Group Blog
 
All Blogs
 

ส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยการเล่านิทาน

นิทานพัฒนา EQ EQ (Emotional Quotient) เป็นความฉลาดทางอารมณ์ ที่จะช่วยให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และมีความสุข (เข้าใจตนเอง + เข้าใจผู้อื่น + แก้ไขความขัดแย้ง) นิทานช่วยพัฒนา ภาษา ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และจินตนาการ เรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม สานสายใยครอบครัว ปลูกฝังให้รักการอ่าน สนุกสนาน เพลิดเพลินและมีสมาธิ สิ่งเหล่านี้จะเป็นพื้นฐานนำไปสู่การพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ที่เหมะสมในแต่ ละช่วงวัยและจากสิ่งที่ได้อ่านได้ฟังยังใช้เป็นแนวทางที่จะช่วยให้สามารถ แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ เพื่อให้เด็กอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเข้าใจและมีความสุข Q : เลือกนิทานอย่างไรให้ลูกรัก ? A : เด็ก ๆ เรียนรู้จากการฟังและการอ่านนิทาน ดังนั้นผู้ปกครองควรส่งเสริมให้เด็กๆได้ฟังหรืออ่านนิทานจากหนังสือที่เหมาะ สมกับวัยเพื่อช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ที่ดีมีความฉลาดทางอารมณ์ และมีความสุข ขณะตั้งครรภ์ ควรเลือกหนังสือที่สนุกสนานโดยแม่ตั้งใจเล่านิทานให้ลูกน้อยในครรภ์ฟัง วัยแรเกิด - 1 ปี วัยนี้จะสนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว ชอบมองของที่มีสีสวยงาม รู้สึกสนุกกับการค้นหา หนังสือที่เหมาะสมกับวัยนี้ ควรเป็นหนังสือที่มีรูปภาพเดี่ยวเหมือนจริง เช่น รูปสัตว์ ผลไม้ ฯลฯ ฉากหลังของภาพไม่รกรุงรัง วัย 2-3 ปี เป็นวัยอยากเรียนรู้สิ่งต่างๆ สนใจค้นหาชอบสำรวจสิ่งต่างๆ มีการพัฒนาทางภาษารวดเร็ว ชอบฟังบทกลอนสั้นๆ ใช้ภาษาง่ายๆ หนังสือที่เหมาะสมกับวัยนี้ ควรมีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน สัตว์ สิ่งของใช้ภาษาง่ายๆอาจเป็น บทกลอนหรือคำคล้องจอง วัย 4-5 ปี เด็กวัยนี้พูดเป็นประโยคยาวๆได้ ชอบตั้งคำถามทำไม อย่างไร ช่างสังเกต ช่างฝัน เริ่มมีจินตนาการ เล่นเป็นกลุ่มด้วยบทสมมติเป็น หนังสือที่เหมาะกับวัยนี้ ควรเป็นเรื่องที่ประสานกลมกลืน เนื้อเรื่องสนุก ใช้ภาษาแปลกๆ รูปภาพน้อยลงแต่รายละเอียดของภาพมากขึ้น วัย 6-7 ปี เด็กวัยนี้พูดได้ชัดเจน เล่าเรื่องต่างๆได้ยาว ชอบแสดงท่าทางประกอบหรือเลียนแบบ หนังสือที่เหมาะกับวัยนี้ ควรเป็นเรื่องสั้นๆ ใช้ภาษาง่ายๆ เนื้อเรื่องตลกขบขัน มีการสอดแทรกจริยธรรม วัย 8- 11 ปี เด็กวัยนี้จะเิ่มรู้จักคิดเป็นเหตุเป็นผล ชอบเลียนแบบพฤติกรรมของผู้ใหญ่ มีสมาธิดีขึ้น หนังสือที่เหมาะกับวัยนี้ ควรเป็นหนังสือที่เขียนจากเรื่องจริง เช่น ประวัติบุคคลสำคัญ ความรู้รอบตัว ฯลฯ มีการสอดแทรกจริยธรรมในเนื้อเรื่อง วัย 12 15 ปี เด็กวัยนี้มีความคิดเป็นของตัวเอง เข้าใจสิ่งที่เป็นนามธรรม บางครั้งสับสนกับบทบาทของตนเองชอบเลียนแบบสื่อที่ชอบ หนังสือที่เหมาะสมกับวัยนี้ ควรเป็นเรื่องที่ มีความหลากหลาย ซับซ้อน ที่สามารถคิดคาดเดาและท้าทายให้อยากรู้ต่อไป มีการสอดแทรกคุณธรรม และจริยธรรม

