Group Blog
 
All Blogs
 

ตักบาตรเมืองแพร่ พระ 2,555 รูป (15 ม.ค.)...จาวเหนือบ่ควรพลาด ^^


ขอเชิญผู้มีบุญทุกๆท่านร่วมสั่งสมบุญครั้งประวัติศาสตร์ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ร่วมตักบาตรพระ 2,555 รูป เพื่อฟื้นฟูศีลธรรมโลก และช่วยเหลือคณะสงฆ์ 286 วัด 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้" วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม


ตักบาตรเมืองแพร่

โครงการตักบาตรพระ 1 ล้านรูป 77 จังหวัด ทุกวัดทั่วไทย

 

ตักบาตรพระ 2,555 รูป

 

ในอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2555

เวลา 06.00 - 08.00  น.

 

ณ ถนนยันตรกิจโกศล หน้าวิทยาลัยอาชีวศึกษา จ.แพร่



ตักบาตรพระ 2,555 รูป

 

ตักบาตรพระ 2,555 รูป

 


        ขอเชิญผู้มีบุญทุกๆท่านร่วมสั่งสมบุญครั้งประวัติศาสตร์ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ร่วมตักบาตรพระ 2,555 รูป เพื่อฟื้นฟูศีลธรรมโลก และช่วยเหลือคณะสงฆ์ 286 วัด 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้" วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2555 เวลา 06.00 น. ณ ถนนยันตรกิจโกศล หน้าวิทยาลัยอาชีวศึกษา จ.แพร่

 

ตักบาตรพระถวายเป็นพุทธบูชา รักษาวัฒนธรรมชาวพุทธ

 



ตักบาตรพระถวายเป็นพุทธบูชา รักษาวัฒนธรรมชาวพุทธ 

 


อานิสงส์ของการตักบาตรพระ

 

    1. เกิดในร่มเงาบวชพระพุทธศาสนาไปทุกภพทุกชาติ

    2. ย่อมเจริญด้วยโภคทรัพย์สมบัติเป็นอันมาก

    3. ทรัพย์สมบัติคงทนถาวร ไม่วิบัติด้วยภัยใดๆ

    4. ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ที่ชอบใจของคนหมูมาก

    5. คนดีเป็นอันมาก ย่อมคบหาผู้ให้ทาน

    6. ชื่อเสียงอันดีงามของผู้ให้ ย่อมฟุ้งขจรไป

    7. ผู้ให้ย่อมแกล้วกล้าอาจหาญ ไม่เก้อเขินในที่ประชุม

    8. เมื่อสิ้นอายุขัย ย่อมเกิดในสุคติโลกสวรรค์

    9. บรรลุมรรคผลนิพพานได้โดยง่าย

 

การตักบาตรคือประเพณีอย่างหนึ่งที่ชาวพุทธปฏิบัติกันมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล

 


การตักบาตรคือประเพณีอย่างหนึ่งที่ชาวพุทธปฏิบัติกันมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล

 




ข้อปฏิบัติที่ดีงามในการตักบาตร

 

- แต่งการด้วยชุดขาว หรือเสื้อขาวเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา

- อาหารใส่บาตรควารเป็นอาหารแห้ง

- ข้าวสารควรบรรจุถุงให้เรียบร้อย

- งดใส่ น้ำดื่มชนิดแก้วพลาสติก

- งดใส่ปัจจัยลงในบาตรท่านสามารถบริจาคได้ที่จุดรับบริจาค หรือต้นผ้าป่าที่มีเจ้าหน้าที่ดูแล

- รักษาใจให้ ผ่องใส น้อมถวายไทยธรรมเป็นสังฆทาน

- ใส่บาตรด้วยความเคารพ ด้วยการนั่งใส่บาตรโดยให้แถวหน้าใส่ให้เสร็จก่อน





ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม โทร. 081-885-6505 , 086-212-3232

 

แผนที่การเดินทางไปตักบาตร

 

แผนที่การเดินทางไปตักบาตร

 

 



บทความที่เกี่ยวกับตักบาตรเมืองแพร่ พระ 2,555 รูป ณ ถนนยันตรกิจโกศล หน้าวิทยาลัยอาชีวศึกษา จ.แพร่








Free TextEditor




 

Create Date : 06 มกราคม 2555    
Last Update : 6 มกราคม 2555 22:13:09 น.
Counter : 1824 Pageviews.  

ขอเชิญทุกท่าน เปิดศักราชใหม่แห่งปี อยู่ธุดงค์สร้างบารมี ณ วัดพระธรรมกาย






“เทศกาลวันขึ้นปีใหม่เป็นบรรยากาศของการเฉลิมฉลอง ซึ่งแทบทั้งโลกถือเป็น ธรรมเนียมนิยมกันว่า เป็นช่วงเวลาแห่งความเบิกบาน หรรษาที่ต้องต้อนรับสิ่งดี ๆ ใหม่ ๆ เข้ามาในชีวิต ทั้งยังเต็มไปด้วยความสุขและรอยยิ้มกันถ้วนหน้า เหมือนได้กลิ่นหอมสดชื่นของมวลดอกไม้นานาพันธุ์ เมื่อนึกถึงภาพแห่งความสุขในช่วงเวลาวันขึ้นปีใหม่มาเยือน

แต่อย่างไรก็ตาม เราทั้งหลายที่เป็นชาวพุทธ แม้จะสนุกสนานรื่นเริงขนาดไหน ก็ไม่เคยละทิ้งแนวคิดและแนวทางปฏิบัติอย่างผู้มีปัญญา เพราะการวัดงบดุลกำไรชีวิตนั้น คงไม่สามารถวัดได้เพียง ทรัพย์สมบัติ หน้าที่การงาน หรือยศถาบรรดาศักดิ์ที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น

แต่ความสุขที่เกิดขึ้นจากจิตใจที่ ดีงาม ด้วยการกลั่นใจให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ มีการบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นเบื้องต้น สิ่งนี้ต่างหากที่เป็นกำไรชีวิตที่แท้จริง เป็นกำไรที่เราตักตวงใช้อย่างไม่มีวันหมด เพราะเมื่อนึกถึงครั้งใด ใจก็ขยายกว้างขวางไร้ขีดจำกัด มีกำลังใจที่จะทำความดีต่อไป แม้ไม่มีใครเห็นหรือคอยชื่นชม”

เรียนเชิญผู้มีบุญทุกท่านเปิดศักราชใหม่แห่งปี อยู่ธุดงค์สร้างบารมี ณ วัดพระธรรมกาย ทำทาน รักษาศีล 8 นั่งสมาธิ ฟังธรรม ระหว่างวันที่ 30 ธ.ค.54 -1 ม.ค 55


แล้วพบกันนะคะ





 

Create Date : 28 ธันวาคม 2554    
Last Update : 28 ธันวาคม 2554 14:56:31 น.
Counter : 1747 Pageviews.  

ROSE YEAR (คู่มือต้อนรับพระธุดงค์ธรรมชัย) HOT!!!!!

เชิญโหลดคู่มือฉบับความละเอียดสูง (pdf) สีสันสวยงาม มีรายละเอียดแผนที่เส้นทางธุดงค์ พร้อมวันที่ จำนวน 4 หน้า ได้ที่นี่เลยค่ะ

คลิ๊ก
V
V
V

คู่มือ Rose Year







 

Create Date : 24 ธันวาคม 2554    
Last Update : 24 ธันวาคม 2554 12:22:40 น.
Counter : 1140 Pageviews.  

