Group Blog
 
All Blogs
 

เลือดแม่และลูกไม่เข้ากัน ภาวะที่ต้องระวัง!


หมู่เลือดเป็นสิ่งที่ถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูก นอกจากจะมีความสำคัญต่อการรับเลือดในกรณีเร่งด่วน (หากเสียเลือดมาก) การตรวจความเข้ากันของเลือดแม่และลูกก็เป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยป้องกันไม่ ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการเข้ากันไม่ได้ของเลือดแม่และลูกด้วย



ระบบหมู่เลือดที่คุณแม่ควรรู้

หมู่เลือด ABO เป็นระบบที่คุ้นเคยกันดี ในระบบนี้ แบ่งออกเป็น 4 หมู่ คือ A, B, AB และ O ซึ่งจะถูกกำหนดโดยโปรตีนที่เกาะบนผิวของเม็ดเลือดแดง โดยสารโปรตีนนี้คือ

‘แอนติเจน' (Antigen) เป็นตัวจำแนกหมู่เลือด ในระบบ ABO มีอยู่ 2 ชนิดคือสารโปรตีน A (Antigen-A) และสารโปรตีน B (Antigen-B)



ในกรณีที่คุณแม่ต้องการทราบว่าลูกมีหมู่เลือดใดในระบบ ABO สามารถคำนวณได้เองคร่าวๆ จากหมู่เลือดของคุณพ่อและคุณแม่ ได้ดังนี้

หมู่เลือด A + A
= มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด A หรือ O
หมู่เลือด B + B
= มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด B หรือ O
หมู่เลือด AB + AB
= มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด A หรือ AB หรือ B
(ยกเว้น O)
หมู่เลือด O + O
= มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด O เท่านั้น
หมู่เลือด A + B
= มีโอกาสได้ลูกเป็นหมู่เลือดใดก็ได้ ได้ทุกหมู่
หมู่เลือด A + AB
= มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด A หรือ AB หรือ B
(ยกเว้น O)
หมู่เลือด B + AB
= มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด A หรือ AB หรือ B
(ยกเว้น O)
หมู่เลือด AB + O
= มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด A หรือ B
หมู่เลือด A + O
= มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด A หรือ O
หมู่เลือด B + O
= มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด B หรือ O



การเกิดภาวะเลือดแม่และเลือดลูกไม่เข้ากันในระบบหมู่เลือด ABO มีสาเหตุจากแอนติบอดี้ในน้ำเลือดของคุณแม่สามารถซึมผ่านรกเข้าไปในเลือดของ ลูกในครรภ์ ซึ่งหากคุณแม่มีหมู่เลือด O ก็จะมีแอนติบอดี้ A และ B ผ่านไปยังลูกได้ ในกรณีนี้ถ้าลูกมีหมู่เลือด A, B หรือ AB ก็จะถูกแอนติบอดี้ที่ผ่านรกเข้าไปในเลือดของลูกทำลายทำให้เม็ดเลือดของลูก แตก แต่การไม่เข้ากันของเลือดแม่และลูกในหมู่เลือด ABO มักมีอาการไม่รุนแรงนัก มีเพียงร้อยละ 5 เท่านั้นที่เม็ดเลือดแดงของลูกแตกมากจนทำให้มีการปล่อยสารที่อยู่ในเม็ด เลือดแดงหรือ ‘บิลิรูบิน' (billirubin) สารที่มีสีเหลืองออกมาในกระแสเลือดมาเกาะที่ผิวหนังและเยื่อบุตาขาว ทำให้ทารกมีอาการตัวเหลือง ตาเหลืองหลังคลอดได้ แต่คุณแม่ไม่ต้องกังวลเพราะมีโอกาสที่ทารกได้รับอันตรายหรือเสียชีวิตใน ครรภ์น้อยมาก การไม่เข้ากันของเลือดแม่ และเลือดลูกชนิด ABO นี้พบได้บ่อยถึงประมาณร้อยละ 20 ของการตั้งครรภ์ และพบได้ตั้งแต่การตั้งครรภ์ครั้งแรกเลย



Rh...คืออะไร?

อาร์เอช (Rh) เป็นหมู่เลือดอีกระบบนอกเหนือจาก ABO เมื่อคุณแม่ไปฝากครรภ์ คุณหมอจะเจาะเลือดเพื่อตรวจดูว่าคุณแม่แต่ละคนมีหมู่เลือดชนิดใด โดยเจาะดูทั้ง 2 หมู่เลือด ซึ่งผลการตรวจจะรายงานว่าคุณแม่ มีหมู่เลือดแตกต่างกันอย่างไร เช่น คุณแม่บางรายอาจมีหมู่เลือด O, Rh+ ในขณะที่คุณแม่บางรายมีหมู่เลือด B, Rh- เป็นต้น ซึ่งหมู่เลือดนี้จะ ถ่ายทอดไปยังลูกด้วย โดยหมู่เลือดในระบบ Rh แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ

*หมู่เลือด Rh+ (Rh positive) จะมีแอนติเจนอยู่ในเม็ดเลือดแดง เป็นหมู่โลหิตธรรมดา ซึ่งในคนไทยมีหมู่เลือด Rh+ เป็นส่วนมากเกือบร้อยละ 100

