทอีกแห่งยื่นขอจดคำว่า iPad เช่นกัน เรื่องเลยค้างคาจนกระทั่งคำขอของ Fujitsu ในปี 2003 หมดอายุ แต่บริษัทได้ขอจดรอบใหม่เมื่อเดือนมิถุนายน 2009 ส่วนแอปเปิลยื่นขอจดหลังจากนั้นหนึ่งเดือน
นอกสหรัฐ ยังมีคนเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า iPad อีกมาก เช่น Siemens ในเยอรมนี
Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2553 | | |
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2553 21:43:06 น. |
Counter : 494 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|