สตีฟ จีอบส์ ตายแล้วไปไหน ตอนที่ 3 : ทำไม สตีฟ จ็อบส์ จึงเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ
* ชี้แจงเรื่อง การนำเสนอเนื้อหา สตีฟ จ็อบส์ ตายแล้วไปไหน ของเว็บไซต์ต่างๆ
เนื่องจากทางสถานีโทรทัศน์ DMC ได้มีการนำเสนอเนื้อหาเรื่อง Where is Steve Jobs? และได้มีเว็บไซต์ต่างๆ สรุปเนื้อหา Where is Steve Jobs? ไปไว้ในเว็บไซต์ของตน ซึ่งการสรุปเนื้อหาดังกล่าวนั้น เป็นการสรุปโดยความเห็นส่วนตัว
ทั้งนี้ทางผู้จัดทำเนื้อหาไม่ได้มีวัตถุประสงค์หรือเจตนาที่จะ ดูหมิ่น เหยียดหยาม หรือทำให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเสียชื่อเสียง แต่เป็นไปเพื่อศึกษาเรื่องกฎแห่งกรรมเท่านั้น จึงขอให้ผู้อ่านใช้วิจารณญาณ
Where is Steve Jobs? เป็นความรู้เรื่องกฎแห่งกรรม, การเวียนว่ายตายเกิดของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งได้นำมาถ่ายทอดให้เข้าใจได้ง่าย เพื่อให้เข้าใจถึงเรื่องราวความจริงของชีวิตว่า เกิดมาทำไม ตายแล้วไปไหน อะไรเป็นเป้าหมายของชีวิต นำไปสู่ผลการปฏิบัติของผู้ฟัง ทำให้ผู้ฟังเกิดความเกรงกลัวต่อบาป รักในการทาบุญกุศล รักการปฏิบัติธรรมสืบไป
เรื่องราว ปรโลกนิวส์ ตอน สตีฟ จอบส์ ตายแล้วไปไหน นี้เป็นเพียงทรรศนะหนึ่งเท่านั้น ผู้ฟังมีสิทธิ์ที่จะเชื่อหรือไม่ก็ได้ ทีมงาน //www.dmc.tv ปรโลกนิวส์ สตีฟ จ๊อบส์ ตอนที่ 3 ทำไม สตีฟ จ็อบส์ จึงเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ฝันในฝัน หลับตาฝันเป็นตุเป็นตะ ตื่นขึ้นมาหาว 1 ที แล้วนำมาเล่าให้ฟังเป็นนิยายปรัมปรา
ทำไม สตีฟ จ็อบส์ จึงเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ
หลังจากที่พวกเราได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับบุพกรรมที่ทำให้คุณสตีฟ จ็อบส์เป็นคนฉลาด มีความคิดสร้างสรรค์ที่แตกต่างไม่เหมือนใคร จนทำให้ตัวเขาสามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีผลต่อคนทั้งโลกกันไปเรียบร้อยแล้ว ในวันนี้คุณครูไม่ใหญ่ก็อยากที่จะมาสรุปประเด็นและขยายความเกี่ยวกับเรื่องบุพกรรมดังกล่าว ให้ลูกๆ นักเรียนทุกคนได้ฟังกันแบบเจาะลึกในทุกๆ รายละเอียด ซึ่งทุกๆ รายละเอียดที่คุณครูไม่ใหญ่จะเล่าต่อไปนี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ มากๆ ต่อชีวิตการสร้างบารมีของเราเพื่อที่ลูกๆ นักเรียนจะได้เข้าใจและสามารถนำความรู้นี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการสร้างบารมีได้ดียิ่งๆ ขึ้นไป
อุปมาก็เหมือนกับการที่เราจะกินถั่วให้อร่อย เราก็ต้องขบให้แตกแล้วก็ค่อยๆ เคี้ยวให้ละเอียด เพื่อที่เราจะได้สัมผัสถึงรสชาติของถั่วได้อย่างเต็มที่ ฉันใด เรื่องบุพกรรมของคุณสตีฟ จ็อบส์นี้ก็เช่นเดียวกันซึ่งถ้าหากเราฟังผ่านๆ โดยไม่นำมาขบคิดให้ดี หรือฟังไปผ่านๆ แบบเอาแค่ความรู้ประเด็นรวมๆ มันก็ไม่สมกับเป็นนักเรียนอนุบาลฝันในฝันทั่วโลกใช่มั้ย ดังนั้นคุณครูไม่ใหญ่จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำเรื่องนี้กลับมาวิเคราะห์เจาะลึกให้นักเรียนได้ฟังกันใหม่อีกครั้งหนึ่ง
