The Labyrinth of Perfumnista!
Group Blog
 
All Blogs
 

วิธีการลองน้ำหอม

หลาย ๆ คนพยายามควานหา signature scent หรือกลิ่นประจำตัว แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่พบ ไม่ถูกใจซักที บ้างเป็นเพราะยังไม่ถูกใจจริง ๆ ในขณะที่อีกส่วนนึง ผมมั่นใจว่าเป็นเพราะให้เวลากับกลิ่น ๆ นั้นไม่มากพอ

หลาย ๆ คนซื้อน้ำหอมไปหลายกลิ่น ราว ๆ 10 กลิ่น ได้รับของวันจันทร์ วันพุธเมล์มาให้ผมแนะนำกลิ่นชุดใหม่ซะแล้ว เพราะว่าลองครบแล้ว และยังไม่เจอกลิ่นที่ถูกใจ เวลา 2 วันกับ 10 กลิ่น ถือว่าไม่สมดุลอย่างมากครับ จริง ๆ แล้วกลิ่น ๆ นึงต้องใส่แบบเต็ม ๆ อย่างน้อยซัก 2-3 วัน ถึงจะพอรู้ว่าชอบจริง ๆ หรือไม่ และไม่ใช่ใส่ติดกันทุกวันด้วยนะครับ ควรเว้นระยะห่างซัก 3-4 วันเป็นอย่างน้อยก่อนเริ่มลองใส่กลิ่นนั้น ๆ อีกครั้ง

เคยเป็นไหมครับ ตอนเด็ก ๆ ไม่ชอบทานอาหารบางชนิด แต่โตมาแล้วชอบมาก โดยส่วนตัว ตอนเด็ก ๆ ไม่ทานมะละกอและมะเขือเทศ แต่ตอนนี้ชอบและทานอยู่บ่อย ๆ

รสนิยม ความรู้สึกของคนเราเปลี่ยนได้แทบจะตลอดเวลา ดังนั้น อย่าด่วนตัดสินน้ำหอมเร็วขนาดนั้นครับ

บางคนลองน้ำหอมที่แขนข้างละ 3 กลิ่น รวม 2 ข้างเป็น 6 กลิ่น แบบนี้การรับรู้กลิ่นช็อคหมดสติไปแล้วครับ หลาย ๆ ที่มีเมล็ดกาแฟคั่วให้ลูกค้าดมเพื่อเคลียร์ประสาทรับรู้กลิ่นก่อนที่จะเริ่ม ลองกลิ่นใหม่ ซึ่งเข้าใจว่าน้อยคนที่จะมีเมล็ดกาแฟอยู่ที่บ้าน ดังนั้น แนะนำให้ลองข้างละกลิ่นพอนะครับ และถ้าลองคนละเวลาได้ จะดีมาก เพราะถ้ากลิ่นนึง เข้ม ชัดเจน กลิ่นที่อ่อนกว่าจะถูกกลบ และคุณจะเอะใจว่าทำไมไม่ได้กลิ่น แล้วก็ด่วนสรุปว่ากลิ่นนั้นไม่ได้เรื่อง อ่อนเกินไป ไม่ทน แต่ถ้าหากลองเดี่ยว ๆ กลิ่นนั้นกลับทน และให้กลิ่นที่คุณพึงพอใจ การลอง 2 กลิ่นพร้อมกันมี % ทำให้อีกกลิ่นที่อ่อนกว่าเสียชื่อ เสียหายได้สูงครับ และแม้ว่าความแรงของกลิ่นจะเท่า ๆ กัน การลองมันพร้อมกันก็ทำให้การรับรู้กลิ่นสับสนได้ครับ