*หมู่เลือด Rh- (Rh negative) ไม่มีแอนติเจนอยู่ในเม็ดเลือดแดง เป็นหมู่โลหิตหายากหรือหมู่โลหิตพิเศษ ในคนไทยมีหมู่เลือด Rh- ไม่ถึงร้อยละ 1 ซึ่งในร่างกายของคนที่มีหมู่เลือด Rh- ไม่รู้จักแอนติเจนในเม็ดเลือดแดง เมื่อได้รับเลือดจากหมู่เลือด Rh+ เข้าไป ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อทำลายเม็ดเลือดแดงนั้นๆ เพราะคิดว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม

ทั้งนี้ หมู่เลือด Rh ประกอบด้วยยีนของทั้งฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่มาจับคู่กัน ลูกจะมีเลือดกรุ๊ปอะไร เป็น Rh+ หรือ Rh- ก็ขึ้นอยู่กับยีนที่ลูกได้รับจะมียีนฝ่ายที่มีลักษณะเด่นแสดงออกมาเป็นกรุ๊ป เลือดหรือ Rh โดยอาจมีลักษณะด้อยเป็น Rh+ หรือ Rh- แฝงอยู่ด้วยก็ได้

Rh กับการตั้งครรภ์

ไม่ว่าคุณแม่จะมีเลือดกลุ่ม Rh+ หรือ Rh-ก็สามารถตั้งครรภ์ได้ตามปกติ ถ้าทั้งคุณพ่อและคุณแม่เป็น Rh+ หรือ Rh- ทั้งคู่ หรือคุณแม่เป็น Rh+ จะไม่มีปัญหากับการตั้งครรภ์ ยกเว้นคุณแม่ที่มีกลุ่มเลือด Rh- แต่ลูกในครรภ์มีกลุ่มเลือด Rh+ (เพราะอาจได้รับลักษณะเด่นมาจากคุณพ่อ) อาจทำให้เกิดปัญหาเลือดแม่และลูกไม่เข้ากันจึงต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะหากเลือดของลูกที่เป็น Rh+ เข้าสู่ร่างกายของแม่ทางรกหรือสายสะดือจากการเจาะน้ำคร่ำหรือในการคลอด จะทำให้ร่างกายคุณแม่สร้างภูมิต้านทานขึ้นมาทำลายเม็ดเลือดแดงของลูก

การป้องกันที่ดีที่สุดคือ การไปฝากครรภ์ตั้งแต่เนิ่นๆ หากตรวจพบการไม่เข้ากันของเลือดแม่และลูกในการตั้งครรภ์ครั้งแรก คุณหมอจะฉีดยาลดการสร้างภูมิต้านทานต่อเลือดของลูกให้เมื่อตั้งครรภ์ 28 สัปดาห์หรือหลังคลอดภายใน 72 ชั่วโมง เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดของแม่ไปทำลาย เม็ดเลือดแดงของลูกในการตั้งครรภ์ครั้งถัดไป แต่ก็ไม่มีปัญหาใดๆ สำหรับการคลอด ซึ่งคุณแม่ที่มีกลุ่มเลือด Rh- ยังสามารถคลอดได้ตามปกติ ในการตั้งครรภ์ครั้งแรกอาจไม่มีอาการผิดปกติใด แต่การตั้งครรภ์ที่ 2 คุณหมอจะเจาะเลือดคุณแม่เป็นระยะและฉีดยาเพื่อลดการสร้างภูมิต้านทานเลือด ของลูก รวมทั้งการเจาะน้ำคร่ำและเจาะเลือดลูกเพื่อดูความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดง เพราะภูมิต้านทานที่ร่างกายของแม่ สร้างขึ้นมาจะเข้าไปทำลายเม็ดเลือดแดงภายในร่างกายของลูกที่อยู่ในกลุ่ม Rh+ ให้แตกตัว ลูกจะมีภาวะซีด โลหิตจาง หัวใจทำงานหนักเพื่อ สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย อาจทำให้เกิดอาการบวมน้ำ ตับ, ม้ามโต หัวใจวาย หรือรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตในครรภ์ได้ ถึงอย่างไร การป้องกันเสียแต่เนิ่นๆ ย่อมดีกว่าแน่นอนค่ะ!

ที่มา : นิตยสาร Mother&Care




 

Create Date : 06 มิถุนายน 2553    
Last Update : 6 มิถุนายน 2553 13:31:10 น.
Counter : 349 Pageviews.  

ทำยังไงดี? เมื่อต้องจ้างพี่เลี้ยงต่างด้าว

วิถีชีวิตแบบครอบครัวเดี่ยวในสังคมปัจจุบัน เมื่อพ่อแม่ต้องออกจากบ้านไปทำงานทั้งคู่ ภาพปู่ย่าตายายที่มาคอยช่วยเลี้ยงหลานจึงค่อยๆ เลือนหายไป อาชีพพี่เลี้ยงเด็กจึงเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ซึ่งในสมัยก่อนพี่เลี้ยงเด็กจะมาจากต่างจังหวัด คนรู้จักแนะนำต่อกันมา แต่สมัยนี้พบว่าพี่เลี้ยงที่ได้รับความนิยมมากกลับเป็นบรรดาพี่เลี้ยงต่างด้าว



พี่เลี้ยงต่างด้าวมาจากไหน?