เชิญร่วมต้อนรับพระธุดงค์ธรรมชัยระหว่างวันที่ 2 – 25 มกราคม พ.ศ.2555




เส้นทางมหาปูชะนียาจารย์ ครั้งนี้ คือเส้นทางที่พระนักปฏิบัติธรรมวิชชาธรรมกายใช้เป็นเส้นทาง เดินธุดงค์ธรรมชัยเพื่อแสวงบุญและตรึกลำรึกถึงคุณอนันต์ยิ่งของพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ

“ สมณานัญจะ ทัสสะนัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง
การได้เห็นสมณะ เป็นมงคลอันสูงสุด ”


การเดินธุดงค์ธรรมชัย คือ การเดินตามรอยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็น Super Big Cleaning ทางใจอย่างแท้จริง เพราะจำกำจัดบาป อกุศล สิ่งสกปรก วิบากกรรม วิบากมารให้หมดสิ้นไป เพราะได้เดินบนเส้นทางพระผู้ปราบมาร ผู้มีส่วนในบุญนี้ทั้งหมด ทั้งพระ ทั้งโยม ทั้งเด็กดี V-Star ที่จะมาคอยต้อนรับคณะพระธุดงค์ด้วยการโปรยกลีบกุหลาบบูชาพระรัตนตรัย ล้วนได้บารมี 10 ทัศทั้งสิ้น


การเดินธุดงค์ธรรมชัย ระหว่างวันที่ 2 – 25 มกราคม พ.ศ.2555 มีวัตถุประสงค์ ดังต่อไปนี้

1. เพื่อสถาปนาเส้นทางมหาปูชนียาจารย์

เส้นทางมหาปูชนียาจารย์ คือ เส้นทางของสถานที่สำคัญ 6 แห่ง ที่เกี่ยวเนื่องกับพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ครูผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย พระผู้ปราบมาร ได้แก่


1. สถานที่เกิดรูปกายเนื้อ: อนุสรณ์สถาน มหาวิหารพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี
2. สถานที่เกิดในเพศสมณะ: วัดสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี
3. สถานที่เกิดรูปกายธรรม (ธรรมกาย): วัดโบสถ์บน บางคูเวียง จังหวัดนนทบุรี
4. สถานที่เผยแผ่วิชชาธรรมกาย (หลังบรรลุธรรมครั้งแรก): วัดบางปลา อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม
5. สถานที่ทำวิชชาปราบมาร (จนกระทั่งละสังขาร): วัดปากน้ำภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร
6. สถานที่สืบสานวิชชาธรรมกาย (เผยแผ่พระพุทธศาสนา วิชชาธรรมกาย ไปทั่วโลก): วัดพระธรรมกาย จังหวัดปทุมธานี


เส้นทางมหาปูชะนียาจารย์ ครั้งนี้ คือเส้นทางที่พระนักปฏิบัติธรรมวิชชาธรรมกายใช้เป็นเส้นทาง เดินธุดงค์ธรรมชัยเพื่อแสวงบุญและตรึกลำรึกถึงคุณอนันต์ยิ่งของพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)ที่ท่านได้ค้นพบวิชชาธรรมกาย และการเดินธุดงค์ธรรมชัยในครั้งนี้ เพื่อแสวงหาสิ่งที่มีความสำคัญทางจริยธรรมต่อจิตใจ เพราะถือว่าได้เดินตามรอยของมหาปูชะนียาจารย์

เป็นการเดินทางไปยังเส้นทางที่มีความสำคัญต่อความความศรัทธาของพระธุดงค์ธรรมชัยในครั้งนี้ และทุกๆเส้นทางและทุกๆย่างก้าวของพระธุดงค์ธรรมชัยทุกท่านจะเดินด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยศรัทธาอันแรงกล้าต่อพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ถือได้ว่าการเดินธุดงค์ธรรมชัยเพื่อสถาปนาเส้นทางมหาปูชนียาจารย์ ในครั้งนี้ จะเป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของพุทธศาสนา


2.ฟื้นฟูจิตใจ ผู้ประสบอุทกภัย

ทุกเหตุการณ์อุทกภัยต่างๆที่เกิดขึ้นในรอบหลายปีที่ผ่านมาล้วนแล้วแต่มีผลกระทบต่อจิตใจของประชาชนทั้งสิ้น ความเดือดร้อนครั้งนี้ทำให้ประชาชนมีความทุกข์อยู่ในใจ ธรรมะ นั้นสามารถที่จะเยียวยาจิตใจและเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดในยามนี้ เพราะฉะนั้นการเดินธุดงค์ธรรมชัยเพื่อสถาปนาเส้นทางมหาปูชนียาจารย์ ในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นการเดินเพื่อไปปลอบชโลมจิตใจของประชาชน เพราะประชาชนสามารถออกมาต้อนรับพระธุดงค์ที่จะไปแสวงบุญในครั้ง

ซึ่งสีจีวรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเข้าไปช่วยชโลมจิตใจของประชาชนให้ดีขึ้น และอีกทั้งประชาชนที่จะมาคอยต้อนรับคณะพระธุดงค์ด้วยการโปรยกลีบกุหลาบบูชาพระรัตนตรัย ล้วนได้บารมี 10 ทัศทั้งสิ้นเพราะฉะนั้นแล้วการเดินธุดงค์ธรรมชัยเพื่อสถาปนาเส้นทางมหาปูชนียาจารย์ในครั้งนี้ จึงมีความสำคัญยิ่งเพราะไม่เพียงแต่ให้พระภิกษุเดินเพื่อแสวงบุญแต่การเดินครั้งนี้ยังเพื่อที่จะเข้าไปปลอบชโลมจิตใจของประชาชนให้เข้มแข็งขึ้นอีกด้วย

3.สืบสานธุดงควัตรของพระภิกษุ

หลังออกพรรษาก็ถึงคราที่พระภิกษุสงฆ์จะเที่ยวจาริกในที่ต่าง ๆ เพื่อหาสถานที่อันสัปปายะ เพื่อเจริญสมณธรรม รวมทั้งเผยแผ่ธรรม ซึ่งเรามักจะได้ยินว่าออก “ ธุดงค์ ” และมักจะนิยมเรียกพระสงฆ์ที่จาริกไปเช่นนี้ว่า “ พระธุดงค์ ”ธุดงค์ หมายถึง องค์คุณเครื่องกำจัดกิเลส , ชื่อข้อปฏิบัติประเภทวัตร ที่ผู้สมัครใจจะพึงสมาทานประพฤติได้ เป็นอุบายขัดเกลากิเลส ส่งเสริมความมักน้อยสันโดษเป็นต้น

