วิถีชน คนนอกกรอบ

ดูงานมาเลย์ ตอนจบ ไชน่าทาว์นกลางกรุง

จตุรัสเมอร์เดก้า มาเลเซีย


(ต่อจากตอนที่แล้ว) หลังจากเราออกจากเมืองปุตราจายา ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเราก็ย้อนมาที่กรุงกัวลาลัมเปอร์เพื่อใช้เวลาให้คุ้มก่อนเดินทางกลับเมืองไทย เราแวะไปที่พระราชวังของราชาธิบดี ที่สุลต่านแต่ละรัฐของสหพันธรัฐมาเลเซียจะหมุนเวียนมาดำรงตำแหน่ง และพำนักที่นี่ แต่เราได้แค่ถ่ายรูปกับทหารองค์รักษ์หน้าวังเท่านั้น



หน้าพระราชวังราชาธิบดี


ใช้เวลา ครึ่งชั่วโมงเราก็ต่อไปที่จตุรัสเมอร์เดก้า หรือจตุรัสเอกราช เป็นสถานที่ประกาศอิสรภาพจากผู้ปกครองอาณานิคม คืออังกฤษ ซึ่งบริเวณดังกล่าว มีอาคารพิพิฑธภัณธ์ ที่ทำการในอดีตอาคารทรงยุโรปที่สวยงาม และทุกๆปี ก่อนที่จะสร้างเมืองใหม่ปุตราจายา ที่นี่คือศูนย์กลางของประเทศเหมือนสนามหลวงของไทยเรา ข้อสังเกตุคือจะมีเสาธงที่ประดับธงชาติสหพันธรัฐมาเลเซียที่สูงที่สุดในโลก ตั้งตระหง่าน


เสาธงที่ใหญ่ที่สุดในโลก



พี่สมชาย


จนกระทั่งประมาณห้าโมงเย็น รถตูก็นำคณะเราไปแวะชอบปิ๊ง ที่ ย่านไช่น่าทาวน์ (PETALING STREET) ใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยพวเราแยกกันเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 2-3 คน ตามอัธยาศัย ซึ่งบรรยากาศย่านไช่น่าทาวน์ ชอบปิ๊ง (PETALING STREET) ก็ใกล้เคียงกับหน้ารามฯ, ประตูน้ำ, อนุสาวรีย์ชัย หรือแถวสยาม แต่ที่ดูเด่นมีเสน่ห์กว่าก็คือ ที่นี่เหมือนตลาดทวีปเอเชีย เพราะมีทั้งร้านค้าและผู้คนเกือบทุกสายพันธุ์ในทวีปเอชียมาเดินและเปิดร้านในที่นี้ ทั้ง จีน อินเดีย ปากีสถาน มาเลย์ ไทย อินโดนีเซีย ลาว พม่า เวียดนาม ฟิลิปปินส์ เกาหลี ญี่ปุ่น แขกอาหรับ ออสเตรเลีย นิวซีแลด์รวมไปถึงชาวยุโรป เดินกันให้ควัก ทั้งที่เป็นผู้ซื้อและผู้ขาย





สถาปัตยกรรมผสมผสานยุคอาณานิคม


สำหรับการติดต่อซื้อขายนั้น ส่วนใหญ่ก็ใช้ภาษอังกฤษ กับภาษมาเลย์ การตั้งราคาก็เกินกว่าความเป็นจริงหลายเท่าตัว สินค้าแบรนด์แนมทั้งแท้และก็อปปี๊ขายกันเกลื่อน ตาดีได้ ตาร้ายสีย โดยเฉพาะพวกเสื้อผ้า กระเป๋า เครื่องหนัง รองเท้า และน้ำหอม ไม่ต่งกับตลาดท่าสะเด็ด ที่หนองคาย, ตลาดท่าขี้เหล็กชายแดนแม่สาย หรือตลาดโรงเกลือที่จังหวัดสระแก้ว




ร้อนอย่างแรง..เลยหลบแดด

คณะเราเดินช๊อปกันแบบระวังเป็นพิเศษ แต่ที่เจอกับตนเองจะๆก็ ไปต่อราคากระเป๋าหนังปาร์ด้าที่ ตั้งราคาไว้ 80 ริงกิต หรือ 800 บาท เราต่อเหลือ 15 ริงกิต หรือ 150 บาท เราเจอหญิงชาวจีนวัยกลางคนนั้งขายไวอาก้าหน้าตาเฉย ราคาก็ย่อมเยา เพียงกล่องละ 4 ริงกิต หรือ 40 บาท แต่ไม่เห็นใครในคณะเราซื้อ

