Group Blog
 
All Blogs
 

บทสัมภาษณ์เจ้าของบูติกโฮเต็ลแห่งหนึ่ง ตอนที่ 2

๘คุณคาดหวังว่าโรงแรมของคุณจะมีชื่อเสียง หรือ มีคุณภาพที่ดีที่สุดในระดับไหน
แค่คาดหวังไว้ว่า ลูกค้าจะมาแม่สอด ก็นึกถึงที่นี้เป็นอันดับแรก หรืออยู่ในตัวเลือก 3 อันดับแรกก็พอใจแล้ว ด้านคุณภาพจะพยายามรักษาให้อยู่ในระดับอย่างต่ำต้อง ดี คือ ห้องต้องสะอาด สะดวก สบาย ปลอดภัย และที่สำคัญจะพยายามให้ปลอดโสเภณี 100%
๙ประสบการณ์ที่แปลกและน่าตื่นเต้น หรือ น่าจดจำที่สุดจากการทำโรงแรมของคุณคืออะไร
เหตุการณ์ที่น่าจดจำที่สุด น่าจะเป็น ลูกค้าต่างชาติ (เวียดนาม) เดินเข้ามาคนเดียวเปิดห้อง บอกว่าจะอยู่แค่ 6 โมงเย็น เพราะต้องขึ้นรถไปต่างจังหวัด แล้วเมาจนพูดไม่รู้เรื่อง ส่งเสียงดัง บอกว่าจะมีเพื่อนมาหาเยอะมาก และพูดอะไรก็ไม่รู้ หัวเราะคนเดียว โวยวายคนเดียว เตะแก้ว เตะขวดล้มในห้อง พอใกล้เวลาต้องเช็คเอาท์ บอกว่าไม่ไปแล้วจะอยู่ต่อ เลยบอกไปว่าไม่ได้ มีลูกค้าท่านอื่นจองมาแล้ว ตอนแรกแจ้งว่าจะอยู่แค่ 6 โมงเย็น เขาก็ไม่ยอม บอกว่าจะมีเพื่อนมาหาเยอะแยะ แล้วก็เดินกลับเข้าห้องไป ประตูก็ไม่ปิด แล้วเอะอะโวยวาย เป็นภาษาเวียดนาม (เหมือนด่าอะไรสักอย่าง) แล้วก็ล้มฟุบนอนบนพื้น (แอบไปดู เพราะไม่ปิดประตูห้อง) สุดท้ายเลยต้องโทรเรียกตำรวจมาช่วยเคลียร์ เอาไปสงบสติ อารมณ์ที่โรงพัก ตอนแรกก็ไม่ยอม เอาพาสปอร์ตให้ดู เดินก็ไม่ไหว ต้องพยุงกันไป ตอนนั้นกลัวมาก แขกท่านอื่นก็มาถามว่าเขาเป็นอะไร

๑๐อะไรคือส่วนที่คุณพอใจมากที่สุด หรือ ไม่พอใจมากที่สุด เกี่ยวกับโรงแรมของคุณ
สิ่งที่พอใจคงเป็น คือการที่เราดูแลทั่วถึงทุกห้อง เนื่องจากเป็นโรงแรงขนาดเล็ก ส่วนที่ไม่พอใจ คือ สวน....ปลูกต้นไม่ยังไง มันก็ไม่โต เอาต้นใหญ่มาลง ก็ตายไปหลายต้น ทำให้ดูแห้งแล้ง

๑๑อะไรที่ได้รับการชื่นชมมาก หรือ ถูกกล่าวถึงมากที่สุด เกี่ยวกับโรงแรมของคุณ
ส่วนใหญ่ลูกค้ามักบอกว่า ดูอบอุ่น เป็นกันเอง และเงียบสงบ หลับสบาย

๑๒เมื่อเปิดโรงแรมแล้ว วิถีชีวิตของคุณเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
เปลี่ยนไปมาก การทำโรงแรม และต้องดูแลเองทุกส่วน ไม่ได้จ้างพนักงาน ทำให้การใช้ชีวิตจากเดิมนอน 4-5 ทุ่ม กลายเป็นนอนอย่างต่ำตอน เที่ยงคืน บางคืนลูกค้ายังไม่มาเช็คอิน รอถึงตี 2 ก็ยังมี หรือบางคืนคิดว่าคงไม่มีลูกค้าแล้ว ปิดประตูบ้าน (เราไม่ได้เป็น 24 ชั่วโมง) ตี 3 ลูกค้าโทรเข้ามาถามหาห้องพัก การไปเที่ยวต่างจังหวัดแบบเคย ทำได้น้อยลง เพราะโรงแรมไม่มีวันหยุด ไม่มีวันปิด จะไปไหนต้องหาคนมาดูแลแทน ต้องรบกวนญาติพี่น้องที่ไว้ใจได้มาช่วยดูแลให้ ถ้าจะให้จ้างพนักงาน เดือนหนึ่งขั้นต่ำ 7000 บาท ก็ต้องขึ้นราคาค่าห้องพัก แต่ทุกวันนี้ยังมีลูกค้าบางท่านว่าราคาแพง (490 รวมอาหารเช้า) ขอ 350 ได้มั้ย ขอ 400 ได้มั้ยเลย

๑๓คุณพอใจผลตอบแทนทางธุรกิจที่ได้กลับมาหรือไม่
พอใจนะในระยะช่วงแรก อาจจะลำบากหน่อย เพราะต้องผ่อนธนาคาร แต่หลังจากผ่อนหมด (7ปี) ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ ถือว่าพอใจมากในผลตอบแทนเลยทีเดียว

๑๔คุณคิดว่าอะไรเป็น คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของเจ้าของโรงแรมที่ดี
งานบริการ สิ่งสำคัญคือ ต้องใจเย็น เพราะเราเจอลูกค้าหลายแบบ การใจเย็นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของคนทำโรงแรม จะดีจะร้ายก็ยิ้มไว้ก่อน แต่การใจเย็นต้องมีขอบเขตจำกัด บางทีถ้าลูกค้ามาเยอะสิ่ง แบบมาถึงก็ตินู้น นี่นั้น ก็ต้องหาวิธีพูดปฏิเสธลูกค้าไป แบบบัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น แต่ให้เขารู้ว่าเราหมายถึง ติกันขนาดนี้ไปพักที่อื่นเถอะ


๑๕คุณคิดว่าแนวโน้มในอนาคตของธุรกิจบูติคโฮเต็ลจะเปนอย่างไร
สำหรับที่นี้ธุรกิจโรงแรมที่พัก กำลังบูมมาก จากตอนก่อนจะสร้างสำรวจตลาด มีโรงแรมระดับกลาง-ใหญ่ อยู่ 7 ที่ แต่ตอนนี้พุดกันเป็นดอกเห็ด น่าจะรวม ๆ แล้วมีโรงแรมมากถึง 20 กว่า ๆ น่าจะได้ แต่โดยรวมบูติคโฮเต็ล ถ้าจับทางถูก ตกแต่งให้เก๋ ให้แนว อนาคตจะไปได้สวย ไม่ใช่ใช้ชื่อบูติค แต่ห้องเรียบ ๆ พื้นธรรมดา ๆ ไม่มีตกแต่งอะไร โดยส่วนตัวมองว่าโรงแรมขนาดเล็ก-กลาง น่าจะอยู่ได้
ข้อสุดท้ายถ้าย้อนเวลากลับไปได้คุณยังคิดจะทำโรงแรมหรือไม่ครับ
ขอนี้ตอบยาก ตอนเจอปัญหาหนัก ๆ ก็คิดว่าถ้าย้อนได้คงจะไม่ทำโรงแรม มันเหนื่อยกาย เหนื่อยใจ สารพัด แต่ตอนที่เจอลูกค้าดี ๆ ห้องเต็มทุกวัน ก็อยากจะทำเพิ่ม สร้างเพิ่ม สรุปเป็นว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้คง ไม่ทำ
ขอบคุณครับ




 

Create Date : 13 มกราคม 2556    
Last Update : 14 มกราคม 2556 13:21:59 น.
Counter : 2939 Pageviews.  

บทสัมภาษณ์ผู้ประกอบการบูติคโฮเต็ลแห่งหนึ่ง

ผมได้มีโอกาสคุยกับรุ่นน้องคณะท่านหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ผันตัวเองไปทำกิจการโรงแรมขนาดเล็กในจังหวัดติดชายแดนพม่า


เลยได้ข้อมูลเหล่านี้มาฝากครับ สำหรับท่านที่กำลังตัดสินใจจะทำโรงแรมขนาดเล็ก


๑ อะไรเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้คุณตัดสินใจทำโรงแรม


เริ่มจากการไปเที่ยวมาหลายที่ และมองว่าช่วงนั้นธุรกิจโรงแรมระดับกลางที่นี้ยังมีคู่แข่งน้อย (มีเพียง 7 ที่) และที่นี้ยังเป็นเมืองธุรกิจ มีคนมาติดต่อราชการ การค้าเยอะ ทำให้ไม่ต้องหวังรายได้เฉพาะฤดูท่องเที่ยวอย่างเดียว


๒ คุณมีพื้นฐาน การเรียน การทำงาน หรือทางครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับการโรงแรมมาก่อนหรือไม่


ไม่มีเลย ทุกอย่างเริ่มต้นใหม่ ใช้ประสบการณ์ในการเที่ยวมาหลาย ๆ ที่ ดูว่าเขาทำยังไง เข้า internet หาข้อมูล ซึ่งทำให้ทุกวันนี้ยังเจอปัญหาหลาย ๆ แบบที่เราคาดไม่ถึง และไม่เคยคิดว่าจะเจอ อาจดูเป็นการทำงานแบบภายในครอบครัว ทำให้มีลูกค้าบางท่านบอกว่า “ไม่มืออาชีพ” เนื่องจากเป็นธุรกิจในครอบครัว


๓ อะไรคืออุปสรรคที่ยากที่สุดเมื่อคุณเริ่มกิจการ


การเป็นที่รู้จักของลูกค้า การโปรโมท การโฆษณาให้คนรู้จักโรงแรมเรา การทำให้คนรู้ว่าที่นี้คือโรงแรม เพราะคนมักจะเข้าใจผิดว่าที่นี้เป็นบ้านส่วนตัว แต่สิ่งที่ยากกว่าเป็นการรักษากลุ่มลูกค้าเดิม(ขาประจำ) การทำโรงแรมให้ใหม่ตลอดเวลา ก็เป็นสิ่งที่ยาก และเป็นอุปสรรคที่มองเห็นในอนาคต เพราะลูกค้าส่วนใหญ่มักจะถามว่า “โรงแรมใหม่” หรือเปล่า “เปิดมากี่ปีแล้ว” เพราะถ้าเป็นโรงแรมเก่า ลูกค้าก็จะลังเล การตัดสินใจจะยากขึ้น ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำคือ ต้องทำให้ห้องดูใหม่ตลอดเวลา แม้จะเปิดมานาน แต่ห้องต้องสะอาด