หลังจากที่พวกเราได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับบุพกรรมของคุณสตีฟ จ็อบส์ไปเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา พวกเราก็คงจะทราบกันดีแล้วว่า บุพกรรมที่ทำให้คุณสตีฟ จ็อบส์ มีความเฉลียวฉลาดและมีความคิดสร้างสรรค์ไม่เหมือนใคร จนทำให้ตัวเขาสามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีผลต่อคนทั้งโลกได้นั้น ทั้งนี้ก็เกิดจากเหตุปัจจัยหลายๆ อย่างที่ตัวเขาได้เคยสั่งสมเอาไว้หลายภพหลายชาติ ซึ่งก็ไม่ได้เกิดแบบปุ๊บปั๊บ หรือเกิดขึ้นมาเอง หรือใครบันดาลให้เกิดได้ช่องตามมาส่งผลรวมกันในภพชาติปัจจุบันนี้ อุปมาก็เหมือนกับนกน้อยที่สร้างรวงรังที่ค่อยๆ คาบกิ่งไม้มาทีละกิ่ง ทีละกิ่ง ซึ่งกว่าที่จะประกอบเป็นรวงรังได้เสร็จสมบูรณ์ก็ต้องใช้เวลาฉันใด ตัวคุณสตีฟ จ็อบส์ ก็เช่นเดียวกันกว่าที่จะมาประสบความสำเร็จในภพชาติปัจจุบันนี้ได้ ตัวเขาก็ต้องใช้ระยะเวลาในการสั่งสมเหตุปัจจัยต่างๆ มาทีละเล็กทีละน้อยจนผ่านกาลเวลามาแล้วหลายภพหลายชาติ แต่เราก็คงจะไม่สามารถลงรายละเอียดได้หมดทุกภพทุกชาติ เพราะมันถ้าจะให้พูดกันหมดทุกชาติก็คงจะต้องใช้เวลาเป็นกัปๆ ดังนั้น คุณครูไม่ใหญ่จึงได้ยกตัวอย่างมาเพียงบางชาติ พอเป็นไอเดียที่จะทำให้ลูกๆ นักเรียนอนุบาลฯ มีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของกฎแห่งกรรมได้ดียิ่งๆ ขึ้นไป
ซึ่งเหตุปัจจัยที่ทำให้ตัวเขาประสบความสำเร็จในภพชาติปัจจุบันนี้ก็ประกอบไปด้วยเหตุทั้งหมด 7 ประการหลักๆ ดังต่อไปนี้คือ
ประการที่ 1. ตัวเขาได้พบกับกัลยาณมิตรที่ดี โดยเฉพาะในภพชาติที่ตัวเขาเกิดอยู่ในยุคที่มีทุพภิกขภัย แล้วก็ได้มีโอกาสฟังธรรมและสนทนาธรรมกับพระมหาเถระผู้มีฌานสมาบัติซึ่งในภพชาติดังกล่าวนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่ทำให้ตัวเขามีความเฉลียวฉลาดและมีความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่เหมือนใครในภพชาติปัจจุบันนี้
ประการที่ 2. ตัวเขาได้สั่งสมและใช้ปัญญาบารมีไปในทางที่เป็นกุศลไม่ว่าจะเป็นแบบสงเคราะห์โลก หรือใช้สั่งสมบุญในทางพระพุทธศาสนา มาหลายภพหลายชาติ โดยเฉพาะในภพชาติที่ตัวเขาได้เกิดเป็นพ่อค้าขายภาชนะและเครื่องครัวต่างๆ นั้น ตัวเขาได้ใช้ปัญญาและความคิดสร้างสรรค์ชวนคนมาสร้างบุญ ด้วยการแจกถ้วยโถโอชามให้ชาวเมืองทั้งหลายมาสร้างบุญร่วมกับตัวเขา ด้วยความปลื้มปีติและอะเลิร์ทเบิกบานในบุญอย่างสุดๆ ประการที่ 3.เกิดจากผลแห่งบุญที่ตัวเขาได้เคยนั่งสมาธิ(Meditation)จนเห็นแสงสว่างนอกตัว ในภพชาติที่ตัวเขาได้เกิดเป็นพ่อค้าขายภาชนะและเครื่องครัวต่างๆ แล้วก็ได้ฝึกสมาธิกับพระมหาเถระผู้ทรงอภิญญาสมาบัติ
ประการที่ 4. ตัวเขาได้เคยสั่งสมมหาทานบารมีเอาไว้ในแหล่งเนื้อนาบุญที่ดีซึ่งก็คือพระมหาเถระผู้ทรงอภิญญาสมาบัติ และคณะพระภิกษุสงฆ์ที่มีสีลาจารวัตรงดงาม ในภพชาติที่ตัวเขาได้เกิดเป็นพ่อค้าขายภาชนะและเครื่องครัวต่างๆซึ่งในภพชาตินั้นตัวเขาได้สร้างมหาทานบารมีโดยเริ่มต้นจากทำอย่างต่อเนื่อง 7 วัน แล้วก็ขยับมาเป็นทำอย่างต่อเนื่องตลอด 3 เดือน และสุดท้ายตัวเขาก็ได้ทำอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปีจนกระทั่งตัวเขาหมดอายุขัย