พี่เลี้ยงต่างด้าวในประเทศไทย มาจากแรงงานราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง สัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา ซึ่งจะมีตั้งแต่อายุน้อยๆ ไปจนถึงวัยกลางคน เมื่อมาเป็นพี่เลี้ยงหรือแม่บ้านก็จะพักอาศัยกินอยู่ที่บ้านของนายจ้าง ซึ่งการหาแรงงานเหล่านี้ ปัจจุบันพบได้ 2 ช่องทาง คือ
* มีนายหน้าจัดหามาให้แล้วจัดเก็บค่าหัวคิว โดยนายจ้างจะหักเงินส่วนนี้คืนจากค่าแรงในแต่ละเดือน
* จากคนรู้จักแนะนำต่อกันมา เช่น คนรู้จักจ้างแรงงานต่างด้าว จึงแนะนำญาติ หรือคนหมู่บ้านเดียวกันกับลูกจ้างของเขามาให้ ไม่ต้องเสียค่าหัวคิว

เหตุใดจึงได้รับความนิยม

1. แรงงานต่างด้าวค่าจ้างถูกกว่า ถ้าเทียบกับพี่เลี้ยงชาวไทยไม่ว่าจะมาจากศูนย์ หรือพี่เลี้ยงที่ติดต่อจากคนรู้จัก คนไทยจะคิดเดือนละ 7,000 บาทขึ้นไป ส่วนพี่เลี้ยงต่างด้าวนั้น มีตั้งแต่ 2,000 - 4,000 บาท

2. แรงงานต่างด้าวปกครองง่ายกว่า พี่เลี้ยงคนไทยจะมีปัญหาจุกจิก เช่น ลูกป่วย ญาติมีปัญหา ลากลับบ้าน หยุดตามเทศกาล ขอค่าชดเชยวันหยุด ซึ่งเมื่อเทียบกับพี่เลี้ยงต่างด้าวที่ไม่มีวันหยุด เพราะการกลับบ้านไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่มีใครแวดล้อม จะทำอย่างไรลูกจ้างก็ยอมเพราะอยู่ตัวคนเดียว เมื่อถือว่าพี่เลี้ยงต่างด้าวสามารถทำงานได้มากกว่าและมีปากเสียงน้อยกว่า จึงเป็นที่พึงพอใจของนายจ้าง

3. จากทัศนคติของชาวไทยที่รู้สึกว่า อาชีพแม่บ้านหรือพี่เลี้ยงเด็กต่ำต้อย และบางครั้งต้องรองรับอารมณ์ของนายจ้าง และรู้สึกเหงา โดดเดี่ยว ไม่ค่อยมีสังคม ต่างจากการทำโรงงานที่ค่อนข้างมีอิสระกว่า มีสังคม มีเพื่อน แม้จะมีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่ากิน ค่าที่พัก แต่ก็เป็นที่นิยมกว่า พี่เลี้ยงไทยจึงค่อยๆ ลดจำนวนลง

การจัดระเบียบของรัฐ

มีการออกประกาศให้มีการพาพี่เลี้ยงหรือแรงงานต่างด้าวไปขึ้นทะเบียน เพื่อสำรวจจำนวน ดูแลควบคุมเรื่องโรค ประกันสุขภาพ และควบคุมจำนวนแรงงานที่เข้ามาในไทย แต่เนื่องจากการขึ้นทะเบียนมีหลายขั้นตอน ต้องยื่นคำร้องขออนุญาต เตรียมเอกสาร มีการตรวจสุขภาพ และเสียค่าธรรมเนียม 3,800 บาท แบ่งเป็น ค่าตรวจสุขภาพ 600 บาท ค่าประกันสุขภาพ 1,300 บาท ค่าธรรมเนียมการยื่นขอใบอนุญาต ฉบับละ 100 บาท ค่าใบอนุญาตทำงานปีละ 1,800 บาท หากเทียบกับค่าตอบแทนที่แรงงานต่างด้าวได้รับ ก็ถือว่าเป็นจำนวนที่มากพอสมควร หากนายจ้างจะออกให้ ก็ไม่คุ้มค่า ดังนั้นส่วนมากจึงเลือกวิธีการไม่ไปขึ้นทะเบียน หลบหนีตำรวจโดยให้พี่เลี้ยงอยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปไหน

ปัญหาระดับชาติที่ไม่อาจมองข้าม

คนไทยมีน้ำใจ เห็นอกเห็นใจ และมักจะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับผู้ด้อยโอกาสกว่าเสมอ แต่การไหลทะลักเข้ามาของแรงงานต่างด้าวในไทยก็เป็นเรื่องที่เราไม่อาจมอง ข้ามไปได้ เพราะปัจจุบันนี้เพียงในกรุงเทพฯ จังหวัดเดียว มีจำนวนแรงงานต่างด้าวที่มายื่นคำร้องขอจดทะเบียนทั้งสิ้นถึง 208,816 คนเลยทีเดียว

เป็นชาวพม่า 128,553 คน ชาวลาว 53,920 คน กัมพูชา 26,343 คน ซึ่งข้อมูลที่ปรากฏนี้เป็นเพียงตัวเลขการจดทะเบียนที่ถูกต้องเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง ยังมีแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้ามาในประเทศไทยโดยไม่ได้ขึ้นทะเบียนอีกไม่ น้อยกว่า 1 ล้านคนเลยทีเดียว

ปัญหาเริ่มตั้งแต่การลักลอบเข้ามาในประเทศไทย ตามที่เคยมีข่าวปรากฏว่ามีแรงานต่างด้าวเบียดเสียดยัดเยียดกันบนรถจนขาด อากาศหายใจตายกันไปเหมือนผักปลา ปัญหาชาวกระเหรี่ยงที่ไม่ได้รับรองสัญชาติพม่าจึงไม่สามารถจดทะเบียนได้ รวมไปถึงการเข้ามาจำนวนมากจนกระทั่งสามารถรวมตัวกันกลายเป็นชุมชนแออัดขนาด ใหญ่ในหลายจุดของประเทศไทย มีปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด เด็กต่างด้าวที่เกิดในประเทศไทยไม่ได้รับการศึกษา บางหน่วยก็ต้องแบกรับภาระดึงงบประมาณของประชาชนที่มีอย่างจำกัดเพื่อไปดูแล ควบคุมชุมชนเหล่านี้เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย

ผลกระทบโดยตรงต่อลูก

จะพบปัญหาจากพี่เลี้ยง ต่างด้าวที่มีผลต่อลูกหลายประการ คือ

พฤติกรรมของลูกวัยเลียนแบบ เด็กวัยเตาะแตะจะซึมซับพฤติกรรมมาจากผู้เลี้ยงดู ซึ่งในกรณีนี้คงจะเป็นพี่เลี้ยงชาวต่างด้าวนั่นเอง เห็นได้จากพฤติกรรมเลียนแบบการตะโกนใส่หน้าเพื่อนที่เห็นได้จากตัวอย่างข้าง ต้น และยังมีในเรื่องของความมีระเบียบวินัย ระบบความคิด และลักษณะนิสัยใจคอที่อาจยังไม่แสดงผลในช่วงวัยเด็ก แต่จะถูกบันทึกไว้ในระบบความคิดของลูกไว้ก่อน แล้วสร้างปัญหาในระยะยาวได้

การจดจำรูปแบบภาษาที่ไม่ถูกต้อง เด็กเริ่มเรียนรู้การใช้ภาษาจากการฟัง และจดจำรูปแบบนั้นไว้ในสมองเรื่อยมา ข้อมูลเหล่านั้นจะค่อยๆ ฝังรากลึกในระบบความจำทีละเล็กน้อย เมื่ออวัยวะในการออกเสียงเริ่มพร้อม ลูกก็จะทดลองออกเสียงแล้วพัฒนาการพูดจนได้เสียงตรงตามที่บันทึกไว้ ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อลูกเริ่มต้นเรียนรู้ภาษาด้วยการอยู่กับผู้ที่ใช้ภาษา ไม่ถูกต้อง ในช่วงเวลาที่สำคัญของชีวิต สมองของลูกก็จะบันทึกรูปแบบเหล่านั้นเข้าไปในระบบความจำ ซึ่งในเด็กปกติทั่วไป ช่วงแรกๆ ของการหัดใช้ภาษาหรือก่อนวัยเรียน ลูกอาจพูดไม่ชัดได้ แต่ถ้าสมองได้บันทึกการใช้ภาษาที่ถูกต้องเอาไว้แล้ว ไม่นานนักเมื่ออวัยวะในการออกเสียงพร้อม ลูกก็จะสามารถพูดชัดได้เอง

แต่สำหรับเด็กที่สมองถูกบันทึกภาษาที่ผิดรูปแบบมาตั้งแต่แรก การจะแก้ไขปัญหานี้ก็เปรียบเทียบได้กับการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศในคนไทย ที่หากให้เริ่มเรียนรู้ตั้งแต่เด็ก จะทำได้ดีกว่าผู้ใหญ่ การแก้ไขปัญหารูปแบบภาษาผิดๆ ที่ฝังลึกในสมองเด็กก็เช่นเดียวกัน เป็นเรื่องใหญ่และยุ่งยากมากกว่าการป้องกันหลายเท่าตัวนัก เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรมองข้าม

พฤติกรรมที่ไม่น่าไว้ใจของพี่เลี้ยง ที่พบได้ทั้ง เรื่องการโกหก ลักขโมย และที่ดูน่ากลัวที่สุดเห็นจะเป็นกรณีที่พาน้องออกไปหาเพื่อนนอกบ้าน ลองคิดดูเล่นๆ ว่า หากวันนั้นเขาไม่พาน้องกลับมา จะเกิดอะไรขึ้น เรื่องคดีลักเด็ก ขโมยเด็กไปตัดอวัยวะ จับไปนั่งขอทาน หรือไปขายต่างประเทศกันอยู่ตลอดมา

ปัญหาความขัดแย้งระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง อาจจะเป็นเรื่องพฤติกรรมไม่เหมาะสมของพี่เลี้ยงที่ทำให้ถูกไล่ออก หรือความไม่พอใจจากการทำงานที่ลูกจ้างมีต่อนายจ้าง เราจะพบว่าทางออกของปัญหานี้ที่หลายๆ คนเลือกคือวิธีการให้ออก แล้วหาคนใหม่ แต่ก็มักจะเป็นข่าวว่ามีคดีแรงงานต่างด้าวที่ถูกไล่ออกย้อนกลับมาปล้นนาย จ้างเพื่อแก้แค้นและฆ่าชิงทรัพย์ปรากฏให้เห็นเป็นระยะ

ทำอย่างไรถ้าต้องจ้างพี่เลี้ยงต่างด้าว?