เรามักจะเห็นพระธุดงค์ เดินธุดงค์จำนวนไม่มาก แต่เราก็จะมีปีติทุกครั้งที่ได้เห็น และการเดินธุดงค์ธรรมชัยเพื่อสถาปนาเส้นทางมหาปูชนียาจารย์ในครั้งนี้จะสร้างความปีติเป็นอย่างยิ่งกับผู้ที่พบเห็นประชาชนจะเห็นทิวแถวของพระธุดงค์ธรรมชัยในครั้งนี้ที่ยาวสง่างามเป็นอย่างยิ่ง จะเป็นที่ตั้งแห่งความศรัทธาต่อผู้พบเห็น เพราะการจาริกธุดงค์ธรรมชัยในครั้งเพื่อสืบสานธุดงค์วัตรของพระภิกษุอีกด้วย เพราะสิ่งที่เราพบเห็นในปัจจุบันไม่ค่อยได้พบเห็นพระธุดงค์สักเท่าไหร่นี่คือการปูทางสว่าง เป็นการปฐมเริ่มและนี่คือยุคบุกเบิกของการสืบสานธุดงควัตรของพระภิกษุ


4.สร้างความสามัคคีกลมเกลียว ในชุมชน ทั้งบ้าน วัด โรงเรียน

ในปัจจุบันยุคเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทต่อชีวิตของประชาชน สิ่งที่เรามักพบเจอหรือเคยเห็นในยุคก่อนๆ ก็จะเลือนหายไปกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ แต่ความกลมเกลียวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนไทยแล้วล้วนแล้วไม่จางหายไปกับเทคโนโลยีและการจาริกเดินธุดงค์ธรรมชัย ของพระภิกษุผู้เปี่ยมล้นไปด้วย บุญ ในครั้งนี้ก็จะตอกย้ำซ้ำเติมความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของประชาชนให้แน่นยิ่งขึ้น

และการจาริกในครั้งนี้ยังผ่านไปทุกหมู่บ้าน ทุกชุมชมตลอดเส้นทางเดิน สีจีวรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สีนี้จะปลูกฝังเยาวชนให้มีใจที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนา เพราะการจาริกในครั้งนี้พระภิกษุท่านจะได้พัฒนาชุมชม พัฒนาวัด และจะสร้างความกลมเกลียวให้ชาวบ้านหันหน้าเข้าวัดและหันหน้าเข้าหาพระพุทธศาสนามากขึ้น

ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าการเดินธุดงค์ธรรมชัยเพื่อเพื่อสถาปนาเส้นทางมหาปูชนียาจารย์ในครั้งนี้เป็นได้ด้วยประโยชน์คุณอนันต์ มากเพียงไร การจาริกของพระภิกษุผู้เปี่ยมล้นไปด้วยความศรัทธาต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกย่างก้าวที่ท่านจาริกไปจะสร้างความผาสุข ตลอกเส้นทางที่ท่านจาริกไป

เพราะฉะนั้นเรียนเชิญทุกท่านออกมาต้อนรับพระธุดงค์ธรรมชัย เพื่อเพื่อสถาปนาเส้นทางมหาปูชนียาจารย์ในครั้งนี้โดยการเตรียมกลีบกุหลาบมาโปรยให้ท่านตลอดระยะเส้นทางที่ท่านจาริกบุญกุศลครั้งนี้ถือเป็นทานบารมีอันยิ่งใหญ่ท่านจะได้ร่วมสร้างบุญกับสงฆ์คณะใหญ่


เรียนเชิญออกมาต้อนรับคณะพระธุดงค์ธรรมชัยเพื่อสถาปนาเส้นทางมหาปูชนียาจารย์ ในวันจันทร์ ที่ 2 – 25 มกราคม พ.ศ.2555




 

Create Date : 23 ธันวาคม 2554    
Last Update : 23 ธันวาคม 2554 15:31:26 น.
Counter : 1568 Pageviews.  

ประวัติ“พระเทพญาณมหามุนี” (หลวงพ่อธัมมชโย วัดพระธรรมกาย)

พระเทพญาณมหามุนี

 

พระเทพญาณมหามุนี

พระเทพญาณมหามุนี

 

พระเทพญาณมหามุนี มีนามเดิมว่า ไชยบูลย์ สุทธิผล ถือกำเนิดเมื่อวันเสาร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ.2487 ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 6 ปีวอก เวลา 18.00 น. ณ บ้านริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ต.บ้านแป้ง อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ท่านเป็นบุตรของนายช่างใหญ่ กรมโรงงานอุตสาหกรรม นามว่าจรรยงค์ สุทธิผล กับคุณแม่จุรี สุทธิผล
 
เมื่อตั้งครรภ์ในขณะที่ครอบครัวพำนักอยู่ที่จังหวัดพิจิตร คุณแม่จุรีฝันว่า หลวงพ่อเพชร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปองค์ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเมืองพิจิตรกราบไหว้บูชา ได้นำเด็กที่มีลักษณะสวยงามมามอบให้ พร้อมกับกล่าวว่า “เด็กคนนี้เป็นลูกแก้วมาเกิด ขอให้เลี้ยงดูให้ดี จะเป็นที่พึ่งได้ในกาลต่อไปภายหน้า” และต่อมายังฝันอีกว่า ได้พบพระพุทธรูปเก่าแก่องค์หนึ่งในกองทราย ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อนำมาขัด พระพุทธรูปองค์นั้นก็เปล่งรัศมีส่องสว่างไปทั่วทั้งเมือง
 
ความฝันของคุณแม่จุรีในครั้งนั้น ได้นำความปีติยินดีมาสู่สมาชิกทุกคนในครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะคุณพ่อจรรยงค์ผู้มีความตั้งใจว่า จะส่งเสริมทายาทคนแรกของท่านนี้ ให้มีความเจริญก้าวหน้าในชีวิตให้ถึงที่สุด เพื่อให้เป็นที่พึ่งแก่ผู้คนทั้งหลายได้ และในวันที่ท่านเกิด ญาติพี่น้องที่เคยโกรธเคืองกัน ไม่ไปมาหาสู่กันเป็นเวลานาน ได้หันหน้ามาคืนดีกัน ด้วยมีความชื่นชมยินดีในวันเกิดของหลานชายคนแรก
 
การเกิดของท่าน จึงเป็นดั่งศุภนิมิตแห่งความสมานสามัคคี ประดุจน้ำฝนตกลงบนพื้นดินเหนียวที่แตกระแหง แล้วประสานรอยร้าวของเนื้อดินนั้นให้เรียบสนิทเป็นผืนแผ่นดินเดียว
 
ชีวิตในปฐมวัย เคลื่อนไปดุจสายน้ำ
 
เนื่องจากคุณพ่อมีอาชีพรับราชการ ซึ่งต้องเดินทางไปปฏิบัติราชการในต่างจังหวัดบ่อยครั้ง ชีวิตวัยเยาว์ของท่านจึงได้รับการดูแลทั้งจากมารดาและญาติพี่น้อง รวมถึงต้องย้ายที่อยู่เสมอๆ ต่อมาคุณพ่อได้คำนึงถึงอนาคตด้านการศึกษาจึงได้ฝากบุตรชายไว้กับครูบาอาจารย์ในโรงเรียนประจำชื่อโรงเรียนตะละภัฎศึกษา แถวเสาชิงช้า ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
 
