Group Blog
 
All Blogs
 

“สัญญา” กับ “ปัญญา”



ความเห็นตามสัญญากับความเห็นด้วยปัญญา ต่างกันอยู่มากราวฟ้ากับดิน

ความเห็นด้วยสัญญาพาให้ผู้เห็นมีอารมณ์มาก มักเสกสรรตัวว่ามีความรู้มาก ทั้งที่กำลังหลงมาก จึงมีทิฏฐิมานะมาก ไม่ยอมลงให้ใครง่ายๆ...

ส่วนความเห็นด้วยปัญญาเป็นความเห็นซึ่งพร้อมที่จะถอดถอน ความสำคัญมั่นหมายต่างๆ อันเป็นตัวกิเลสทิฏฐิมานะน้อยใหญ่ ออกไปโดยลำดับที่ปัญญาหยั่งถึง ถ้าปัญญาหยั่งลงโดยทั่วถึงจริงๆ กิเลสทั้งมวลก็พังทลายไปหมด


ผู้ปฏิบัติทางจิตภาวนา จึงควรระวังเจ้าสัญญาจะแอบเข้ามาทำหน้าที่แทนปัญญา โดยรู้เอาหมายเองเฉยๆ แต่กิเลสแม้ตัวเดียวก็ไม่ถอดออกจากใจบ้างเลย และอาจกลายเป็นทำนองว่า “ความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด” ก็ได้

เวลาสติปัญญาละเอียด ธรรมละเอียด ส่วนกิเลสที่จะทำให้หลงก็ละเอียดไปตามๆ กัน จึงเป็นความลำบากอยู่ไม่น้อยในธรรมแต่ละขึ้นกว่าจะผ่านไปได้

การทำสมาธิภาวนาจึงเป็นวิธีปฏิบัติต่อใจได้ดีและถูกทาง ยิ่งเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อด้วยแล้ว สติปัญญายิ่งมีความสำคัญมากในการตามรู้และรักษาจิต

ตลอดจนการต้านทานทุกขเวทนา ไม่ให้มาทับจิตในเวลาจวนตัว ซึ่งเป็นเวลาเอาแพ้เอาชนะกันจริงๆ ถ้าพลาดท่าขณะนั้น ก็เท่ากับพลาดไปอย่างน้อยภพหนึ่งชาติหนึ่ง

เช่น ไปเกิดเป็นสัตว์ชนิดใด ก็ต้องเสียเวลานานเท่าชีวิตของสัตว์ในภพภูมินั้นๆ ขณะที่เสียเวลายังต้องเสวยกรรมในกำเนิดนั้นไปด้วย ถ้าจิตดีมีสติพอประคองตัวได้ อย่างน้อยก็มาเกิดเป็นมนุษย์ มากกว่านั้น ก็ไปเกิดในเทวสถาน ชมวิมานและเสวยทิพย์สมบัติอยู่นานปี ถึงจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก

เวลามาเกิดเป็นมนุษย์ก็ไม่ลืมศีลธรรม ที่ตนเคยบำเพ็ญรักษามาแต่บุพเพชาติ ทำให้เพิ่มอำนาจวาสนาบุญญาภิสมภารขึ้นโดยลำดับ จนจิตมีกำลังแก่กล้าสามารถรักษาตัวได้

การตายก็เป็นเพียงการเปลี่ยนร่างจากต่ำขึ้นไปสูง จากสั้นไปหายาว จากหยาบไปหาละเอียด จากวัฏฏจักรไปเป็นวิวัฏฏจักร
















 

Create Date : 30 มิถุนายน 2555    
Last Update : 30 มิถุนายน 2555 0:51:10 น.
Counter : 1018 Pageviews.  

วิตามิน H ??



วิตามินเอช หรือที่รู้จักในนาม ไบโอติน (BIOTIN)
จัดเป็นวิตามินชนิดหนึ่งใน กลุ่มวิตามิน บี ซึ่งเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ จำเป็นสำหรับขบวนการใช้คาร์บอนไดออกไซด์ในร่างกาย เช่น การเติมคาร์บอนไดออกไซด์ให้แก่สารประกอบ หรือเอาคาร์บอนไดออกไซต์ออกจากสารประกอบ จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์กรดไขมันที่ไม่อิ่มตัว จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์เอนไซม์ในร่างกาย ช่วยบำรุงผิวหนัง ผม กล้ามเนื้อ และประสาท