1. ตรวจสอบประวัติ ความเป็นมาว่าไม่มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรม ไม่มีประวัติการกระทำผิดต่อเด็กหรือละเมิดสิทธิเด็ก ไม่เป็นผู้วิกลจริตไม่สมประกอบ ไม่ติดสารเสพติดทุกชนิด โดยอาจติดต่อสอบถามจากเจ้านายเก่าว่าความประพฤติที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง สาเหตุของการออกจากบ้านเดิม

2. เลือกพี่เลี้ยงที่มีสุขภาพแข็งแรง ทางที่ดีควรพาไปตรวจสุขภาพเพื่อให้มั่นใจว่าไม่เป็นโรคร้ายแรงหรือโรคติดต่อ หากมีโรคแม้เล็กๆ น้อยๆ เช่น เป็นเหา ก็ควรพาไปรักษาเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดมาถึงลูกได้

3. สังเกตบุคลิกภาพและลักษณะนิสัยของพี่เลี้ยง ทั้งจากการพูดคุยสัมภาษณ์ และการแสดงออกกับลูกว่าเป็นอย่างไรบ้าง พี่เลี้ยงควรมีพื้นฐานอารมณ์ที่ดี ใจเย็น รักเด็ก มีความอดทน และมีความเข้าใจเรื่องเด็กอยู่บ้าง เมื่อรับเข้ามาทำงานแล้ว หมั่นสังเกตลูกว่ามีปฏิกิริยาอย่างไรกับพี่เลี้ยง

4. ฝึกสอนเรื่องการรักษาความสะอาด และระเบียบวินัยภายในบ้านให้กับพี่เลี้ยง เพื่อจะได้คอยดูแลสภาพแวดล้อมรอบตัวให้เหมาะกับการเจริญเติบโตของลูกอย่าง ปลอดภัย

5. แจ้งรายละเอียดงานให้ชัดเจน ตกลงเรื่องเงินเดือนและหน้าที่รับผิดชอบให้พี่เลี้ยงเข้าใจตั้งแต่เริ่มต้น จัดวันหยุดพักผ่อนและสวัสดิการให้ตามสมควร หากเพิ่มงานให้ควรถามความยินยอมของเขาก่อน และให้เงินเพิ่มตามงานด้วย เพื่อป้องกันความคับข้องใจที่อาจสร้างปัญหาใหญ่ในภายหน้าได้

6. จัดบรรยากาศแวดล้อมให้ปลอดภัย ไม่เอื้อต่อการกระทำความผิด ทั้งการเก็บทรัพย์สินมีค่าไว้ให้มิดชิด เพื่อนบ้านและคนในบ้านคอยเป็นหูเป็นตา (แต่ไม่ต้องถึงกับจับผิดจนพี่เลี้ยงรู้สึกอึดอัด)

7. ควรพาพี่เลี้ยงที่ยังไม่มีใบอนุญาตไปขึ้นทะเบียนให้ถูกต้อง เพราะจะได้มีหลักประกันสุขภาพ ไม่ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ หนีการจับกุมของตำรวจหากเขาไม่ได้ทำผิดอะไร และรัฐจะได้มีฐานข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับจำนวนแรงงานต่างด้าวในประเทศ เพื่อวางแผนการพัฒนาประเทศในอนาคตต่อไป

** ชวนคิด **

อยากให้คุณพ่อคุณแม่ลองถามตัวเองก่อนว่า สามารถไว้ใจปล่อยให้ลูกซึ่งเป็นแก้วตาดวงใจให้อยู่กับพี่เลี้ยงแปลกหน้าตาม ลำพังหรือ ยังมีทางออกอื่นอีกหรือไม่ บางครั้งอัศวินขี่ม้าขาวที่สามารถมาช่วยคุณพ่อคุณแม่แก้ปัญหาช่วยเลี้ยงลูก ก็อาจอยู่ไม่ไกลเลย ท่านก็คือคุณปู่ คุณย่า คุณตา และคุณยายของหลานๆ นั่นเอง ก่อนจ้างพี่เลี้ยง เราได้ลองเอ่ยปากถามไถ่ท่านหรือยังว่าอยากมาดูแลหลานหรือไม่ บางครั้งท่านอาจอยากมาอยู่ดูแลใกล้ๆ แต่อาจไม่กล้าพูดเพราะเกรงใจก็เป็นได้

ข้อสำคัญที่สุด ขอให้ระลึกเสมอว่าพี่เลี้ยงเป็น เพียงตัวช่วยหนึ่งเท่านั้น ไม่ควรคิดว่าเมื่อจ้างพี่เลี้ยงแล้วต้องใช้ให้คุ้ม ให้ลูกอยู่กับพี่เลี้ยงตลอดเวลา เพราะความรักความอบอุ่นและเวลาที่คุณพ่อคุณแม่มีให้ ถือเป็นสิ่งที่มีคุณค่าต่อพัฒนาการของลูกเสมอค่ะ

ที่มา : นิตยสาร Mother&Care




 

Create Date : 06 มิถุนายน 2553    
Last Update : 6 มิถุนายน 2553 13:18:29 น.
Counter : 292 Pageviews.  

5 เรื่องควรรู้ ก่อนพาลูกเที่ยวทะเล


ก่อนออกเที่ยวทะเล เพลิดเพลินกับธรรมชาติในช่วงหน้าร้อน คุณพ่อคุณแม่ควรสอนลูกเตรียมพร้อมเรื่องความปลอดภัย ด้วยข้อมูลต่อไปนี้ค่ะ

1. แสงแดด

ผิวหนังของลูกอาจถูกแดดแผดเผา และอาจมีอาการปวดแสบปวดร้อนได้ ถ้าลูกเล่นน้ำในช่วงที่แดดแรงจัด โดยเฉพาะในวันที่อากาศร้อนกว่าอุณหภูมิปกติของร่างกาย และมีความชื้นสูง ร่างกายจะไม่สามารถระบายความร้อนได้ดี อาจทำให้ลูกมีอาการเป็นลมแดด