และนับเป็นความโชคดีของท่าน เพราะเมื่อครั้งอยู่โรงเรียนประจำนั้น เจ้าของโรงเรียนซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์และไม่มีบุตร รู้สึกรักและเอ็นดูถึงกับจะเอ่ยปากขอเป็นบุตรบุญธรรมเพื่อให้สืบทอดมรดก เนื่องจากขณะนั้นคุณพ่อมีบุตรชายเพียงคนเดียวซึ่งเป็นที่รักและหวงแหนจึงไม่ยอมยกให้ แต่ถึงกระนั้นท่านเจ้าของโรงเรียนก็ยังคงรักใคร่เอ็นดู และพาติดสอยห้อยตามเข้าออกวังสระปทุมอยู่เสมอๆ จนทำให้ได้เรียนรู้ขนบธรรมเนียมของชาววังตั้งแต่นั้นมา และขณะเดียวกันก็ได้มีโอกาสติดตามไปร่วมทำบุญไหว้พระด้วยเสมอ จึงมีความใกล้ชิดกับพระสงฆ์องคเจ้าทำให้จิตใจใฝ่ธรรมะมาตั้งแต่เยาว์วัย
 
ในปี พ.ศ.2493 คุณพ่อได้รับคำสั่งให้ย้ายไปรับราชการที่จังหวัดเพชรบุรี ท่านจึงจำเป็นต้องลาจากเจ้าของโรงเรียนผู้มีพระคุณ เพราะคุณพ่อได้มารับไปอยู่ด้วย และได้เข้าเรียนในโรงเรียนอรุณประดิษฐ์ ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 อยู่กับคุณพ่อได้ปีเศษ ก็ย้ายไปอยู่ที่โรงเรียนสารสิทธิพิทยาลัย ในอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี เป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียง โดยคุณพ่อพาไปฝากไว้กับคุณครูสมาน แสงอรุณ ซึ่งเป็นครูที่ใจดีและมีจิตใจโอบอ้อมอารี ท่านเรียนอยู่ ณ ที่แห่งนี้จนจบชั้นมัธยมปีที่ 3
 
ขณะที่มีอายุได้ 13 ขวบ ท่านสามารถสอบแข่งขันเข้าเรียนในชั้นมัธยมปีที่ 4 ของโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร ได้เป็นผลสำเร็จ โดยสอบติด 1 ใน 150 คน จากผู้สมัครกว่า 500 คน วิถีชีวิตที่ต้องดูแลตัวเองตามลำพัง ต้องรู้จักประหยัด อดออม เช่นนี้ จึงหล่อหลอมให้ท่านมีความเข้มแข็งอดทน มีความเชื่อมั่นและรับผิดชอบตนเองสูง แตกต่างจากเด็กชายที่เติบโตจากครอบครัวที่พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสบายทั่วไป
 
ชีวิตในช่วงปฐมวัยจึงเปรียบประดุจการเตรียมความพร้อม และหล่อหลอมให้ท่านพร้อมที่จะเติบโตขึ้นมารับภารกิจอันยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นความใฝ่ฝันที่มีมาตั้งแต่เยาว์วัย และได้กลายเป็นจริงในปัจจุบัน
 
ความฝันอันยิ่งใหญ่ในวัยเยาว์
 
แม้จะมีชีวิตอิสระในขณะที่เป็นวัยรุ่น แต่ท่านก็มีความประพฤติดีงาม และตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ในระยะนี้เองที่ท่านเริ่มสนใจศึกษาพระพุทธศาสนา ท่านเป็นผู้ขวนขวายในการศึกษาหาความรู้ต่างๆ อยู่เสมอ และมีความสุขกับการใช้เวลาว่างไปแสวงหาความรู้ตามแผงหนังสือ หรือตลาดนัดหนังสือนานาประเภท เช่น ตามริมคลองหลอดบ้าง ท้องสนามหลวงบ้าง ผิดกับเด็กวัยเดียวกันที่มักจะเอาแต่เที่ยวเล่นสนุกสนานไปวันๆ หากวันใดเจอหนังสือที่เกี่ยวกับการปฏิบัติกรรมฐาน เป็นต้องหยิบอ่านซ้ำแล้ว ซ้ำอีก อย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ยิ่งอ่านก็ยิ่งขัดเกลาความคิดให้มองเห็นความทุกข์ในทางโลกยิ่งขึ้น แม้กระทั่งหนังสือประเภทประวัติบุคคลสำคัญของโลก ก็อ่านแล้วอ่านอีกจนจำชื่อและผลงานของแต่ละท่านได้แม่นยำ และได้จุดประกายความคิดในใจว่า เราเกิดมาทำไม อะไรคือเป้าหมายของชีวิต ซึ่งความคิดเกินวัยนี้ ท่านได้เขียนไว้ในสมุดบันทึกในวัย 13 ปี ตอนหนึ่งว่า
 

“ถ้าเรามาทางโลก ก็อยากไปให้สูงสุดในทางโลก ถ้าหากว่าอยู่ในทางธรรม ก็อยากจะไปให้สูงที่สุดในทางธรรม และก็จะนำพระพุทธศาสนาไปเผยแผ่ทั่วโลก”
 
ใครเลยจะคิดว่า ความฝันในวัยเยาว์ของเด็กชายเล็กๆ คนหนึ่ง จะกลับกลายเป็นจริงขึ้นมา เพราะในปัจจุบัน บุคคลท่านนี้คือพระมหาเถระของพระพุทธศาสนา ผู้นำแสงสว่างจากดวงตะวันแห่งสันติภาพภายใน ที่เกิดจากการทำสมาธิ(Meditation) แผ่ขยายไปสู่ดวงใจของผู้ใฝ่สันติภาพทั่วโลก
 
แสวงหาคำตอบของชีวิต
 
ขณะเรียนอยู่ที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ได้มีโอกาสฟังการบรรยายธรรมจากวิทยากรท่านต่างๆ จึงคนเกิดแรงบันดาลใจร่วมกับเพื่อนๆตั้งชุมนุมยุวพุทธขึ้น มีการศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง ไม่ว่าที่ใดมีการปาฐกถาธรรม ทั้งลานอโศก วัดมหาธาตุและที่อื่นๆ จะต้องมีเด็กชายไชยบูลย์อยู่ร่วมกิจกรรมด้วยเสมอ
 
จนเข้าสู่วัยรุ่นความกระหายในธรรมก็ยิ่งมีมากขึ้น หากมีเวลาว่างก็จะหาโอกาสปลีกตัวไปอยู่ในที่เงียบๆ เพื่อขบคิดถึงปัญหาที่ยังค้างคาใจอยู่เสมอว่า “คนเราเกิดมาทำไม ตายแล้วจะไปไหน กรรมหรือบุญบาปมีจริงหรือไม่” เพราะได้อ่านได้ศึกษาจากตำราถึงพระพุทธดำรัสว่า ถ้ารู้ธรรมะเพียงอย่างเดียวยังใช้ไม่ได้ เพราะจะเป็นเหมือนคนตาบอดคลำช้างหรือใบลานเปล่า จะเป็นเพียงธรรมกถึกเชี่ยวชาญการเทศน์สอน แต่ประโยชน์จริงๆนั้นเป็นอย่างไรก็ยังไม่เคยปฏิบัติ แล้วก็จะกลับมาคลางแคลงย้อนถามตนเองเสียอีก

 
ประกายแห่งคำตอบ
 
และแล้ววันหนึ่งท่านได้พบหนังสือชื่อ “ธรรมกาย” ซึ่งเขียนตามแนวเทศนาของพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ มีข้อความว่า “ถ้าจะเดินให้ถูกต้องร่องรอยของพระศาสนา ต้องปฏิบัติให้ได้ทั้งรู้ทั้งเห็น”
 