อาหารที่อุดมไปด้วยไบโอติน ได้แก่ ตับหมู ไตวัว เนื้อวัว ปลาเนื้อขาว น้ำมันปลา ข้าวกล้อง ข้าวโพด รำข้าวสาลี ไข่ นม เนย โยเกิรต์ ผักต่างๆโดยเฉพาะดอกกะหล่ำ กะหล่ำปลี เห็ด แครอท แต่ก็ยังไม่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับปริมาณของวิตามินที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน วิตามินนี้จะถูกสังเคราะห์โดยจุลินทรีย์ในลำไส้ ไบโอตินเป็นกรดที่มีกำมะถันอยู่ด้วยในโมเลกุล ผลึกของ ไบโอตินเป็นรูปเข็มยาว ในธรรมชาติมักเกิดรวมอยู่กับกรดอะมิโนไลซีน ระดับของไบโอตินในเซรุ่มของคนปกติอยู่ระหว่าง 213-404 นาโนกรัม/มล. สาเหตุหนึ่งที่ร่างกายอาจขาดไบโอตินได้ก็คือ การรับประทานไข่ขาวดิบในปริมาณมากเป็นระยะเวลานานๆ ทั้งนี้เพราะในไข่ขาวมีสารที่จะทำลายไบโอติน เมื่อร่างกายเกิดอาการขาดวิตามินนี้ก็จะทำให้เกิดเป็นโรคผิวหนัง ผิวหนังมีสีเทา อ่อนเพลีย โลหิตจาง มีโคเลสเตอรอลในเลือดสูงกว่าปกติ


ข้อมูลทั่วไป
วิตามิน H หรือไบโอติน จัดอยู่ในกลุ่มวิตามินบีรวม ซึ่งสามารถละลายน้ำได้ วิตามินตัวนี้จะพบได้ในทุกเซลล์ในร่างกาย แต่พบว่ามีปริมาณน้อย โดยพบว่าพบมากที่ตับและไต ของร่างกาย ร่างกายสามารถสร้างได้เอง โดยแบคทีเรียจากลำไส้

คุณสมบัติ
เป็นผลึกรูปเข็ม ไม่มีสี ทนต่อความร้อน แสงสว่าง กรดและด่าง ละลายได้ดีในน้ำร้อนและแอลกอฮอล์

ประโยชน์ต่อร่างกาย
ทำหน้าที่เป็น โคเอนไซม์ ในขบวนการต่างๆของร่างการ เช่น กระบวนการเผาพลาญของร่างกาย ขบวนการสร้างกรดไขมัน พิวรีน เป็นตัวส่งเสริมการเจริญเติบโตของร่างกาย ช่วยผลิตฮอร์โมนเกี่ยวกับการสืบพันธุ์ และอินซูลิน อีกทั้งยังรักษาสุขภาพของผิวหนัง ผม ต่อม เหงื่อ และกระดูกอ่อนอีกด้วย

แหล่งที่พบ
จะพบทั่วไปในแหล่งอาหารธรรมชาติ แต่พบมากในเครื่องในสัตว์ เช่น ตับหมู ไตหมู รวมทั้งพวก เนื้อวัว ปลาเนื้อขาว น้ำมันปลา ข้าวโพด ข้าวกล้อง ไข่แดง ถั่ว ยีสต์ ผักเช่น ดอกกะหล่ำปลี แครอท และพบในผลไม้ได้บ้าง

ปริมาณที่แนะนำ
ปกติร่างกายจะสามารถสร้างไบโอตินได้อยู่แล้วจากแบคทีเรียในลำไส้ ซึ่ง ถ้าหากรวมกับอาหารที่ได้รับในแต่ละวันถือว่าเพียงพอต่อความต้องการของร่าง กายแล้ว แต่ก็เชื่อว่า ผู้ใหญ่ควรได้รับไบโอติน วันละ 100-200 ไมโคกรัม เด็ก (ตั้งแต่ 4 ขวบขึ้นไป) ควรได้รับวันล่ะ 85-120 ไมโคกรัม

ผลของการขาด
จะมีการอักเสบของเยื้อบุต่างๆ ผิวหนังแห้งลอก ตกสะเก็ด มีอาการเบื่ออาหาร อาเจียน ซึม ปวดเมื่อยตามตัว ระดับคอเลสเตอรอลสูง โลหิตจางแม้จะได้รับเหล็กเพียงพอ การขับปัสสาวะลดลง

