The Labyrinth of Perfumnista!
Group Blog
 
All Blogs
 

REVIEW - น้ำหอม BLV pour homme

อนที่ผมยังทำงานบริษัท พี่ที่ทำงานคนนึงถามว่าจะฝากซื้อตัวนี้ไหม หอมมาก ยอมรับว่าตอนนั้นห่างเหินจากโลกของน้ำหอมมาหลายปี เอาแต่ทำงาน เลยไม่รู้จักยี่ห้อ Bvlgari พี่เขาถามใช้อะไรอยู่บ้าง ก็บอกไปว่ามี Cool Water, Fahrenheit, Polo Sport, Lacoste Booster และ CK Escape

ด้วยความที่ไม่สนใจนัก เลยบอกไปว่ายังไม่เอา ทั้ง ๆ ที่สาว ๆ ในออฟฟิศก็เชียร์ บอกว่าหอมมาก ๆ

ผ่านไป 2 ปี วันนึงรู้สึกอยากซื้อน้ำหอมกลิ่นใหม่ เลยเดินเข้าร้าน ลองดม แล้วก็นึกถึงตอนที่สาว ๆ ออฟฟิศชวนให้ซื้อทันที เพราะมันหอมเย้ายวนจริง ๆ จำได้ว่าวันนั้นเทสต์ 3-4 กลิ่น มี Acqua di Gio, Lacoste pour homme และอีกกลิ่น ผมจำไม่ได้แล้ว แต่กลิ่น BLV นี่แรงสุด กลบกลิ่นอื่นจนสุดท้ายก็ควักเงินซื้อขวดนี้เลย ด้วยความที่มีหลายกลิ่นมาก ผมใช้ BLV ไปแค่ 5 ครั้งเองมั้งครับ แล้ววันนึง ขณะเดินอยู่บนถนน กลิ่นหอม ๆ บางอย่างโชยมาเตะประสาทรับกลิ่น มองไปข้างหน้า มีนักท่องเที่ยว 2 สามีภรรยาเดินอยู่ อายุราว ๆ 35 ได้ ผมก็สงสัยนะ ว่ากลิ่นของใคร? ชายหรือหญิง แต่ด้วยความที่คุ้นกับกลิ่น นึกต่อสักพักก็ร้องอ๋อในใจ มันคือ BLV pour homme นี่เอง



กลิ่นนี้ผมคิดว่าเหมาะกับการใช้ตอนเย็น ด้วยความที่กลิ่นออกแนว sensual, sexy และ floral ผมไม่เห็นด้วยที่จะใช้เวลาไหนก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใส่ไปเล่นกีฬา อากาศร้อน ๆ

มาดูโน้ตก่อนครับ

Top note: Ginger, Galanga, Cardamom
Middle note: Tobacco Blossom, Juniper, Gingko
Base note: Teak, Sandalwood, Cedarwood, Musk

น้ำหอมที่มีกลิ่น ginger นี่หอมนะผมว่า ส่วน Cardamom ให้ความอบอุ่น ดังนั้นช่วงเปิดจะสไปซี่ทันที รวมถึงอบอุ่นแบบเย้ายวน มาช่วงกลาง กลิ่นใบยาสูบที่ออกไปทาง floral เสริมให้กลิ่นนี้ sexy ขึ้นไปอีก ซึ่งตัวนี้แหละที่ผมคิดว่าเด่นและเป็นที่ดึงดูดที่สุด ส่วนกลิ่นระดับที่ 3 ได้มัสก์มาช่วยให้โน้ตสไปซี่และฟลอรัลบางลง มีความสะอาดสดใสเข้ามาเบลนด์ผสม รวมถึง sandalwood และ cedarwood ที่เพิ่มความสง่างามให้กับ BLV มากพอที่จะใส่ไปพูดคุยเรื่องธุรกิจก็ได้ ผมว่ามันช่วยเพิ่มความมั่นใจได้ดีทีเดียว ด้วยช่วงต้นของกลิ่นที่แรงและออกทาง floral มากไป ช่วงท้ายช่วยปรับความสมดุลให้เป็นกลิ่นสำหรับผู้ชายมากขึ้นได้ดีทีเดียว แต่ด้วยความสงสัยในวูบแรกตอนที่เดินตามหลังนักท่องเที่ยว ผมคิดว่า BLV ตัวนี้เป็นกลิ่น unisex ได้สบาย ๆ