ประการที่ 5. ตัวเขาได้ทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรชักชวนมหาชนผู้มีบุญทั้งหลายให้มาสั่งสมมหาทานบารมีร่วมกับตัวเขาด้วยหัวใจที่เบิกบาน พองโต และมีความปลื้มปีติใจกับการทำหน้าที่นี้ ในภพชาติที่ตัวเขาได้เกิดเป็นพ่อค้าขายภาชนะและเครื่องครัวต่างๆ
ประการที่ 6. เมื่อตัวเขาได้ทำบุญแล้วตัวเขาก็ได้อธิษฐานจิตด้วยความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่และมีเป้าหมายไม่เปลี่ยนแปลงเลยกล่าวคือแม้ภพชาติจะเปลี่ยนไป แต่เป้าหมายของเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ซึ่งตัวเขาจะชอบอธิษฐานจิตตอกย้ำซ้ำๆ ว่า “ขอให้ตัวเขาเป็นคนที่เฉลียวฉลาดมีความคิดสร้างสรรค์ และขอให้สินค้าที่ตัวเขาออกแบบและผลิตออกมาเป็นที่ต้องการของมหาชนทั้งหลายทั่วทุกมุมโลก” ซึ่งการอธิษฐานจิตนั้นก็ไม่ใช่เป็นการค้ากำไรเกินควรอย่างที่บางคนเข้าใจ เพราะเรื่องการสร้างบุญไม่ใช่เรื่องธุรกิจ แต่เป็นการตั้งเป้าหมายให้กับชีวิตของตัวเราเองด้วยการอธิษฐานจิต อุปมาก็เหมือนกับเรือที่จะต้องมีหางเสือ เพื่อนำเรือไปสู่จุดหมายปลายทางที่ถูกต้อง ฉันใด ชีวิตของเราก็ต้องมีการอธิษฐานจิต เพื่อนำชีวิตของเราไปสู่จุดหมายที่เราตั้งใจเอาไว้ ฉันนั้น
ประการที่ 7. ตัวเขาเป็นคนที่มีอัธยาศัยรักในงานที่ทำ ขยัน มุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ และทำอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังหมั่นสังเกตจนพบเหตุแห่งข้อบกพร่องและช่องทางของการแก้ไขซึ่งอัธยาศัยนี้เป็นอัธยาศัยที่โดดเด่นและดีงามที่ติดตัวเขามาข้ามภพข้ามชาติ
ซึ่งเหตุปัจจัยทั้ง 7 ประการดังที่ได้กล่าวมาแล้วนี้ก็เป็นเบื้องหลังความสำเร็จของตัวสตีฟ จ็อบส์ ในภพชาติปัจจุบันนี้นั่นเอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ใครจะมาประทานให้ แต่เราจะต้องสั่งสมด้วยตัวของเราเอง หรือพูดง่ายๆ ว่าอัตตา หิ อัตตะโนนาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
และเมื่อลูกๆ นักเรียนอนุบาลฯ ได้ทราบเหตุปัจจัยทั้ง 7 ประการดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้วเราก็จะได้มาลงรายละเอียดกันแบบเจาะลึกว่า “ ในแต่ละชาติที่เราได้เคยรับฟังกันไปแล้วนั้น ตัวคุณสตีฟ จ็อบส์ได้สั่งสมเหตุปัจจัยทั้ง 7 ประการเอาไว้อย่างไร ”
ซึ่งถ้าหากเรายังจำกันได้ในภพชาติที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ตัวเขามีความเฉลียวฉลาด และมีความคิดสร้างสรรค์ไม่เหมือนใครในภพชาติปัจจุบันนี้ เพราะตัวเขาได้พบกับกัลยาณมิตรที่ดี ซึ่งก็คือพระมหาเถระผู้มีฌานสมาบัติและด้วยความที่ตัวเขาได้พบกับกัลยาณมิตรที่ดีนี้เอง จึงทำให้ตัวเขาได้รู้ว่าการที่ตัวเขาได้ทิ้งพ่อแม่ในยามยากนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและเป็นกรรมหนักมากๆ แต่ทุกอย่างก็มีทางแก้ไข