๔ ปีที่คุณตัดสินใจทำปีอะไร ปีที่คุณก่อสร้าง และเปิดให้บริการปีอะไร

ก่อสร้างปลายปี 2552 กำหนดเสร็จจริง ๆ คือ สิงหาคม 2553 แต่การก่อสร้างไม่เสร็จตามกำหนดเสร็จ กว่าจะเปิดได้ก็ 13 เมษายน 2554 ซึ่งเปิดในขณะที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ 100% เพราะถ้าจะให้รอทุกอย่างสมบูรณ์แบบคงต้องรอไปอีกนาน


๕ เงินลงทุนเปนจำนวนเท่าไหร่

เงินลงทุนรวมทั้งหมด 5 ล้านบาท (ไม่รวมที่ดิน) หลายคนบอกว่าการทำธุรกิจนี้ต้องใช้เงินเย็น แต่การที่คน ๆ หนึ่งจะมีเงินเย็นมากถึงขนาดนั้น คงต้องเก็บเงินรอไปอีกหลายปี การกู้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของคนทำธุรกิจ ซึ่งหลายโรงแรมก็ทำในลักษณะนี้


๖ อะไรคืออุปสรรคที่ยากที่สุดเมือ่คุณดำเนินกิจการแล้ว


อุปสรรคในการทำงานบริการมีเยอะ มีหนักบ้าง เบาบ้าง แบ่งเป็น 2 อย่างคือ 1. อุปสรรคภายใน เช่น ลูกน้อง ที่นี้เป็นเมืองชายแดน แรงงานส่วนใหญ่เป็นพม่า แต่พวกนี้อยู่ได้ไม่นาน และความสามารถในการทำงานมีจำกัด แต่ค่าแรงถือว่าถูกกว่าจ้างคนไทย และสามารถทำงานได้ไม่มีวันหยุด ในขณะที่เคยคิดจะจ้างคนไทย (ค่าจ้างแรงงานพม่า 2 คน จ้างคนไทยได้ 1 คน) แต่ติดปัญหาเรื่องเวลาการทำงาน มาเช้าไม่ได้ เลิกดึกไม่ได้ ทำงาน 5 วัน วันหยุดตามปฏิทินต้องมี...แต่เดี๋ยวนี้แรงงานพม่ารู้เยอะ เรียกร้องค่าแรง 300 บาท ซึ่งทางเราให้ไม่ได้ขนาดนั้น เลยต้องยอมให้ออกไปทำงาที่กรุงเทพ และหาใหม่ เทรนใหม่ 2. อุปสรรคภายนอก คือ ลูกค้าไม่ทำตามกฎ กติกาที่ทางโรงแรมตั้งไว้ เช่น แจ้งตอนเช็คอินว่ามา ผู้ใหญ่ 4 คน เด็ก 3 คน แต่พอมาจริง ๆ ผู้ใหญ่ 7 คน เด็ก 3 คน, ลูกค้าไม่เข้าใจว่าทำไมพักเกินจำนวนคนที่กำหนด(2 คนต่อห้อง) ต้องจ่ายเงินเพิ่ม, ลูกค้าทำของเสียหาย แต่ยืนยันว่าไม่ได้ทำ ของมันเสียตั้งแต่มาแล้ว, ลูกค้าขโมยของกลับบ้าน และลูกค้าที่จำนวนวันเข้าพักที่ไม่แน่นอน เช่น จองห้องไว้ 2 ห้อง 10 วัน พอขอชำระเงิน บอกจะจ่ายวันเช็คเอาท์เพราะยังไม่รู้ว่าจะอยู่กี่วัน แต่ขอจอง 10 วันไว้ก่อน แต่พอเอาเข้าจริง อยู่แค่ 5 วัน เนื่องจากโรงแรมบูติค ส่วนใหญ่จะเป็นขนาดเล็ก-กลาง การจองเผื่อไว้ทำให้เราเสียโอกาสรับลูกค้า พอเราจะปล่อยห้องไปก่อน ก็ไมรู้ว่าลูกค้าจะอยู่ถึง 10 วันจริง ๆ หรือเปล่า


๗ อะไรเปนสาเหตุให้คุณใช้ชื่อนี้ และ สไตล์นี้กับโรงแรมของคุณ


ตอนแรกคิดไว้ 2 ชื่อ เป็นชื่อ พ่อ ชื่อหนึ่ง และชื่อ แม่ ชื่อหนึ่ง แต่ทุกคนลงความเห็นตรงกันหมดว่า ที่ดินนี้พ่อเป็นคนทำงานเก็บเงินจนซื้อมาได้ เลยเอาชื่อ พ่อ มาตั้งเป็นชื่อโรงแรม ส่วนสไตล์ ที่นี้ ณ ตอนนั้นยังไม่มี บูติคโฮเต็ล เลยคิดว่าต้องทำโรงแรมที่ แยกออกมาจากตึก 2-3 ชั้น เป็นแถว ๆ แบบโรงแรมทั่วไป เลยได้ขอสรุปที่เป็น บ้านทรงไทยดัดแปลง 2 ชั้น แต่....ปัญหาตอนเปิดใหม่ ๆ เรื่องชื่อ คือ คนที่นี้มักจะเข้าใจว่าที่นี้เป็น “ร้านขายเสื้อผ้า” เนื่องจากว่ามีคำว่า บูติค กว่าจะอธิบายกัน กว่าจะบอกต่อไปว่า เป็นโรงแรมนะ ก็ใช้เวลา และอีกข้อที่การทำสไตล์เป็น บ้าน 2 ชั้น คนมักจะเข้าใจว่าเป็นบ้านส่วนตัว ไม่ใช่โรงแรม (ทั้ง ๆ ที่มีป้ายโฆษณาอยู่ข้างหน้า)

๘ คุณคาดหวังว่าโรงแรมของคุณจะมีชื่อเสียง หรือ มีคุณภาพที่ดีที่สุดในระดับไหน

แค่คาดหวังไว้ว่า ลูกค้าจะมาแม่สอด ก็นึกถึงที่นี้เป็นอันดับแรก หรืออยู่ในตัวเลือก 3 อันดับแรกก็พอใจแล้ว ด้านคุณภาพจะพยายามรักษาให้อยู่ในระดับอย่างต่ำต้อง ดี คือ ห้องต้องสะอาด สะดวก สบาย ปลอดภัย และที่สำคัญจะพยายามให้ปลอดโสเภณี 100%




 

Create Date : 08 มกราคม 2556    
Last Update : 8 มกราคม 2556 9:18:33 น.
Counter : 8989 Pageviews.  

Boutique HoteI : ที่พักรูปแบบใหม่ที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน

Boutique HoteI : ที่พักรูปแบบใหม่ที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน


Boutique HoteI : ที่พักรูปแบบใหม่ที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
สิงหาคม 2555


ธุรกิจโรงแรมหรูระดับ 4-5 ดาวของไทย (ซึ่งส่วนใหญ่บริหารโดยเชนโรงแรมต่างประเทศ) ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วทั้งในกรุงเทพฯ และตามเมือง ท่องเที่ยวหลักของไทย ตั้งแต่ปี 2530 ที่มีการรณรงค์ส่งเสริมให้เป็น ปีท่องเที่ยวไทยเป็นต้นมา ขณะที่ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งเป็นลูกค้าเป้าหมายหลักของโรงแรมกลุ่มนี้ ชะลอการเติบโตและถดถอยลงบางช่วงโดยเฉพาะในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เนื่องจาก ถูกบั่นทอนด้วยหลายปัจจัยลบ ทั้งวิกฤตด้านเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ ความไม่สงบภายในประเทศ และการแพร่ระบาดของโรคภัยต่างๆ ส่งผลให้อัตราการเข้าพักของธุรกิจโรงแรมระดับ 4-5 ดาว โดยรวมของไทยลดลงตามลำดับ และเกิดการแข่งขันที่รุนแรงยิ่งขึ้นในกลุ่มโรงแรมหรู ซึ่งนำไปสู่การแข่งขันด้านราคา แทนการใช้กลยุทธ์ด้านบริการ ทำให้ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาอัตราค่าห้องพัก โดยเฉลี่ยของโรงแรมระดับ 4-5 ดาวของไทยทรงตัวอยู่ในระดับต่ำกว่าหลายประเทศในอาเซียน อาทิ สิงคโปร์ และมาเลเซีย

จากแนวโน้มดังกล่าว ประกอบกับความคาดหวังในการเดินทางของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไป ในลักษณะที่ต้องการประสบการณ์ที่ แตกต่าง และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากขึ้น ซึ่งโรงแรมเช่นที่มีมาตรฐานเดียวกันทุกแห่งทั่วโลก ไม่สามารถตอบสนองความต้องการดังกล่าวของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ได้ จึงก่อให้เกิดช่องว่างทางการตลาดที่เอื้ออำนวยให้ผู้ประกอบการที่มีทุนไม่มาก รวมทั้งผู้ประกอบการหน้าใหม่ สามารถพัฒนาที่พักขนาดไม่ใหญ่นัก โดยเน้นด้านการออกแบบและตกแต่ง ที่มีลักษณะเฉพาะตัว มีความโดดเด่นแตกต่างจากคู่แข่ง รวมทั้งมีการให้บริการด้วยความเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นน่าประทับใจแก่ผู้ที่มาพัก ที่พักรูปแบบดังกล่าวนิยมเรียกกันทั่วไปว่า บูติค โฮเต็ล (Boutique Hotel)


บูติค โฮเต็ล : จากความคิดสร้างสรรค์....สร้างมูลค่าเพิ่มแก่ธุรกิจที่พัก

การพัฒนาที่พักในรูปแบบบูติค โฮเต็ล นับเป็นการนำความคิดสร้างสรรค์มาก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มแก่ธุรกิจด้านที่พัก และยังเป็นการเพิ่มทางเลือกให้ นักท่องเที่ยวยุคใหม่ ที่ต้องการประสบการณ์ในการเดินทางท่องเที่ยวที่แตกต่างไปจากเดิม โดยเฉพาะในด้านที่พัก ซึ่งนักท่องเที่ยวต้องการสัมผัสความแปลกใหม่แตกต่างไปจากการพักแรมในที่พักที่เป็นโรงแรมขนาดใหญ่ (ซึ่งเน้นในด้านความหรูหรา ความสะดวกสบาย และความเพียบพร้อมของสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ) ที่นักท่องเที่ยวต่างคุ้นเคยกันมาช้านาน ทั้งนี้โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องราคา เนื่องจากนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มุ่งเน้นความคุ้มค่าของการบริการเป็นสำคัญ ทำให้ผู้ประกอบการที่พักในรูปแบบบูติค โฮเต็ล สามารถปรับอัตราค่าบริการได้สูงกว่าที่พักในรูปแบบโรงแรม ขนาดใหญ่ทั่วๆไป ซึ่งช่วยให้สามารถหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคา และยกระดับการบริการด้านที่พักสู่ตลาดนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ และเมื่อได้รับการสนับสนุนด้วยการใช้ช่องทางการตลาดออนไลน์ และการจองผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ส่งผลให้กระแสความนิยมบูติค โฮเต็ลเพิ่มขึ้นอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว

ความนิยมที่พักประเภทบูติค โฮเต็ล ซึ่งขยายตัวอย่างรวดเร็ว ในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติ เอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ ธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีเงินทุนไม่มาก ทำให้สามารถพัฒนาที่พักขนาดไม่ใหญ่นัก โดยเน้นการใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบและตกแต่งให้มีลักษณะเฉพาะตัว และมีการให้บริการอย่างใส่ใจและใกล้ชิดเป็นรายบุคคล

บูติค โฮเต็ล ในประเทศไทยส่วนใหญ่มีจำนวนห้องพักเริ่มที่ 2-3 ห้องไปจนถึงประมาณ 50-60 ห้อง สำหรับบูติค โฮเต็ลขนาดเล็ก ที่มีจำนวนห้องพัก เพียงไม่กี่ห้อง ส่วนใหญ่มักดัดแปลงมาจากอาคารเก่า และรักษาบรรยากาศในอดีตไว้เป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยว และมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน โดยอาศัยศิลปะการตกแต่งให้กลมกลืนไปกับกลิ่นอายของอดีตกาล ทำให้ไม่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากเท่ากับธุรกิจโรงแรมขนาดใหญ่ รวมทั้งไม่ต้องอาศัยแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในการขยายฐานด้านการตลาด แต่จะต้องทำให้ที่พัก มีความเป็นเอกลักษณ์ และมีสไตล์เป็นของตัวเอง เพื่อสร้างความเป็นหนึ่งเดียว ที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งต้องเริ่มตั้งแต่การวางคอนเซ็ปต์โรงแรม สำรวจทำเลที่ตั้ง ออกแบบ และวางแผนการตกแต่ง โดยมีหลักสำคัญอยู่ที่การสร้างโรงแรมให้ทุกองค์ประกอบมีลักษณะเฉพาะตัว คือ ต้องแตกต่าง และเป็นหนึ่งเดียวโดยแท้จริง

สำหรับบูติค โฮเต็ลในต่างประเทศ จะมีกลุ่มเป้าหมายชัดเจน ใช้เงินลงทุนสูงและบริหารด้วยมืออาชีพ เป็นโรงแรมที่มีขนาดเล็ก จำนวนห้องไม่มาก แต่เป็นห้องพักขนาดใหญ่ มีการตกแต่งอย่างหรูหราและประณีต ใช้เฟอร์นิเจอร์ และข้าวของเครื่องใช้ที่มีราคาแพง มีการให้บริการในบรรยากาศเหมือนอยู่บ้าน มีการเอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิด จากพนักงาน เพราะจำนวนผู้เข้าพักไม่มาก ทำให้สามารถให้บริการได้อย่างทั่วถึง

ส่วนบูติค โฮเต็ลในเมืองไทยจะมีความแตกต่างบางอย่างไปจากบูติค โฮเต็ลในต่างประเทศ โดยมีขนาดไม่ใหญ่นัก มีจำนวนห้องพักไม่มาก ซึ่งอาจมีแค่ไม่กี่ห้อง และ ห้องอาจจะเล็ก มีพื้นที่ใช้สอยค่อนข้างจำกัด แต่อาศัยการออกแบบเป็นพิเศษ ทำให้สามารถจัดการใช้งานพื้นที่ภายในห้องพักได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ ยังใช้เงินลงทุนไม่สูง และบริหารโดยเจ้าของ หรือไม่ได้บริหารด้วยมืออาชีพ แต่จะเน้นการใช้ความคิดสร้างสรรค์ถ่ายทอดผ่านการออกแบบและตกแต่ง ให้มีความโดดเด่น เป็นหนึ่งเดียวที่ไม่เหมือนใคร และมุ่งให้บริการเฉพาะกลุ่ม เพราะโรงแรมที่มีขนาดเล็ก ผู้เข้าพักมีจำนวนไม่มาก ทำให้พนักงานสามารถใกล้ชิดลูกค้า และดูแลเอาใจใส่ในรายละเอียดของลูกค้าผู้เข้าพักแต่ละคนได้มากกว่าโรงแรม ขนาดใหญ่ที่มีผู้เข้าพักจำนวนมาก ซึ่งแม้ไม่ใช่ลักษณะอย่างบูติค โฮเต็ลในต่างประเทศ แต่ก็นับว่าใกล้เคียงพอจะเรียกได้ว่าเป็น บูติค โฮเต็ลแบบไทยๆ โดยมีบูติค โฮเต็ลหลายแห่งของไทยที่มีชื่อเสียงแพร่หลายในต่างประเทศ

บูติค โฮเต็ลในประเทศไทย สามารถจำแนกออกเป็นประเภทต่างๆ ตามรูปแบบของที่พัก ได้ดังนี้

• ที่พักที่ดัดแปลงมาจากอาคารเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน โดยมีแนวโน้มที่เด่นชัดในย่านเก่าแก่ อาทิ เกาะรัตนโกสินทร์และพื้นที่รอบๆ เช่น ย่านถนนพระสุเมรุ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานที่สำคัญ ได้แก่ ภูเขาทอง อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย บางลำพู พิพิธภัณฑ์ วัดพระแก้ว และพระบรมมหาราชวัง เป็นต้น

• ที่พักที่มีการออกแบบให้มีสไตล์ที่ทันสมัย และสะท้อนความเป็นตัวตนของโรงแรมและผู้เข้าพัก นิยมเรียกกันว่า Hip Hotel

• ที่พักที่ออกแบบทุกองค์ประกอบอย่างละเอียด โดยเน้นประโยชน์การใช้สอยของพื้นที่ หรือข้าวของเครื่องใช้ และของตกแต่งค่อนข้างมาก เรียกได้ว่าเป็นบูติค โฮเต็ลระดับหรู หรือ บูติค โฮเต็ล ระดับ 5 ดาว ที่มุ่งจับตลาดระดับบน ส่วนใหญ่จะเป็นบูติค โฮเต็ลที่บริหารโดยเชนโรงแรม ซึ่งจะเน้นการออกแบบเป็นสำคัญ ส่วนด้านบริการ ยังเหมือนโรงแรมขนาดใหญ่ที่ให้บริการแบบมาตรฐาน บูติค โฮเต็ลกลุ่มนี้มักมีราคาแพง เรียกกันว่า Designer Hotel

• ที่พักที่ให้ความสำคัญกับรายละเอียดใน lifestyle ของผู้มาพัก เรียกกันว่า Lifestyle Hotel เช่น เน้นกลุ่มที่มี lifestyle ใส่ใจในสุขภาพ โดยมี บริการสปา รวมทั้งร้านอาหารประเภท organic food เพื่อสุขภาพ, กลุ่มที่ชื่นชอบในงานศิลปะ และของเก่า, กลุ่มที่ต้องการความเงียบสงบ ความเป็นส่วนตัว ในบรรยากาศความเป็นธรรมชาติที่ร่มรื่นผ่อนคลาย, กลุ่มที่ต้องการประสบการณ์อะไรที่แปลกใหม่ ไม่เคยพบเห็นมาก่อน, กลุ่มที่เน้นการประหยัดพลังงาน และลดโลกร้อน ภายใต้แนวคิด green idea และกลุ่มที่ต้องการบริการที่สัมผัสกับสิ่งแวดล้อม และชุมชนในท้องถิ่นนั้นๆ เป็นต้น

เมื่อพิจารณาในด้านรูปแบบของการบริหารกิจการ สามารถจำแนกประเภทของบูติค โฮเต็ล ออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้

• บูติค โฮเต็ล ที่เจ้าของกิจการบริหารงานเอง ส่วนใหญ่เป็นโรงแรมของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม โดยใช้เงินลงทุนไม่มากนัก และมีประสบการณ์ในการบริหารโรงแรมมาบ้างแม้ไม่มากนัก หรือไม่มีประสบการณ์เลย (อาทิ สถาปนิก ซึ่งมีความได้เปรียบในด้านการใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบและตกแต่ง ทำให้ สามารถพัฒนาที่พักให้มีความพิเศษและมีเสน่ห์เฉพาะตัว รวมทั้งยังสอดคล้องกับ lifestyle แบบ idea green ทำให้สามารถประหยัดการใช้ไฟฟ้าในด้านการให้แสงสว่าง และลดการใช้เครื่อง ปรับอากาศ เพราะอาคารมีความโล่งและโปร่ง ทำให้แสงสว่างส่องเข้ามาในห้องพักได้เพียงพอในช่วงกลางวัน รวมทั้งยังมีการออกแบบโดยใช้วัสดุหรือต้นไม้ช่วยในการกรองแสงอาทิตย์ที่ส่อง เข้ามาในห้องพักตรงๆ และมีช่องเปิดให้มีลมพัดผ่านทำให้อากาศในห้องพักเย็นสบาย) โรงแรมประเภทนี้มักมีขนาดไม่ใหญ่นัก มีจำนวนห้องไม่มาก อาจมีจำนวนห้องพักเพียง 2-3 ห้องไปจนถึง ประมาณ 100 ห้อง

• บูติค โฮเต็ล ที่บริหารกิจการโดยผู้บริหารโรงแรมมืออาชีพ รวมทั้งบริหารโดยเชนบริหารโรงแรมที่เริ่มขยายเครือข่ายการบริหารโรงแรมเข้ามา ในกลุ่มบูติค โฮเต็ล ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวยุคใหม่ รวมทั้งกลุ่มที่รับบริหารบูติค โฮเต็ลโดยเฉพาะ สำหรับบูติค โฮเต็ลประเภทนี้มักมีห้องจำนวนมากแต่ไม่เกิน 200 ห้อง อย่างไรก็ตาม บูติค โฮเต็ลที่บริหารโดยเชนบริหารโรงแรมมืออาชีพ มักเน้นในด้านการออกแบบ ให้เป็นบูติค โฮเต็ลระดับ 5 ดาว ส่วนในด้านบริการไม่แตกต่างจากโรงแรมขนาดใหญ่ทั่วไป (เป็นโรงแรม ขนาดเล็กที่มีคุณภาพระดับ 5 ดาว) ส่วนกลุ่มที่รับบริหารบูติค โฮเต็ลโดยเฉพาะนั้น เน้นการสร้างเอกลักษณ์และสไตล์เฉพาะตัวให้ที่พัก ทั้งในด้านรูปแบบการตกแต่ง และบริการ รวมทั้งดัดแปลงรูปแบบการบริหาร และด้านการตลาดจากเชนโรงแรมมาเสริมความแข็งแกร่งให้กับบูติค โฮเต็ล

บูติค โฮเต็ล ที่พัฒนาขึ้นมาในระยะแรกๆนั้น จะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการรองรับด้านธุรกิจ เนื่องจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลัก คือ นัก ท่องเที่ยวที่ต้องการประสบการณ์ในด้านที่พักที่แตกต่างไปจากความจำเจของโรงแรมขนาดใหญ่ทั่วไปที่เหมือนๆกันทุกแห่ง ขณะที่ลูกค้ากลุ่มนักธุรกิจ หรือผู้ที่เดินทางมาติดต่อด้านธุรกิจจะเป็นลูกค้ากลุ่มเป้าหมายหลักของโรงแรมขนาดใหญ่ระดับ 4-5 ดาว ซึ่งมีบริการรองรับด้านธุรกิจอย่างครบวงจร