สนับสนุนข้อมูลโดย : สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี




 

Create Date : 17 เมษายน 2553    
Last Update : 17 เมษายน 2553 22:03:20 น.
Counter : 271 Pageviews.  

หากลูกเริ่มเดิน-พูดช้า

"เดินก่อนพูด หรือพูดก่อนเดิน" อย่างไรถึงจะปกติ??? เป็นคำถามยอดฮิตของคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ ที่อาจจะกังวลใจเมื่อเห็นลูกคนอื่นมีพัฒนาการที่ไม่เหมือนกับลูกตัวเอง ซึ่งในความจริงแล้ว พิศวาท พีระปกรณ์ เจ้าหน้าที่สถานรับเลี้ยงเด็กพี. เนอสเซอรี่ ไขข้อข้องใจว่า เด็กแต่ละคนจะมีพัฒนาการแต่ละช่วงที่แตกต่างกันไป เด็กจะมุ่งมั่นอยู่กับสิ่ง ใดสิ่งหนึ่งเท่านั้น ดังนั้น เด็กที่มีใจจจดจ่อกับการเดิน ก็จะพยายามทุ่มเทฝึกฝนจนเดินได้ จนทำให้ไม่ได้ใส่ใจที่จะฝึกหัดพูด ในขณะที่เด็กอีกคนหนึ่งกลัวการล้ม ทำให้มีเวลาสนใจกับการฝึกพูดมากกว่าการเดิน "เด็กก็มีภารกิจที่ต้องทำคือ ต้องผ่านพัฒนาการแต่ละช่วงให้สำเร็จ เหมือนผู้ใหญ่ทำงาน ดังนั้น จึงต้องใช้เวลามากบ้างน้อยบ้าง แตกต่างกันไปในงานแต่ละอย่าง ความถนัด รวมทั้งยังมีปัจจัยเสริมที่ทำให้สำเร็จ ซึ่งการคาดหวังให้ลูกทำงานสองชิ้นในเวลาเดียวกัน คงเป็นไปไม่ได้" ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กยังมีคำแนะนำสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ทั้ง หลายด้วยว่า ก่อนอื่นต้องดูก่อนว่าลูกเราเป็นคนอย่างไร เรียบร้อยหรือชอบลุย ถ้าเขาไม่สนใจว่าจะเจ็บตัวก็ต้องช่วยลุ้นให้เดิน ถ้าเขากลัวมากๆ ก็อย่าเพิ่งไปเร่งรัด ให้เขาพร้อมด้วยตัวเอง เพราะถ้าเด็กกลัวเจ็บ กลัวล้ม ผู้ใหญ่ต้องฝึกให้เขาเกิดความมั่นใจในการเดิน เช่น ช่วยจูงมือ หาอุปกรณ์มาช่วยให้เดินอย่างมั่นใจมากขึ้น ถ้าเขาไม่สนใจการเดิน แต่ชอบพูด ก็ควรชวนพูดคุย กระตุ้นให้เขาพูดตาม อาทิ เปิดเพลงให้ฟัง เปิดหนังสือให้ดูภาพสัตว์สวยๆ และสอนพูดทีละคำ เป็นต้น "สิ่งสำคัญที่สุดคือ ผู้ใหญ่จะต้องช่วยกันทำให้เขามีความสุขในขณะที่เขากำลังปฏิบัติภารกิจนั้นๆ จนสำเร็จ" พิศวาทให้ข้อคิดทิ้งท้าย ถ้าคุณพ่อคุณแม่เข้าใจความแตกต่างของเด็กแต่ละคนแล้ว ปัญหาลูกเดินก่อนพูดหรือพูดก่อนเดิน ก็คงจะไม่เป็นปัญหาให้กังวลใจอีกต่อไปแล้ว

ที่มา women.sanook.com




 

Create Date : 17 เมษายน 2553    
Last Update : 17 เมษายน 2553 22:01:17 น.
Counter : 311 Pageviews.  