** Safety First **

ควรจัดเวลาในการเล่นน้ำที่ปลอดภัย จากแสงแดด ซึ่งก็คือช่วงเช้า-10.00 น. และหลังจากบ่าย 3 โมง อีกหนึ่งวิธีปกป้องผิวของลูก ด้วยการทาครีมกันแดด ก่อนที่จะลงเล่นน้ำประมาณ 30 นาที และหลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่แดดแรงจัดในช่วงพักเที่ยง

2. หาดทราย

ช่วงที่น้ำทะเลลง มักจะมีเปลือกหอย หรือเศษแก้ว เศษขวด ฝากระป๋องต่างๆ อยู่บนริมชายหาด หากลูกไม่ทันระมัดระวังหรือเผลอเดินไปเหยียบก็อาจเป็นแผลที่เท้า

** Safety First **

ควรเลือกหาดที่มีทรายละเอียด หรือค่อนข้างเรียบ ตรวจตรา สำรวจดูบริเวณที่จะเล่นว่าไม่มีเศษแก้ว เศษขยะหรือเปลือกหอยที่แหลมคมมากมาย ที่เป็นต้นเหตุทำให้ลูกบาดเจ็บ และต้องสอนลูกให้รู้จักดูและระมัดระวังตัวเอง ด้วยอีกชั้นหนึ่ง

3. คลื่น

เด็กๆ มักสนุกกับการตัก ขุด เล่นกับทรายริมชายหาด จนบางครั้งอาจ ไม่ทันรู้ตัวก็ถูกคลื่นซัด โดยเฉพาะช่วงที่น้ำขึ้น คลื่นจะแรง และชายหาดก็มีความลาดชันสูง อาจทำให้หกล้มเสียหลัก เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย

** Safety First **

คุณพ่อคุณแม่ต้องระวัง ดูแลลูกอย่างใกล้ชิด ไม่ปล่อยให้ลูกเล่นน้ำหรือสนุกกับการเล่นทรายเพียงลำพัง หรืออยู่นอกสายตาที่คุณมองเห็น

4. การว่ายน้ำ

อาการหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ใน ขณะที่มีการว่ายน้ำ ก็คือเรื่องตะคริวค่ะ ซึ่งเกิดจากการทำงานหนักของกล้ามเนื้อ จนเกิดการหดตัวของกล้ามเนื้ออย่างรวดเร็ว

** Safety First **

ควรให้ลูกออกกำลังกายแบบเบาๆ ก่อนลงเล่นน้ำสัก 15 นาที เพื่อให้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ มีการขยายตัว พร้อมกับการใช้งาน และการใส่ห่วงยางชูชีพสำหรับน้องหนูที่ยังว่ายน้ำไม่เป็น ก็เป็นการป้องกันอุบัติเหตุได้อย่างดี

5. แมงกะพรุนไฟ

เมื่อผิวหนังสัมผัสกับแมงกะพรุน ไฟ อาจทำให้มีอาการผื่นคัน หรือถ้ามีอาการมากก็ทำให้ปวดแสบ ปวดร้อน แดงพองคล้ายอาการน้ำร้อนลวก

** Safety First **

ควรให้ข้อมูลในการสังเกตลักษณะแมง กะพรุน เพื่อให้ลูกรู้จักระมัดระวังและเลี่ยงการสัมผัส หรือสังเกตป้ายเตือน บริเวณที่ลูกจะลงเล่นน้ำค่ะ

ที่มา : นิตยสาร Mother&Care




 

Create Date : 06 มิถุนายน 2553    
Last Update : 6 มิถุนายน 2553 13:07:38 น.
Counter : 321 Pageviews.  

สารเคมีที่คนท้องต้องระวัง!


ในการใช้ชีวิตประจําวันคงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเผชิญกับสารเคมี ที่มากับเครื่องอุปโภค บริโภค และ มลภาวะต่างๆ รอบตัว จึงจำเป็นจะต้องป้องกันตัวเองให้ห่างจากสารเคมีที่อันตราย โดยเฉพาะในช่วงที่ตั้งท้องด้วยแล้ว สารเคมี ที่คุณแม่ได้รับจะส่งผลไปสู่ลูกน้อยด้วย ดังนั้น คุณแม่จึงต้อง หลีกเลี่ยงและป้องกันตัวเองจากสารเคมีเหล่านั้นเพื่อสุขภาพของตัวคุณแม่และ ลูกน้อยในท้องค่ะ

** สารตะกั่ว **

มักพบใน สีทาบ้าน หรืออาจปนเปื้อนมาในอาหาร อากาศ และน้ำ ควันจากท่อไอเสียรถยนต์และโรงงานอุตสาหกรรม

หากแม่ท้องสูดอากาศที่มีสารตะกั่วเข้าไปจะเป็น อันตรายต่อระบบสืบพันธ์ุ เพราะสารตะกั่วจะสะสมอยู่ในกระดูกและเม็ดเลือดได้นาน สามารถซึมผ่านรกไปสู่ทารกในท้องได้ โดยระดับตะกั่วในสายสะดือจะมีค่าเท่ากับระดับตะกั่วในเลือดของแม่ ซึ่งพิษของสารตะกั่วจะทําลายสมองและระบบประสาท ตับ ไต หัวใจ ทางเดินอาหาร ทําให้ทารกแรกเกิดมีอาการพิการทางสมอง ตาบอด หูหนวก หรือเสียชีวิตได้ นอกจากนี้สารตะกั่วยังไปทําลายอวัยวะต่างๆ หรือหยุดยั้งการเจริญเติบโตของอวัยวะบางส่วนของทารกด้วย