คำว่า “ธรรมกาย” อ่านแล้วสะดุดใจยิ่งนัก ในหนังสือเล่มนี้พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ท่านได้บอกไว้ว่า “ธรรมกาย” นั่นแหละ คือ “ตถาคต” พร้อมทั้งได้ยกคำบาลีที่มีอยู่ในพระไตรปิฎกมายืนยันว่า “ธมฺมกาโย อหํ อิติปิ แปลว่า ตถาคตคือธรรมกาย” และตอนท้ายเรื่องมีคำยืนยันว่า “วัดปากน้ำนี้เรียนได้ ทั้งรู้ทั้งเห็น” ข้อความดังกล่าว ยิ่งทำให้ท่านเกิดความปีติยินดี ราวกับว่า เดินมาถูกทางแล้ว
 

 


 

 

และเมื่อท่านได้อ่านหนังสือ “วิปัสสนาบันเทิงสาร” กล่าวถึงความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติธรรมวิชชาธรรมกายของคุณแม่อาจารย์ลูกจันทร์ แม่ชีผู้เป็นศิษย์ของพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ก็ยิ่งทำให้ท่านมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า ที่จะไปศึกษาธรรมปฏิบัติที่วัดปากน้ำ แล้วความคิดหนึ่งก็พลันบังเกิดขึ้นว่า “วัดปากน้ำอยู่ ณ แห่งหนใด”
 
บ่อยครั้งที่มองไปบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ราวกับพยายามค้นหาคำตอบที่ค้างคาใจ ซึ่งมีผลให้ความคิดนี้ยิ่งตกผลึกอยู่ในใจตลอดเวลา ผิดจากเด็กวัยเดียวกันที่ควรจะสนุกสนานเพลิดเพลิน หรือใฝ่ฝันถึงอนาคตอันรุ่งโรจน์ที่จะมีทรัพย์ มีคู่ครอง แต่ท่านกลับเสาะแสวงหาคำตอบ ทั้งจากใครที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้รู้และจากตำราต่างๆ ตลอดจนครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น
 
ตามหาครูบาอาจารย์
 
จนกระทั่งในปี พ.ศ.2506 ขณะที่มีอายุได้ 19 ปี อยู่ในช่วงเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย ท่านก็ตัดสินใจไปวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เพื่อตามหาคุณแม่อาจารย์ลูกจันทร์ มุ่งหวังว่าหากพบท่านจะขอศึกษาวิชชาธรรมกายให้จงได้ เมื่อไปถึงวัดก็เที่ยวถามใครว่า “รู้จักคุณแม่อาจารย์ลูกจันทร์ไหม ?” คำตอบคือ ไม่มีใครรู้จักแม้แต่คนเดียว มีแต่บอกว่า “ไม่มีคุณแม่อาจารย์ลูกจันทร์ มีแต่ครูจันทร์” ทำให้ท่านเข้าใจไปว่าเป็นคนละคนกัน เมื่อตามหาไม่พบจึงหันกลับไปทุ่มเทให้กับการเตรียมตัวสอบ จนกระทั่งสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ในที่สุด
 
เมื่อการเรียนเทอมแรกในมหาวิทยาลัยผ่านไป ความคิดที่จะไปตามหาคุณแม่อาจารย์ลูกจันทร์ก็หวนกลับคืนมาอีกครั้ง ดังนั้นในช่วงปิดเทอมราวเดือนตุลาคม พ.ศ.2506 ท่านจึงตัดสินใจกลับไปที่วัดปากน้ำฯ อีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้พบกันอีกเช่นเคย จึงมีผู้แนะนำว่า ถ้าอยากนั่งสมาธิจริงๆ ก็ให้ไปเรียนกับพระเถระผู้ใหญ่รูปหนึ่ง ซึ่งท่านยินดีสอนการเจริญภาวนาวิชชาธรรมกายให้ และเมื่อนั่งปฏิบัติไปได้ระยะหนึ่ง จึงลองสอบถามจากเด็กหนุ่มรุ่นราวเดียวกันดูอีกครั้ง ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่า “คงจะเป็นครูจันทร์ละมัง” จึงได้อาสาพาไปพบ แล้วในที่สุดท่านก็ได้พบคุณแม่อาจารย์ลูกจันทร์ สมดังที่ปรารถนา
 
พบครูผู้ชี้หนทางสู่สันติภาพ
 
เมื่อพบกับคุณยายครั้งแรก ขณะนั้นคุณยายอาจารย์อายุได้ 53 ปี มองภายนอกเป็นเพียงแม่ชีธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่มีรูปร่างผอมบาง เนื้อตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น หากแต่แววตาท่านนั้นสุกใส ฉายแววของความเป็นผู้ทรงภูมิธรรมอันสูงยิ่ง บุคลิกของท่านมีความหนักแน่น เข้มแข็ง มีพลัง และเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณา แม้ว่าท่านจะไม่เคยเรียนหนังสือ ทั้งยังอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ แต่กลับสามารถตอบปัญหาธรรมะอันลึกซึ้งได้อย่างกระจ่างแจ้ง ทำให้ผู้ที่มาถามไถ่รู้สึกว่า คำตอบนั้นได้ทำความสว่างให้เกิดขึ้นในจิตใจ หยุดให้ได้คิด ฉุดใจให้หลุดออกมาจากแรงดึงดูดของกระแสโลกที่เชี่ยวกราก
 
ในคราวแรกพบนั้นเอง ท่านรู้สึกได้ทันทีว่า ได้พบครูบาอาจารย์ที่แสวงหามาแสนนาน จึงขอฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งคุณยายอาจารย์ ได้ทักท่านราวกับรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่า “คุณน่ะ หลวงพ่อวัดปากน้ำให้ยายไปตามมาเกิดในสมัยสงครามโลก” ท่านฟังประโยคนี้แล้วก็ไม่เข้าใจ แต่สิ่งที่คุณยายพูดตรงก็คือ ท่านเกิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จริงๆ
 
คุณยายอาจารย์ท่านสามารถตอบทุกคำถามที่เคยสงสัยได้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน และยังก่อให้เกิดแรงบันดาลใจ ที่จะนำสันติสุขอันเกิดจากคำสอนในพระพุทธศาสนาไปเผยแผ่ทั่วโลก ทำให้ความใฝ่ฝันอันยิ่งใหญ่ในวัยเยาว์ กลับกลายเป็นความจริงได้ในที่สุด
 
รู้เป้าหมายชีวิต
 
ในวันแรกของการฝึกสมาธิกับคุณยายอาจารย์ ศิษย์คนใหม่ก็ได้ถามคำถามว่า นรกสวรรค์มีจริงมั๊ย คุณยายก็ตอบเรียบ ๆว่า มีจริงคุณ นรกสวรรค์มีจริง ยายไปมาแล้ว ยายไปช่วยพ่อยาย พ่อยายตกนรกเพราะว่าดื่มเหล้า วันละ ๑๐ สตางค์ ยายก็เข้าองค์พระไปช่วยท่านขึ้นมาได้ไปอยู่บนสวรรค์แล้วคุณอยากจะไปมั๊ยล่ะ ยายจะสอนให้ แล้วไปด้วยกัน
 