การพัฒนาสมองของลูก

ศ.จ.เกียรติคุณพ.ญ.ชนิกา ตู้จินดา การทำงานที่ต้องใช้สมองอย่างมากคือ งานวิชาการ จึงน่าสนใจเรื่องการทำงานของสมองว่ามหัศจรรย์จริง การเลี้ยงเด็กเราก็เน้นการพัฒนาสมอง เร่งการเจริญเติบโตของเด็ก ก็เห่อกันทั้ง ไอคิว อีคิว และยังมีอีกหลายคิว ผู้ทรงคุณวุฒิที่ช่วยกันคิด เช่น เอสคิว หมอถามว่าอะไร ท่านตอบว่า SPIRITUAL ไงล่ะ ทั้งสติปัญญา อารมณ์ไม่พอ ต้องมีจิตวิญญาณด้วย ทั้งหมดที่ท่านเน้นกันจังเลย เลี้ยงลูกได้ดี เก่งอย่างเดียว รวมทั้งเฮงยังไม่พอ ต้องให้ลูกมี "สุข" ว่า ดี เก่ง เฮง และสุข ว่ากันเข้าไปนั่นเลย สรุปว่าทั้งหมดนี้อะไรสำคัญที่สุดในร่างกายเด็ก ทุกส่วนสำคัญทั้งนั้น ทั้งสมอง หัวใจ ตับ ปอด แขน ขา ลำไส้ และอื่น ๆ แค่นิ้วมือข้างละ 5 นิ้ว ขนาดไม่เท่ากัน แต่ต้องสามัคคีกัน นิ้วมือสไตร์คไม่ทำงานเพียงนิ้ว สองนิ้วเราก็ลำบาก ถ้ารวมกันสไตร์คแม้นสมองเฉียบเท่าไอสไตน์ก็เจ๊งเช่นกัน มีผู้ศึกษาพบว่า สมองของมนุษย์ฉลาดหลักแหลมกว่าสัตว์โลกทั้งมวล เราจึงควบคุมโลกนี้ไว้ นำสัตว์โลกชนิดอื่น ๆ มาสยบศิโรราบกับมนุษย์ เช่น เลี้ยงไว้ช่วยแรงงาน เหมือนควายบุญเลิศ อุตส่าห์ให้เป็นดาราเล่นหนังก็มาตายเสีย เลี้ยงไว้เป็นอาหาร เลี้ยงไว้เป็นสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข แมว นก ฯลฯ สมองส่วนนอกสุดของมนุษย์ที่เราเรียกว่า CEREBRAL CORTEX เป็นส่วนสำคัญมาก มีลอนหยักลึกกว่าสัตว์ทั้งมวล แม้นมนุษย์ด้วยกัน ผู้ฉลาดเป็นเลิศเช่น ไอสไตน์ก็มีสมองลักษณะแบบพิเศษเหนือมนุษย์ ที่น่าสนใจมากในการอ่านประวัติท่านผู้นี้คือ ท่านพูดช้ามาก เด็กปกติ 2 ขวบไม่พูดนี่ยอมไม่ได้นะคะต้องหาสาเหตุ คุณแม่ทันสมัยจะกลัวเป็นออติสติค เพราะอ่านตำรามามาก แต่อัจฉริยะไอสไตน์กว่าจะพูดเกือบ 5 ขวบ เมื่อมีผู้ถามท่านภายหลังว่า ทำไมไม่พูดตอนเด็ก ท่านบอกว่าใช้เวลาครุ่นคิดหาเหตุผลถึงปรากฏการณ์ต่าง ๆ คือนักวิทยาศาสตร์แท้จะพูดน้อยและคิดมาก สมัยเรียนไอสไตน์โดนครูดุประจำว่า อีตาคนนี้เอาดีด้านภาษาไม่ได้จริง ๆ แต่ด้านคณิตศาสตร์เยี่ยมมาก ดังนั้นการมองดูเด็ก มองทุกด้าน อย่าคิดว่าเด็กโง่ ถ้าเขาไม่ถนัดในบางเรื่อง ต้องสนับสนุนให้กำลังใจเขาด้วย การทำงานของสมองต้องการปัจจัยพอควร เริ่มจาก ดี. เอน. เอ. หรือยีน GENE ที่ไม่ใช่กางเกงยีน สิ่งนี้ได้จากพ่อแม่ ฉะนั้นก่อนจะแต่งงานก็ดูคู่ครองที่ฉลาด ไม่โง่ โอกาสจะได้ลูกฉลาดย่อมมีได้ โภชนาการที่เหมาะสม รวมทั้งการให้โอกาสเด็กได้ฝึกสมอง ไม่สกัดกั้นความอยากรู้อยากเห็นของเด็ก เช่น เรื่องของฟาราเดย์นักวิทยาศาสตร์ชื่อเสียงก้องโลก สมัยเด็กครูไม่ชอบเลยว่า เด็กเพี้ยนคิดอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน เช่น เห็นแม่ไก่ฟักไข่ออกมาเป็นลูก เด็กคนอื่นก็เฉย ๆ แต่เด็กคนนี้อยากลอง เลยไปนั่งทับไข่ไก่ดูว่าฟักไหม การเรียนท่องจำแบบนกแก้วนกขุนทองไม่สนุก ไม่อยากเรียนเลย ครูก็ไม่ให้เรียนด้วย ว่าโง่ แม่เลยสอนที่บ้านแบบโฮมสกูล แม่สนับสนุนให้ลูกมีแรงบันดาลใจ มี MOTIVATION มีความคิดสร้างสรรค์ คิดแก้ปัญหา ค้นคว้า ฯลฯ จนเขาได้ค้นพบการประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า ทั้งโลกจึงสว่างไสวด้วยไฟฟ้า เพราะสมองที่ได้รับการพัฒนาอย่างเหมาะสม มิฉะนั้นเราก็ยังใช้เทียนไข ใช้ตะเกียงลาน มืดมนต่อไปทั้งโลกนี้ ฝากไว้ให้คิดในการสนับสนุนเด็กและให้โอกาสเด็กได้ใช้สมองอย่างเหมาะสมตามวัย ด้วยค่ะ ขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลสมิติเวช

ที่มา women.sanook.com




 

Create Date : 17 เมษายน 2553    
Last Update : 17 เมษายน 2553 21:56:51 น.
Counter : 240 Pageviews.  

เมื่อเจ้าตัวเล็กต้องแยกจากแม่

เมื่อแม่ต้องแยกจากลูกอย่างกระทันหัน แม้ไม่กี่สัปดาห์ อาจหมายถึงผลกระทบต่อเจ้าตัวเล็กวัย 1-3 ปีอย่างมาก เพราะเขาเล็กเกินกว่าที่จะเข้าใจว่าเหตุใดจึงถูกแยกจากแม่และยังไม่รู้วิธี จัดการกับความรู้สึกโหยหาและสับสนต่อความต้องการแม่ของตัวเองอย่างไรเป็นบ่อ เกิดพฤติกรรมที่เป็นปัญหาตามมา ซึ่งยากที่จะช่วยให้เด็กกลับคืนสู่สภาพจิตที่ดีดังเดิม หากเกิดการพลัดพรากจากแม่เป็นเวลานาน ดังนั้นถ้าคุณรู้ตัวล่วงหน้าว่าจะมีเรื่องที่ต้องทำให้จากเจ้าตัวเล็กไปด้วย สาเหตุอันใดก็ตาม เช่น คุณต้องเตรียมตัวเข้าโรงพยาบาลหรือไปทำธุระต่างจังหวัด ฯลฯ ควรคุยกันเจ้าตัวเล็กเพื่อทำความเข้าใจกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น พร้อมแนะนำวิธีการที่จะช่วยให้เจ้าตัวเล็กรู้สึกว่าไม่ถูกทอดทิ้งไปอย่าง สิ้นเชิง เช่น คุณสัญญาว่าจะโทรศัพท์มาหาเขาทุกวัน หรือถ้านอนอยู่ที่โรงพยาบาล ก็ควรให้เขาไปเยี่ยมคุณทุกวัน เพื่อลดความวิตกกังวล และความ สับสนของเด็กลงได้ในระดับหนึ่ง ส่วนคุณและผู้ใหญ่แวดล้อม ต้องทำใจให้เข้าใจตัวเด็กไว้ล่วงหน้า ในการเตรียมรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้น