ผลของการได้รับมากไป
พวกยาปฏิชีวะนะ เนื่องจากไปทำลายแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ สารอะวิดินจากไข่ขาวดิบๆ ซึ่งจะลดการดูดซึมของไบโอติน ยาพวกซัลฟา

ข้อมูลอื่นๆ
การดูดซึม
+ มีการดูดซึมที่ลำไส้เล็ก และมีการขับออกทางปัสสาวะ
อาหารหรือสารต้านฤทธิ์
+ วิตามินบีรวม วิตามินบี 12 กรดโฟลิค กรดแพนโทเธ็นนิค วิตามินซี กำมะถัน

















 

Create Date : 28 มิถุนายน 2555    
Last Update : 28 มิถุนายน 2555 2:34:06 น.
Counter : 1233 Pageviews.  

การทำจิตให้ตั้งเป็นสมาธิ



พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


พระพุทธเจ้าผู้ทรงไม่หวั่นไหวทั้งพระกายพระจิตทุกเวลา ทุกสถานการณ์ที่ทรงเผชิญ ได้ทรงแสดงธรรมเหตุแห่งความไม่หวั่นไหว ปรากฏในพุทธภาษิตที่แปลความว่า “สติกำหนดลมหายใจเข้าออก อันผู้ใดอบรมบริบูรณ์ดีแล้ว ทั้งกายทั้งจิตของผู้นั้นก็ไม่หวั่นไหว”


จิตนั้นเป็นความสำคัญ การปฏิบัติธรรมทั้งสิ้นต้องปฏิบัติให้ถึงจิต จึงจะเป็นผลสำเร็จ ศีลสมาธิปัญญา ก็ต้องปฏิบัติให้ถึงจิต จึงจะเป็นศีลสมาธิปัญญา แม้จะเรียกเป็นอย่างอื่น เช่น สติ สัมปชัญญะ ขันติ โสรัจจะ ก็ต้องปฏิบัติให้ถึงจิต จึงจะเป็นสติสัมปชัญญะ เป็นต้น


การปฏิบัติธรรมจะต้องปฏิบัติให้ถึงจิต และการจะปฏิบัติธรรมให้ถึงจิตได้นั้น จิตจะต้องตั้ง ถ้าจิตไม่ตั้ง คือจิตดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่าย กุศลธรรมทั้งหลายก็ไม่สามารถจะตั้งอยู่ในจิตได้ เหมือนมือที่แกว่งไปมา ของย่อมตั้งอยู่ในฝ่ามือไม่ได้ ต้องหล่นตกไป ต่อเมื่อมือนิ่งอยู่ ของบนฝ่ามือจึงจะตั้งอยู่ได้ จิตสามัญนั้นไม่นิ่ง จึงจำเป็นต้องปฏิบัติทำจิตให้นิ่ง คือให้ตั้ง หรือให้เป็นสมาธินั่นเอง ไม่ให้ดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่าย


ในการทำจิตให้ตั้งเป็นสมาธิต้องอาศัยสติ สำหรับระลึกกำหนดอยู่ในที่ตั้งข้อใดข้อหนึ่ง ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน อานาปานสติ คือความระลึกกำหนดข้อหนึ่ง อานาปานสติเป็นสติกำหนดลมหายใจเข้าลมหายใจออก นั่นก็คือ ลมหายใจเข้าลมหายใจออกเป็นที่ตั้งของสติ เป็นที่ระลึกกำหนด เมื่อจิตตั้งกำหนดอยู่ได้ ความที่กำหนดนั้นก็เป็นตัวสติ ความที่ตั้งอยู่ได้นั้นก็เป็นตัวสมาธิ ดังนี้ที่เรียกว่าจิตตั้ง ดังนั้นจิตจะตั้งเป็นสมาธิได้จึงต้องมีทั้งสมาธิมีทั้งสติประกอบกันอยู่ สติเป็นตัวกำหนด สมาธิเป็นตัวตั้ง จะตั้งได้ก็ต้องกำหนดในที่ตั้ง และจะกำหนดในที่ตั้งได้ก็ต้องมีความตั้งจิต สติและสมาธินี้จึงต้องอาศัยกัน