ซึ่งพระมหาเถระรูปนั้นก็ได้เมตตาชี้ทางสว่างให้กับตัวเขาว่า “ บุญเท่านั้นที่จะไปช่วยตัดรอนวิบากกรรมที่ตัวเขาทำผิดทำพลาดเอาไว้ได้ ” ซึ่งจะเห็นได้ว่าโลกนี้ขาดกัลยาณมิตรไม่ได้ฉันใด ตัวสตีฟ จ็อบส์ก็ขาดกัลยาณมิตรไม่ได้ฉันนั้น ดังนั้น ตัวเขาจึงได้พระมหาเถระผู้มีฌานสมาบัติมาเป็นกัลยาณมิตรให้กับตัวเขา และเมื่อตัวเขาได้ทราบวิธีการแก้ไขวิบากกรรมเช่นนั้นแล้ว ตัวเขาจึงได้ทุ่มเททำบุญและอุปัฏฐากดูแลพระมหาเถระรูปนั้นเป็นอย่างดีอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง พร้อมกับอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลส่งไปให้กับพ่อแม่ของตัวเขา
นอกจากตัวเขาจะอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลส่งไปให้กับพ่อแม่ของเขาแล้ว ในแต่ละครั้งที่ตัวเขาทำบุญเขาก็ยังได้อธิษฐานจิตตอกย้ำซ้ำๆ ในสิ่งที่ตัวเขาชอบอีกด้วย ว่า “ ขอให้ตัวเขาเป็นคนที่เฉลียวฉลาด มีความคิดสร้างสรรค์ และไม่ว่าตัวเขาจะทำอะไรก็ขอให้ตัวเขาประสบความสำเร็จอย่างดีที่สุด ” ซึ่งคำอธิษฐานจิตที่ตัวเขาได้ตอกย้ำซ้ำๆ ในภพชาตินี้เองก็ได้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณสตีฟ จ็อบส์ มีความเฉลียวฉลาดและมีความคิดสร้างสรรค์อย่างที่เราได้เห็นในภพชาติปัจจุบันนี้
และด้วยผลแห่งบุญที่ตัวสตีฟ จ็อบส์ได้อุปัฏฐากดูแลพระมหาเถระผู้มีฌานสมาบัติเป็นอย่างดี เมื่อมารวมกับคำอธิษฐานจิตที่ตัวเขาได้เคยอธิษฐานเอาไว้ในภพชาตินั้นนี้เอง จึงทำให้ในภพชาติถัดๆ มาตัวเขาจึงเป็นคนที่มีความฉลาดและมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้นไปกว่าเดิม อีกทั้ง ตัวเขายังได้นำความฉลาดและความคิดสร้างสรรค์นี้ไปใช้การสร้างกุศลและสงเคราะห์โลกอีกด้วย
ดังจะเห็นได้จากในภพชาติที่ตัวเขาได้เกิดมาเป็นเกษตรกร แล้วก็ได้ปรับปรุงและพัฒนาระบบชลประทานในหมู่บ้านให้ดียิ่งขึ้นไปกว่าเดิม เรียกได้ว่าแม้ในภพชาตินั้นจะไม่ใช่ยุคไฮเทคเพราะเป็นยุคเกษตรกรรม แต่สิ่งที่ตัวเขาคิดออกมานั้นถือว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ หรือแนวการแก้ปัญหาแบบใหม่ที่ไฮเทคมากๆ สำหรับในยุคนั้น เพราะไม่มีใครสามารถคิดและนำมาประยุกต์ใช้ได้จริงเหมือนอย่างกับตัวเขาเลย
หรือในอีกภพชาติหนึ่ง ที่ตัวเขาได้เกิดอยู่ในหมู่บ้านที่มักจะเกิดภัยพิบัติอยู่เป็นประจำ แล้วตัวเขาก็ได้ใช้ดวงปัญญาของเขาคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ที่มีลักษณะคล้ายๆ กับกังหันสัญญาณเตือนภัย ที่สามารถช่วยให้ทุกคนในหมู่บ้านได้รู้ และสามารถรับมือกับภัยธรรมชาติที่กำลังจะเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที เป็นต้น ซึ่งสิ่งนี้ถือว่าเป็นผลงานการใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ที่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดแบบสุดๆ และด้วยความที่ตัวเขาได้ใช้ดวงปัญญาของเขาในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ซึ่งเป็นการทำบุญแบบสงเคราะห์โลกนี้เอง จึงทำให้ปัญญาบารมีของเขามีปริมาณที่เพิ่มพูนยิ่งขึ้นไปอีก เรียกได้ว่าปัญญาของเขายิ่งใช้ยิ่งมีไม่หมดสักทีติดไปชาติหน้าเลยทีเดียว