คำตอบของคุณยาย แตกต่างจากทุกคำตอบที่เคยได้ฟัง แสดงให้เห็นว่าท่านต้องไปรู้ไปเห็นด้วยตนเอง จึงสามารถตอบเช่นนี้ได้ แต่เรื่องการไปนรกสวรรค์มิใช่เรื่องยากอะไรเลยสำหรับคุณยาย เพราะในสมัยที่หลวงพ่อวัดปากน้ำยังมีชีวิตอยู่ คุณยายได้เข้าไปนั่งสมาธิในโรงงานทำวิชชาร่วมกับแม่ชี และพระภิกษุ ที่หลวงพ่อวัดปากน้ำคัดเลือกแล้วว่า เป็นผู้มีความเชี่ยวชาญในสมาธิ ในยุคนั้น คุณยายอาจารย์นั่งสมาธิวันละ 12 ชั่วโมง กลางวัน 6 ชั่วโมง กลางคืนอีก 6 ชั่วโมง และเป็นผู้ที่มีผลการปฏิบัติธรรมดีเยี่ยม จนหลวงพ่อวัดปากน้ำเอ่ยปากชมท่านท่ามกลางเหล่านักปฏิบัติธรรมชั้นยอดว่า “ลูกจันทร์นี้ เป็นหนึ่งไม่มีสอง”
 
หลังจากนั่งสมาธิกับคุณยายได้ไม่นาน ท่านก็พบคำตอบที่เฝ้าค้นหามาตลอด ว่า “คนเราเกิดมาทำไม อะไรคือเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต” ซึ่งการปฏิบัติธรรมกับคุณยายทำให้ท่านพบคำตอบแล้วว่า “คนเราเกิดมาเพื่อสร้างบารมี และพระนิพพานคือเป้าหมายชีวิตอันสูงสุดของทุกชีวิต” นั่นเอง

 
เพียรปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงสันติสุขที่แท้จริง
 
แต่กว่าที่จะเข้าใจลึกซึ้งถึงคำตอบของชีวิตที่ค้นหามานาน ท่านต้องทุ่มเทชีวิตจิตใจศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง กิจวัตรส่วนใหญ่เป็นไปเพื่อการทำสมาธิทั้งสิ้น ทุกวันเวลาประมาณ ๖ โมงเช้า ออกเดินทางจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ไปวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ สมัยนั้นต้องขึ้นรถเมล์ถึง ๓ ต่อ ขณะที่อยู่บนรถไม่ว่านั่งหรือยืนก็ตาม ท่านจะหลับตาทำสมาธิอยู่ตลอดเวลา ประมาณ ๘ โมงเช้าจึงมาถึงวัดปากน้ำ และรีบตรงดิ่งไปนั่งสมาธิต่อกับคุณยายทันที จนกระทั่งถึง ๒ ทุ่มจึงเลิก และกลับถึงมหาวิทยาลัยราว ๔ ทุ่ม
 
หรือแม้แต่ในช่วงดึกสงัด ประมาณตี ๓ อันเป็นเวลาหลับสนิทของเพื่อน ๆ ท่านก็จะลุกขึ้นมานั่งสมาธิ เพราะเป็นเวลาที่เงียบสงบ และร่างกายได้พักผ่อนจนหายเหน็ดเหนื่อยแล้ว และเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงไม่ให้เพื่อน ๆ พบเห็น แต่กระนั้นก็ยังมีบางครั้งที่เพื่อนบางคนตื่นมาเข้าห้องน้ำตอนดึก เมื่อเห็นคนนั่งเอาผ้าห่มคลุมโปงอยู่ก็ตกใจ แต่เมื่อทราบว่าท่านกำลังนั่งสมาธิอยู่ ก็มิได้ล้อเลียนแต่ประการใด เมื่อเห็นว่าเพื่อนๆ เริ่มคุ้นเคย จึงได้เริ่มชวนเพื่อนๆ ในกลุ่มที่สนิท ไปนั่งสมาธิกับคุณยายอาจารย์ที่วัดปากน้ำ ในเวลาต่อมาก็มีเริ่มมี รุ่นพี่ รุ่นน้อง ติดตามไปด้วยอีกหลายคน
 
แม้จะเอาจริงเอาจังกับการทำสมาธิเพียงใด แต่เรื่องการเรียนก็สามารถสอบผ่านไปได้ด้วยดีทุกภาคการศึกษา เพราะเป็นธรรมดาของบัณฑิตผู้มีปัญญาที่ตระหนักว่า การศึกษาที่สมบูรณ์จำเป็นต้องควบคู่กันไปทั้งทางโลกและทางธรรม ความรู้ทางโลก มีความจำเป็นต้องเรียนเพื่อหาเลี้ยงชีพ ส่วนความรู้ทางธรรม เรียนไปเพื่อกล่อมเกลาจิตใจให้ดีงาม และที่สำคัญทำให้ท่านคลายความสงสัยในเรื่องที่เป็นความลับของชีวิต ที่ว่า คนเราตายแล้วไปไหน ? นรก สวรรค์ มีจริงหรือไม่ ? จะพิสูจน์ได้อย่างไร ความรู้ที่ลึกซึ้งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัยใดๆ นอกจากความรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นเหตุให้จิตใจของท่านเอนเอียงมาในการศึกษาทางธรรมมากกว่า เพราะแม้กระทั่งในเวลาสอบ ถ้าสอบเช้า ตอนบ่ายก็จะนั่งรถเมล์ไปปฏิบัติธรรมที่วัดปากน้ำ และทำอยู่เช่นนี้อย่างสม่ำเสมอมิได้ขาด จนกระทั่งเรียนจบ
 
ด้วยความตั้งใจจริงในการปฏิบัติธรรม ประกอบกับความเคารพอ่อนน้อม อยู่ในโอวาทของครูบาอาจารย์ ทำให้ผลการปฏิบัติธรรมของท่านมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เป็นที่พอใจของคุณยายอาจารย์ยิ่งนัก กล่าวกันว่า แม้แต่คนเก่าแก่ที่เคยมาปฏิบัติธรรมกับคุณยายก่อนหน้านี้ ก็ยังยอมรับในความเชี่ยวชาญแห่งผลการปฏิบัติธรรมของท่าน ทำให้ท่านได้รับความไว้วางใจจากคุณยายให้เป็นพี่เลี้ยง ช่วยแนะนำธรรมปฏิบัติแก่ผู้ที่มาปฏิบัติธรรมร่วมกันเสมอ ๆ
 
ความสุขภายในที่ได้รับจากการนั่งสมาธิ ทำให้ท่านยิ่งมีความเชื่อมั่นในวิชาความรู้ที่มีอยู่ในพระพุทธศาสนา และเห็นคุณค่าของการปฏิบัติธรรมว่า สามารถช่วยมนุษย์ให้พ้นทุกข์ได้ อีกทั้งยังตอบคำถามต่าง ๆ ที่เคยค้างคาใจ ได้อย่างแจ่มแจ้ง
 
เข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัสตร์
 


 

 