ที่มา women.sanook.com




 

Create Date : 17 เมษายน 2553    
Last Update : 17 เมษายน 2553 21:52:22 น.
Counter : 278 Pageviews.  

เด็กวัยเก้าเดือนถึงสิบเดือน : สภาพแวดล้อม : ป้องกันอุบัติเหตุ

เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนที่แล้ว เด็กในเดือนนี้จะยิ่งไปไหน ๆ ได้ไกลขึ้น อันตรายจากอุบัติเหตุต่าง ๆ ย่อมมากขึ้น

เมื่อเด็กซนมาก คุณพ่อคุณแม่คงคิดอยากทำคอกกั้น ให้ลูกเล่นอยู่ในนั้น จะได้ปลอดจากอันตรายทั้งปวง ในขณะที่คุณแม่กำลังทำงาน แต่คอกกั้นต้องใหญ่พอสมควร (ประมาณ 3-4 ตารางเมตร) มิฉะนั้น เด็กจะไม่ยอมอยู่ มีเด็กบางคนซึ่งไม่ค่อยซน จะยอมนั่งเล่นอยู่อยู่ในคอกกั้น ซึ่งคุณพ่ออุตส่าห์ทำให้ (เพราะไม่ค่อยจะมีขาย)

แต่ก็มีเด็กจำนวนมาก โดยเฉพาะหนูน้อยจอมซน เจ้าตัวปัญหาทั้งหลายนั่นแหละ ที่มักจะไม่ยอมอยู่ในคอก แต่เจ้าหนูจะยืนจับไม้กั้นเขย่า และร้องไม่ยอมหยุด แข่งความอดทนกับคุณแม่ ว่าใครจะทนกว่ากัน

คุณแม่บางคนใจแข็ง ปล่อยให้ร้องสักวันสองวัน จนเจ้าหนูยอมแพ้ แต่ส่วนใหญ่คุณแม่นั่นแหละ จะเป็นฝ่ายยอมแพ้เสียก่อน

ถ้าที่บ้านพอจะมีห้องที่ยกให้เด็กเล่น ได้สักหนึ่งห้องก็จะดี แทนที่คุณแม่จะทำคอก ก็ทำแค่ไม้กั้นตรงประตูห้อง และระวังเด็กตกบันไดด้วย เก็บของอันตรายให้หมด มีแต่ของเล่นให้เด็กได้เล่น ในขณะที่คุณแม่ทำงานอยู่อีกห้องหนึ่งใกล้ ๆ ซึ่งเด็กมองเห็น เด็กจะพอใจมากกว่าอยู่ในคอก

อันตรายจากอุบัติเหตุอื่น ๆ เช่น ถูกของร้อน (เตารีด น้ำร้อน) กินของแปลกปลอม(ยา กระดุม ฯลฯ) กรุณาดูเรื่องอุบัติเหตุของเด็ก 8-9 เดือนอีกครั้ง




 

Create Date : 15 เมษายน 2553    
Last Update : 15 เมษายน 2553 12:27:03 น.
Counter : 204 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  

quosego
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add quosego's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.