จนกระทั่งมาถึงภพชาติที่สำคัญซึ่งเป็นภพชาติที่พลิกชีวิตของเขาเลย นั่นก็คือภพชาติที่ตัวเขาเกิดเป็นพ่อค้าขายภาชนะและเครื่องครัวต่างๆ ซึ่งในภพชาตินี้ตัวเขาได้สั่งสมเหตุปัจจัยแห่งความสำเร็จทั้ง 7 ประการดังที่ได้กล่าวไปแล้วอย่างเต็มที่เต็มกำลังด้วยหัวใจที่พองโตและปลื้มปีติในบุญอย่างสุดๆ ซึ่งจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่ทำให้ตัวเขาได้สั่งสมเหตุปัจจัยแห่งความสำเร็จทั้ง 7 ประการนั้น ก็คือตัวเขาได้เห็นวัดแห่งหนึ่งที่มีบรรยากาศร่มรื่นและแลดูสะอาดสะอ้าน จนทำให้ตัวเขาเกิดความรู้สึกประทับใจและอยากที่จะเข้าไปภายในวัดแห่งนั้น หรือพูดง่ายๆ ว่าแรกเห็นก็ประทับใจแล้ว ซึ่งลูกๆ ทุกคนโดยเฉพาะลูกๆ พระธรรมทายาททุกรูปจะเห็นได้ว่าวัดที่มีบรรยากาศร่มรื่นและแลดูสะอาดสะอ้านนั้น เป็นประดุจแม่เหล็กที่จะดึงดูดใจของผู้คนที่ได้พบเห็น ให้เกิดความปรารถนาอยากที่จะเข้าไปศึกษาหลักธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้น เราจึงต้องช่วยกันทำให้ใครๆ ที่ได้เห็นและได้เข้ามาในวัดแล้ว เกิดความรู้สึกประทับใจเหมือนกับคุณสตีฟ จ็อบส์ ในภพชาตินั้น
และเมื่อตัวเขาได้เข้าไปภายในวัดแห่งนั้นแล้ว ตัวเขาก็ได้พบกับมงคลชีวิตข้อที่ 29 คือ "สะมะณาณัญจะ ทัสสะนัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง การได้เห็นสมณะนั้น เป็นมงคลอย่างสูงสุด" เพราะทันทีที่ตัวเขาได้เห็นพระภิกษุสงฆ์หลายรูป กำลังกวาดลานวัดอยู่ ตัวเขาก็เกิดความรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาในข้อวัตรปฏิบัติของพระภิกษุเหล่านั้นเป็นอย่างมาก และเมื่อมาถึงจุดนี้ลูกๆ นักเรียนทุกคนอย่าฟังผ่านกันนะ เพราะไม้กวาดที่พระภิกษุใช้กวาดลานวัดนั้น แม้จะไม่ได้มีราคาแพง แต่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับคุณสตีฟ จ็อบส์ (ในภพชาตินั้น) มากๆ เรียกได้ว่าการได้เห็นพระภิกษุกวาดลานวัด (ซึ่งเป็น 1 ในกิจวัตร 10 ประการนั้น) ถือว่าเป็นไวรัสแห่งความดี ที่แม้จะเป็นจุดเล็กๆแต่มันก็ขยายได้ จนสามารถไปปิดประตูอบายและเปิดประตูสวรรค์ให้กับผู้ที่ได้พบเห็นเลยทีเดียว(สรุปได้ว่า ถ้าวัดน่าเข้า พระน่าใกล้ ก็จะทำให้ใจหยุดนิ่งได้)
และเมื่อคุณสตีฟ จ็อบส์ (ในภพชาตินั้น) ได้เข้าไปสนทนากับพระภิกษุที่อยู่ในวัดแห่งนั้นแล้ว ตัวเขาก็ได้ทราบข้อมูลสำคัญว่า “ พระมหาเถระที่เป็นเจ้าอาวาสของวัดแห่งนี้ ได้ปลีกวิเวกไปนั่งสมาธิอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ” ซึ่งทันทีที่ตัวเขาได้ทราบเช่นนั้น ตัวเขาก็รู้สึกอยากที่จะพบกับพระมหาเถระรูปนั้นเป็นอย่างมาก ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่และสร้างมหาปีติให้กับตัวเขาอย่างสุดๆ
ภายหลังจากที่ตัวเขาออกจากวัดแห่งนั้นมาแล้วด้วยความเลื่อมใสศรัทธาในข้อวัตรปฏิบัติของคณะสงฆ์ที่อยู่ในวัดแห่งนั้นนี้เอง จึงทำให้ตัวเขาคิดตลอดเส้นทางว่า “ ตัวเขาอยากที่จะทำบุญกับคณะสงฆ์ที่อยู่ในวัดแห่งนั้นมากๆ มากๆ ” โดยที่ตัวเขาไม่ได้กังวลเลยว่า ณ ตอนนี้ ตัวเขาเองมีทรัพย์น้อย เพราะตัวเขาคิดเพียงแค่ว่า “ ตัวเขาจะต้องสร้างมหาทานครั้งนี้ให้ได้ ”ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้ตัวเขาเกิดความปลื้มปีติในบุญไปตลอดเส้นทาง
แล้วตัวเขาก็ได้ครุ่นคิดหาวิธีการที่จะทำบุญใหญ่ในครั้งนี้ให้ได้ และในที่สุดผู้แสวงหาก็ย่อมค้นพบเพราะเมื่อตัวเขาได้มองดูรอบๆ ตัวของเขาแล้ว ตัวเขาก็พบว่า “แม้ตัวเขาจะไม่มีเงินตรา แต่ตัวเขาก็มีสินค้าอยู่นี่ตัวเขาจะต้องนำสินค้าที่ตัวเขามีอยู่นี้มาทำความปรารถนาของเขาให้สำเร็จให้ได้”
