ปักกิ่ง วันแรกของการเดินทางออกนอกราชอาณาจักรไทย ภาค 5 จบแล้วครับ วันแรก
วันที่ 24 กันยายน 2006 เวลา 13.30 น.
หลังจากการเดินมาราธอนแล้ว
ในที่สุด ก็มาถึงเวลาที่รอคอยแล้ว
กินข้าว
หิวมากเลย เพราะใช้พลังงานไปเยอะสุด ๆ
ทัวร์ก็พาไปที่ร้านอาหาร ใกล้ ๆ
ก็อาหารบนเหลาเช่นเคย
มาเมืองจีนเนี่ย ถ้ามากับทัวร์
แล้วไม่ได้มากินอาหารภัตรคาร คงไม่ใช่เมืองจีน
แต่ข้อเสีย ก็คือ อาหารมันแทบไม่แตกต่างกันเลย
อาหารบนโต๊ะจีน จะมีอยู่ประมาณ 8 อย่าง
โดย 8 อย่าง จะต้องประกอบไปด้วย
ปลา 1 ชนิด (เป็นปลาจีนมั้ง ไม่แน่ใจ ปลาจะมีก้างเยอะมากเป็นก้างแบบตัว Y)
ผัดผักน้ำมันหอยมั้ง (ผักกาดของจีน เขียวมาก)
เบียร์จีน 2 ขวด น้ำอัดลม 1 ขวด น้ำชา 1 กา
ที่เหลือ ก็อาจต่างกันเล็กน้อย แต่ไม่ต่างกันมาก ซ้ำ ๆ กัน
ไม่ค่อยมีเนื้อสัตว์เท่าไหร่ ถึงมีก็ไม่ค่อยอร่อย
รสชาติ ก็จืด ๆ เลี่ยน ๆ
ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดของทัวร์ คือ เครื่องปรุง
หัวหน้าไกด์ทัวร์คนไทย อย่างน้อย ต้องเตรียมไปให้พร้อม
มีครบครัน พริกเอย น้ำปลาเอย น้ำพริกเอย
สุดท้าย อาหารที่อร่อยที่สุดบนเหลาจีน ก็หนีไม่พ้นน้ำพริก
กับอีกอย่างคือ..........
..
ไข่เจียว
.....
(ลงความเห็นกันในกรุ๊ปแล้วว่าอันนี้หละ
ถ้ามื้อไหนมีไข่เจียว ก็จะยิ่งเจริญอาหาร)
หลังจากพักเพิ่มพลังแล้ว
ไกด์จีน คุณบุญช่วย ก็ประกาศ มีปรับเปลี่ยนโปรแกรม
เพราะตามเดิม จะต้องไปดูเจ้าหมีแพนด้า
แต่คราวนี้ จะพาไปเทียนถานแทน
ด้วยเหตุผลใด ก็ไม่ทราบ (จะมาทราบตอนหลัง)
แต่เอาเหอะ จะพาไปไหน กรูก็จะไปด้วยหละ
เพราะไงก็มากับเค้าแล้วหนิ ไม่ไปด้วยไม่ได้
ก็ในที่สุด ก็ได้มาเที่ยวในสถานที่ สำคัญอีกแห่งของเมืองปักกิ่ง
หอบูชาฟ้าเทียนถาน
เป็นหอที่มีความสำคัญ เพราะฮ่องเต้จะต้องเสด็จมาที่นี้
ปีละ 2 ครั้ง เพื่อทำการบวงสรวงเทพเจ้า
ครั้งแรกเพื่อขอความอุดมสมบูรณ์
ครั้งหลัง เพื่อขอบคุณเทพเจ้า
สถานที่นี้ อยู่ออกมาทางนอกเมือง
บริเวณรอบ ๆ ก็ทำเป็นสวนสาธารณะไปด้วย
เวลาเดินรอบ ๆ ก็จะเห็นคนจีนเต็มไปหมด (ปรกติก็เจอเยอะอยู่แล้ว)
ก็จะมีกิจกรรมเต็มไปหมด
แต่ที่เห็นเยอะที่สุด ก็คือการเล่นไพ่
ที่เมืองจีน การเล่นไพ่ไม่ถึอว่าผิดกฏหมาย
เล่นแล้ว ต้องมีเดิมพันเล็กน้อย เพื่อให้เกิดอรรถรสของการเล่น