กลิ่นนี้เหมาะแก่การใส่ออกเดท (สาว ๆ คอนเฟิร์มครับ) และเหมาะที่จะใช้ในสถานที่ที่ติดแอร์ หรือยามค่ำคืนในช่วงปลายปีและต้นปี แนะนำไม่ควรฉีดเกิน 2 ครั้ง เพราะค่อนข้างแรงและติดทนมากอยู่แล้ว ค่าย Bvlgari ทำน้ำหอมดีครับ

กลิ่นนี้ดังไม่ดังก็มีคนก๊อปออกมาหลายชื่อเลยทีเดียว เป็นพวกแบรนด์ดัง ๆ ทั้งนั้น (ในต่างประเทศ คนไทยรู้จักน้อย) แต่ผมจำชื่อไม่ได้แล้ว ขอโทษทีครับ

ความทนผมให้ 4.5 ส่วนความหอมก็ 4.5 ครับ ขวดก็สวยดี แต่ผมไม่ชอบเพราะหนักไปและถือลำบาก

อีกอย่างที่ต้องพูดถึง ผมว่ากลิ่นนี้ sensitive กับเหงื่อทีเดียว เคยได้กลิ่นตัวนี้ออกทางเปรี้ยว ๆ จากคนอินเดีย (ไม่ racist นะครับ ยกตัวอย่างจากประสบการณ์เท่านั้น) ดังนั้นควรเทสต์ก่อนซื้อครับ




 

Create Date : 30 มกราคม 2551    
Last Update : 30 มกราคม 2551 17:02:59 น.
Counter : 5492 Pageviews.  

REVIEW - Amor by Cacharel

Amor


ถือเป็นน้ำหอมที่ชอบมาก ๆ ตัวนึงเลยครับ Amor by Cacharel จัดอยู่ในกลุ่มน้ำหอมประเภท Fougère เป็นภาษาฝรั่งเศส ซึ่งหมายถึง fern ในภาษาอังกฤษ หากแต่จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่และไม่ได้มีกลิ่นใกล้เคียงกับ fern แท้ ๆ เลย หากแต่เป็นการผสมผสานระหว่างลาเวนเดอร์และโอ๊คมอส ที่ถูกค้นพบโดย Paul Parquet ในปี 1882 ภายใต้น้ำหอมชื่อ Fougère Royale และด้วยชื่อที่ฟังดูดี ในวงการน้ำหอมจึงยึดชื่อนี้ไว้เรียกน้ำหอมที่มีส่วนผสมหลักจากลาเวนเดอร์และโอ๊คมอส และยังรวมไปถึง Rosewood และ Ho Leaf ซึ่งโดยรวมแล้วจะเรียกว่าเป็นกลิ่นแนว aromatic ได้ด้วย และน้ำหอมกลิ่นโทนนี้ โดยมากแล้วจะเป็นน้ำหอมของผู้ชาย

กลิ่นแนว Fougère เป็นยังไง? ในภาษาอังกฤษ คำที่ผมอยากจะอธิบายกลิ่นแนวนี้ได้แก่ bittersweet, warm, melancholy และ romantic หากให้วาดเป็นภาพ คงนึกถึงสวนสวย ๆ ในฤดูใบไม้ผลิ