เวลาที่ควรลองน้ำหอม คือหลังจากตื่นมาแล้วประมาณ 2-3 ชั่วโมง ช่วงที่เพิ่งตื่น แม้จะอาบน้ำเสร็จแล้วก็ตาม การรับรู้กลิ่นของคนเรายังไม่ตื่นตัวเต็มที่ และเราควรจะฉีดน้ำหอมลงที่ท้องแขนหรือข้อมือที่สะอาด ไม่มีเหงื่อ เพื่อที่จะได้รับรู้การพัฒนาของกลิ่นจริง ๆ และก็ไม่ควรจุ่มหน้าลงท้องแขนในทันทีหลังฉีด เพราะช่วงนี้กลิ่นแอลกอฮออล์จะยังชัดอยู่ เท่าที่สังเกต น้ำหอมราคาแพงระดับ niche จะไม่ค่อยมีกลิ่นแอลกอฮออล์ให้จับได้ครับ ซึ่งก็ถือว่าสมราคาเขา ในขณะเดียวกัน จะได้กลิ่นแอลกอฮออล์ในช่วงต้นจากกลิ่น ๆ นั้นหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับวันนั้น ๆ และช่วงเวลานั้น ๆ ด้วย ถ้าไม่ได้กลิ่นในครั้งแรกที่ลอง ก็ไม่ได้หมายความว่าครั้งที่สองก็จะไม่ได้กลิ่นเช่นกัน เนื่องจากการรับรู้กลิ่นของมนุษย์สามารถพัฒนาได้ รวมถึงสภาพร่างกายในวันที่ลองด้วย

กลิ่นบางกลิ่นเราไม่เคยได้กลิ่นมาก่อนเลย พอมาเจอเป็นครั้งแรก มันยังจูนกันไม่เข้า ก็กลายเป็นว่าจับกลิ่นไม่ค่อยได้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวผมคือ เวลาได้น้ำหอมมาใหม่ แล้วใส่แบบเต็ม ๆ เลย โดยฉีดที่หน้าอก คอ หลังคอ ท้องแขน 2 ข้าง ใส่เสื้อผ้า แล้วก็ดำเนินชีวิตประจำวันไปเรื่อย ๆ ผ่านไป 3 ช.ม. เริ่มไม่ค่อยได้กลิ่นแล้ว แรก ๆ ก็ไม่เข้าใจ ให้คะแนนความทนไปค่อนข้างต่ำ (สังเกตได้จากรีวิวน้ำหอมที่สั้น ๆ ซึ่งคือกลิ่นที่นำเข้าร้านในช่วงแรก ๆ คะแนนความทนและตัวกลิ่นอาจจะต่ำไปบ้าง ไว้มีเวลาจะอัพเดทอีกทีครับ) ซึ่งเป็นเพราะการขาดประสบการณ์นั่นเอง มาระยะหลัง จะเห็นว่าผมลงน้ำหอมใหม่ช้า นั่นเพราะผมต้องการเช็คให้แน่ใจว่าความทนและกลิ่นเป็นเช่นไร โดยจะลองใส่เต็ม ๆ อย่างน้อยกลิ่นละ 2 ครั้ง รวมถึงช่วงก่อนนอนด้วย กลิ่นไหนทนจริง ตื่นมาจะยังได้กลิ่นอยู่ ไม่ติดไปกับผ้าห่มซะทั้งหมด ในขณะที่บางกลิ่น เมื่อใส่ครั้งแรกก็ได้กลิ่นกันทั้งวันเลยครับ เอาแน่เอานอนไม่ได้จริง ๆ ดังนั้น อย่าเพิ่งตัดสินความทนในการใส่ครั้งแรกนะครับ