ในการปฏิบัติให้มีสติมีสมาธิต้องมีความเพียรพยายาม ต้องไม่ละความเพียรพยายามและต้องมีความรู้คุมตัวเองอยู่เสมอ อันความรู้ที่คุมตัวเองนี้เรียกว่าสัมปชัญญะ ซึ่งหมายถึงความรู้ในอิริยาบถความเคลื่อนไหวทั้งของกาย และทั้งของใจ รู้อิริยาบถของกายก็คือยืนก็รู้ว่ายืน เดินก็รู้ว่าเดิน นั่งหรือนอนก็รู้นั่งหรือนอน รู้อิริยาบถของจิต ก็คือจิตคิดไปอย่างไรก็รู้ จิตหยุดคิดเรื่องอะไรก็รู้ จิตสงบก็รู้ จิตไม่สงบก็รู้ ในการทำจิตให้ตั้ง ต้องมีสติมีสมาธิและมีสัมปชัญญะพร้อมดังนี้ และต้องคอยกำจัดคือคอยสงบความยินดีความยินร้ายๆ ต่างๆ ที่เข้ามาดึงจิตไม่ให้กำหนดอยู่ในที่ตั้ง เช่นที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออก


พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอานาปานสติ สติกำหนดลมหายใจเข้าออกคือ มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก หายใจเข้าหายใจออกยาว ก็รู้ว่าหายใจเข้าหายใจออกยาว หายใจเข้าหายใจออกสั้น ก็รู้ว่าหายใจเข้าหายใจออกสั้น ศึกษาคือสำเหนียกว่าเราจักรู้ทั่วถึงกายทั้งหมดหายใจเข้า เราจักรู้ทั่วถึงกายทั้งหมดหายใจออก ศึกษาว่าเราจักสงบรำงับกาย สังขาร เครื่องปรุงกาย หายใจเข้าเราจักสงบรำงับกายสังขาร คือเครื่องปรุงกาย หายใจออกเราจักสงบรำงับกายสังขาร คือเครื่องปรุงกาย ดั่งนี้


นี้เป็นหัวข้อการปฏิบัติทำอานาปานสติที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ ส่วนวิธีปฏิบัติที่ใช้ส่าหรับประกอบเข้าเป็นคำสอนของเกจิอาจารย์ คืออาจารย์บางพวก ซึ่งการจะพอใจในวิธีปฏิบัติของอาจารย์พวกไหน ก็ควรต้องให้อยู่ในหลักแนวที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ เพื่อการปฏิบัติทำสมาธิในพุทธศาสนาจะได้เป็นไปโดยถูกต้อง


หลักที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้นั้น เริ่มต้นแต่แสวงหาที่สงบสงัด จะเป็นป่าเป็นโคนไม้เป็นเรือนว่างก็ตาม หรือไม่ก็ต้องสร้างป่าสร้างโคนไม้สร้างเรือนว่างขึ้นในใจ คือทำจิตให้ว่าง ไม่ใส่ใจถึงบุคคล เสียง หรือสิ่งอื่นที่อยู่โดยรอบ การทำจิตให้ว่างได้ดังนี้ก็จะสามารถทำจิตให้เป็นสมาธิได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน สำคัญกว่าไปอยู่ป่าอยู่โคนไม้ อยู่ในที่สงบสงัดแต่จิตยังวุ่นวาย ซึ่งจักทำสมาธิไม่ได้ เพราะฉะนั้นแม้จะได้ที่ว่างข้างนอก ก็ต้องสร้างที่ว่างข้างในด้วย หรือแม้ไม่มีที่ว่างข้างนอก สร้างที่ว่างข้างในได้ก็ได้เหมือนกัน


ดังนี้ก็ปฏิบัติทำสมาธิได้ คือทำสติรวมเข้ามากำหนดลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ ยาวก็รู้ สั้นก็รู้ ทำเพียงเท่านี้ก่อน และเมื่อจิตรวมเข้ามาได้ ยาวหรือสั้นจะปรากฏขึ้นเอง คือยาวหรือสั้นปรากฏขึ้นก็แปลว่าจิตรวมเข้ามาแล้ว คือจิตรวมเข้ามาที่กายนี้แหละ ไม่ใช่รวมเข้าที่ไหน เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ ให้จิตรวมอยู่ในขอบเขตนี้และเมื่อจิตรวมอยู่ในขอบเขตนี้ สติก็จะกำหนดได้ว่าหายใจเข้าอยู่ หายใจออกอยู่ และจะรู้อิริยาบถของกายได้ รู้อิริยาบถของใจได้ เมื่อเป็นดังนี้แล้วก็เป็นอันว่าได้เริ่มรู้กายทั้งหมด คือกายเนื้อกายใจนี่แหละ