ไม่งั้นเล่นไปไม่ค่อยสนุกเท่าที่ควร (ข้ออ้างของไกด์จีน)
เดินผ่านทางประมาณ 1 กม. เข้าไป
เจอวงไพ่ที่คนจีนนั่งเล่น เกือบ 20 วง เต็มไปหมด
มาถึงแล้วหอบูชาฟ้าเทียนถาน
ที่นี่แบ่งออกเป็น 3 ส่วน
โดยส่วนที่คนจะเคยเห็นเยอะที่สุด คือ ส่วนแรก
เป็นหอทรงกลมขนาดใหญ่มาก
เรียกว่า ตำหนัก ฉีเหนียนเตี้ยน
ตำหนักนี้สร้างขึ้น โดยไม่ใช้ ขื่อคาน หรือตะปูเลย
อาศัยเสาขนาดใหญ่ จำนวน 28 ต้น
เพื่อรับน้ำหนักของหลังคาแทน
อันนี้ไม่รู้เขียนว่าอะไร แต่คงเป็นชื่อตำหนัก ฉีเหนียนเตี้ยน
ก็กระเถิบเข้ามาใกล้ ๆ มาดูในความสวยงาม
และที่สำคัญ คือ ความใหญ่โตของสถานที่
ที่เห็นว่าสีสันสดใส เพราะตำหนักนี้ เพื่งจะบูรณะไปเมื่อปีที่แล้ว
(ที่ทราบ เพราะพี่ที่ทำงานมาปีที่แล้ว ไม่ได้ดูในตำหนักนี้)
ไกด์บอกว่า วันนี้คนยังไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่
ขนาดคนไม่เยอะนะเนี่ย ยังหามุมปลอดคนยากเหลือเกิน
คราวนี้ก็มาดูภายในกันบ้าง ที่ว่าไม่ใช้ตะปู และคาน
เห็นเสาใหญ่โตจริง ๆ ก็ไว้รับน้ำหนักของหลังคา
อันนี้ ห้ามเข้า อยู่ได้แต่ด้านนอกเท่านั้น
ก็ต้องฝ่าฝูงจีนมุงตามเคย
ตำหนักนี้ จะมีความสำคัญมาก
เพราะเป็นที่ฮ่องเต้ มาทำพิธี
เพื่อบวงสรวงขอความอุดมสมบูรณ์
ซึ่งเมื่อทำพิธีเสร็จแล้ว
จะมีการนำป้ายบวงสรวงไปเก็บไว้ในตำหนักแห่งที่ 2
ซี่งมีชื่อว่าตำหนัก หวงฉงอวี่
ตำหนักนี้ไม่ได้เข้าไปชม และก็ถ่ายรูป เพราะปิดซ่อม
(อันนี้คงปิดซ่อม ปีละแห่ง เพื่อรองรับงานโอลิมปิกเกมส์แน่นอน
ใครที่ไปเที่ยวช่วง 3 ปีนี้ ก็คงชมได้ไม่ครบ)
ตำหนักนี้ ก็มีรูปทรงคล้าย ๆ กับตำหนักแรก
แต่ที่สำคัญ คือ รอบ ๆ ตำหนัก จะมีกำแพงกลมล้อมรอบอยู่
ซึ่งตรงนี้ ถ้าเราพูดในด้านนึง
เสียงก็จะวิ่งไปรอบ ๆ ทำให้คนที่อยู่อีกด้านได้ยินด้วย
(พี่เค้าเคยไปบอกมา อย่าลืมไปลองนะ แต่กรูก็อดลองจนได้)
ก็ความสำคัญ ก็เป็นที่เก็บป้ายบูชาเทพเจ้า
อันนี้ เป็นต้นสน ที่ไกด์บอกว่าสำคัญนะ
เพราะต้นนี้ จะเป็นต้นที่มีลักษณะเหมือนกับมังกรเก้าตัวพันกัน
ซึ่งใครที่ถ่ายรูปกับต้นนี้ ก็จะมีอายุยืน
อันนี้ก็มาถึงส่วนที่ 3
อันนี้ถ่ายย้อนกลับไปตำหนักที่ 2
ก็จะเห็นว่าคล้าย ๆ กับตำหนักแรก แต่ยังซ่อมไม่เสร็จ
ในส่วนที่ 3 นี้ จะเรียกว่า