เมื่อความสุขที่แท้จริงและความจริงของชีวิตถูกเปิดเผยขึ้น ทำให้ท่านรู้ว่าคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือวิชชาที่แท้จริงที่มนุษย์ทุกคนต้องศึกษา ท่านจึงอยากจะทุ่มเทเวลาทั้งหมดของชีวิต ศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงตัดสินใจขออนุญาตคุณยายเพื่ออุปสมบทเป็นพระภิกษุ แต่นอกจากคุณยายจะไม่อนุญาตแล้ว ยังกำชับให้เรียนจนจบปริญญาเสียก่อน โดยให้เหตุผลว่า “ต้องเป็นบัณฑิตในทางโลก และเป็นนักปราชญ์ในทางธรรม เพื่อว่าเมื่อบวชแล้วจะได้เป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา มิใช่พึ่งพระศาสนาเพียงฝ่ายเดียว”
 
กระทั่งในวันคล้ายวันเกิดของคุณยายในปี พ.ศ. 2511 ท่านจึงแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อคุณยาย ด้วยการตั้งสัจจะอธิษฐานขอประพฤติพรหมจรรย์ไปตลอดชีวิต เป็นของขวัญวันเกิดแด่คุณยายอาจารย์ซึ่งถือเป็นของขวัญอันล้ำค่ายิ่ง จนกระทั่งปีพ.ศ. 2512 ท่านก็ได้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จากคณะเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจ สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์เกษตร หลังจากรับปริญญาแล้ว ก็แจ้งความจำนงต่อโยมพ่อทันทีว่า จะขอบวชไม่สึกตลอดชีวิต
 
โยมพ่อก็อนุญาตและอนุโมทนาด้วย เพราะลูกชายได้ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ว่าจะเรียนให้ได้ปริญญาเสียก่อนจึงจะบวช ส่วนโยมแม่ก็อนุโมทนาด้วยความปลื้มปีติและเต็มใจ ในทันทีที่ลูกชายมาขออนุญาตลาบวช เพื่อสืบอายุพระพุทธศาสนาต่อไป
 
วันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2512 ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 9 เป็นวันมหามงคลยิ่ง เพราะเป็นวันที่ท่าน ได้ก้าวเข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัสตร์เป็นพระภิกษุสงฆ์สมดังความปรารถนา ที่พระอุโบสถวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ โดยมีพระเทพวรเวที (สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ในปัจจุบัน) เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า “ธัมมชโย” แปลว่า “ผู้ชนะโดยธรรม”
 
หลังจากบวชแล้วท่านได้กล่าวถึงอุดมการณ์ในการออกบวช ไว้ตอนหนึ่งว่า:
 

“การบวชเป็นพระไม่ใช่ของง่าย หาใช่ครองผ้ากาสาวพัสตร์แล้วจะเป็นพระได้ จะต้องปฏิบัติกิจวัตรของสงฆ์ซึ่งมีศีล ๒๒๗ ข้อ ให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย… การบวชนั้นถ้าจะให้ได้บุญกุศล ควรจะเป็นที่พึ่งของพระศาสนาได้ด้วย ไม่ใช่บวชมาเพื่อพึ่งพระศาสนาอย่างเดียว”
 
อุดมการณ์อันมั่นคงเช่นนี้ มิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้โดยง่าย หากจะเกิดได้ต้องอาศัยการศึกษาและปฏิบัติ จนรู้ซึ้งถึงคุณค่าของพุทธธรรมด้วยตนเองอย่างถ่องแท้เท่านั้น ดังที่ท่านเคยกล่าวไว้ว่า อำนาจพุทธธรรมนั้นยิ่งใหญ่ลึกซึ้ง จนทำให้เกิดความตั้งใจอันมั่นคงว่า จะสละชีวิตนี้แก่พระพุทธศาสนา ครองผ้ากาสาวพัสตร์ไปตราบสิ้นอายุขัย
 
การบวชของท่าน จึงเป็นการบวชอุทิศชีวิตแก่พระพุทธศาสนา ด้วยมโนปณิธานที่จะเผยแผ่พุทธธรรมให้กว้างไกลไปสู่ชาวโลก
 
และการบวชอุทิศชีวิตของท่านก็ได้เป็นแบบอย่าง ให้หมู่คณะที่ปฏิบัติธรรมร่วมกัน ได้ติดตามเข้ามาสู่เส้นทางแห่งร่มผ้ากาสาวพัตร์อย่างต่อเนื่อง
 
พลิกทุ่งนาฟ้าโล่งสู่บุญสถานอันศักดิ์สิทธิ์
 


 

ชีวิตใหม่ในเพศบรรพชิต พระธัมมชโย (พระเทพญาณมหามุนี ในปัจจุบัน) เป็นพระภิกษุผู้เคร่งครัดในศีลาจารวัตร มุ่งศึกษาธรรมะทั้งภาคปริยัติและปฏิบัติ พร้อมกันนั้นท่านยังทำหน้าที่สอนธรรมปฏิบัติแก่สาธุชน ณ บ้านธรรมประสิทธิ์แทนคุณยายเป็นประจำ จนกระทั่งมีสาธุชนมาปฏิบัติธรรมเพิ่มขึ้นมากมายจนเต็มพื้นที่บ้านธรรมประสิทธิ์ทั้งในบ้าน ชานบ้าน และล้นออกไปถึงสนามหญ้าหน้าบ้าน โดยเฉพาะในวันอาทิตย์นั้นต้องเปิดประตูรั้วทิ้งไว้เพราะมีคนส่วนหนึ่งต้องนั่งอยู่นอกรั้ว
 
หมู่คณะทุกคน จึงเห็นพ้องต้องกันว่า ถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องสร้างวัด เพราะขณะนี้ท่านมีคณะทำงานที่เข้มแข็ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบัณฑิตหนุ่มสาวผู้มีความรู้ความสามารถ และผ่านการฝึกอบรมคุณธรรมต่าง ๆ จากท่านอย่างใกล้ชิด
 
เมื่อทุกคนมีความพร้อมทั้งกายและใจ การสร้างวัดพระธรรมกายจึงได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ปีพุทธศักราช 2513 ซึ่ง ตรงกับวันมาฆบูชา
 
เงินทุนเริ่มต้นของการสร้างวัดมีอยู่เพียง 3,200 บาท กับที่นา 196 ไร่ ที่ได้รับบริจาคมาจากคุณหญิงประหยัด แพทยพงศาวิสุทธาธิบดี หมู่คณะทุกคน จึงต้องตรากตรำทำงานหนักและดำรงชีวิตอย่างเรียบง่ายยิ่ง มีเพียงน้ำพริกผักจิ้มเป็นอาหารหลัก โดยอาศัยเก็บผักที่ขึ้นอยู่ตามท้องนาบริเวณนั้น แต่ทุกคนก็เต็มเปี่ยมด้วยขวัญและกำลังใจ ทั้งเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำว่าจะต้องสำเร็จ แม้ว่าขณะนั้นจะยังมองไม่เห็นทางเลยก็ตาม ปัญหาหนักเรื่องหนึ่ง ก็คือ การจัดหาทุน
 
ในเรื่องนี้พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) จะให้โอวาทแก่คณะทำงานเสมอว่า “ปัจจัยทุกอย่างที่สาธุชนทำบุญมานั้น เป็นปัจจัยที่ผู้ทำบุญได้อธิษฐานจบท่วมหัวถวายพระศาสนา จะต้องช่วยกันดูแลรักษาให้เกิดประโยชน์สูงสุด”
 