ความรู้ในกายทั้งหมดเป็นความรู้ตามที่กายและใจเป็นไป ไม่ใช่การปรุง ต้องระวังไม่ให้ปรุง ไม่ให้เกิดตัณหา ไม่ให้ความดิ้นรนทะยานอยากอย่างใดอย่างหนึ่งเกิด ต้องไม่อยากหายใจให้แรง ไม่อยากหายใจให้เบา ความอยากเป็นตัณหา อยากได้สมาธิเร็วก็เป็นตัณหา อยากเลิกทำสมาธิเร็วก็เป็นตัณหา เมื่อยขบเจ็บปวดที่นั่นที่นี่ ยึดอยู่ในความรู้สึกนั้นก็เป็นตัณหา อยากเห็นนั่นเห็นนี่ก็เป็นตัณหา จิตส่งออกนอกกายก็เพราะตัณหาดึงออกไป ตัณหาเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องปรุงทั้งนั้น รวมเข้าในคำว่ากายสังขาร เครื่องปรุงกาย จึงต้องคอยสงบคือสงบตัณหานั่นเอง ทำจิตให้เป็นอุเบกขา คือเข้าไปเพ่งเข้าไปรู้ แต่ไม่ยึดอยู่ในสิ่งที่รู้ ทำความรู้อยู่เท่านั้น กายเป็นอย่างไรก็รู้ จิตเป็นอย่างไรก็รู้ หายใจเข้าหายใจออกเป็นอย่างไรก็รู้ ให้รวมจิตไว้ข้างใน ไม่ให้ออกไปข้างนอก


ดั่งนี้เป็นการสงบกายสังขาร เครื่องปรุงกาย จิตก็จะสงบยิ่งขึ้น กายก็จะสงบยิ่งขึ้นจนถึงเหมือนอย่างไม่หายใจ เช่นทีแรกนั้นการหายใจเป็นปกติเช่นที่เรียกกันว่าหายใจทั่วท้อง คือหายใจลงไปจนถึงท้อง ท้องพองขึ้นยุบลงในขณะหายใจเข้าออกก็เป็นปกติ แต่เมื่อจิตและกายสงบขึ้นๆ อิริยาบถที่หายใจนี้ก็จะละเอียดเข้า จนเหมือนอย่างว่าหายใจอยู่เพียงทรวงอก ไม่ลงไปถึงท้อง ท้องเป็นปกติ ไม่พองไม่ยุบ และเมื่อละเอียดเข้าอีกๆ ก็เป็นเหมือนอย่างว่าหายใจอยู่เพียงปลายจมูก ไม่ลงไปถึงทรวงอก แผ่วๆ อยู่เพียงปลายจมูกเท่านั้น และเมื่อสงบเข้าอีก แผ่วๆ นั้นก็จะไม่ปรากฏ เหมือนหายไปเลย ไม่หายใจ อันที่จริงนั้นไม่ใช่ไม่หายใจ หายใจ แต่การหายใจนั้นละเอียดเข้า ละเอียดเข้า ละเอียดเข้า ไม่ควรต้องเกิดความกลัวว่าจะตายเพราะไม่หายใจ


ดังที่บางคนแสดงว่าเคยได้ถึงจุดนี้ เกิดกลัวขึ้นมา ก็เลยต้องเลิกทำ เมื่อจิตสงบตั้งอยู่ภายใน กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ก็เป็นอันว่าจิตได้สมาธิชั้นกายานุปัสสนา พิจารณากาย ในการปฏิบัตินี้ต้องอาศัยวิตกกับวิจาร , วิตก ความตรึก คือนำจิตให้ตั้งอยู่ในที่ตั้งของสมาธิ หรือที่เรียกว่าอารมณ์ของสมาธิ คือลมหายใจเข้าออก , วิจาร ความตรอง คือประคองจิตให้ตั้งอยู่ ไม่ให้ตกจากอารมณ์ของสมาธิ โดยที่จิตเต็มไปด้วยนิวรณ์ อันหน่วงจิตให้ออกจากที่ตั้งคืออารมณ์สมาธิ การทำสมาธิแรกๆ จึงเหมือนจับปลาขึ้นจากน้ำ ใครๆ ก็เป็นเช่นนี้ในการปฏิบัติทำสมาธิทีแรก ที่ยังไม่ได้ผล