นอกจากทารกในท้องจะสามารถรับสารตะกั่วจากแม่ได้ทางสายสะดือแล้ว เด็กอาจได้รับสารตะกั่วจากการหยิบสิ่งที่มีสารตะกั่วปนเปื้อนเข้าปาก หรือรับจากน้ำนมแม่ที่มีสารตะกั่วได้เช่นกัน คุณแม่ท้องจึงต้องระมัดระวังไม่ไปในสถานที่หรือกินอาหารในที่ที่ใกล้กับ แหล่งที่มีควันพิษจากรถยนต์หรือโรงงานอุตสาหกรรม และควรพกผ้าปิดจมูกติดตัวไว้เพื่อป้องกันมลพิษเสมอ

** สารปรอท **

พบปนเปื้อนอยู่ในอากาศ น้ำ และดินจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิง การเผาขยะ ในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ตามบ้านเรือน ปนเปื้อนในเครื่องสําอาง และอาหาร โดยเฉพาะอาหารทะเลจะพบมากในสัตว์ทะเลตัวใหญ่

สารปรอทสามารถเข้าสู่ร่างกายได้โดยตรงจากการหายใจ การสัมผัสทางผิวหนัง การกินอาหารและน้ำที่ปนเปื้อนสารปรอท นอกจากนี้ สารปรอทที่อยู่ในรูปของเหลวยังสามารถระเหยเป็นไอได้ ซึ่งอยู่ในปรอทวัดไข้ ในกรณีที่เทอร์โมมิเตอร์แตกและหายใจไอปรอทเข้าไป สารปรอทจะดูดซึมเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือดทันที แล้วกระจายไปยังสมองและส่วนอื่นของร่างกายอย่างรวดเร็ว ปรอทจะจับยึดเม็ดเลือดแดงแล้วกระจายไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย ไปทําลายเนื้อเยื่อสมองส่วนควบคุมการมองเห็นและความรู้สึก สารปรอทยังสามารถผ่านทางรกไปยังทารกในท้องได้ด้วย

คุณแม่ท้องสามารถหลีกเลี่ยงสารปรอทได้ด้วยการไม่เข้าใกล้ในสถานที่ที่มี การเผาไหม้ของขยะหรือเชื้อเพลิงต่างๆ เลือกใช้เครื่องสําอางที่มีส่วนผสมหรือผลิตจากธรรมชาติแทนการใช้เครื่อง สําอางที่เป็นสารเคมี ล้างอาหารทะเลให้สะอาดทุกครั้งก่อนนํามาปรุงอาหารและไม่กินอาหารทะเลที่ปรุง ไม่สุก

** สารหนู **

มักพบปนเปื้อนอยู่ในผัก ผลไม้ น้ำดื่ม อาหารทะเล เครื่องสําอาง ยาแผนโบราณ และยากําจัดศัตรูพืช หากร่างกายได้รับสารหนูทางการหายใจหรือจากการกินอาหารที่ปนเปื้อน เมื่อสารหนูเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะถูกดูดซึมสู่กระแสเลือด ก่อนไปยังอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย และจะถูกขับออกทางปัสสาวะ อุจจาระ แต่บางส่วนจะสะสมอยู่ในเลือด เล็บ และเส้นผม

ทารกที่ได้รับสารหนูที่ปนเปื้อนในน้ำนมแม่ จะทําให้มีระดับสารหนูในเลือดสูง เกิดภาวะโลหิตจาง มีจํานวนเม็ดเลือดขาวน้อยลง และการเต้นของหัวใจผิดปกติ นอกจากนี้ยังมีอาการผิวหนังลอกและโปรตีนขับออกมาในปัสสาวะด้วย ซึ่งคุณแม่ท้อง สามารถป้องกันได้โดยล้างผัก ผลไม้ให้สะอาดทุกครั้งก่อนนําไปปรุงอาหาร

ที่มา : นิตยสาร Mother&Care




 

Create Date : 06 มิถุนายน 2553    
Last Update : 6 มิถุนายน 2553 12:58:12 น.
Counter : 480 Pageviews.  

ปัญหาน่ารู้เรื่องหม่ำของเบบี๋


      ช่วงเริ่มต้นอาหารเสริม คุณแม่มักเป็นกังวล สงสัย ไม่สบายใจกับเรื่องหม่ำๆ ของลูกพอควร เราจึงหยิบยกตัวอย่างด้วยคำถามมานำเสนอ พร้อมๆ กับคำแนะนำมาฝากค่ะ

ผัก : ทำอย่างไร ให้เด็กๆ ชื่นชอบผัก?

      ผัก : ผักบางชนิดมีกลิ่นฉุน เช่น ผักชี ต้นหอม อาจทำให้ลูกไม่ชื่นชอบผัก จึงยังไม่ควรนำมาประกอบอาหารในช่วงต้น การเตรียมผักในรูปแบบที่เหมาะสม เช่น ทำให้สุกหรือบดละเอียด ถ้าโตพอที่จะเคี้ยว กลืนอาหาร การต้มหั่นเป็นแท่ง เช่น แครอท ฟักทอง เพื่อให้ลูกหยิบจับ กัด สนุกกับการกินผัก ระวังเรื่องความสะอาด เพราะหากลูกกินผักดิบๆ ไม่ผ่านการต้มให้สุกเสียก่อน ก็อาจท้องเสียได้

ไข่แดง : จะเริ่มกินได้ ตอนไหน เท่าไรดี?