เมื่อเราผ่านไปในอีกซอย ก็เจอวัยรุ่นชาวจีนมาเลย์ทั้งชายและหญิงเข้ามาประกบ ชักชวนซื้อบริการทางเพศ โดยมีอัลบัมรูปถ่ายผู้หญิงให้ดูพร้อม ยิ่งเดินยิ่งเจอ ทั้งนวดฝ่าเท้า ทั้งนวดแผนโบราณ เป้นเรื่องแปลกในสายตาเรา เพราะโหงวเฮ้งน่าจะเป็นเถ้าแก่ร้านทองหรือภัตรคารอาหารจีนมากกว่า


จุดเกิดเหตุ แผงน้ำหอมที่ไชน่าทาว์น center>

ซักพักผู้เขียนซึ่งแยกกลุ่มมา 3 คน ซึ่งก็มีแบร์มะ กำนัน 5 แนบทอง กับแบร์ลี รองนายกฯ 4 สมัย เพื่อหาน้ำหอมคุณภาพดีราคาถูก เพราะเราพลาดโอกาสในการซื้อน้ำหอมแบรนด์แนมที่ตึกเปรโตรนาสเมื่อเช้าวันนี้



เหมือนย่านการค้าบ้านเราเลย แต่คนเขาหลากพันธุ์มากcenter>

เราเดินทะลุซอยจนนับไม่ไหวในที่สุด เราก็เจอแผงขายน้ำหอม ดูเหมือนเขาจะเพิ่งเปิดร้าน ซึ่งก็มีน้ำหอมหลากหลายยี่ห้อแบรนด์ดังๆวางจำหน่าย แต่ที่น่าสังเกตุคือไม่ได้บรรจุในกล่อง เจ้าของร้านเป็นวัยรุ่นชาวจีนมาเลย์ผอมสูงผมเซ่อๆ และหนุ่มล่ำสั้นหน้าเหี้ยมชาวอินโดฯ คอยยืนตะโกนเรียกลูกค้าและโฆษณาเป็นภาษามาเลย์สลับกับภาษาอังกฤษ ผมก็เดินเข้าไปหยิบน้ำหอมขึ้นมาขวดหนึ่ง ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ผมใช้เป็นประจำ เมื่อลองสูดกลิ่นและพิจารณาจากขวด เห็นว่า นี่มันของแท้ เพราะใช้มานาน แต่ก็นึกในใจอยู่ว่า มันช่างเลียนแบบได้เยี่ยมจริงๆ หันไปดูราคาที่เขียนด้วยกระดาษแข็งบนโต๊ะคือ ขวดละ 30 ริงกิต



ผู้เขียนจึงขอวานแบร์ลีสอบถามราคาให้แน่ชัดอีกครั้ง แบร์ลีจึงถามเป็นภาษามาเลย์ “ขวดนี้ราคาเท่าไหร่ ต่อได้ไหม” คนขายก็ตอบ “ 30 ริงกิต ต่อได้” ผมจึงลองต่อไป “15 ริงกิต ” คนขายมันตอบ โอเค้! มันรีบเดินไปเอาถุงมา ผมก็งงในขณะที่มือก็ยังกำขวดน้ำหอมอยู่ แบร์รีบอกว่า “ต้องเอาน๊ะ ธรรมเนียมที่นี่ต่อแล้วต้องเอา” นึกในใจ ว่ามันต้องมีอะไรแน่



ผู้เขียนควักกระเป่าตังค์ขึ้นมา เพื่อจะหยิบเงินจ่าย เมื่อมันรับเงินไปแล้ว คนขายก็ขอน้ำหอมคืนเพื่อเปลี่ยนขวดใหม่ให้ เป็นกล่องใหม่เอี๋ยม! ผู้เขียนจึงตอบไปว่า “ไม่เป็นไร จะเอาขวดนี่แหละ กล่องไม่ต้อง ไอมีกระเป๋าสะพายปราด้าที่เพิ่งซื้อมา” เท่านั้นแหละ.. ไอ้จีนมาเลย์กับไอ้อินโดฯมันจ้องหน้า ตาแดงก่ำ พร้อมพูดเป็นภาษมาเลย์ว่า “ไม่ได้!” ผู้เขียนก็เลยบอกว่า “ถ้าไม่ได้ก็เงินคืนเงินมา” มันตอกกลับ “คืนไม่ได้ เพราะเป็นลูกค้ารายแรก ถ้าคืนให้ก็จะขายไม่ดีทั้งคืน” ก็เลยมีการยื้อขวดน้ำหอมกับมันตั้งสองสามตลบ ในที่สุดเมื่อมีคนที่เดินผ่านไปมาเริ่มสนใจ หันมามอง อีกในใจก็คิดว่า “ สงสัยวันนี้อาจจะได้เปิดศึกระหว่างประเทศซะแล้ว”