และเมื่อตัวเขาคิดได้เช่นนี้ตัวเขาจึงได้เอาสินค้าพวกถ้วยโถโอชามของตัวเขาที่เป็นภาชนะใส่อาหาร มาแปรเปลี่ยนเป็นภาชนะที่ใช้ตักตวงบุญ ด้วยการชักชวนชาวเมืองให้มาทำบุญร่วมกับตัวเขา โดยตัวเขาได้จัดโปรโมชั่นที่พิเศษสุด คือถ้าใครนำภาชนะที่ตัวเขานำมาขายนี้ไปใส่ภัตตาหารแล้วก็นำไปถวายแด่พระภิกษุที่วัดแห่งนั้นร่วมกับตัวเขา หลังจากที่พระภิกษุสงฆ์ได้ขบฉันภัตตาหารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตัวเขาก็จะมอบภาชนะดังกล่าวให้กับคนๆ นั้นไปเลย เรียกได้ว่าตัวเขานี้เป็นผู้ที่ไม่อับจนปัญญาจนทำให้ปัญหาต้องอับจนต่อตัวเขา ซึ่งการที่ตัวเขามีปัญญามากนั้นก็เกิดจากการที่ตัวเขาได้สั่งสมปัญญาบารมีมาหลายภพหลายชาติแล้วนั่นเอง
และจากเรื่องราว ณ ตรงนี้ ไม่คิดก็ไม่แปลก ยิ่งคิดก็ยิ่งแปลก และยิ่งคิดเพิ่มขึ้นไปก็ยิ่งอัศจรรย์ เพราะถ้วยโถโอชามใครๆ เขาก็มีกันทั้งนั้น แต่ก็ไม่มีใครสามารถที่จะคิดเอามาแปรเปลี่ยนเป็นบุญได้เหมือนอย่างคุณสตีฟ จ็อบส์ในภพชาตินั้น อีกทั้งตัวเขาก็ยังอยู่ในช่วงที่ไม่ค่อยมีเงิน แต่ตัวเขาก็กล้าที่จะเสี่ยงโดยการแจกภาชนะให้กับชาวเมืองทั้งหลายเพื่อทำบุญใหญ่ในครั้งนี้ ซึ่งจะว่าไปการแจกภาชนะเหล่านั้นไปแล้ว ตัวเขาก็อาจจะไม่ได้เห็นภาชนะเหล่านั้นกลับมาอีกเลยก็เป็นได้ แต่ตัวเขาก็ไม่ได้กังวลใจในจุดนี้เลย ซึ่งก็ถือได้ว่าตัวเขาเป็นคนที่ใจใหญ่มากๆ เพราะถ้าหากตัวเขามีเงินมากๆ ในขั้นมหาเศรษฐีเรื่องนี้ก็จะเป็นเรื่องที่เล็กๆ เท่านั้นเอง จากนั้นตัวเขาก็ได้ชวนคนทำบุญด้วยความปลื้มปีติเบิกบานใจอย่างสุดๆ เรียกได้ว่าเจอเป็นชวน เจอเป็นชวน ยิ่งชวนก็ยิ่งสนุก ยิ่งชวนก็ยิ่งปลื้มคือ ก่อนทำ ตัวเขาทั้งปลื้มทั้งสนุกนั่นเอง
และเมื่อถึงวันจริงตัวเขาก็ยิ่งรู้สึกปลื้มหนักเข้าไปอีก เพราะเขาได้เห็นพวกชาวบ้านเอาภาชนะกลับมาพร้อมกับภัตตาหารที่หลากหลายมากมายไม่ซ้ำอย่างกันเลย ดังนั้น ตัวเขาจึงไม่รอช้าได้รีบทำหน้าที่จัดคิวเจ้าภาพภัตตาหารด้วยความเบิกบานและปลื้มปีติอย่างสุดๆ ด้วยความคิดว่า “ ชิตังเม เราทำได้แล้ว เราทำสำเร็จแล้ว เราสามารถเลี้ยงพระสมดังความตั้งใจของเราได้แล้ว” และแม้เหตุการณ์ทำบุญใหญ่ในครั้งนั้นจะผ่านไปแล้ว ตัวเขาก็ยังปลื้มไม่เสร็จ ปลื้มไม่จบ ปลื้มไม่เลิก และเมื่อนึกถึงทีไร ก็เป็นปลื้มทุกครั้งเลย และด้วยความที่ตัวเขาปลื้มในการสั่งสมบุญทุกขั้นตอน คือตั้งแต่ก่อนทำ ขณะทำ และหลังทำนี้เอง จึงทำให้ผังแห่งความสำเร็จของตัวเขาหนาแน่นมากๆ
ซึ่งการสร้างมหาทานบารมีตลอด 7 วันของคุณสตีฟ จ็อบส์ (ในภพชาตินั้น) ถือว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่และอัศจรรย์มากๆ มากๆ ที่เป็นเช่นนี้ก็เป็นเพราะตัวเขาเพิ่งจะมาเจอกับคณะสงฆ์ที่วัดแห่งนี้เป็นครั้งแรก แต่ตัวเขากลับเกิดศรัทธาอย่างเฉียบพลัน แล้วก็กล้าตัดสินใจอย่างกะทันหันที่จะทำบุญใหญ่โดยการเลี้ยงพระถึง 7 วัน ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาเลย
เมื่อลูกๆ ทุกคนติดตามเรื่องราวมาถึงตรงนี้ลูกๆ ทุกคนจะเห็นได้ว่าแม้คุณสตีฟ จ็อบส์ (ในภพชาตินั้น) จะมีทรัพย์น้อย แต่ตัวเขาก็สามารถชวนคนโน้นคนนี้มาทำบุญได้จนสำเร็จ และเมื่อกาลเวลาได้ล่วงเลยผ่านไปจนครบ 1 ปีคุณสตีฟ จ็อบส์ (ในภพชาตินั้น) ก็ยังปลื้มไม่รู้จบ จนกระทั่งตัวเขาได้เดินทางกลับมาที่วัดแห่งนั้นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งการกลับมาในครั้งนี้ตัวเขาก็ได้ยินข่าวดีที่ตัวเขารอคอยมาข้ามปี นั่นก็คือ “ อีกไม่กี่วัน พระมหาเถระที่เป็นเจ้าอาวาสของวัดแห่งนี้ ซึ่งได้ปลีกวิเวกไปนั่งสมาธิอยู่ในถ้ำกำลังจะกลับมาแล้ว ” เมื่อตัวเขาได้ทราบเช่นนี้ตัวเขาก็เกิดความรู้สึกตื่นเต้น ดีใจ และก็ปลื้มปีติใจในระดับที่กินไม่ได้นอนไม่หลับเลยทีเดียว อย่างนี้สมควรแล้วที่เขาจะรวย ที่ตัวเขารู้สึกเช่นนี้นั้นทั้งนี้ก็เป็นเพราะตัวเขาปรารถนาอยากที่จะพบพระมหาเถระรูปนี้มากๆ มากขนาดที่ว่าแม้เวลาจะผ่านไปเป็นปี แต่ความปรารถนานี้ก็ไม่ได้เลือนรางจางหายไปจากใจเขาเลยแม้แต่นิดเดียว เรียกได้ว่าหัวใจของเขาในตอนนั้น ไม่แตกต่างอะไรไปจากท่านสุทัตตะเศรษฐี หรือที่เรารู้จักกันในนามว่าอนาถบิณฑิกเศรษฐีเลย คือทันทีที่ท่านสุทัตตะเศรษฐีได้ยินคำว่า “ บัดนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บังเกิดขึ้นแล้ว ” ตัวท่านก็เกิดความปลื้มปีติจนถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับ และก็อยากที่จะเร่งวันเร่งคืนให้ดวงอาทิตย์ขึ้นไวๆ เพื่อที่ตัวท่านจะได้รีบรุดไปพบกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยเร็ว แต่เมื่อท่านสุทัตตะเศรษฐีไม่สามารถเร่งวันเร่งคืนหรือเร่งดวงอาทิตย์ให้ขึ้นได้ ตัวท่านก็เลยตัดสินใจเดินทางออกจากบ้านไปในทันที โดยไม่รอให้ดวงอาทิตย์ขึ้นเสียก่อน
ซึ่งในระหว่างที่ตัวท่านเดินทางไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่นั้น ก็ได้มียักษ์ที่ไม่ปรากฏตัวมาส่งเสียงว่า “ให้ท่านเศรษฐีเดินต่อไป ให้เดินต่อไป ให้เดินต่อไป ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น” ที่ยักษ์มาคอยเป็นดูแลความปลอดภัยและคอยให้กำลังใจให้ท่านสุทัตตะเศรษฐีมุ่งหน้าที่จะไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยไม่ต้องหวาดกลัวอะไรเลยนั้นทั้งหมดนี้ก็เป็นบุญของยักษ์ แล้วในที่สุดท่านสุทัตตะเศรษฐีก็ได้พบกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามความปรารถนาที่ตัวท่านได้ตั้งใจเอาไว้นั่นเอง
ส่วนตัวคุณสตีฟ จ็อบส์ (ในภพชาตินั้น) หลังจากที่ตัวเขาได้ทราบข่าวดีว่า “ อีกไม่กี่วันพระมหาเถระที่เป็นเจ้าอาวาสของวัดแห่งนี้ ซึ่งได้ปลีกวิเวกไปนั่งสมาธิอยู่ในถ้ำกำลังจะกลับมาแล้ว ”ตัวเขาก็รีบเดินทางนำสินค้าไปขายในตัวเมืองทันที ด้วยความตั้งใจว่า “ ในปีนี้ตัวเขาจะต้องสร้างบุญใหญ่ให้ยิ่งกว่าปีที่ผ่านมา ” และเมื่อตัวเขาได้ไปตั้งร้านขายสินค้าของเขาในตัวเมืองแห่งนั้นแล้ว ก็ได้มีผู้คนแห่มารอซื้อสินค้าตัวเขาอย่างมากมายแบบถล่มทลายเลยทีเดียว ซึ่งตรงกันข้ามกับเหตุการณ์ในปีที่ผ่านมาอย่างลิบลับที่ตัวเขาขายสินค้าไม่ค่อยออกเลย