เมื่ออาศัยวิตกวิจารจับจิตตั้งไว้ในอารมณ์สมาธิ และคอยประคองไว้ให้อยู่ด้วยความพยายาม จิตก็จะตั้งอยู่ได้นานขึ้นเป็นลำดับ อันเครื่องที่จะจับจิตมาตั้งและเครื่องสำหรับประคองไว้ คือสติ ความกำหนด ความระลึกรู้ ใช้สติ ทำสติ เมื่อเผลอสติ จิตตก ได้สติ ก็ตั้งขึ้นใหม่ ประคองไว้ เผลอสติอีก จิตตกอีก ก็จะตั้งขึ้นอีก ประคองต่อไปอีก สมาธิที่ได้รับทีละเล็กละน้อยจะขับไล่นิวรณ์ออกจากจิตไปทีละเล็กละน้อยพร้อม กัน ปีติจะเกิดเมื่อเริ่มตั้งตัวในสมาธิได้ ขับไล่นิวรณ์ออกไปได้โดยลำดับ


เมื่อเกิดปีติ ก็ให้กำหนดปีติหายใจเข้าหายใจออก ปีตินี้เป็นเวทนา เป็นสุข ก็ให้รู้ รู้ในความสุข จิตเป็นสุข จิตก็จะตั้งอยู่ในอารมณ์ของสมาธิได้มากขึ้น ความทุกข์ในอันที่จะต้องคอยระวังรักษาสติไม่ให้เผลอ ไม่ให้จิตตก ก็น้อยลง ความทุกข์ที่จะต้องคอยประคองจิตไว้ก็น้อยลง เพราะจิตอยู่ตัวแล้ว มีความดูดดื่มในสมาธิแล้ว เหมือนอยู่ที่ไหนสบายก็ไม่อยากจากไปจากที่นั่น แต่อยู่ที่ไหนไม่สบายก็ไม่อยากอยู่ที่นั่น คิดแต่จะไปที่อื่นต่อไป ในทำนองเดียวกัน เมื่อพบที่เย็นคือสมาธิ ได้ปีติ ได้สุข จิตก็ตั้งอยู่ ไม่ดิ้นรนไปไหนอีก


กายและจิตไม่หวั่นไหว ที่ปรากฏในพุทธภาษิตเป็นเช่นนี้ แต่กายและจิตจะไม่หวั่นไหวมั่นคงอยู่ตลอดไปได้ ก็ต่อเมื่อการอบรมสติกำหนดลมหายใจเข้าออกได้แล้วบริบูรณ์ดี ถ้ายังไม่บริบูรณ์ดีจริง ก็ยังต้องมีหวั่นไหวเป็นครั้งคราวเป็นบางกรณี ผู้เห็นความสุขสงบอันเกิดจากกายและจิตไม่หวั่นไหวว่าเป็นความสำคัญ จึงพากเพียรอบรมสติ กำหนดลมหายใจเข้าออก หรืออบรมสมาธินั่นเอง ให้บริบูรณ์ดี เมื่ออบรมสมาธิบริบูรณ์ดีแล้ว ย่อมไม่มีเหตุการณ์ใดมาทำให้กายและจิตหวั่นไหวได้ ความทุกข์ทั้งปวงอันเกิดแต่ความอ่อนแอหวั่นไหวของกายและจิตย่อมไม่มี















 

Create Date : 26 มิถุนายน 2555    
Last Update : 26 มิถุนายน 2555 2:33:32 น.
Counter : 1021 Pageviews.  

นมถั่วเหลืองลดไขมันเกาะตับ



ถั่วเป็นพืชมหัศจรรย์หลายอย่าง เช่น มีโปรตีนสูง มีไขมันชนิดดี มีเส้นใยหรือไฟเบอร์ชนิดไม่ละลายน้ำสูง การดูดซึมน้ำตาลจากถั่วเข้าสู่กระแสเลือดช้า ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างช้าๆ สูงนาน ทำให้อิ่มนาน (ค่าดัชนีน้ำตาล หรือ glycemic index ต่ำ, เหมาะกับท่านที่ต้องการลดความอ้วน ควบคุมน้ำตาล)