อย่างไรก็ตาม จากกระแสความนิยมที่พักแบบบูติค โฮเต็ลที่เติบโตอย่างรวดเร็วและขยายตัวกว้างขวาง โดยครอบคลุมไปในกลุ่มนักธุรกิจ ที่ต้อง การติดต่อด้านธุรกิจและพักผ่อนในประสบการณ์ด้านที่พักที่แตกต่างไปด้วยในตัว ทำให้ในระยะต่อมามีผู้พัฒนาบูติค โฮเต็ลที่มีบริการรองรับด้านธุรกิจ อาทิ ห้องประชุมสัมมนาที่ทันสมัย และอุปกรณ์ในด้านธุรกิจอย่างครบครัน เพื่อตอบสนอง lifestyle แบบนักธุรกิจ สำหรับวันพักผ่อนอย่างแท้จริง สำหรับบูติค โฮเต็ลประเภทนี้มักเป็นบูติค โฮเต็ลระดับ 5 ดาว ซึ่งเน้นในด้านการออกแบบ ส่วนบริการยังเป็นมาตรฐานของโรงแรมขนาดใหญ่ทั่วไป


เงื่อนไขสำคัญ.....นำบูติค โฮเต็ลสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน

ปัจจุบันธุรกิจที่พักขนาดกลางและขนาดย่อม (มีจำนวนห้องพักไม่เกิน 200 ห้อง) ที่พัฒนาขึ้นส่วนใหญ่ต่างเรียกตัวเองเป็นบูติค โฮเต็ล ตามกระแสความนิยมที่กำลังมาแรง เพื่อเป็นจุดขายดึงดูดผู้เข้าพัก โดยมีบางแห่งที่มุ่งเน้นเฉพาะในด้านการออกแบบและตกแต่งเป็นสำคัญ แต่ในด้านบริการไม่ใส่ใจในรายละเอียดของผู้เข้าพักแต่ละคน ซึ่งเป็นเสน่ห์ของบูติค โฮเต็ล ที่สร้างความประทับใจให้ผู้เข้าพัก รวมทั้งยังขาดความมีลักษณะเฉพาะตัวที่โดดเด่นเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของการเป็นที่พักในรูปแบบของบูติค โฮเต็ล อย่างแท้จริง

ดังนั้น ที่พักในรูปแบบของบูติค โฮเต็ล (รวมทั้งที่เรียกตัวเองว่าเป็น บูติค โฮเต็ล) ที่เกิดขึ้นจำนวนมากในประเทศไทยช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสามารถดำเนินกิจการให้อยู่รอดได้นั้นมีอยู่ในอัตราไม่สูงนัก โดยสถาบันคีนันแห่งเอเชีย ประมาณการอัตราการอยู่รอดของบูติค โฮเต็ลในเมืองไทยไว้ที่ร้อยละ 50

การจะดำเนินกิจการบูติค โฮเต็ลให้ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนได้นั้น ขึ้นกับเงื่อนไขสำคัญที่สรุปได้ดังนี้

องค์ประกอบสำคัญของการเป็นที่พักแบบบูติค โฮเต็ลอย่างแท้จริง ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน ซึ่งแสวงหาประสบการณ์ที่แตกต่างจากบริการแบบเดิมๆของโรงแรมขนาดใหญ่ทั่วไป คือ

• ที่พักขนาดเล็ก มีจำนวนห้องไม่มากนัก ใช้เงินลงทุนต่ำกว่าโรงแรมขนาดใหญ่ มีการตกแต่งและออกแบบอย่างมีสไตล์ที่ทันสมัยหรือร่วมสมัย โดยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่าง มีความเป็นหนึ่งเดียวอย่างแท้จริง สามารถตอบสนอง lifestyle ของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ หรือลูกค้าเฉพาะกลุ่ม

• การให้บริการลูกค้าอย่างเอาใจใส่และใกล้ชิด เข้าถึงเป็นรายบุคคล และบริการอย่างเป็นกันเองเสมือนหนึ่งลูกค้าเป็นสมาชิกในครอบครัว ต่าง จากบริการแบบมาตรฐานของโรงแรมขนาดใหญ่ที่เหมือนกันทุกแห่ง ดังนั้น พนักงานผู้ให้บริการแก่ลูกค้าที่มาพักจึงมีบทบาทสำคัญ เพราะเป็นผู้สื่อสารและถ่ายทอดแนวคิดของโรงแรมให้แก่นักท่องเที่ยวผู้มาพักโดยตรง ฉะนั้น จึงควรมีการคัดสรรและพัฒนาบุคลากรให้มีบุคลิกภาพ รวมทั้งสามารถนำส่งบริการให้ลูกค้าได้อย่างสอดคล้องกับแนวคิดของบูติค โฮเต็ลนั้นๆ

การประชาสัมพันธ์ และการตลาดที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เนื่องจากผู้ประกอบการบางรายไม่มีประสบการณ์ในธุรกิจโรงแรม ทำให้มักประสบปัญหาด้านการตลาดที่ค่อนข้างจำกัด และเสียค่าใช้จ่ายด้านการตลาดที่ค่อนข้างสูง ผู้บริหารบูติค โฮเต็ลส่วนใหญ่จึงเลือกใช้การตลาดออนไลน์เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย แต่สามารถเข้าถึงนักท่องเที่ยวยุคใหม่ได้อย่างทั่วถึง รวมทั้งการลงโฆษณาประชาสัมพันธ์ โรงแรมไว้กับเว็บไซต์ยอดนิยมในหมู่นักเดินทาง และเว็บไซต์จองห้องพักทางอินเตอร์เน็ต เพราะปัจจุบันนักท่องเที่ยวที่จัดการเดินทางกันเองส่วนใหญ่นิยมค้นหาข้อมูลที่พักผ่านทางอินเตอร์เน็ต นอกจากนี้ ยังควรนำเสนอข้อมูลที่พักในกลุ่มโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ซึ่งมีการสื่อสารภายในกลุ่มผ่านเครื่องมือสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ไอโฟน ไอแพด และโทรศัพท์แอนดรอยด์ เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มที่ผู้ใช้บริการบูติค โฮเต็ลเริ่มปรับเปลี่ยนการจองห้องพักและการสืบค้นข้อมูลจากเว็บไซต์ ไปใช้ผ่านเครื่องมือสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ข้างต้น

ระบบการบริหารจัดการธุรกิจที่ดี โดยเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อม และชุมชน เพื่อสร้างความสมดุลที่จะนำไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนของกิจการ นอกจากการมีระบบการบริหารจัดการในด้านธุรกิจที่ดี (เน้นการประหยัดต้นทุน จากการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น) เพื่อช่วยกิจการสามารถอยู่รอดได้แล้ว ควรเชื่อมโยงกิจการกับเรื่องสิ่งแวดล้อม และ ชุมชนในท้องถิ่น เพื่อให้นักท่องเที่ยวมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม รองรับกระแสที่กำลังมาแรงในต่างประเทศ รวมทั้งเชื่อมโยงนักท่องเที่ยวกับวิถีวัฒนธรรมของชุมชนในท้องถิ่น เพื่อจูงใจนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เลือกที่จะเข้าพัก และเมื่อมาสัมผัสแล้วเกิดความประทับใจจะนำไปสู่การประชาสัมพันธ์ในลักษณะการบอกกันปากต่อปาก ทั้งในหมู่คนใกล้ชิดและแชร์ประสบการณ์กันในโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ส่งผลดีในด้านการตลาดได้อีกทาง

เงื่อนไขสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนของธุรกิจบูติค โฮเต็ล



สภาวะการแข่งขัน... จุดแข็ง-จุดอ่อน-โอกาส-อุปสรรค ของธุรกิจบูติค โฮเต็ล

การทำธุรกิจบูติค โฮเต็ล มีความโดดเด่นอยู่ที่การดีไซน์ในสไตล์ต่างๆ และการให้บริการที่ใส่ใจรายละเอียดลูกค้าแต่ละราย ซึ่งหากพิจารณาในด้านความพร้อมของทรัพยากรการท่องเที่ยวของประเทศไทย ที่มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ และหลากหลายประเภทแล้ว นับว่าเอื้ออำนวยให้ผู้ประกอบการสามารถนำเสนอบูติค โฮเต็ลได้หลายรูปแบบในหลายพื้นที่ เป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับนักท่องเที่ยวที่ มองหาที่พัก ซึ่งสามารถสะท้อนความเป็นตัวตนหรือไลฟ์สไตล์ของพวกเขาได้ โดยนักท่องเที่ยวที่เลือกใช้บริการบูติค โฮเต็ล ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพมีกำลังซื้อสูง นับเป็น ประเด็นหลักที่จูงใจให้นักลงทุนทั้งรายใหญ่และรายเล็กสนใจเข้ามาลงทุนในธุรกิจบูติค โฮเต็ลมากขึ้น รวมทั้งเชนบริหารโรงแรมต่างประเทศที่เริ่มขยายธุรกิจเข้ามารับบริหารธุรกิจบูติค โฮเต็ล ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของนักท่องเที่ยวในยุคปัจจุบัน

นอกจากนี้ ยังมีผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมบางราย และผู้ประกอบการอิสระที่มีประสบการณ์จากการบริหารเชนโรงแรมต่างชาติในหลายภูมิภาค รับบริหารบูติค โฮเต็ลโดยเฉพาะ โดยเจาะตลาดผู้ประกอบการมือใหม่ เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันให้ทั้งบูติค โฮเต็ลขนาดเล็กๆ ที่มุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าเฉพาะราย และบูติค โฮเต็ลที่มีขนาดกลางๆ ในระดับ 5 ดาว ทั้งนี้ด้วยการเติมเต็มในด้านรูปแบบการบริหารอย่างมืออาชีพ และการสร้างสไตล์ของบูติค โฮเต็ลเพื่อมีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่าง ทำให้เป็นโรงแรมที่มีความเป็นหนึ่งเดียว (unique) รวมทั้งมีระบบการจองที่พักร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร และทำการตลาดในต่างประเทศด้วยค่าใช้จ่ายที่ต่ำ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปัจจุบันจะมีผู้ประกอบการหลายกลุ่มสนใจลงทุนในธุรกิจบูติค โฮเต็ล เพิ่มมากขึ้น แต่ผู้ประกอบการรายเล็กของไทยก็ยังสามารถเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันแม้มีเงินลงทุนไม่มาก โดยเริ่มจากการศึกษาจุดแข็ง-จุดอ่อน-โอกาส-อุปสรรค เพื่อประเมินสภาวะตลาดธุรกิจบูติค โฮเต็ล และวางแผนธุรกิจ ซึ่งสามารถปรับใช้ได้กับทั้งผู้ประกอบการรายใหม่และผู้ประกอบการที่อยู่ในธุรกิจนี้อยู่แล้ว ซึ่ง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้สรุปไว้ในเบื้องต้น ดังนี้