ส่วนเรื่องคะแนนความทนและตัวกลิ่น หลาย ๆ ท่านอาจจะเห็นว่าพักหลังผมให้คะแนนสูงพอสมควร นั่นเป็นเพราะส่วนนึงผมได้ทำการหาข้อมูลก่อนนำน้ำหอมเข้าร้าน ไม่ได้สุ่มสี่สุ่มห้าซื้อ การอ่านรีวิวมาเยอะ ก็ทำให้มีประสบการณ์มากขึ้น ไม่ได้เชื่อรีวิวบางรีวิวง่าย ๆ อยู่แล้ว อีกส่วนคือเมื่อได้ลองเยอะ ประสาทการรับรู้กลิ่นของผมก็เปลี่ยนไปมากด้วยเช่นกัน สามารถเปิดรับกลิ่นได้หลากหลายขึ้น กลิ่นไหนไม่ผ่านมาตราฐาน (คำนึงที่ราคา แบรนด์ และช่วงปีที่ออก) ไม่มีทางได้คะแนนต่ำกว่า 4 นะครับ เพราะสุคนธกร หรือ perfumer เขาปรุงมาให้มันหอม สร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง ไม่มีใครอยากทำให้กลิ่นไม่ดีหรอกครับ ผมไม่ใจแคบพอที่จะเอาน้ำหอมแบรนด์พื้น ๆ ขายดีมาก ๆ มาปู้ยี่ปู้ยำ ให้คะแนนต่ำ ๆ เพียงเพราะเห็นว่ามันเป็นที่นิยม ดูโหล ซึ่งถ้าทำเช่นนั้น จะเป็นเสมือนการดูหมิ่นคนที่ชอบกลิ่นนั้น ๆ ไปในตัว ยกตัวอย่างเวบ basenotes ที่ผมเป็นสมาชิกมาตั้งแต่ปี 2006 ผมสังเกตเห็นว่าคนส่วนมากจะเอาแบรนด์อย่าง CK, Davidoff หรือ Diesel มายำจนสนุกสนาน รวมถึงกลิ่นขายดีติด Top 10 ของโลกอย่าง Acqua di Gio pour Homme ด้วย เพียงเพราะแค่เป็นกลิ่น mainstream ตามกระแส ใช้ตาม ๆ กัน ผมก็แค่สงสัยว่าถ้ากลิ่นไม่ดี เขาจะใช้ตามกันเหรอ และก็ไม่ใช่ผมคนเดียวที่คิดเช่นนั้น เพราะมีสมาชิกหลายคนที่ไม่เห็นด้วยเช่นกัน เพียงแต่เป็นคนส่วนน้อย จึงไม่กล้าออกมางัดกับคนกลุ่มใหญ่ แต่หากเมื่อไรที่มีคนตั้งกระทู้ล่อเป้า เดี๋ยวคนที่เห็นด้วยจะออกมาเอง ออกมาช่วยให้คะแนนกลิ่น mainstream ขายดี หาซื้อได้แทบจะทุกประเทศในโลก

ก่อนจบ ขอพูดเรื่องความเข้มข้นของหัวน้ำหอม (perfume concentration) หน่อยนะครับ

Perfume มีหัวน้ำหอมอยู่ประมาณ 22%

Eau De Parfum มีประมาณ 15-22%

Eau De Toilette มีประมาณ 8-15%

ส่วน cologne ก็ต่ำลงไปอีกครับ ทั้งนี้ทั้งนั้น คำกำกับเป็นเพียงบรรทัดฐานของแต่ละแบรนด์ จะเอามาเทียบกับแบรนด์อื่น ๆ ไม่ได้ เช่น Eau de Parfum ของแบรนด์ A ให้กลิ่นนาน 15 ช.ม. ในขณะที่ของแบรนด์ B ให้เพียง 8 ช.ม. เท่านั้น ซึ่งก็ต้องไปเทียบกับ EDT ของแบรนด์ A และ B อีกที ไม่ควรเทียบข้ามแบรนด์

นอกจากนี้ ยังขึ้นอยู่กับส่วนผสม หรือธรรมชาติของกลิ่นนั้น ๆ ด้วย จะหวังให้กลิ่น citrus อยู่นาน ๆ นั้นเป็นไปได้ยาก คงต้องเป็นรุ่นที่มีความพิเศษ หรือจงใจปรุงให้กลิ่น citrus อยู่จนถึงเบส ซึ่งคงต้องใช้เทคนิคและสารสังเคราะห์ช่วยอยู่แล้วครับ

เลือกใช้น้ำหอมที่ชอบ และมีความรับผิดชอบต่อคนรอบข้างก็พอแล้วครับ อย่าให้เขาตราหน้าว่าคนนี้ทำน้ำหอมหกใส่หรือเปล่า หรือได้ฉายาหอม 10 เมตร แบบนี้ถือว่าใส่มากไปแล้วครับ บางคนเขาฉุนหรือแพ้น้ำหอมก็มี เท่ากับเราสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นนะครับ :)




 

Create Date : 27 ตุลาคม 2553    
Last Update : 27 ตุลาคม 2553 2:16:17 น.
Counter : 5407 Pageviews.  