ส่วนสาเหตุที่ทำให้ในปีที่ผ่านมาตัวเขาขายสินค้าไม่ค่อยออกนั้น ทั้งนี้ก็เป็นเพราะตัวเขามีความมั่นใจในตัวเองสูงมากๆ ว่า“สินค้าของเขานั้นดีกว่าสินค้าของเจ้าอื่นในทุกๆ ด้าน” ซึ่งความจริงมันก็เป็นอย่างนั้นเพราะคุณสตีฟ จ็อบส์เป็นคนที่มีอัธยาศัยมุ่งมั่น ตั้งใจ และพัฒนาสินค้าของเขาให้ออกมามีคุณภาพที่ดีกว่าดีที่สุด ดังนั้น ตัวเขาก็เลยตั้งราคาสินค้าของเขาสูงกว่าสินค้าของเจ้าอื่นๆแต่ด้วยความที่ลูกค้าตามความคิดของเขาไม่ทันจึงทำให้สินค้าของเขาที่เพิ่งเปิดตัวในเมืองแห่งนั้นขายไม่ค่อยจะออกนั่นเอง
แต่มาในปีนี้สินค้าของเขากลับพลิกล็อกขายดิบขายดีอย่างถล่มถลายแบบเทน้ำเทท่า ที่เป็นเช่นนี้ก็เป็นเพราะด้วยผลแห่งบุญที่ตัวเขาได้ตั้งใจทุ่มเทสั่งสมเอาไว้ในปีผ่านมา ทั้งที่ทำด้วยตัวเองและชักชวนผู้อื่นให้มาทำร่วมกันกับตัวเขาได้ช่องตามมาส่งผล จึงทำให้ในช่วง 1 ปีผ่านมาหลังจากที่พวกชาวบ้านได้นำภาชนะของเขา ที่ได้รับหลังจากที่ใส่ภัตตาหารไปทำบุญร่วมกับคุณสตีฟ จ็อบส์ไปใช้แล้ว พวกชาวบ้านก็เกิดความรู้สึกติดใจและได้รู้ว่า “ ของเขาดีจริง สุดยอดจริง ”
ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้พวกชาวบ้านได้พูดกันแบบปากต่อปากในทำนองที่ว่า “ของเจ้านี้ดีจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นมีด กระทะ หม้อ ไห หรือถ้วยโถโอชาม ทั้งดีทั้งทนและได้มาตรฐานกว่าเจ้าอื่น ซึ่งในตอนนี้ คนขายก็ได้นำสินค้ากลับมาที่เมืองนี้อีกแล้ว พวกเราจะรอช้าไม่ได้ รีบไปซื้อดีกว่า ของดีๆ อย่างนี้ ถ้าไม่รีบไปซื้อละก็ เดี๋ยวของจะหมดเสียก่อน” เมื่อเป็นเช่นนี้พวกชาวบ้านจึงได้แห่กันมาแย่งซื้อและทำให้สินค้าของคุณสตีฟ จ็อบส์ (ในภพชาตินั้น) ทำรายได้อย่างถล่มทลาย โดยที่ไม่ต้องมีโปรโมชั่นใดๆ เลยนั่นเอง (ซึ่งก็อาจจะคล้ายๆ กับในภพชาติปัจจุบันนี้ที่ผลิตภัณฑ์ของตัวเขา ไม่ว่าจะเป็นไอโฟน ไอแพ็ดหรือไอพ็อด ที่มีผู้คนมาต่อคิวรอซื้ออย่างยาวเหยียด
และเมื่อตัวสตีฟ จ็อบส์ (ในภพชาตินั้น) ได้ทรัพย์มาจากการขายสินค้าแล้ว ตัวเขาก็ได้เอาไปเป็นบุญต่อบุญ ด้วยการไปจัดเตรียมภัตตาหารหวานคาวมาถวายพระมหาเถระผู้ทรงอภิญญาสมาบัติในทันที และทันทีที่ตัวเขาได้พบกับพระมหาเถระรูปนั้นแล้ว ตัวเขาก็รู้สึกตื่นเต้น ดีใจ และปีติใจอย่างสุดๆ ที่ตัวเขาจะได้ถวายภัตตาหารแด่ท่านสมดังที่ตัวเขาได้ตั้งใจเอาไว้มา 1 ปีเต็ม
มีต่อส่วน comment ค่ะvv
Create Date : 27 สิงหาคม 2555 |
Last Update : 27 สิงหาคม 2555 17:45:38 น. |
|
14 comments
|
Counter : 2563 Pageviews. |
|
|
ภายหลังจากที่ตัวเขาได้ถวายภัตตาหารแด่พระมหาเถระรูปนั้นแล้ว ตัวเขาก็รู้สึกปลื้มปีติใจและเลื่อมใสศรัทธาปสาทะในพระมหาเถระเป็นอย่างมากทั้งในข้อวัตรปฏิบัติและกิริยาอาการที่แลดูสงบเสงี่ยมสง่างามและสำรวมน่าเลื่อมใส อีกทั้งผิวพรรณวรรณะของท่านก็แลดูเปล่งปลั่งผ่องใสมากๆ
และด้วยความเลื่อมใสศรัทธาที่เต็มเปี่ยมอยู่ในจิตใจของเขานี้เองจึงทำให้ตัวเขาอยากที่จะขอเรียนสมาธิกับพระมหาเถระรูปนั้น แล้วในที่สุดตัวเขาก็ได้เรียนสมาธิกับพระมหาเถระดังที่ตัวเขาได้ตั้งใจเอาไว้
ซึ่งต่อมาตัวเขาก็ได้อยู่ฝึกสมาธิ, อุปัฏฐากพระมหาเถระ และถวายมหาทานแด่คณะพระภิกษุสงฆ์ที่อยู่ในวัดแห่งนั้นตลอด 3 เดือนเต็มด้วยความรู้สึกปลื้มปีติใจอย่างสุดๆ