นอกจากนี้ กลิ่นแนว Fougère ยังแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท เช่น Fougère Fresh, Fougère Ambery, Fougère Woody และ Fougère Floral สำหรับ Amor คงอยู่ในกลุ่มสุดท้าย คือ Fougère Floral เพราะผมจับกลิ่นชาในช่วงต้นและกุหลาบในช่วงกลางได้ ซึ่งน่าจะเป็นตัวที่ก่อให้เกิดอารมณ์โรแมนติก และการนึกถึงอดีตที่หอมหวานปนเศร้า (bittersweet memory) กลิ่นนี้ผมว่าเข้าขั้นคลาสสิคได้สบาย ๆ เพราะหากจะบอกว่า มันออกเมื่อปี 1980 ก็คงไม่แปลก หรือจะบอกว่าออกในปี 2015 (7 ปีข้างหน้า) ก็ไม่แปลกเช่นกัน เพราะกลิ่นมันประมาณว่า "timeless" นั่นเอง

Top notes: Agrumes, Thé
Middle notes: Epices, Note Rose, Note Fougère
Base notes: Vétiver, Palissandre, Benjoin, Fève Tonka


Amor ออกมาในปี 2006 ก็ราว ๆ 2 ปีได้ แต่ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก ซึ่งน่าจะเป็นเพราะฝ่ายมาร์เก๊ตติ้งมากกว่าคุณภาพของน้ำหอม เพราะรุ่นพี่อย่าง Nemo นั้นดังไม่ใช่เล่น ผมว่า Cacharel ทำน้ำหอมได้ดีนะครับ อย่าง Nemo ผมมีขนาด 30ml หายากเลยหวงมาก ๆ ครับ ตัวนั้นกลิ่นออกแนวลึกลับ อบอุ่น และดาร์ก

ความทนของ Amor ผมให้ 3.5 ดาว ส่วนความหอม 4.5 ครับ (จากคะแนนเต็ม 5)




 

Create Date : 24 มกราคม 2551    
Last Update : 28 มกราคม 2551 22:31:41 น.
Counter : 2100 Pageviews.  

Aramis Always กลิ่นอายของความรัก

มาพบกันอีกแล้ว วันนี้ขอพูดถึง Aramis Always น้ำหอมที่หลาย ๆ คนไม่ค่อยกล่าวถึงกัน จำได้ดีว่าปี 2006 เวลาไปห้าง โดยเฉพาะ The Emporium จะได้รับแจกการ์ดที่ชุ่มไปด้วยน้ำหอมกลิ่นนี้บ่อยมาก น่าจะ 5 ครั้งได้ในเวลาประมาณ 2 เดือน เมื่อได้กลิ่นครั้งแรก ชอบมากนะครับ และคิดว่ากลิ่นของผู้ชายน่าจะเป็น unisex ได้สบาย ๆ เพราะอ่อนโยน นุ่ม เข้ากับ concept ของการทำตลาดได้เป็นอย่างดี

Aramis Always ได้พรีเซนเตอร์เป็น Andre Agassi และภรรยา Steffie Graf มาทำตลาดให้ ก่อนหน้านี้


อากัสซี่ได้พรีเซนต์ Aramis Life มาแล้ว ซึ่งเป็นกลิ่นที่ผมเคยมี และขายทิ้งไป เพราะ woody note มันหนักไปสำหรับน้ำหอมที่ออกแนวสดชื่น





Aramis Always ของผู้ชาย เปิดด้วยกลิ่นจำพวก citrus สะอาด ๆ สบาย ๆ และให้ความรู้สึกหรูหรา ไม่ใช่สดชื่นแบบเด็ก ๆ แต่หากซ่อนความมีคลาสไว้

Top Notes
* Lime, Ginger, Lemon, Mandarin,

Middle Notes
* Mint, Marigold, Cardamom,

Base Notes
* Cedar, Vetiver

กลิ่นนี้ ถึงแม้จะออกไปทางหอม สะอาดสดชื่น หากแต่สามารถสร้างความรู้สึกอยากได้ใกล้ชิดกับคนที่รัก อธิบายยากสำหรับความรู้สึกที่มีต่อกลิ่นนี้ ไม่แน่ใจว่าการโฆษณาทำให้เรานึกภาพตามมากไปไหม แต่รู้สึกถึงความรักจริง ๆ