แท่นบวงสรวง หวนชิวถาน
แท่นนี้ ลักษณะ ก็เป็นวงกลม คล้าย ๆ กับฐานรองตำหนักแรก
โดยประกอบไปด้วย ฐานวงกลม 3 ชั้น
แต่ละชั้นจะห่างกัน 9 ขั้น
(รายละเอียดตัวเลขจำไม่ค่อยได้แล้ว เพราะนานและ
แต่ก็ประมาณว่า อาศัยสร้างเป็นจำนวนเท่าของตัวเลข เพื่อเอาเคล็ด)
ถึงชั้นบนของชั้นที่ 3
จะมีชั้นที่ 4 ซึ่งเป็นเหมือนแท่นหินเล็ก ๆ
คนไปยืนได้เพียงคนเดียว
เป็นจุดสูงสุด ซึ่งเอาไว้ให้ฮ่องเต้ยืน
เพื่อเอาไว้ติดต่อกับเทพเจ้า
แท่นบูชานี้ จะเอาไว้ทำหน้าที่ขอบคุณเทพเจ้า
ที่ให้ความอุดมสมบูรณ์ หลังจากการมาขอครั้งแรกแล้ว
เวลาทำพิธี ก็จะเอาป้ายบูชาจากตำหนักที่ 2
มาทำการขอบคุณที่ตรงนี้
แล้วก็เอาป้ายไปเก็บที่ตำหนักที่ 2 เช่นเดิม
สรุป
ตำหนักแรก เอาไว้บูชาขอความสมบูรณ์
ตำหนักสอง เอาไว้เก็บป้ายบูชาเทพเจ้า
แท่นที่สาม เอาไว้บูชาขอบคุณเทพเจ้า
ฟังไกด์อธิบายงงมาก เพราะใช้คำที่มันมีความหมายเหมือนกัน
เดินไปเดินมา บูชาเหมือนกันมันต่างกันตรงไหนฟะ
ต้องมานั่งทำความเข้าใจ ถึงจะรู้เรื่อง
อีกหน่อยนึง
สถานที่ตรงนี้ จะเป็นแนว slope
โดยตำหนักแรกจะอยู่สูงสุด แล้วมีทางเดินต่อไปจนถึงแท่นที่ 3
แต่ระดับมันจะไล่ลงมาเรื่อย ๆ
เพื่อแสดงถึงการติดต่อกับเทพเจ้า จะต้องอยู่สูงสุด
ประตูทางเข้า ต้องมี 3 ช่อง
ช่องกลางสำหรับฮ่องเต้
ด้านข้างสำหรับขุนนาง
ทางเดินตรงกลางก็ของฮ่องเต้
(แต่ฮ่องเต้ ไม่เดินนะ ต้องนั่งเกี้ยวหาม)
ที่สำคัญ ทั้ง 3 แห่งจะอยู่แนวเดียวกันเป็นเส้นตรง
ก็เป็นเกร็ดเกี่ยวกับทางสถาปัตยกรรมของจีน
อันนี้เป็นกระถาง ที่อยู่ในแท่นที่ 3
ในอดีต เอาไว้จุดไฟ โดยใส่พวกไม้สนเอาไว้
เวลาเผาไฟ สนจะมีน้ำมันออกมา
ทำให้เผาไหม้เยอะขึ้น และเกิดเสียงดังเพี๊ยะ ๆ
ซึ่งไกด์บอกว่ามันเหมือนกับ เป็นเสียงเครื่องดนตรี
เพื่อประกอบการบวงสรวงเทพเจ้า
ที่นี้ก็เดินเที่ยวแบบสบาย ๆ เพราะมีเวลาเยอะ
ก็มาถึงตอนท้าย ก็มีการจัดสวน รับงานวันชาติจีน
ก็เป็นมาสคอตของาน สวยดี
คนถ่ายรูปกันตรึมเลยตรงนี้
กำลังจะออก พี่หนึ่ง ก็ไปเห็นเด็กน้อย
ด้วยทรงผมที่โดนใจ
ทำให้เธอห้ามใจไม่ไหว ต้องเข้าไปถ่ายรูปเจ้าตัวน้อยซะหน่อย
เจ้าตัวน้อย ก็ทำท่าเหนียมอายซักนิดนึง พอเป็นพิธี
แต่สุดท้ายก็ยอมให้ถ่าย
รูปนี้หลอนนะครับ เพราะเด็กมี 3 มือ บรี๋อ ๆๆๆๆ
........