      นมถั่วเหลืองมีดีตรงที่ไม่มีน้ำตาลแลคโทส ทำให้คนที่ไม่มีน้ำย่อยน้ำตาลนมมากพอ ดื่มนมถั่วเหลืองได้สบายๆ

      การศึกษาใหม่จากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ทำการศึกษาในหนูผอม และหนูอ้วน ผลการศึกษาพบว่า โปรตีนถั่วเหลือง ซึ่งพบมากในเต้าหู้ (tofu), นมถั่วเหลือง น้ำเต้าหู้ มีส่วนช่วยป้องกันไขมันร้ายที่ชอบไปเกาะในเซลล์ตับในหนูอ้วน โดยลดไขมันในตับได้ 20%

แถมยังลดระดับไขมันในเลือดชนิดไตรกลีเซอไรด์ (triglycerides / TG) ซึ่งเป็นผู้ช่วยฝ่ายร้าย ที่ทำให้โคเลสเตอรอลฝ่ายร้าย (LDL) แทรกซึมออกจากกระแสเลือด ผ่านผนังหลอดเลือด ไปสะสมเป็นคราบไขใต้ผนังหลอดเลือด ทำให้เกิดการอักเสบ และเพิ่มเสี่ยงหลอดเลือดตีบตัน

      โรคไขมันเกาะตับ (fatty liver disease) ทำให้การทำงานของตับแย่ลง เพิ่มเสี่ยงเบาหวาน ตับอักเสบ และตับแข็ง

โรคอ้วน, อ้วนลงพุง (เส้นรอบเอวมากกว่า 90 ซม.ในผู้ชาย, 80 ซม.ในผู้หญิง), ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงเพิ่มเสี่ยงไขมันเกาะตับ ซึ่งมักจะพบหลังดื่มหนัก หรือกินอาหารมื้อใหญ่ โดยเฉพาะอาหารที่มีแป้ง-น้ำตาลสูง

      การศึกษาก่อนหน้านี้จากมหาวิทยาลัยเดลาแวร์ พบว่า การดื่มนมถั่วเหลือง 2 แก้ว/วัน ช่วยลดอาการร้อนวูบวาบ (hot flushes) หลังหมดประจำเดือนได้ 20%, และลดความรุนแรงของโลกได้ 26% อาการร้อนวูบวาบเกิดขึ้นนาน 4 นาทีโดยเฉลี่ย ผู้หญิงบางรายมีอาการเหงื่อแตก และอาจรบกวนการนอนหลับ นับเป็นความทุกข์ใหญ่ของผู้ที่มีอาการนี้

วิธีเลือกนมถั่วเหลืองที่สำคัญ คือ ควรดูฉลากอาหาร 

1. น้ำตาลต่ำหรือไม่ > ชนิดเติมน้ำตาลมากไม่ค่อยดี 
2. ไขมันอิ่มตัว > นมถั่วเหลืองมีไขมันถั่วเหลือง ซึ่งมีไขมันอิ่มตัวต่ำ, นมถั่วเหลืองที่มีไขมันอิ่มตัวสูง มักจะเติมครีมเทียมที่ทำจากน้ำมันปาล์ม หรือเติมน้ำมันปาล์ม (ทำให้รสชาติหวานมันเพิ่ม แต่ไม่ดีกับสุขภาพ) 
3. เสริมแคลเซียมหรือไม่ > ชนิดเสริมแคลเซียมมีแนวโน้มจะดีกว่าชนิดไม่เสริม และควรเสริมให้ถึงระดับ 20-25% ของที่ร่างกายต้องการใน 1 วันจึงจะดี





















 

Create Date : 26 มิถุนายน 2555    
Last Update : 26 มิถุนายน 2555 2:27:25 น.
Counter : 2054 Pageviews.  

ตามไปดู...ไอเดียแต่งดอกไม้แสนเก๋

ดอกไม้งานแต่ง แต่งงาน

ไอเดียแต่งดอกไม้แสนเก๋ลงถัง (Bride Magazine)

เรื่อง : Yuii
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก greenweddingshoes.com

