รอพี่อาทิตย์ รอดพ้นหมอกบางๆ พร้อมคลื่นมหาชน
รอ...ฟ้าสีเทาจางๆ อากาศเย็นสบาย น่าจิบชาร้อน จะชิวมากถ้าปริมาณประชากร
ไม่หนาแน่นขนาดนี้
พี่อาทิตย์ต่อนยอน กว่าจะโผล่พ้นเมฆหมอกออกมาก็เกือบ 8 โมงเช้า
ขอชื่นชมให้สมใจ มองภาพธรรมชาติข้างหน้าผ่านเลนส์ไม่สวยเท่าตาเห็น
เสียดายไม่ได้ขึ้นผาหัวสิงห์ เจ้าหน้าที่บอกเราว่ามีแผ่นดินไหวที่พม่า
ซึ่งเราก็ไม่ควรจะเสี่ยง หลังจากชื่นชมอาทิตย์ต่อนยอน ผู้คนก็เริ่มจางตา
ไปพร้อมกับสายหมอก
ขากลับยังใช้บริการรถกระบะคันเดิม แต่เพิ่มเพื่อนใหม่อีก 2 เป็น 7 คน
แต่เราก็แยกกับเพื่อนใหม่ 2 คนที่จะไปแพร่ต่อ ส่วนเรา 5 คนก็มุ่งหน้าไปน่านเลยเจ้า
กว่าจะถึงเมืองน่านก็เที่ยงกว่า เก็บสัมภาระเข้า checkin ที่ "ศรีนวลลอร์ด"
"ที่พักหลักร้อยที่ไม่น้อยหน้าใคร" สโลแกนบอกนิยามของสถานที่ได้อย่างชัดเจน
เป็นที่พักที่ตั้งอยู่กลางเมืองน่าน เดินทางสะดวก ดูแลกันแบบครอบครัว
พักผ่อนจากการเดินทางพอหายเหนื่อย ก็เตรียมออกไปเที่ยวต่อได้
เราออกมาดักรอขึ้นรถ น่าน-ท่าช้าง ที่ถนนใหญ่ เพื่อที่จะไป "หอศิลป์ริมน่าน" และ
"วัดหนองบัว" กะจะกินข้าวซอยเมืองน่านก่อนไป แต่ไม่ทันจะนั่งรถท่าวังผาก็มา
รีบวิ่งขึ้นรถกันหน้าตั้ง
บอกเป้าหมายให้กระเป๋ารถช่วยสะกิดจะได้ไม่เลย นั่งรถหวานเย็นแต่แรงดีไม่มีตก
ออกนอกเมืองไปสัก 30 นาทีก็ถึงแล้ว
"หอศิลป์ริมน่าน" ชื่อบอกเลยว่าเป็นหอศิลป์ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่าน
ก่อตั้งและดำเนินการโดย คุณวินัย ปราบริปู ศิลปินชื่อดังชาวน่าน
เสียค่าเข้าบำรุงสถานที่เล็กน้อยก็ได้เข้าไปดูผลงานศิลปะของศิลปินมากมาย
ทั้งในและนอกพื้นที่
ภายในบริเวณมีเนื้อที่กว่า 13 ไร่ จัดแสดงนิทรรศการทั้งถาวร และหมุนเวียน
เดินเนิบๆ ดูผลงานศิลปะ แล้วก็ไปนั่งต่อที่ศาลาริมน้ำต่อนยอนกันไป
หากสนใจผลงานชิ้นไหน หรืออยากได้ของที่ระลึก ก็แวะ "เฮือนศรีนวล"
ร้านขายของที่ระลึกเรือนไม้ริมน้ำ
เราเดินออกจากหอศิลป์ในเวลาบ่าย 2 โมง กะว่าจะลองไปโบกรถหรือไม่ก็รอรถสายเดิม
เพื่อต่อไป "วัดหนองบัว"
โบกรถกระบะคันแรกจอดรับ แต่เสียดายที่เค้าไม่ผ่านทางนั้น เลยรอโบกคันที่ 2
รถแล่นด้วยความเร็วผ่านหน้าพวกเราไป แต่ชะลอและหยุดในระยะห่างออกไป 200 ม.