หากดูที่ top notes แล้ว บอกตามตรงว่ากลิ่นที่ผมจับได้คือ Melon + Cucumber มากกว่า หอมจริง ๆ ครับ แต่อยู่ไม่นานมาก ราว ๆ 15 นาที แล้ว woody note แบบอ่อน ๆ จะเผยตัวออกมา และคงความสะอาดไว้ตลอดวัน โดยปกติแล้ว Aramis ทำน้ำหอมได้ทนดีมาก แม้ตัวนี้เป็นเป็นแนว fresh แต่ความทนผมให้ 4 ดาว ความชอบก็ 4 ดาวครับ เพราะถือว่าอยู่ในไลน์เดียวกับพวก Acqua di Gio, Cool Water และ Eternity ซึ่งถือเป็น safe scent หรือพูดง่าย ๆ ไม่ว่าจะซื้อโดยไม่ได้ลองหรือเอาไปให้เป็นของขวัญ ก็ไม่น่าจะถูกร้องยี้ใส่ครับ




 

Create Date : 17 มกราคม 2551    
Last Update : 17 มกราคม 2551 18:44:49 น.
Counter : 956 Pageviews.  

2 กลิ่นดังจาก Thierry Mugler

สวัสดีเป็นครั้งที่ 3 ครับ วันนี้มี request ถึง Mugler Cologne มา 2 ครั้ง เลยขอพูดถึงน้ำหอมจาก Thierry Mugler ละกันนะครับ สำหรับผู้หญิงหลาย ๆ คน คงรู้จัก Angel เป็นอย่างดี กลิ่นชวนเวียนหัวสำหรับบางคน แต่สวรรค์สำหรับอีกกลุ่ม แล้ว Mugler ก็ไม่อยากให้ผู้ชายน้อยหน้า จึงออก Angel Men มาให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ แบ่งเป็น 2 ฝั่งอย่างชัดเจน พูดง่าย มันเป็น 1 ใน controversial scents ของโลกเลยก็ว่าได้ (เว่อร์มะ) ขอเริ่มเลยนะครับ

1. Angel Men (1996) - Mr. Mugler ออกแบบขวดเองเลยนะครับสำหรับตัวนี้ ส่วนคนปรุง ยังหาข้อมูลไม่ได้ครับ เรื่องส่วนผสมของกลิ่น มาดูกันก่อนครับ

*Top Notes
Bergamot, Helonial, Lavender, Peppermint,

*Middle Notes
Coffee Bean, Tar, Patchouli,

*Base Notes
Tonka Bean, Vanilla, Caramel, Chocolate, Musk,

ผมไม่รู้เลยนะ ว่า top notes เหล่านี้มีอยู่จริง ๆ เพราะฉีดออกมาเนี่ย กลิ่นกาแฟ ช๊อคโกแลต คาราเมล วานิลลา พากันเดินตามกันออกมาเลย สร้างความอบอุ่นกึ่งร้อนให้กับประสาทรับรู้กลิ่น ครั้งเรียกที่ได้กลิ่น สงสัยว่า น้ำหอมหรือขนม! แต่สักพัก เกิดความรู้สึกที่ดีกับมันจนต้องเดินวกกลับไปซื้อหลังจากเดินชั่งใจอยู่นาน และตั้งแต่ซื้อมา ใส่แบบโดด ๆ เพียง 3 ครั้ง อีก 2 ครั้ง ผมผสมกับอีกตัวครับ ไว้เดี๋ยวค่อยบอกนะครับ

ถ้าจะว่าไปแล้ว อากาศในบ้านเราไม่เหมาะกับกลิ่นนี้เลย เพราะความร้อนทำให้น้ำหอมเด่นชัด ช่วยให้ sillage กระจายตัวมากยิ่งขึ้น ถ้าใครเผลอฉีดไป 3 ปื๊ด รับรอง คนรอบข้างมีเหล่แน่ ๆ หากแต่...เครื่องปรับอากาศสามารถทำให้เราใช้กลิ่นนี้ได้แบบสบาย ๆ ดังนั้น มันเหมาะกับคนที่อยู่ในห้องแอร์ครับ อย่าใส่ไปเตะบอล ตีแบดเชียวนะครับ เจ้าตัวคนใส่จะเป็นลมก่อนได้ 555