ด้วยเหตุนี้ถาวรวัตถุทุกอย่างของวัดพระธรรมกาย จึงสร้างอย่างแข็งแรงเพื่อใช้ประโยชน์ได้ยาวนานที่สุด ขณะเดียวกันก็มีรูปทรงที่เรียบง่าย ไม่สิ้นเปลืองในการดูแลรักษา แต่ทว่าก็ต้องประณีต สง่างาม บ่งบอกถึงความเคารพในพระพุทธศาสนา
 
ดังเช่นอุโบสถ ทุกขั้นตอนการก่อสร้างเป็นไปอย่างละเอียด ประณีต ทุกอย่างต้องผ่านการคัดเลือก อย่างชนิดที่เรียกว่า ดีที่สุด แต่ก็ต้องประหยัดสุดประโยชน์สูงสุดด้วย
 
แม้แต่การผสมคอนกรีต มิใช่ว่าจะเอาหินเอาทรายมาผสมกันได้เลย หากต้องนำหินมาร่อนในน้ำ เพื่อทำความสะอาดแล้วคัดเอาเฉพาะหินเนื้อดีมาใช้ ส่วนทรายที่จะนำมาผสมก็ต้องไปสั่งจองไว้ที่ท่าทรายล่วงหน้า ว่าต้องการทรายที่คุณภาพดีจริงๆ เมื่อเขานำทรายมาส่งก็ทดสอบคุณภาพด้วยการเอามือล้วงลงไปในกองทราย แล้วดึงขึ้นมา ถ้าพบว่ามีคราบดินติดผิวหนังมาก ก็เป็นอันว่าทรายนั้นใช้ไม่ได้ เพราะมีการปนเปื้อนมาก หากนำมาผสมปูนความแข็งแรงจะลดลงไป
 
หรือในการฉาบผนังอุโบสถภายนอก ซึ่งจะใช้หินเกร็ดเม็ดโตกว่าเมล็ดข่าวสารเล็กน้อยมาฉาบที่ผนัง แล้วเอาน้ำราดปูนที่ผิวออก ให้หินเกร็ดโผล่ออกมาครึ่งหนึ่ง ซึ่งหินเกร็ดโดยทั่วไปนั้น จะมีหลากหลายสีคละกัน แต่หินเกร็ดที่จะใช้ฉาบผนังอุโลสถนั้นต้องการเฉพาะสีขาวล้วน จึงต้องคัดเลือกกันอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยอาศัยแรงศรัทธาของชาวบ้านย่านใกล้เคียงและสาธุชนที่มาวัด ช่วยกันคัดเลือกทีละเม็ดๆ ช่วยกันคนละไม้คนละมือ จนได้หินเกร็ดสีขาวบริสุทธิ์ประดับผนังอุโบสถทั้งหลังอย่างงดงาม
 
ขยายสันติภาพด้วยพลังศรัทธาของมหาชน
 


 

วัดพระธรรมกายเติบโตจากน้ำใจและศรัทธาของมหาชนมาโดยตลอด จึงสามารถเป็นศูนย์รวมใจของผู้คนจำนวนมาก ซึ่งชักชวนกันมาปากต่อปาก และเป็นเหตุให้ต้องช่วยกันขยับขยายสถานที่ครั้งแล้วครั้งเล่า จากพื้นที่วัด 196 ไร่ จึงกลายมาเป็นพื้นที่ 2,500 ไร่ เพื่อเป็นศูนย์กลางการปฏิบัติธรรมของชาวโลก
 
จากศาลาหลังแรกซึ่งจุคนได้ 500 คน ใช้ได้เพียงไม่ถึง 5 ปี ก็เกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับบ้านธรรมประสิทธิ์ คือ มีสาธุชนมากันอย่างล้นหลาม จนต้องไปนั่งตามสนามหญ้า ตามโคนต้นไม้ คราใดฝนตกก็เปียกปอนไปตามๆ กัน ครั้นต่อมาสร้างศาลาหลังคามุงจาก ซึ่งจุคนได้ถึงหนึ่งหมื่นคน ก็ปรากฏว่าเพียงไม่นาน เหตุการณ์ก็เป็นเช่นเดิม
 
ในที่สุด สาธุชนจึงร่วมใจกันสร้างศาลาสภาธรรมกายสากลซึ่งมีพื้นที่โดยรวมถึง 500,000 ตารางเมตร สามารถรองรับคนได้ถึง 300,000 คน และทั้งที่การก่อสร้างในรายละเอียดยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ก็ต้องเปิดใช้งานอย่างเต็มพื้นที่แล้ว ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2539
 
เมื่อได้เห็นแนวโน้มการเติบโตของงานเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) จึงต้องเตรียมพร้อมสำหรับงานก้าวต่อไปด้วยการสถาปนามหาธรรมกายเจดีย์ เจดีย์แห่งพระรัตนตรัย ซึ่งจะคงทนถาวรไปกว่า 1,000 ปี และมหารัตนวิหารคด โดยรอบมหาธรรมกายเจดีย์ คือสถานที่ที่สามารถรองรับผู้มาปฏิบัติธรรมได้พร้อมกันถึง 1 ล้านคน
 
เมื่อใดก็ตามที่การปฏิบัติธรรมของคน 1 ล้านคนบังเกิดขึ้น กระแสใจอันบริสุทธิ์ของทุกคน จะรวมพลังกันปรับเปลี่ยนบรรยากาศของโลก ให้สงบร่มเย็นได้ และภาพการปฏิบัติธรรมนี้ จะได้รับการถ่ายทอดสู่สายตาชาวโลก ด้วยระบบการสื่อสารแห่งยุคโลกไร้พรมแดน เมื่อนั้นชาวโลกก็จะพากันค้นหาคำตอบว่า เหตุใดคนนับล้าน ผู้มีความพร้อมเพรียงงดงามเหล่านั้น จึงพร้อมใจกันหลับตา สงบนิ่ง สิ่งนี้ย่อมจะเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการปฏิบัติธรรมไปอย่างกว้างขวาง ทั่วทุกภูมิภาคของโลก
 
นอกจากนี้ ยังได้สร้างปูชนียสถานที่สำคัญ เพื่อเป็นศูนย์รวมใจเหล่าศิษยานุศิษย์ และเป็นการแสดงความกตัญญูแด่มหาปูชนียาจารย์ คือ มหาวิหารพระมงคลเทพมุนี มหาวิหารคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง รวมทั้งได้สร้างหอฉันขึ้นเพื่อเลี้ยงภัตตาหารแด่พระภิกษุสามเณรนับพันรูป
 
สมณศักดิ์
 
ปัจจุบัน “วัดพระธรรมกาย” เป็นศูนย์กลางในการปฏิบัติธรรมของพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศไทย และยังเป็นศูนย์รวมการปฏิบัติธรรมในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาสำหรับชาวพุทธทั่วโลก ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นจากความทุ่มเทสร้างสรรค์งานของหลวงพ่อธัมมชโย ด้วยเหตุนี้เอง ท่านจึงได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังนี้

 

 วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2534 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ “พระสุธรรมยานเถร”

 

 วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2539 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นราช ฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ “พระราชภาวนาวิสุทธิ์”

 

 วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2554 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ “พระเทพญาณมหามุนี”

 




 

Create Date : 21 ธันวาคม 2554    
Last Update : 21 ธันวาคม 2554 11:31:37 น.
Counter : 2636 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  

อุ่นอาวรณ์
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




Friends' blogs
[Add อุ่นอาวรณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.