สอบถามพูดคุยกันแล้ว พี่คนขับก็บอกว่าจะไปส่งให้ถึงวัดเลย ด้วยความดีใจ
เราจึงรีบกล่าวขอบคุณแล้วกระโดดขึ้นกระบะหลังกันเลย เราเชื่อแล้วว่าคนน่านใจดี
คุณครูเกตุ อยู่บ้านดอนตัน คือเจ้าของรถที่พาเรามาส่งถึงวัดหนองบัว แถมยังอาสา
จะรอพวกเราเดินเที่ยวแล้วพาไปส่งถนนใหญ่ตอนกลับด้วย แต่พวกเราเกรงใจ
เลยกล่าวขอบคุณพร้อมร่ำลากันตรงหน้าวัด
วัดหนองบัวเป็นวัดเก่าแก่ของหมู่บ้านหนองบัว จ.น่าน ซึ่งเป็นหมู่บ้านไทยลื้อ ที่สงบร่มเย็น
ภายในมีจิตรกรรมผาผนังที่เก่าแก่ งดงามไม่แพ้วัดภูมินทร์
ทางเข้าด้านหน้า ต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยวงดนตรีพื้นเมืองของชาวบ้าน
ด้านหลังเป็นที่ตั้งของเรือนไม้ชาวไทยลื้อ หรือศูนร์บริการวัฒนธรรมชุมชน
ที่ผลิตและขายสินค้าจากผ้าทอมือ
บ้านไม้โบราณจัดแสดงความเป็นอยู่ของชาวบ้านในสมัยก่อน
ได้เวลาที่พวกเราต้องออกไปรอรถท่าช้างรอบสุดท้ายก่อน 6 โมงเย็น
จากถนนใหญ่เข้ามาถึงวัดระยะทางประมาณ 5 กม. พวกเราเลือกวิธีโบกรถเหมือนเดิม
เดินไปตามทางเรื่อยๆ รถในหมู่บ้านไม่เยอะเหมือนถนนใหญ่ ยังคงเชื่อในความใจดีของคนน่าน
แต่กว่าเราจะได้รถก็เดินมาเกือบโลหนึ่งแล้ว
เรารอรถท่าช้างอยู่เกือบครึ่งชม. สอบถามคนแถวนั้นเพื่อให้มั่นใจว่าเราจะไม่พลาด
รถรอบสุดท้ายชัวส์
ตลอดหลายวันในน่านเราได้เดินทาง พร้อมกับสายลมและแสงแดดที่อบอุ่น
ใช้เวลาให้หมดไปอย่างเนิบช้า มีบ้างบางครั้งที่แอบเปรียบกับชีวิตในเมือง
แล้วนึกอิจฉาคนที่นี่ อากาศก็ดี คนก็น่ารัก
ใกล้เวลาที่จะต้องกลับไปดำเนินชีวิตที่เร่งรีบแล้วซินะ
เราเลือกฉลองการได้พบกันด้วยมื้อค้ำชุดใหญ่ บุฟเฟ่ท์ปิ้งย่างที่ร้านข้างที่พัก
ทั้งปิ้งย่าง ทั้งลวกต้ม เต็มอิ่มกันไปเลย
ต่อด้วยของหวานร้านป้านิ่ม ที่ขึ้นชื่อ
ขนาดไม่ค่อยชอบขนมน้ำกระทิ แต่บัวลอยน้ำกระทิชามนี้ไม่ควรพลาด
หวานมันกำลังดี จบมื้ออย่างสวยงาม
ต่อด้วยการเดินเล่นย่อยอาหารที่ถนนคนเดินแถวข่วงเมือง วัดภูมินทร์
ค่าใช้จ่าย
- รถกระบะพี่ดิเรก 400 บาท
- รถนาน้อย-นาหมื่น 40 บาท
- รถน่าน-เวียงสา 20 บาท
- สองแถวไปที่พัก 20 บาท
- รถท่าช้างไปหอศิลป์ 25 บาท
- หอศิลป์ริมน่าน 20 บาท
- รถท่าช้าง-น่าน 35 บาท
- ศรีนวลลอร์ด 800 / คืน
- อาหารและของฝาก 800 บาท