REVIEW - Molton Brown COOL

Molton Brown เป็นแบรนด์ดังของอังกฤษครับ ทำพวก skincare และน้ำหอม ตอนนี้มีน้ำหอมชาย 2 กลิ่น คือ Cool และ Black Pepper แต่ตอนนี้ผมมี Cool เลยรีวิวซะ ปริมาณ 50ml ราคา 35 ปอนด์ครับ


ถามว่ากลิ่นต่างจากคนอื่นไหม ก็ถือว่าไม่ครับ ไม่ได้โดดเด่นแบบหาตัวจับยาก หากแต่มันสดชื่นมาก ๆ และเหมาะกับชื่อ Cool จริง ๆ เพราะทำให้นึกถึงน้ำเย็น น้ำตก และน้ำแข็ง นี่คือ description จากเวบของเขาครับ


A cool breeze on a hot summer's day... chilled droplets of dew on the grass at dawn. Bursting with fresh, sparkling aromas which invigorate the mind and send the spirits soaring. Clean, crisp and refreshing, cool picks you up with aromatic cardamom, wild mint, zingy tangerine and warm cedarwood. Spritz a little onto pulse points and surround yourself with an uplifting air of wellbeing.


กลิ่นที่เด่นมาก ๆ คือ mint ครับ รองมาก็ tangerine นั่นคือตัวที่ทำให้มันสดชื่นจริง ๆ หากใครเคยใช้ Paco ขวดเงินทึบ จะพอนึกออก เพียงแต่ Molton Cool สดชื่นกว่าอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเหมาะกับอากาศบ้านเราสุด ๆ หากร้อน ๆ อารมณ์เสียอยู่ ฉีดตัวนี้แล้วผ่อนคลายเลยครับ ผมพยายามนึกถึงกลิ่นสดชื่นอื่น ๆ ที่อยู่ในระดับเดียวกัน แต่ยังหาไม่เจอครับ พวก Cool Water ก็ไม่เย็นเท่านี้ อย่าง Cool Water Frozen ก็ติดหวานนิด ๆ ส่วน Mont Blanc Presence Cool ก็ยังไม่เย็นเท่า Versace Man Eau Fraiche ก็มีโทนหวานนิด ๆ แต่ Cool ไม่มีหวานเลยครับ ประมาณว่าเย็นตั้งแต่ต้นจนจบ กลิ่นนี้ความทนอยู่ในระดับ 4 ครับ ถือว่าดีทีเดียวสำหรับน้ำหอมกลิ่นสดชื่น


ไว้มีโอกาสจะหา Black Pepper มาให้ได้ครับ เพราะดู notes แล้วน่าสนใจทีเดียว






 

Create Date : 21 สิงหาคม 2551    
Last Update : 21 สิงหาคม 2551 13:13:57 น.
Counter : 3542 Pageviews.  

REVIEW - Dunhill Edition

ผมรอ review น้ำหอมกลิ่นนี้มานานแล้วครับ เพราะถือเป็นกลิ่นที่ทำให้ผมต้องควานหาอยู่นานถึง 13 ปี



บ่ายวันหนึ่ง ในปี 1993 มีเซลส์แมนคนนึงมาที่บ้านผมครับ เขามาเป็นประจำเกือบทุกวันเสาร์ หน้าตาตี๋ ๆ ใส่แว่นกรอบดำ หน้าใสมาก แต่ไม่เด็กนะครับ อายุ 30 กว่าแล้ว และดูเป็นคนสำอางทีเดียว เขาขี่มอเตอร์ไซค์และใส่เสื้อหนังสีดำ ซึ่งจริง ๆ ไม่เข้ากับรถที่เขาใช้เท่าไหร่ เขาใช้ Yamaha RXZ ครับ ซึ่งเก่าพอสมควรเลยทีเดียว การแต่งตัวและการดูแลตัวเอง ขับเก๋งได้สบาย ๆ ครับ