0..0
...
จริงๆ ก็มือ แม่เด็กหนะหละ แต่ไปซ่อนยังไงไม่รู้
ดันบังมิดเลย
ก็หลังจากนี้ ทางไกด์ก็พาไปดูกายกรรมปักกิ่ง
ไปถึงประมาณ 4 โมงครี่ง ยังไม่เริ่มการแสดง
ต้องนั่งรอนานมาก
ก็นั่ง ๆ ไป ก็หลับครับ
เพราะเหนื่อยโคตรวันนี้
ตื่นมาอีกที ก็กำลังจะเริ่ม (ดีนะ ไม่หลับไปจนจบค่อยตื่น กรู)
กายกรรมปักกิ่ง โชว์คราวนี้ จะเน้นพวกยิมนาสติก
ก็จะแสดงความแข็งแรงเป็นส่วนมาก
ประเภท อาศัย Balance ของการลงน้ำหนัก
ก็ดูเพลินดี
ไม่ค่อยมีพวกโชว์ ควงจาน ควงขวด อย่างที่เคยเห็น
มีโชว์สุดท้าย ที่เป็นโชว์เปลี่ยนหน้ากาก
ก็แปลกดี
ไว้วันหลังต้องไปหาดูใหม่ ตื่นตาตื่นใจดี
ดู ๆ ไป ก็ลุ้นเสียวเหมือนกัน
มันจะพลาดหรือเปล่าฟะ
น่ากลัวอะ บางครั้งเอาผ้ามัดไว้ที่คอ แล้วก็เหวี่ยงอีกคนให้ลอย
ถ้ามันพันคอแล้วเกิดหายใจไม่ออกตรงนั้นทำไงวะเนี่ย
เฮ้อ เห็นแล้วต้องยอมรับเลยว่าคงมีแต่คนจีนหละ
ที่จะทำแบบนี้ได้
เพราะต้องมีการเทรนกันตั้งแต่เด็ก
ต้องฝึกกันตลอด
พอจบการแสดง ก็ได้เวลาอาหารอีกแล้ว
ก็อาหารภัตรคารคราวนี้
แต่เมนูก็อย่างที่ว่าไป
ไม่ต้องเห็นก็เดาได้ว่ามีไรบ้าง
แต่ถึงไง กรูก็กินจนเกือบหมดโต๊ะทุกที
ก็กลับเข้าที่พักแล้ว
อันนี้เป็นที่พักอยู่นอกเมืองไปหน่อย
อยู่แถววงแหวนที่ 2 ต่อ กับ 3
เป็นโรงแรมของมหาวิทยาลัย
เอาไว้ให้พวกข้าราชการที่มาเรียนต่อหรือประชุมมาพัก
ดูราคาแล้ว เอาเรื่องเหมือนกัน คืนละ 2400 บาท
วันแรกจบลงด้วยเวลาเกือบ 5 ทุ่ม
ต้องพักเก็บแรงไว้เยอะ ๆ
ยังเหลือเวลาอีกหลายวัน อีกหลายที่
ไม่รู้เค้าจะพากรูไปตรากตรำที่ไหนอีก
วันแรก ก็พาเดินจนน่องโป่งหมดแล้ว (T-T)
แต่เอาฟะ มาแล้วต้องเที่ยวให้คุ้มโว้ย
เสียดายกะตังค์ มาแล้วไม่ไปไหน มานอนเล่นไม่ได้
ไว้เจอกัน ปักกิ่งวันที่ 2
สู้ ๆ ......
.....
...
.
Create Date : 11 ธันวาคม 2549 |
| |
|
Last Update : 11 ธันวาคม 2549 16:16:47 น. |
| |
Counter : 527 Pageviews. |
| |
|
|