วิเคราะห์ SWOT ของธุรกิจบูติค โฮเต็ลไทย


Strengths

• ความอุดมสมบูรณ์และหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยวในภูมิภาคต่างๆ ของไทย เกื้อหนุนให้ธุรกิจบูติค โฮเต็ล ของไทยมีความหลากหลาย ซึ่งสามารถสะท้อนความเป็นตัวตน หรือ ไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยวแต่ละกลุ่มได้อย่างกว้างขวาง อาทิ บูติค โฮเต็ลในทำเลชุมชนเก่าแก่ย่านเกาะรัตนโกสินทร์, บูติค โฮเต็ลในเชียงใหม่ ท่ามกลางวัฒนธรรมล้านนา, บูติคโฮเต็ลในแหล่ง ท่องเที่ยวทางธรรมชาติประเภทต่างๆในทุกภูมิภาค ทั้งป่าภูเขา และแม่น้ำ รวมถึงเกาะ และชายทะเล

• ความโดดเด่นของเอกลักษณ์ความเป็นไทย ในด้านศิลปวัฒนธรรม และประเพณีในแต่ละท้องถิ่น เหล่านี้ล้วนช่วยเกื้อหนุนธุรกิจบูติค โฮเต็ลของไทยให้มีความเข้มแข็งของลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างไม่เหมือนใคร

• อุปนิสัยที่ยิ้มแย้ม เป็นมิตร และมีไมตรีจิตของคนไทย เป็นปัจจัยสำคัญที่เกื้อหนุนต่อการให้บริการอย่างเอาใจใส่ และเข้าถึงผู้มาเยือนแต่ละราย ซึ่งเป็นความได้เปรียบที่สำคัญของธุรกิจบูติค โฮเต็ลที่สามารถสร้างความประทับใจให้ผู้เข้าพักได้มากกว่าการบริการแบบมาตรฐานของโรงแรมขนาดใหญ่ที่เหมือนๆกันทุกแห่ง

• ประเทศไทยมีความได้เปรียบด้านค่าครองชีพที่ต่ำกว่า เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งภายในภูมิภาคเดียวกัน จึงเกื้อหนุนต่อธุรกิจบูติค โฮเต็ลที่เป็นโรงแรมขนาดเล็ก ทำให้มีความได้ เปรียบในการขยายตลาดพำนักระยะยาวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ (Long Stay) ที่ให้บริการในบรรยากาศอบอุ่นเสมือนเป็นสมาชิกในครอบครัว
Weaknesses

• ขาดการบริหารจัดการทรัพยากรท่องเที่ยว และสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการตอบรับกระแสการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมของนักท่องเที่ยวในต่างประเทศที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน

• ขาดการสร้างความเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น และเป็นหนึ่งเดียวอย่างแท้จริง ซึ่งจะนำไปสู่การสร้าง Theme ที่ชัดเจนของโรงแรม และสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาสัมผัส

• ขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะในด้านภาษาต่างประเทศ ทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาอื่นๆ อาทิ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รัสเซีย และ ภาษาในกลุ่มประเทศอาเซียน

• ความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินที่ถดถอยลงของนักท่องเที่ยวต่างชาติ จากเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศในช่วงที่ผ่านมา

• ระบบคมนาคมขนส่งที่ควรเร่งพัฒนาเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางระหว่างภูมิภาคต่างๆ ของไทย และเชื่อมโยงไปยังประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียนของไทย ซึ่งต้องอาศัยการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าว

• ขาดองค์ความรู้เพื่อพัฒนาด้านการออกแบบและตกแต่ง และการให้บริการ รวมทั้งการบริหารจัดการอย่างมืออาชีพของบุคลากร ซึ่งต้องอาศัยการสนับสนุนจากหน่วยงานด้านท่องเที่ยวในการฝึกอบรมผู้ประกอบการและผู้ให้บริการ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถนำแนวคิดใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้กับบูติค โฮเต็ล

Opportunities

• กระแสการตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อม และการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ที่กำลังมาแรงในต่างประเทศ ทำให้นักท่องเที่ยวต่างตื่นตัวอยากมีส่วนร่วมในการช่วยลดการก่อให้เกิดสภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม รวมทั้งภูมิอากาศ เป็นโอกาสที่เอื้อต่อการพัฒนาบูติค โฮเต็ลใน Lifestyle แบบ green idea

• การสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งของภาครัฐ และภาคเอกชน โดยเฉพาะกิจกรรมต่างๆที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว และกิจกรรมส่งเสริมด้านการตลาด ช่วยกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยว ทั้งคนไทยและต่างชาติ

• การเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ปี 2558 จะช่วยขยายตลาดนักท่องเที่ยวในภูมิภาคให้กว้างขวางขึ้น ทั้งนักท่องเที่ยวจากประเทศสมาชิกอาเซียนกันเอง และนักท่องเที่ยวจากภายนอกภูมิภาคอาเซียน

• แนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่องของผู้สูงอายุในวัยเกษียณของประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลาย ทำให้ความต้องการแหล่งพำนักระยะยาว (Long Stay)ในต่างประเทศเพิ่มขึ้นตามลำดับ เอื้อต่อการพัฒนาธุรกิจบูติค โฮเต็ล เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้
Threats

• ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในตลาดท่องเที่ยวหลัก เช่น ยุโรป

• การแข่งขันด้านการท่องเที่ยวที่ทวีความรุนแรงจากกลุ่มประเทศในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งต่างหันมาส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวเพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ รวมทั้งประเทศซึ่งเริ่มเปิดประเทศ คือ พม่า ที่ได้รับความสนใจอย่างมากจากนักท่องเที่ยวและนักลงทุนต่างชาติในขณะนี้

• การแข่งขันในธุรกิจบูติค โฮเต็ลที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ทั้งจากบูติค โฮเต็ลขนาดเล็กกันเอง และจากบูติค โฮเต็ลระดับ 5 ดาว ที่บริหารโดยเชนโรงแรมต่างประเทศ ที่เริ่มขยายเครือข่ายการรับบริหารและการลงทุนเข้ามาในธุรกิจบูติค โฮเต็ลเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งเสียเปรียบในด้านเงิน ลงทุน และด้านการบริหารจัดการ รวมทั้งด้านการตลาด

• การเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2558 จะยิ่งเพิ่มการแข่งขันในธุรกิจบูติค โฮเต็ล กล่าวคือ จะมีการขยายการลงทุนจากประเทศในภูมิภาคอาเซียนเข้ามาในธุรกิจบูติค โฮเต็ล ในหลายพื้นที่ของไทย อาทิ กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ อุดร หนองคาย เป็นต้น โดยมีแนวโน้มจะจ้างเครือข่ายเชนโรงแรมชั้นนำจากต่างประเทศเข้ามาบริหาร ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการรายย่อยในธุรกิจบูติค โฮเต็ลของไทย



บทสรุป และข้อเสนอแนะ

ประเทศไทยมีความได้เปรียบหลายประการที่เกื้อหนุนต่อธุรกิจบูติค โฮเต็ล ซึ่งเป็นโรงแรมขนาดไม่ใหญ่นัก (ไม่เกิน 200 ห้อง) โดยเฉพาะปัจจัยเกื้อหนุนในด้านความพร้อมของทรัพยากรด้านการท่องเที่ยว ที่มีอยู่หลากหลายประเภท ทำให้สามารถพัฒนาบูติค โฮเต็ล ที่สะท้อนความเป็นตัวตนของนักท่องเที่ยวแต่ละกลุ่มได้อย่างลงตัว ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มพฤติกรรมและความต้องการโดยรวมที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้าในอนาคต อาทิ

• การใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลาง >> ผู้ประกอบการบูติค โฮเต็ล ควรพัฒนาและนำเสนอดีไซน์ที่ชัดเจน รวมถึงการใส่ใจให้บริการแก่ผู้มาใช้บริการ

• ความภักดีในแบรนด์น้อยลง >> ผู้ประกอบการบูติค โฮเต็ล ควรพัฒนาช่องทางในการสื่อสารเพื่อให้ข้อมูล และสร้างความสัมพันธ์อย่างยั่งยืน

• มีความต้องการสูง (Demanding) >> บุคลากรผู้ให้บริการควรแสดงถึงความใส่ใจในรายละเอียดของแขกที่มาพักแต่ละราย

ดังนั้น ผู้ประกอบการรายย่อยที่มีความสนใจลงทุนทำธุรกิจบริการที่พักแก่นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งบูติค โฮเต็ล ควรพิจารณาศักยภาพความพร้อม ของตน ทั้งด้านเงินทุน เอกลักษณ์ของอาคาร/สถานที่ บุคลากร และกลยุทธ์ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมนักท่องเที่ยว รวมถึง Trend ที่ตลาดนักท่องเที่ยวในอนาคตคาดหวัง อาทิ ห้องพักประหยัดพลังงาน หรือห้องพักสีเขียวตามแนวทางการท่องเที่ยวสีเขียว (Green Tourism) ที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เหล่านี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถนำเสนอจุดขายด้าน ที่พักและบริการที่เหนือความคาดหวังแก่ผู้มาใช้บริการ


-----------------------------------------------
แหล่งที่มาข้อมูล : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) , //www.thailandboutiquewards.com




 

Create Date : 01 พฤศจิกายน 2555    
Last Update : 1 พฤศจิกายน 2555 16:17:19 น.
Counter : 2827 Pageviews.  