เรื่องราคา สำหรับค่ายนี้ ถือว่าสูงกว่าดีไซเนอร์ทั่ว ๆ ไปครับ และไม่แน่ใจนักว่าจริงหรือเปล่าที่ Central เลิกนำเข้ายี่ห้อนี้แล้ว หากหาในเวบ แทบไม่เจอต่ำกว่า 2,000 บาทเลยนะครับ พูดถึงเรื่องราคา ผมได้ยินจากเพื่อนฝรั่งมาว่า Mugler ใส่ใจกับผลิตภัณฑ์เขามาก ๆ จะไม่ให้คนผลิตทำตามใจชอบหรือใช้ส่วนผสม synthetic มากจนเกินไป นั่นน่าจะเป็นสาเหตุของราคา

กลับมาเรื่องกลิ่น ผมยืนยันว่าตัวนี้เป็น EDT แต่ความทนนี่ EDP ยังเรียกพี่ครับ ทนมาก ๆ ๆ ๆ และตัวน้ำหอมเองจะทิ้งรอยไว้นิด ๆ ไม่เหมือนกับน้ำหอมดีไซเนอร์ส่วนมากที่ไม่ค่อยทิ้งหลักฐานไว้ที่ผิว อย่าได้เผลอสเปรย์ลงเสื้อนะครับ เป็นรอยแน่นอน ไม่เชื่อลองสเปรย์ลงการ์ดได้ครับ มีรอยแน่ ๆ

ส่วนขวด ตัวที่ผมมีเป็นยางหุ้มครับ เพิ่งออกมาได้ 2-3 ปี เน้นเอาไว้พกพาครับ จะได้ไม่แตกหากทำตก และถือเป็นการลดต้นทุนด้วยเพราะขวดดั้งเดิมหรูหราทีเดียวครับ

ความทน ให้ 5 ดาว+ ส่วนคะแนนความเป็นผู้นำในการผลิตน้ำหอมแนว gourmand ผมให้ 10 ดาวครับ เพราะตัวนี้สร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการเลียนแบบและปลุกกระแสน้ำหอมชาย gourmand ให้เป็นที่นิยม ตัวที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Angel Men ที่พอนึกได้มี Nikos, Hanae Mori, Animale Animale, Lolita Lempika เป็นต้น



2. Mugler Cologne (2001) - ได้แรงบันดาลใจจากสบู่นานาชนิดตั้งแต่เยาว์วัยจวบจนวันที่คิดค้นส่วนผสม Mugler ได้ทำให้กลิ่น unisex กลิ่นนี้ติดอันดับขายดีในยุโรปและอเมริกา และได้ชื่อว่าเป็นน้ำหอมแนว soapy ที่ติดทนเกือบ ๆ จะเป็นความเข้มข้นระดับ EDP เลยทีเดียว คนปรุงน้ำหอมที่ถ่ายทอดผ่านความรู้สึกและจินตนาการของ Mugler คือ Alberto Morillas ผู้ซึ่งทำให้ดีไซเนอร์หลาย ๆ คนรวยร้อยล้านมาแล้วกับ

# M7 by Yves Saint Laurent
# Pi by Givenchy
# Armani Attitude by Giorgio Armani
# 212 Men by Carolina Herrera
# Blu pour Homme by Bulgari
# cK one by Calvin Klein
# Givenchy pour Homme by Givenchy
# Flower by Kenzo
# 212 Sexy by Carolina Herrera

จริง ๆ แล้ว concept ของน้ำหอมกลิ่นนี้คือ ทำให้คนที่ไม่ชอบน้ำหอมใช้น้ำหอมกลิ่นนี้ ครั้งแรกที่ได้กลิ่น ผมไม่ค่อยชอบนะ เพราะมันสบู่มาก ๆ แต่ไม่ใช่สบู่แบบถูก ๆ หลายเดือนผ่านไป ผมกลับไปลองใหม่ ปรากฏว่าชอบมากและซื้อเลยครับ ขวดก็ธรรมดามาก ๆ แต่ถ่ายทอดแนวความคิดของกลิ่นได้ดี นั่นคือ เรียบง่าย สะอาด ธรรมชาติ