src = //www.bloggang.com/data/b/betongtoday/picture/1278271072.gif>


แต่สุดท้ายมันก็ถอดใจ คงเห็นว่า เจอคนจริงเข้าแล้ว มันก็โบกมือไล่เราพร้อมกับสบถภาษาจีนไล่หลัง เราสามคนจึงรีบเดินจ้ำไปข้างหน้าเพื่อหนีห่างไปจากที่นั้น โดยเราแวะไปชิมแบเกอร็รี่ กาแฟสดฝีมือเยี่ยมของชาวฮินดูที่นั่น เพื่อดูทิศทางลม ระหว่างนั่งละเลียดกาแฟนั้น แบร์มะ กับแบร์ลี ก็บอกว่า “ ที่มาเลเซีย คนจีนจะเป็นนักเลง เป็นแก๊งมาเฟีย แก๊งมิจฉาชีพ ธุรกิจผิดกฎหมาย ที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นคนจีนกับคนฮินดู ต่างกับไทยที่คนจีนจะเป็นชนชั้นนำ เป็นนักธุรกิจ ไม่ก้าวร้าวนักเลงเหมือนจีนในมาเลเซีย ที่เรียกว่าเป็นแก๊งมังกรเชื่อมโยงกับแก๊งลูกหมูในจีนแผ่นดินใหญ่นั้นเอง” ฟังแล้วขนลุก เกือบไปแล้วเรา




เบียร์อุ่นๆกับซีฟู๊ตcenter>

เรารอรอจนหนึ่งทุ่ม เราก็ไปขึ้นรถตู้เพื่อเดินทางกลับไทย ซึ่งถ้าวิ่งอย่างเร็วก็ 6 ชั่วโมง แต่เราออกจากกัวลามลัมเปอร์ประมาณ 2 ทุ่ม เพื่อประหยัดที่พักและเวลา

ระหว่างนั่งบนรถขากลับเราก็วิพากษ์กันถึงประสบการอย่างถึงพริกถึงขิง เราวิพากษ์นโยบายภูมิบุตรของมาเลเซีย ที่ให้โอกาสและอภิสิทธิกับคนชาติพันธุ์มาเลย์ และควบคุมเผ่าพันธุ์อื่นๆ เป็นประชาชนชั้นสอง ทำให้ชาวมาเลย์เชื้อสายจีนต้องลุกขึ้นต่อสู้ในยุคอดีตพรรคคอมมิวนิสต์มาลายา กดดันจนทำให้ชาวจีนมาเลย์จำนวนไม่น้อยต้องไปเป็นพวกมัจฉาชีพ




ปัญหาความไม่เท่าเทียมในนโยบายภูมิบุตรของมาเลเซียสร้างพรรคคอมมิวนิสต์มาลายาในฉันท์ใด ปัญหาความไม่เท่าเทียมในทางปฏิบัติในสามจังหวัดชายแดนใต้ก็สร้างขบวนการแบ่งแยกดินแดนฉันท์นั้น มาเลเซียมีโชคช่วยที่โลกคอมมิวนิสต์ล่มสลาย จึงทำให้แก้ปัญหาได้สำเร็จ ประเทศไทยเราไม่โชคดีขนาดนั้น เพราะกลุ่มเครือข่ายขบวนการก่อการร้ายยังไม่จบสิ้น
เมื่อผมกลับมาถึงบ้าน ภาพในมาเลเซียยังติดตาเสมอ มาวันนี้เมื่อเห็นเหตุการณ์ความวุ่นวายในบ้านเมือง ตลอดสองสามเดือนที่ผ่าน ไม่ว่าจะเป็นเพราะการปลุกปั่นของแกนนำเสื้อแดง หรือกลอุบายจากความแค้นส่วนตัวของอดีตนายกฯที่กำลังหนีคดีก่อการร้ายในต่างแดน หากประชาชนในประเทศมีความเทียมในโอกาส ทั้งทางการศึกษา ทางเศรษฐกิจ ทางสังคม ประชาชนการเข้าถึงสื่อมากกว่านี้ มีคุณภาพชีวิตดีกว่านี้ มีความเลื่อมล้ำน้อยกว่านี้ ผู้เขียนเชื่อว่าต่อให้ร้อยทักษิณ ร้อยแกนนำ คงไม่มีใครลุกขึ้นมาเผาบ้านเผาเมืองแน่นอน ....พบกันใหม่ทริปหน้า สวัสดีครับ




center>



Create Date : 05 กรกฎาคม 2553
Last Update : 5 กรกฎาคม 2553 2:49:30 น. 0 comments
Counter : 1947 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

areebet
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add areebet's blog to your web]