          เบื่อกับการจัดดอกไม้แบบเดิม ๆ ปักลงในแจกันแล้วตั้งสวย ๆ ไว้บนโต๊ะกันแล้วใช่ไหมคะ ไหน ๆ จะจัดงานแต่งงานธีมชวนฝัน มีดอกไม้นานาพันธุ์ประดับประดาทั่วทั้งงานทั้งที ก็ลองตกแต่งด้วยดอกไม้ที่อยู่บนอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ เหล่านี้ดู (แต่ขอแนะนำว่าการจัดดอกไม้ประเภทนี้อาจจะเหมาะกับการจัดงานแบบเปิดโล่ง กลางแจ้ง ริมทะเล หรือในสวนมากกว่าในโรงแรม) ถ้าพร้อมแล้วก็ลุยกันเลย…

ไม่มีอะไรจะให้อารมณ์คันทรีได้เท่ากับถังใส่นมเก๋ ๆ สักใบ ประดับประดาด้วยดอกยิปโซฟิล่า หรือดอกไฮเดรนเยียร์ แค่นี้ก็สวยเกิด อะ ๆ จะนำกระป๋องใส่น้ำมันโอลีฟและขวดใสสีสันทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ก็เป็นพร็อพแต่งโต๊ะงานแต่งงานที่เก๋ไก๋เหมือนกัน หรือจะลองเลือกกระป๋องที่เป็นสไตล์วินเทจ แล้วใช้ดอกไม้ตกแต่งประดับประดา เท่านี้ก็แจ่มได้

สำหรับธีมแต่งงานใกล้น้ำ ลองหาเรือแคนูเก่า ๆ หรือเรือแจวบ้านเราก็ได้ มาเพ้นต์สีน้ำตาล จากนั้นนำดอกไม้มาประดับประดาตกแต่งลงไปก็ใช้ได้อยู่แถมไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน หรือจะหมวกเก๋ ๆ สักใบ เลือกที่ไม่ต้องแพงและมีทรงที่แข็งพอประมาณ หงายส่วนกลางขึ้น ใส่โอเอซิสไว้ข้างในแล้วลองเอาดอกกุหลาบมาปักเป็นพุ่ม จะใช้ดอกไม้ชนิดอื่นก็ไม่ขัดศรัทธา

สุดท้ายลองนำดอกไม้มาใช้เป็นเครื่องประดับในวันสำคัญ อย่างเช่น ปิปปา เลือกนำดอกไม้มาจัดเป็นเครื่องประดับบนศีรษะในพิธีอภิเษกสมรสของเจ้าชาย วิลเลียม และ เคท มิดเดิลตัน แหม...คลาสสิกอย่าบอกใคร ไม่เชื่อคุณเจ้าสาวลองทำดู

อย่างไรก็ตาม สำหรับคู่บ่าว-สาวที่ยังไม่มีไอเดียจัดดอกไม้แจ่ม ๆ กระปุกเวดดิ้งก็นำรูปแบบการจัดดอกไม้ในงานแต่งงานสไตล์ต่าง ๆ มาฝากกันค่ะ

ดอกไม้งานแต่ง แต่งงาน

ดอกไม้งานแต่ง แต่งงาน

ดอกไม้งานแต่ง แต่งงาน

ดอกไม้งานแต่ง แต่งงาน

ดอกไม้งานแต่ง แต่งงาน

ดอกไม้งานแต่ง แต่งงาน

ดอกไม้งานแต่ง แต่งงาน

ดอกไม้งานแต่ง แต่งงาน

ดอกไม้งานแต่ง แต่งงาน

ดอกไม้งานแต่ง แต่งงาน

ดอกไม้งานแต่ง แต่งงาน

ดอกไม้งานแต่ง แต่งงาน

ดอกไม้งานแต่ง แต่งงาน

ดอกไม้งานแต่ง แต่งงาน

ดอกไม้งานแต่ง แต่งงาน

ดอกไม้งานแต่ง แต่งงาน

ดอกไม้งานแต่ง แต่งงาน

ดอกไม้งานแต่ง แต่งงาน

ดอกไม้งานแต่ง แต่งงาน

ดอกไม้งานแต่ง แต่งงาน

ดอกไม้งานแต่ง แต่งงาน

ดอกไม้งานแต่ง แต่งงาน

ดอกไม้งานแต่ง แต่งงาน

ดอกไม้งานแต่ง แต่งงาน

ดอกไม้งานแต่ง แต่งงาน

ดอกไม้งานแต่ง แต่งงาน

ดอกไม้งานแต่ง แต่งงาน




 

Create Date : 24 มิถุนายน 2555    
Last Update : 24 มิถุนายน 2555 11:45:34 น.
Counter : 1884 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  

bestjingjai1
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add bestjingjai1's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.