กลิ่นประกอบด้วย
Bergamot, Neroli, Petitgrain, Orange flower, "S", White Musk

เจ้าตัว S นี่ยังเป็นความลับจนถึงทุกวันนี้ คนก็คาดเดาไปต่าง ๆ นานา ส่วนตัวคิดว่า มาจาก soap ครับ

เห็นส่วนผสมไม่เยอะแบบนี้ แต่บอกได้เลยว่ากลิ่นนี้ซับซ้อนทีเดียว โดดเด่นด้วย note ที่ sensual ซึ่งน่าจะเป็น Orange Flower นี่แหละครับ ที่ช่วยทำให้น้ำหอมตัวนี้มีความ sexy ซ่อนอยู่ ไม่ใช่สะอาดแบบสบู่เท่านั้นก็จบ ส่วน white musk ก็สร้างความรู้สึกสะอาด สดชื่น เคยได้กลิ่นนี้จากฝรั่งที่เดินซื้อของอยู่ใน Golden Place ผมก็ เอ...กลิ่นไรน้า คุ้น ๆ นึกอยู่ตั้งนาน Mugler Cologne นี่เอง ทีแรกนึกไม่ออก เกือบถามเข้าให้แล้ว เพราะชอบมาก และมาได้กลิ่นอีกทีจากเพื่อนของเพื่อน ก็ชอบมาก ๆ เช่นกัน แปลกดีนะครับ หากพูดถึงเรื่องความแตกต่างของผิว เวลาเราใช้เอง จะได้อีกความรู้สึกหนึ่ง ไม่เหมือนกับที่ได้กลิ่นจากคนอื่น เพื่อน ๆ รู้สึกแบบนี้บ้างไหม

Mugler Cologne เหมาะกับหน้าร้อนมาก ๆ ความทนผมให้ 4 ดาว การกระจายของกลิ่น 5 ดาว และนี่แหละครับ ที่ผมสเปรย์ทับ Angel Men แล้วก่อให้เกิดกลิ่นใหม่ที่ผมคิดว่า...สุดยอด!


แวะมาเยี่ยมชมกันบ้างครับ
//www.pramool.com/cgi-bin/dispitem.cgi?3961512




 

Create Date : 11 มกราคม 2551    
Last Update : 24 มกราคม 2551 13:40:44 น.
Counter : 3513 Pageviews.  

น้ำหอมดังจาก Gucci

มาทักทายกันอีกครั้งครับ ขอบคุณสำหรับ comment และเสียงตอบรับ ผมขอ Review ทีละนิดนะครับ ไม่งั้นเดี๋ยวหมดมุขก่อนเวลาอันควร มี 100 กว่าขวด คงได้รีวิวกันไม่ต่ำกว่า 50 ครั้งแน่ ๆ จะไล่ให้ครบหมดเลยนะครับ

วันนี้นึกถึง 2 กลิ่นที่พูดถึงเมื่อวาน นั่นคือ Montana และ Rive Gauche ทำให้น้ำหอมจากค่าย Gucci 2 ตัวโผล่ขึ้นมาในความรู้สึก เนื่องด้วยมีความคล้ายคลึงในด้านลักษณะของกลิ่น นั่นคือ spicy, warm, dark และ sexy ขอเริ่มด้วย

1.Gucci Envy (1998) - น้ำหอมตัวนี้ดังมาก ๆ ในอเมริกา ในบ้านเราอาจจะไม่เท่าไหร่เพราะวัฒนธรรมการใช้น้ำหอมของผู้ชายไม่แพร่หลายและเป็นเรื่องปกติมาก ๆ เฉกเช่นในยุโรปหรืออเมริกา น้ำหอมกลิ่นนี้ได้รับรางวัลมาพอสมควร เรื่องส่วนผสมของกลิ่น ประกอบด้วย:
Opoponax, Incense, Patchouli, Amber, Musk, Cedarwood, Cardamom, Anise, Ginger, Nutmeg, and Pimento