ธุรกิจในฝัน บูติกโฮเต็ล

ในช่วง 5-8 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจโรงแรมขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับแขกได้มากกว่า 100-200 ห้องเริ่มชะลอตัว ในขณะที่ “บูติกโฮเต็ล” ที่มีห้องพักเพียงแค่หลักสิบ (หรือน้อยกว่า) กลับมีอัตราการขยายตัวที่เพิ่มสูงขึ้นมาก เสน่ห์ดึงดูดใจของ “บูติกโฮเต็ล” เหล่านี้อยู่ที่การออกแบบสร้างสรรค์ “บรรยากาศ” ภายในให้มีเอกลักษณ์เฉพาะ (ไม่ได้เน้นแค่เพียงความสวยงาม แต่ต้องตอบโจทย์ความต้องการเชิง “Lifestyle” ของแขกที่มาพักด้วย)
แต่ใช่ว่าธุรกิจนี้จะเป็นอะไรที่ใหม่เอี่ยมอ่องกันทั้งหมด เพราะอันที่จริงแล้วบูติกโฮเต็ลหลายๆ แห่งในสมัยนี้ก็คือ “โรงแรมขนาดเล็กในสมัยก่อน” (ที่มีรูปแบบคล้ายคลึงกับโรงแรมขนาดใหญ่ ต่างกันก็ตรงที่มีจำนวนห้องน้อยกว่าเท่านั้น) แต่เมื่อยุคสมัยและพฤติกรรมการบริโภคของผู้คนเปลี่ยนไป โรงแรมขนาดเล็กเหล่านี้ก็จำต้องหาทางปรับตัวเพื่อความอยู่รอด นี่คือที่มาอันหนึ่งของการ “ปะแป้งแต่งตัว” และให้นิยามตัวเองใหม่ว่าเป็น “บูติกโฮเต็ล”
นอกจากนั้น บูติกโฮเต็ลยังอาจเกิดขึ้นจากการ “กลายพันธุ์” ของสถานประกอบการและอาคารบ้านเรือนสไตล์อื่นๆ ในอดีต ที่ทุกวันนี้ต่างทยอยเปลี่ยนโฉมหน้า (และฟังก์ชั่น) กลายเป็นธุรกิจ “Culture & Hospitality” เกาะกระแสวัฒนธรรมการท่องเที่ยวแบบ “มีสไตล์” ที่กำลังบูมสุดๆ ในขณะนี้
TCDCCONNECT ขอพาคุณเดินทางไปเยี่ยมเยียน “โรงแรมเก๋ในย่านเมืองเก่า” อันได้แก่ พระนครนอนเล่น, เฟื่องนคร, เดอะ ภูธร และดิ อัษฎางค์ เพื่อค้นหาว่า บูติกโฮเต็ลชื่อเก๋พวกนี้มันต้องการสูตรสำเร็จอะไรบ้าง…
กลุ่มธุรกิจที่ 4 : บูติกโฮเต็ล
กรณีศึกษาที่ 1 – โรงแรมพระนครนอนเล่น
ความเป็นมา
หลังจากได้เป็นเจ้าของอาคารเก่าหลังหนึ่งในย่านเทเวศร์ คุณโรส วริศรา มหากายี ตั้งใจที่จะปรับปรุงอาคารนี้ให้เป็นหอพักสำหรับกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัด (ที่ต้องเข้ามาพำนักในกรุงเทพฯ) ดังนั้น แนวคิดแรกเริ่มทางการออกแบบก็คือ การเปลี่ยนสภาพตึกเก่าทรุดโทรมให้กลายเป็นพื้นที่ที่มีแต่ต้นไม้ล้อมรอบ มีบรรยากาศเงียบสงบเพื่อให้แขกต่างจังหวัดได้ความรู้สึกเหมือนอยู่กับบ้าน แต่ด้วยความพิถีพิถันส่วนตัวทางด้านการตกแต่งทำให้งบประมาณไม่สอดคล้องกับเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ คุณโรสจึงเบนเข็มปรับรูปแบบธุรกิจใหม่ให้เป็นบูติกโฮเต็ล โดยเธอได้เพิ่ม “พื้นที่ส่วนกลาง” ให้แขกสามารถใช้พักผ่อน ทานอาหาร นั่งเล่น และทำกิจกรรมต่างๆ ได้
เอกลักษณ์ที่แตกต่าง
สิ่งสำคัญที่ทำให้ “พระนครนอนเล่น” แห่งนี้มีความแตกต่างจากบูติกโฮเต็ลอื่นๆ ก็คือ การนำ “หัวใจสีเขียว” เข้าไปผนวกกับการทำโรงแรม ณ ที่แห่งนี้ คุณโรสไม่ได้เพิ่มพื้นที่สีเขียวด้วยการปลูกต้นไม้เท่านั้น แต่เธอได้นำแนวคิด “การออกแบบอย่างยั่งยืน” (Sustainable Design) เข้าไปสอดแทรกในทุกรายละเอียดเท่าที่ทำจะได้ อาทิเช่น
1. ใช้ประโยชน์จากโครงสร้างของตึกเก่าให้มากที่สุด หลีกเลี่ยงการดัดแปลง ต่อเติม เพื่อรักษาจิตวิญญาณของอาคารเก่าที่สวยงามเอาไว้
2. เฟอร์นิเจอร์ในโรงแรมส่วนใหญ่เกิดจากการนำเฟอร์นิเจอร์เก่าหรือไม้เก่ามาปรับปรุงให้ใช้งานได้เต็มร้อย
3. ผ้าม่านที่ใช้ภายในห้องพักมาจากการตัดเย็บเศษผ้าให้กลายเป็นผ้าผืนใหญ่
4. การเพ้นท์สีผนังภายในโรงแรมตั้งใจให้มีกลิ่นอายของความเป็นต่างจังหวัด ในขณะที่บรรยากาศโดยรวมจะแฝงไว้ซึ่งความสงบและร่มรื่น (แม้กระทั่งทางเชื่อมของแต่ละอาคารก็จะมีต้นไม้ปกคลุมโดยตลอด)
5. การดัดแปลงที่ว่างบนดาดฟ้าให้กลายเป็นพื้นที่ปลูกผักสวนครัว เช่น ต้นกระเพรา, โหระพา, กระเจี๊ยบ, ผักสลัดต่างๆ ซึ่งคุณโรสได้นำมาใช้เป็นส่วนประกอบหลักในการประกอบอาหารสำหรับแขกในโรงแรมด้วย
โอกาสและความเป็นไปได้ทางการตลาด
แม้ว่าการแข่งขันของบูติกโฮเต็ลจะรุนแรงขึ้นทุกขณะ แต่ “พระนครนอนเล่น” ก็มีข้อได้เปรียบตรงที่ได้เลือกแนวคิดสีเขียวและความยั่งยืนมาเป็นหัวใจหลักในการดำเนินกิจการ จุดนี้ทำให้โรงแรมมีกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะและชัดเจนมาก อีกทั้ง “ทำเลที่ตั้ง” ซึ่งแฝงตัวอยู่ในชุมชนเก่าย่านเทเวศร์ก็ถือเป็นข้อได้เปรียบอีกข้อ เพราะแขกที่มาเข้าพักสามารถสัมผัสถึงวิถีชีวิตชาวบ้านได้อย่างเต็มที่ (ซึ่งหาได้ค่อนข้างยากในเมืองกรุงปัจจุบัน)
เคล็ดลับของ “พระนครนอนเล่น”
- ปลูกฝังให้พนักงานทุกคนเข้าใจถึงแนวคิดสำคัญของผู้เป็นเจ้าของ เช่น ตัวคุณโรสเป็นผู้ที่เห็นความสำคัญของธรรมชาติ การอยู่ร่วมกัน และการเกื้อกูลกัน เธอจึงพยายามทำให้พนักงานทุกคนได้เข้าใจและซึมซับในหลักคิดนี้ด้วย ที่พระนครนอนเล่นพนักงานทุกคนจะมีโอกาสหมุนเวียนสลับสับเปลี่ยนไปช่วยกันปลูกผักบนดาดฟ้า ทำให้แต่ละฝ่ายมีโอกาสพูดคุยสนทนากัน ได้เรียนรู้ทำความเข้าใจในเนื้องานของกันและกัน คุณโรสเล่าว่า “วิถีแห่งธรรมชาติ” นี้ จะช่วยให้ทีมงานทุกคนมีความเอื้อเฟื้อต่อกันและเข้าถึงตัวตนของโรงแรมได้มากขึ้นด้วย
- สร้าง Brand Experience แบบ 360 องศา แนวคิดของโรงแรมควรได้รับการถ่ายทอดผ่านทางทุกสัมผัส ทั้งรูป (การตกแต่งสถานที่), รส (อาหารออร์แกนิค), กลิ่น (กลิ่นต้นไม้ดอกไม้และไอดินจากธรรมชาติ), เสียง (ความเงียบสงบ, เสียงนกร้องตอนเช้า), และสัมผัส (การบริการของพนักงาน)
- Word of Mouth คือ เครื่องมือทางการตลาดที่มีความหมายมากสำหรับธุรกิจโรงแรมขนาดเล็ก ลูกค้าประจำของพระนครนอนเล่นส่วนมากจะมีรูปแบบการดำเนินชีวิตและความสนใจที่สอดคล้องกันกับทางโรงแรม ซึ่งคนเหล่านี้ก็จะเป็นกระบอกเสียงสำคัญที่ดึงลูกค้าใหม่ๆ เข้ามา
ข้อมูลธุรกิจ
เจ้าของธุรกิจ : คุณวริศรา มหากายี (คุณโรส)
ขนาดพื้นที่ : 280 ตารางวา
ปีที่เปิดให้บริการ : ปี 2548
งบประมาณเริ่มต้น : 7 ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่)
อัตราค่าบริการ : 1800 บาท ขึ้นไปต่อคืน
ระยะเวลาคืนทุน : ไม่มีการตั้งเป้าไว้
จำนวนพนักงานเมื่อเริ่มต้น : 5 คน
จำนวนพนักงานในปัจจุบัน : 26 คน
โครงการในอนาคต : Home Stay ที่เกาะลิบง
กรณีศึกษาที่ 2 – โรงแรมเฟื่องนคร
ความเป็นมา
จากจุดเริ่มต้นที่ครอบครัวของคุณธันยาภรณ์ เปี่ยมวิริยะกุล ได้มีโอกาสเป็นเจ้าของที่ดินผืนย่อมบนถนนเฟื่องนคร ตรงข้ามวัดราชบพิธ ซึ่งอดีตเคยเป็น “โรงเรียนประถม” เก่าแก่ แรกเริ่มเดิมทีนั้น พ่อของคุณธันยาภรณ์ตั้งใจจะทำเป็นที่จอดรถให้เช่า (เนื่องจากเห็นช่องว่างทางธุรกิจที่จะสร้างรายได้แบบชัวร์ๆ ในย่านนั้น) แต่ด้วยความที่ฝ่ายคุณแม่ไม่ต้องการจะทุบอาคารเดิมทิ้ง จึงคิดว่า น่าจะปรับปรุงโครงสร้างเดิมแล้วทำเป็นหอพัก อย่างไรก็ดี เมื่อทุกคนในครอบครัวพิจารณาถึงทำเลที่ตั้ง ต้นทุน งบประมาณ และปัจจัยแวดล้อมต่างๆ แล้ว ก็ได้ข้อสรุปว่า “ธุรกิจบูติกโฮเต็ลน่าจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด” นั่นเองคือจุดเริ่มต้นของ “เฟื่องนคร” บูติกโฮเต็ลสไตล์น่ารักน่าพัก ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นโอเอซิสน้อยๆ ของคนไกลบ้านบนเกาะรัตนโกสินทร์
เอกลักษณ์ที่แตกต่าง
นอกจากทำเลที่ตั้งบนถนนเฟื่องนครซึ่งได้ชื่อว่า เป็นหนึ่งในทำเลทองของเกาะรัตนโกสินทร์แล้ว (อยู่ใกล้ชิดกับสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ของกรุงเทพฯ เช่น วัดพระแก้ว ,วัดราชบพิธ, วัดสุทัศน์, ศาลหลักเมือง, เสาชิงช้า, วัดโพธิ์, ท่าเตียน, แพร่งภูธร, แพร่งนรา ฯลฯ) โรงแรมเฟื่องนครยังได้เปรียบที่พักเจ้าอื่นๆ ในละแวกเดียวกันด้วยเรื่องของขนาด บรรยากาศ ความเงียบสงบ ตลอดจนพื้นที่สีเขียวของสวนสวยส่วนกลาง ความรู้สึกของ “โอเอซิสกลางเมือง” นี้ สร้างความประทับใจให้กับลูกค้าที่เข้าพักได้อย่างมาก (น้อยคนนักจะคาดคิดว่า ณ ใจกลางย่านเกาะรัตนโกสินทร์จะมีที่พักที่ให้บรรยากาศแบบนี้ตั้งอยู่)
โอกาสและความเป็นไปได้ทางการตลาด
แม้จะเปิดบริการมาได้ไม่ถึงครึ่งปี แต่ด้วยความที่มี “ทำเลที่ตั้งที่ดี” บวกกับ “กลยุทธ์ทางการตลาด” ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยใช้การติดต่อประชาสัมพันธ์ผ่านตัวแทนจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพ ก็ทำให้โรงแรมน้องใหม่แห่งนี้ดำเนินธุรกิจแบบเหนือความคาดหมาย ทำสถิติห้องพักเต็มทั้ง 41 ห้องในช่วงต้นปีที่ผ่านมา
เคล็ดลับของ ‘เฟื่องนคร’
- คุณสมบัติสำคัญของผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของกิจการบูติกโฮเต็ล คือ ต้องเป็นคนที่มีใจรักในงานบริการ ชอบพบปะเจอะเจอพูดคุยกับผู้คน มีความอดทนสูง ใจเย็น และเป็นคนใส่ใจในรายละเอียดต่างๆ เพราะงานโรงแรมเป็นงานที่มีเรื่องจุกจิกเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตัวอาคาร ห้องพัก บุคลากร ฯลฯ
- รูปภาพและภาพถ่ายที่สวยงามเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับโรงแรมหน้าใหม่ เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะตัดสินใจเลือกที่พักจากภาพถ่ายที่ได้เห็น
- ในปัจจุบัน Social Network มีความสำคัญมากกับธุรกิจโรงแรม เพราะหากลูกค้าได้รับการบริการที่ประทับใจก็จะนำไปสู่การเขียนรีวิวให้ใน Blog และ Website ต่างๆ
ข้อมูลธุรกิจ
เจ้าของธุรกิจ : คุณธันยาภรณ์ เปี่ยมวิริยะกุล
ปีที่เปิดให้บริการ : ตุลาคม ปี 2553
งบประมาณเริ่มต้น : 30 ล้าน (เฉพาะค่าปรับปรุงและซ่อมแซม)
อัตราค่าบริการ : 750 – 3,750 บาท
ระยะเวลาคืนทุน : 4 – 5 ปี
จำนวนพนักงานเมื่อเริ่มต้น : 4 คน
จำนวนพนักงานในปัจจุบัน : 13 คน
โครงการในอนาคต : หาที่ดินเพิ่มเติมในย่านเดียวกันนี้เพื่อทำโครงการใหม่
กรณีศึกษาที่ 3 “เดอะ ภูธร” และ “ดิ อัษฎางค์”
ความเป็นมา
เรื่องราวของ เดอะภูธร เริ่มต้นขึ้นจากความหลงใหลในการเดินทางท่องเที่ยวของสองสถาปนิกคู่สามีภรรยา คุณจิตรลดา และ คุณดิเรก เส็งหลวง ผู้ได้รับแรงบันดาลใจจากโรงแรมที่ดัดแปลงมาจากอาคารเก่าแก่รูปแบบต่างๆ อาทิเช่น ปราสาทเก่า บ้านพักแบบโฮมสเตย์ ฯลฯ จนกระทั่งวันหนึ่ง ดวงชะตาของผู้หลงเสน่ห์อาคารเก่ากับตึกร้างคร่ำคร่าบนถนนแพร่งภูธรก็ได้โคจรมาพบกัน มิต้องสงสัยว่าสถาปนิกทั้งสองเกิดอาการ “ตกหลุมรัก” ตึกร้างหลังนั้นในทันที และหมายใจว่า จะบูรณะเป็นสำนักงานในอนาคต แต่ค่าที่ชอบเที่ยวและรักการพบปะต้อนรับผู้คนเป็นนิสัย อีกทั้งยังพอมีประสบการณ์ด้านการออกแบบโรงแรมหลายแห่ง “เดอะ ภูธร” บูติกโฮเต็ลขนาด 3 ห้องนอน จึงถือกำเนิดขึ้นแทนที่ออฟฟิศ ก่อนที่ในอีกสองปีต่อมา ดิ อัษฎางค์ ซิซเตอร์โฮเต็ล จะได้ฤกษ์คลานตามออกมา
เอกลักษณ์ที่แตกต่าง
เพียงแค่ได้ยินเรื่องราวการชุบชีวิตอาคารเก่าในย่าน ‘Old town Bangkok’ ให้กลายเป็น “บูติกโฮเต็ลสไตล์โคโลเนียล” เราก็มั่นใจว่า งานนี้ “ขายได้” แน่นอน ยิ่งเมื่อผนวกกับการบริการที่เจ้าของดูแลเองทั้งหมด ก็ยิ่งทำให้ที่พักขนาด 3 ห้องของ “เดอะ ภูธร” นี้ถูกจองเต็มตลอดแทบจะทั้งปี (สินค้าสมัยนี้ยิ่งได้มายากยิ่งให้ความรู้สึกพิเศษ) ทั้งนี้คุณจิตรลดาเล่าให้เราฟังว่า ในการให้บริการแขกผู้เข้าพักเธอจะยึดคอนเซ็ปท์ ‘Customise’ เป็นหลัก นั่นก็คือ การทำความรู้จักกับแขกและใส่ใจในรายละเอียดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อาทิเช่น หากทราบว่าแขกมีอาชีพเป็นเชฟ เธอก็จะวางหนังสือเกี่ยวกับการทำอาหารไว้ในห้อง หรือหากพบว่า แขกถือหนังสือโขนอยู่ในมือ ก็จะแนะนำสถานที่ชมโขนให้โดยไม่ต้องรอให้แขกร้องขอ ซึ่งการบริการเหล่านี้เกิดขึ้นจากตัวตนข้างในของเธอที่มีนิสัยชอบดูแลผู้อื่น และมีความละเมียดละไมกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ
นอกจากนั้น การที่โรงแรมมีทำเลที่ตั้งที่อยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และมีจำนวนห้องน้อยมาก (เดอะ ภูธร มี 3 ห้อง, ดิ อัษฎางค์ มี 9 ห้อง) ก็เป็นอีกจุดเด่นที่ทำให้แขกผู้เข้าพักรู้สึกถึงความเป็นส่วนตัว ถูกใจผู้ที่ชอบการเดินทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและผู้ที่ต้องการความแตกต่าง รวมถึงผู้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวในแบบ Slow travel ด้วย