      ไข่แดง : ช่วง เดือนที่ 6 ก็เริ่มได้แล้ว แต่จะให้สบายใจ ไม่มีผลกับลูกควรค่อยๆ ป้อนทีละนิดทีละน้อย เพื่อสังเกตอาการเรื่องแพ้ ส่วนไข่ขาวจะมีส่วนประกอบของอัลบูมิน เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ได้ง่าย ควรรอสัก 9 เดือนไปแล้วค่อยเริ่มหม่ำไข่ขาวดีกว่า

ขนมปัง : มีข้อดี-ข้อเสีย อย่างไร?

      ขนมปัง : ขนมปังแบบแท่ง อาจช่วยลดอาการคันเหงือกและฝึกการเคี้ยวได้ ส่วนขนมปังแบบแผ่นควรทำให้ เป็นชิ้นเล็กกินได้ง่าย และควรเริ่มหลังจากฟันขึ้น เลือกชนิดจืด ปราศจากสารปรุงแต่งรสจะดีกว่า และไม่ให้มากเกินไป เพราะจะทำให้ลูกกินนมน้อยลง ที่สำคัญคือ คุณแม่ต้องดูแลใกล้ชิด ป้องกันขนมปังติดคอลูกขณะที่กิน

เต้าหู้ : แบบไหนดีกับลูกน้อย?

      เต้าหู้ : หากลูกไม่ติดอยู่ในกลุ่มเสี่ยง มีอาการแพ้ถั่วเหลือง ก็สามารถเริ่มกินได้เมื่อหลัง 6 เดือน อาจ เริ่มจากเต้าหู้ชนิดนิ่มเมื่อเคี้ยวเก่งขึ้น อาจเปลี่ยนเป็นเต้าหู้ก้อนหรือชนิดที่มีส่วนผสมของไข่ โดยหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เริ่มจากปริมาณที่น้อยก่อน เมื่ออายุมากขึ้นเกิน 1 ปี ก็สามารถกินได้ตามปกติเหมือนผู้ใหญ่

เนื้อสัตว์ : กินได้ เมื่อไร และชนิดใด?

      เนื้อสัตว์ : เนื้อหมู, ไก่ เริ่มกินได้ ก่อนใคร แต่กับเนื้อปลา ควรเริ่มจากปลาน้ำจืด เพราะโอกาสที่เด็กจะมีอาการแพ้น้อยกว่าปลาทะเลแต่ต้องระวังเรื่อง ก้างให้มากที่สุด ส่วนเนื้อสัตว์ประเภทที่มีเปลือกแข็ง เช่น กุ้ง ปู หากมีประวัติภูมิแพ้หรือแพ้ควรรอจนอายุ 1-2 ปี

ข้าวกล้อง : ทดแทน ข้าวหอมได้หรือเปล่า?

      ข้าวกล้อง : ข้าวกล้องเป็นอาหารที่ย่อยยาก เมื่อเทียบกับข้าวหอมปกติ หากจะเลือกข้าวกล้องเป็นอาหารสำหรับลูก ควรทำให้นิ่มด้วยการนำข้าวกล้องมาแช่น้ำ หรือตุ๋นข้าวให้นานกว่าข้าวหอมปกติ แค่นี้ก็เป็นมื้อเพื่อสุขภาพง่ายๆ ของลูก

ผลไม้ : ที่เหมาะกับเด็กวัยเริ่มอาหารเสริม?

      ผลไม้ : เป็นผลไม้เนื้อนิ่ม ขูดง่าย ละเอียด อย่างกล้วยหรือมะละกอ เพื่อสะดวกต่อการกลืนในช่วงเริ่มอาหารเสริมใหม่ๆ อย่าเผลอให้ผลไม้ประเภทเนื้อแข็ง เพราะทำให้สำลัก ติดคอได้ หากโตขึ้นมาหน่อย อาจให้ลูกอร่อยกินผลไม้หั่นเป็นชิ้น เป็นอัน จับถือกินเอง ก็ทำได้ ส่วนน้ำผลไม้ เช่น น้ำแอปเปิ้ล น้ำสั้มคั้นเอง สามารถเลือกกินได้ตามปกติ แต่ระวังเรื่องความสะอาดเป็นพิเศษป้องกันลูกท้องเสีย หากลูกมีปัญหาเรื่องการขับถ่าย น้ำลูกพรุน ก็น่าจะเหมาะ แต่ก็ต้องกินทีละน้อย โดยผสมกับน้ำสุก เพื่อให้เจือจางรสชาติจะได้ไม่เข้มข้นเกินไป

อาหารสำเร็จรูป : เพื่อลูกน้อยดูกันที่อะไร?

      อาหารสำเร็จรูป : หลักๆ คือเรื่องวัน เดือน ปีที่ผลิตและวันหมดอายุ เรื่องคุณค่าสารอาหารที่เหมาะสมกับช่วงวัยของลูก เพราะแต่ละยี่ห้อก็แตกต่างกันตามวัตถุดิบที่นำมาประกอบปลอดจากสารปรุงแต่งรส เพราะทำให้ลูกติดในรสชาติ เช่น รสหวาน ไม่ดีต่อสุขภาพในระยะยาว หากเป็นไปได้ การที่คุณแม่ซื้ออาหารสด มาจัดเตรียมปรุงอาหารด้วยตัวเอง จะช่วยให้คุณมั่นใจเรื่องความสดสะอาด ทำกินได้หลายมื้อคุ้มค่ากับการลงทุน ซื้ออาหารมาทำให้ลูก

ที่มา: Mother & Care




 

Create Date : 28 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 28 พฤษภาคม 2553 11:13:28 น.
Counter : 332 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  

quosego
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add quosego's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.