จะเห็นได้ว่าแทบไม่มีตัวที่ทำให้สดชื่นเลย จะเห็นชัด ๆ ก็แค่ musk ตัวเดียว ที่ให้ความรู้สึกสะอาด สดชื่นแบบเบา ๆ นอกนั้นเป็นเครื่องเทศแทบทั้งหมด จึงไม่แปลกเลย ที่ Envy จะเป็นน้ำหอมแนว spicy ที่ดังมากในบรรดาน้ำหอมแบรนด์เนม (ไม่รวมยี่ห้อที่ผลิตแต่น้ำหอมชั้นดีเท่านั้น) ฉีดออกมาครั้งแรก กลิ่น Incense จะโดดมาก สำหรับคนที่เคยใช้แต่กลิ่นสดชื่น ๆ อาจจะไม่ชอบในช่วงแรก แต่ทว่า...การรับรู้กลิ่นของคนเรามันเปลี่ยนกันได้ และไม่ยากด้วย นั่นคือเหตุที่ว่าทำไมก่อนซื้อ เราควรลองกลิ่นบนผิวก่อน และรออย่างน้อย 2-3 ชั่วโมงจนมัน develop ไปถึงช่วง base note บางคนพิถีพิถันมาก จะฉีดที่แขนแล้วกลับบ้านไป จากนั้นค่อยตัดสินใจว่าจะซื้อหรือเปล่า สำหรับผมเอง ชอบกลิ่นนี้ตั้งแต่ลอง เพราะช่วงนั้นจมูกผ่านการทดสอบกลิ่นมามากพอสมควรแล้ว ภาษาอังกฤษเรียกว่า trained nose แต่ไม่ได้เก่งอะไรขนาดนั้นนะครับ พอจะแยกกลิ่นบางกลิ่นได้ เช่น cedarwood, tonka bean, vanilla, musk, benzoin, pepper, lavender, iris และอีกพอประมาณ

Gucci Envy เป็นน้ำหอมที่ดีมาก ๆ ตัวหนึ่ง หากวัดและเทียบกับน้ำหอมจากดีไซเนอร์อื่น ๆ มันมีความโดดเด่น ไม่ค่อยซ้ำใคร ให้พูดเรื่องซ้ำกัน น้ำหอมอย่าง Gucci Rush มีความคล้ายคลึงกับ Azzaro Visit อันนี้ยกตัวอย่างนะครับ ด้วยเหตุฉะนี้ Envy จึงได้รับความนิยมในหมู่คนอายุ 28 ขึ้นไป เพราะมี notes ที่บ่งบอกถึง maturity (โตเต็มตัว มีวุฒิภาวะ) ความแตกต่าง และในขณะเดียวกัน ซ่อนความเซ็กซ์ซี่ได้อย่างเหลือร้ายด้วย Ginger, Nutmeg และ Cardamom กลิ่นเหล่านี้ปรากฏอยู่ในน้ำหอมชวนขึ้นเตียงอีกหลาย ๆ กลิ่น เช่น BLV จากค่าย Bvlgari เป็นต้น

หากทว่า ตั้งแต่ปี 2002 ทาง Gucci ได้เปลี่ยนสูตรนิด ๆ และยังเปลี่ยนสีของน้ำหอมอีกด้วย ตัวปัจจุบันจะออกเขียวไปเลย แต่ตัว original จะออกเหลือง คล้าย ๆ ใบตองที่ออกเหลือง ๆ น่ะครับ คงพอนึกภาพออกนะครับ ดังนั้น ใครจะซื้อจาก ebay หรือของมือสอง ก็ดูดี ๆ นะครับ เพราะมันเก่าแล้ว กลิ่นอาจจะเปลี่ยนสภาพไปในระดับนึงแล้ว

สำหรับกลิ่นนี้ ผมมักใส่ในคืนที่มีนัดกับคนพิเศษ ความทนให้ 4.5 ดาว ส่วน sillage 5 ดาวครับ