โอกาสและความเป็นไปได้ทางการตลาด
ด้วยจำนวนห้องที่จำกัดและทำเลที่ตั้งซึ่งอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวระดับ ‘Must-see’ รวมถึงสไตล์การตกแต่งและการบริการที่มีกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ ทำให้มั่นใจได้ว่าทั้ง เดอะ ภูธร และ ดิ อัษฎางค์ จะได้ต้อนรับแขกแบบเต็มๆ ตลอดทั้งปีแน่นอน
เคล็ดลับของ “เดอะ ภูธร” และ “ดิ อัษฎางค์”
- หากต้องการจะบูรณะอาคารเก่าเพื่อประโยชน์ใช้สอยใหม่ จะต้องเผื่อเวลาและเงินทุนไว้พอสมควร เนื่องจากการซ่อมแซมอาคารเก่าไม่สามารถเขียนแบบได้ละเอียดเหมือนกับอาคารใหม่ อย่างไรก็ดี ข้อได้เปรียบคือ ในระหว่างการซ่อมแซมนั้นมักจะมีไอเดียใหม่ๆ เกิดขึ้นเสมอ
- ในการทำบูติกโฮเต็ลขนาดเล็ก เจ้าของสามารถยกเฟอร์นิเจอร์หรือของสะสมที่บ้านมาประยุกต์ใช้ตกแต่งโรงแรมได้ ทั้งนี้เพื่อให้ได้อารมณ์อย่างที่ต้องการ และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้นธุรกิจ
- การดูแลรายละเอียดทุกอย่างทุกขั้นตอนด้วยตนเองจะทำให้เจ้าของธุรกิจได้เรียนรู้งานทั้งระบบ และสามารถกำหนดทิศทางการทำงานให้เข้ากับความเป็นตัวเองได้โดยไม่จำเป็นต้องยึดบรรทัดฐานของโรงแรมทั่วไป อาทิเช่น การไม่มีเคาน์เตอร์เช็คอินแต่มีโซฟารับแขกแทน เป็นต้น
- จงทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ใส่ความเป็นตัวตนลงไปให้เต็มที่ เพื่อให้โรงแรมมีบุคลิกที่โดดเด่นเฉพาะตัว
- การเดินทางท่องเที่ยวให้แรงบันดาลใจใหม่ๆ เสมอ
- แก้ไขปัญหาเรื่องพนักงานเข้า-ออกบ่อยด้วยการจ้างสำรองไว้
ข้อมูลธุรกิจ
เจ้าของธุรกิจ : คุณจิตรลดา เส็งหลวง และ คุณดิเรก เส็งหลวง
สถานที่ตั้ง : เดอะ ภูธร ถนนแพร่งภูธร แขวงศาลเจ้าพ่อเสือ, ดิ อัษฎางค์ ถนนอัษฎางค์ แขวงวังบูรพาภิรมย์ ทั้งสองแห่งอยู่ในเขตพระนคร
ขนาดโรงแรม : เดอะภูธร ขนาด 3 ห้อง, ดิ อัษฎางค์ ขนาด 9 ห้อง (ลักษณะอาคารเป็นห้องแถวเก่า)
ปีที่เปิดให้บริการ : เดอะ ภูธร ปี 2552, ดิ อัษฎางค์ ปี 2554
งบประมาณเริ่มต้น : ไม่ได้เก็บตัวเลขไว้ แต่น่าจะเป็นเลขเจ็ดหลัก
อัตราค่าบริการ : ราคาห้องพักเริ่มต้นที่เดอะ ภูธร 3,600 บาท, ที่ดิ อัษฎางค์ 2,800 บาท ระยะเวลาคืนทุน : เนื่องจากไม่มีงบลงทุนแน่ชัด จึงไม่ได้คำนวณไว้
จำนวนพนักงานเมื่อเริ่มต้น : ไม่แน่นอน (เพราะมีพนักงานเข้า-ออกตลอดเวลา)
จำนวนพนักงานในปัจจุบัน : วางแผนให้มี 8 – 10 คน (สลับกันดูแลทั้ง 2 แห่ง)
โครงการในอนาคต : หาพื้นที่ริมแม่น้ำหรือต่างจังหวัดเพื่อเปิดโรงแรมเพิ่มอีก




 

Create Date : 29 ตุลาคม 2555    
Last Update : 29 ตุลาคม 2555 19:57:40 น.
Counter : 3590 Pageviews.  

รีสอร์ตกลางกรุง



พูด ถึงรีสอร์ตสวย ในบรรยากาศธรรมชาติ คงนึกถึงการพักผ่อนตามรีสอร์ตต่างจังหวัด แต่ไม่น่าเชื่อว่า จากปากซอยลาดพร้าว 94 ซึ่งการจราจรคับคั่งจอแจ เข้าไปเพียง 1 กิโลเมตร จะพบรีสอร์ตเล็กๆ ตกแต่งสถานที่สวยงาม บรรยากาศร่มรื่น เต็มเปี่ยมด้วยต้นไม้หลากหลายชนิด ภายใต้ชื่อ “บางกอก การ์เดน รีสอร์ต” (Bangkok Garden Resort)

เจ้าของสถานที่นี้ คือ “สมชัย ก่องคำ” และ “รุ้งพราย วรศักดาพิศาล” สามีภรรยา ซึ่งมีธุรกิจหลัก เปิดบริษัท อิลีคอนอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด รับจัดวางระบบต่างๆ ให้แก่โรงแรมทั้งไทยและเทศมากว่า 18 ปีแล้ว

Bangkok-Garden02

ทว่า เหตุที่สนใจมาลงทุนทำรีสอร์ตกลางกรุงนั้น รุ้งพรายเล่าให้ฟังว่า เดิมซื้อที่ดินผืนนี้ ขนาดราว 300 ตารางวา ตั้งใจก่อสร้างเป็นหอพักคนงาน และเปิดให้เช่ารายเดือน จนวันหนึ่ง บังเอิญเข้าไปแถวซอยลาดพร้าว 71 พบอพาร์ตเมนท์แห่งหนึ่ง มีห้องพัก 40 กว่าห้อง ทุกห้องชาวต่างชาติเข้าพักเต็มหมด รู้สึกแปลกใจว่า ทำไมในซอยลึกเช่นนี้ กลับมีแขกเข้าพักเต็ม เกิดเป็นความสนใจอยากทำธุรกิจนี้บ้าง

“จากความสนใจ เลยลองศึกษาตลาด และมองทำเลของเราก็ดีไม่แพ้ใคร แต่เรามาเปลี่ยนคอนเส็ปท์ให้ต่างจากที่อื่นๆ ซึ่งโดยทั่วไปจะเน้นเป็นอพาร์ตเมนท์เข้าพักนอนอย่างเดียว แขกส่วนใหญ่จะจองโดยตรงมาจากต่างประเทศเลย แต่ของเรา เปลี่ยนมาทำเป็นรีสอร์ตเน้นบรรยากาศสบายๆ ดูอบอุ่น เปิดรับลูกค้าแบบวอล์คอินด้วย” สมชัย กล่าวเสริม และอธิบายต่อถึง สาเหตุที่นักท่องเที่ยวนิยมมาหาที่พักแถวลาดพร้าว ว่า

Bangkok-Garden03

ด้านหน้า “บางกอก การ์เดนฯ” ซึ่งอยู่ใน ซ.ลาดพร้าว 94
ชาวต่างชาติที่ มาเที่ยวเมืองไทยส่วนใหญ่จะพักอยู่ย่านสุขุมวิท หรือสีลม แต่ก็มีส่วนน้อยประมาณ 10% พยายามหาที่พักบริเวณใกล้เคียง ซึ่งราคาถูกกว่า และเดินทางไปแหล่งเที่ยวต่างๆ ได้ง่าย รวมถึงเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิ และดอนเมืองสะดวก ทำให้ห้องพักแถวลาดพร้าวได้รับความนิยมอย่างมาก แม้ว่า กลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้จะมีแค่ 10% แต่เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนผู้ประกอบการที่มีอยู่จำนวนไม่มากแล้ว ธุรกิจรีสอร์ตย่านลาดพร้าวจึงเป็นธุรกิจที่น่าสนใจไม่น้อย

นอกจากนั้น การทำธุรกิจนี้ ยังมีส่วนสำคัญเพื่อช่วยเสริมกับธุรกิจหลักด้วย เนื่องจากที่ผ่านมา เวลาลูกค้าต่างประเทศมาติดต่องานว่าจ้างวางระบบโรงแรม จะต้องพาไปดูการวางระบบต่างๆ จากที่เคยทำให้ลูกค้ารายเดิมๆ แต่ปัจจุบัน สามารถให้ลูกค้าเข้าพักในรีสอร์ตของพวกเขาได้เลย เพื่อทดลองระบบทุกอย่างด้วยตัวเอง ดังนั้น “บางกอก การ์เดนฯ” จึงเหมือนเป็นโชว์รูมแสดงการวางระบบการต่างๆ ให้แก่ธุรกิจหลักด้วย

Bangkok-Garden04

ด้านรุ้งพราย เผยว่า “บางกอก การ์เดน รีสอร์ต” แบ่งสัดส่วนพื้นที่เป็นส่วนอาคารห้องพัก 70 ตรว. พื้นที่สวนประมาณ 160 ตรว. และลานจอดรถประมาณ 45 ตรว. การตกแต่งจะใช้ความชอบส่วนตัวเป็นที่ตั้ง ไม่จำกัดว่าให้ออกมาสไตล์ใดสไตล์หนึ่ง เพราะอยากให้แขกที่เข้าพักรู้สึกว่า เสมือนมาพักบ้านเพื่อนหรือญาติมากกว่าเข้าพักตามโรงแรม

ทั้งนี้ มีห้องพักทั้งหมด 25 ห้อง แบ่งเป็น 3 รูปแบบ คือ ห้องธรรมดา 800 บาท/คืน ห้องสูท 1,200 บาท/คืน และห้องครอบครัว 1,500 บาท/คืน ซึ่งราคาดังกล่าว เมื่อเปรียบเทียบกับโรงแรมในย่านสุขุมวิท หรือสีลมแล้ว ถือว่าถูกมาก

Bangkok-Garden05

ในส่วนสวน รวบรวมของไทยโบราณที่หาได้ยาก เช่น เกวียนภาคต่างๆ ต้นไม้โบราณ และไม้ป่าต่างๆ สำหรับค่าตกแต่งทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 15 ล้านบาท ส่วนค่าที่ดินอีกประมาณ 15 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดเป็นทุนส่วนตัว

จุดเด่นของ “บางกอก การ์เดน รีสอร์ต” อยู่ที่การวางระบบต่างๆ ซึ่งนำความถนัดจากธุรกิจหลักมาใช้ ทั้งความทันสมัย สิ่งอำนวยความสะดวก และระบบรักษาความปลอดภัยเหมือนโรงแรมระดับ 5 ดาวทุกประการ ขณะที่การบริการดูแลเสมือนคนในครอบครัว เช่น มีห้องครัวให้แขกสามารถเข้าไปประกอบการอาหารได้เอง หรือถ้ามีความต้องการใดๆ พนักงานยินดีจะบริการ

รีสอร์ตกลางกรุงฯ แห่งนี้ เปิดบริการมาราว 8 เดือน ผลตอบรับนั้น เจ้าของธุรกิจทั้งสอง ตอบตรงกันว่า สำเร็จเกินกว่าที่คาดไว้ ตั้งแต่วันแรกที่เปิดให้บริการถึงปัจจุบันมีแขกเข้าพักตลอด ถ้าเป็นวันธรรมดาประมาณ 15 ห้องขึ้นไป ส่วนวันเสาร์และอาทิตย์ เต็มทุกสัปดาห์ โดยมีคิวจองยาวล่วงหน้าไปอีก 2 เดือน รายได้เฉลี่ย 5 แสนบาทต่อเดือน ซึ่งจากแนวโน้มดังกล่าว คาดว่าจะถึงจุดคุ้มทุนไม่เกิน 4-5 ปี

Bangkok-Garden06

“ช่วงแรกเราทำตลาด ผ่านเว็บไซต์ //www.bangkokgardenresort.com ประกอบกับเรามีพื้นฐานลูกค้าโรงแรมต่างๆ อยู่แล้ว ทำให้มีการจองห้องผ่านอินเตอร์เน็ตก่อนรีสอร์ตจะสร้างเสร็จเสียอีก หลังจากนั้น ลูกค้าที่เข้าพักก็จะกลับมาเป็นลูกค้าประจำ รวมถึงช่วยไปบอกต่ออีกด้วย” รุ้งพราย เผย

กลุ่มลูกค้ากว่า 90% เป็นชาวต่างชาติ ทั้งจากประเทศบราซิล สหรัฐอเมริกา เบลเยี่ยม สเปน สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ฮ่องกง เป็นต้น บางคนพักเพื่อรอเวลาเดินทางต่อไปแหล่งท่องเที่ยวต่างจังหวัด บางคนเดินทางมาเมืองไทยเพื่อรับการรักษาโรค หรือทำศัลยกรรมในสถานพยาบาล ก็จะพักเป็นระยะยาวครั้งละเป็นเดือน

นอก จากนั้น ด้วยความสวยงามสะดุดตา “บางกอก การ์เดน รีสอร์ต” จึงถูกขอใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมต่างๆ อีกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นงานแต่งงาน เปิดตัวสินค้า กลุ่มสัมมนา กลุ่มกวดวิชา ใช้เป็นฉากถ่ายทำรายการโทรทัศน์ เป็นต้น ซึ่งที่ผ่านมา แทบไม่เคยคิดค่าใช้จ่ายเลย เพราะอยากให้งานดังกล่าวเป็นส่วนช่วยประชาสัมพันธ์สถานที่มากกว่า

สำหรับปัญหาธุรกิจนั้น รุ้งพราย ระบุว่า เนื่องจากบุคลากรจะสลับหมุนเวียนมาจากธุรกิจหลัก ซึ่งทุกคนไม่เคยมีพื้นฐานด้านโรงแรมมาเลย การบริการบางอย่างจึงยังไม่เป็นมืออาชีพมากนัก แต่พยายามพัฒนาโดยเรียนรู้จากประสบการณ์ทำงานจริง

ปัญหาอีกประการ คือ ข้อจำกัดของขนาดพื้นที่ ทำให้ยังขาดสิ่งอำนวยความสะดวกบางอย่าง เช่น สระว่ายน้ำ และที่จอดรถมีน้อย เป็นต้น อย่างไรก็ตาม จากผลตอบรับธุรกิจที่ดี คงมีการขยายธุรกิจแน่นอน กำลังตัดสินใจ ระหว่างซื้อที่ดินใกล้เคียงเพื่อขยายพื้นที่ หรือหาทำเลอื่น เพื่อเปิดสาขา 2 ต่อไป

***********************




 

Create Date : 21 มีนาคม 2555    
Last Update : 21 มีนาคม 2555 13:19:54 น.
Counter : 1616 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  

ภูมิพัฒน์
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 35 คน [?]




Friends' blogs
[Add ภูมิพัฒน์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.