2.Gucci pour homme (2003) - น้ำหอมที่บรรจุอยู่ในขวดหนา ๆ กลิ่นนี้ เป็นอีกตัวหนึ่งที่เจาะตลาดคนอายุ 28 ขึ้นไป คาดว่าเขาต้องการอัพเกรดยี่ห้อของตัวเองให้เป็นที่ชื่นชอบตามรสนิยมของคนมีเงิน มีความรู้ มีหน้าที่การงานที่ดี จากแพคเกจของมัน คงจะทำให้นึกถึงเครื่องหนัง ใบยาสูบ และความหรูหราได้เป็นอย่างดี และก็จริงอย่างที่เขาพยายาม กลิ่นประกอบด้วย

Top Notes
-White Pepper, Ginger, Pink Bay,

Middle Notes
-Papyrus Wood, Orris Rhizome,

Base Notes
-Amber, Leather, Vetiver, Olibanum

กลิ่นเปิดด้วย pepper ตามที่เขาว่าไว้จริง ๆ แต่ไม่ใช่พริกไทยแบบที่เราได้กลิ่นกันจริง ๆ นะครับ ของพวกนี้มันถูก formulate มาแล้ว ด้วยช่วงเปิดแบบนี้ ผสานกับกลิ่นไม้ต่าง ๆ สิ่งที่ผมนึกถึงคือความเป็นธรรมชาติในรูปแบบโอ่อ่า ชวนให้นึกถึงเฟอร์นิเจอร์ไม้สัก ไม้หายาก และห้องที่ตกแต่งด้วยสีครีม น้ำตาลอ่อนหรือเข้ม ใช้กลิ่นนี้ทีไร นึกว่าตัวเองรวยพันล้าน! จริงอยู่ กลิ่นออกจะไม่เป็นที่ถูกใจวัยยี่สิบต้น ๆ นัก แต่สำหรับคนวัย 20 ต้น ๆ ที่เอาจริงเอาจังกับชีวิต ทำงานแบบต้องการสร้างเนื้อสร้างตัว และตัดผมสั้น แต่งตัวแบบพนักงานออฟฟิศ กลิ่นนี้ก็ไม่แก่เกินวัยนะครับ ของแบบนี้มันต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนทัศนคติและความรู้สึก หากย้อนไปซัก 10-12 ปีที่แล้ว ผมคงไม่ชอบกลิ่นนี้ซักเท่าไหร่

กลับมาที่กลิ่น ช่วงที่ผมชอบที่สุดคือ base note ครับ เพราะโดยส่วนตัวชอบกลิ่น leather, amber และ vetiver มาก ๆ อยู่แล้ว กลิ่นติดทนประมาณ 4 ดาว ส่วน sillage ถือว่าแรงพอตัวเลยทีเดียว จะได้กลิ่นมันโชยขึ้นมาทั้งวัน ผมใส่กลิ่นนี้ยามต้องพบปะลูกค้าและออกงานสำคัญ เพราะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่มความมั่นใจได้ดี



แถมโฆษณา Envy สำหรับผู้หญิงครับ (ของผู้ชายหาไม่เจอ)


ด้วยความที่มีเยอะจัด ตอนนี้ผมแบ่งขายนะ ใครสนใจก็แวะชมกันได้ครับ
//www.pramool.com/cgi-bin/dispitem.cgi?3941675




 

Create Date : 09 มกราคม 2551    
Last Update : 9 มกราคม 2551 22:40:21 น.
Counter : 1612 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

Benzac
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




สวัสดีครับ Benzac เองครับ จบด้านวรรณคดีอังกฤษมาครับ เคยทำงานด้านการท่องเที่ยวมา 4 ปี เป็นครูและนักเขียน freelance ด้วยครับ แต่ตอนนี้ทำธุรกิจส่วนตัวกับครอบครัวครับ มาคุยเรื่องน้ำหอมกันนะครับ

Bangkok

Friends' blogs
[Add Benzac's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.