วันนั้น เขาเข้ามาแล้วก็นั่งลงที่หน้าโต๊ะพ่อผม ภายในเวลาไม่เกิน 5 วินาที ผมก็ได้กลิ่นน้ำหอมเขาครับ ซึ่งเป็นกลิ่นที่หอมมาก หอมแบบอยากถามเขาว่าเป็นกลิ่นอะไร แต่ด้วยที่อายุยังไม่ 15 เลยไม่กล้าถาม ถามไปก็ไม่รู้จะไปหามาจากไหนหรอกครับ ไม่มีตังค์ซื้อด้วย กลิ่นมันสดชื่น สะอาด และมีกลิ่นดอกไม้อ่อน ๆ ลอยอยู่ และด้วยความที่เขาเพิ่งขี่รถมาร้อน ๆ กลิ่นก็ยิ่งกระจายไงครับ แบบว่ากลิ่นฟุ้งทั่วออฟฟิศเลยครับ ผมเลยแกล้งเดินผ่านเขาไปมา พยายามกักเก็บกลิ่นเข้าโสตประสาทไว้ให้ได้มากที่สุด แล้วหลังจากวันนั้น เขาก็ไม่ได้ใช้กลิ่นนี้อีกเลย แต่กลับใช้กลิ่นอื่นที่ผมไม่สนใจครับ


เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า ผมก็ยังนึกสงสัยอยู่ว่ามันยี่ห้ออะไร รุ่นไหน พยายามคิด มองขวดในตู้โชว์ แล้วพยายาม match มันให้เข้ากับกลิ่น ลองไปหลายแล้วก็ยังไม่เจอซักที จนจะหมดหวังแล้วครับ



จนมาเมื่อปี 2006 หรือ 13 ปีให้หลัง ในขณะที่หาข้อมูลเกี่ยวกับน้ำหอมทางอินเตอร์เนทอยู่ ก็ไปสะดุดกับรูปขวด Dunhill Edition ซึ่งพอมองมันแล้ว เป็นอะไรไม่รู้ครับ ชวนให้นึกถึงกลิ่นนั้นขึ้นมาทันที ผมก็หาข้อมูลของมันเพิ่มเติมทันที แกะ notes แล้วก็จินตนาการว่ากลิ่นจะออกมาแนวไหน ตอนนั้นตื่นเต้นมากครับ แล้วก็พยายามหาในไทย แต่หาไม่ได้ หาตามเวบก็ไม่มีครับ สุดท้ายต้องพึ่งเวบนอกของอังกฤษ เผอิญมีเพื่อนอยู่ที่นั่น เลยให้เขาส่งไปให้เพื่อน แล้วเพื่อนก็ส่งมาให้ผมอีกที


ตอนแกะกล่องออกมา ผมตื่นเต้นมากนะครับ อาจจะฟังดูเวอร์ ๆ ไปนิด แต่อยากให้เข้าใจถึงระยะเวลา 13 ปีที่ผมไม่เคยได้กลิ่นมันอีกเลย แต่กลับจำกลิ่นมันได้แม้เคยได้กลิ่นเพียงครั้งเดียว ประมาณรักแรกพบน่ะครับ ในกล่องนั้นมีหลายขวด (สไตล์ผมไม่เคยซื้อขวดเดียวอยู่แล้ว 555) แต่ Edition คือขวดแรกที่ผมหยิบออกมา แกะห่อ แล้วทันทีที่เปิดฝาออกมา กลิ่นอ่อน ๆ ของมันก็โชยออกมาครับ เน้นว่าอ่อน ๆ นะครับ แต่ว่าก็มากพอที่จะทำให้ผมยิ้มออก เมื่อฉีดลงข้อมือ 1 ครั้ง ใช่เลย ความรู้สึกตอนนั้นมันสะใจมากกว่ามีความสุข ประมาณว่าเราสามารถแฮคข้อมูลขององค์กรลับในสหรัฐได้ น่าน....เว่อร์ซะ 555


อยากบอกแบบไม่อายว่าคืนนั้นผมเอามันไปนอนด้วย ดมหัวสเปรย์มันจนหลับไปเลยครับ มันไม่ใช่แค่หอม แต่มีมากกว่านั้นครับ คือเป็นเรื่องของจิตใจ แล้วกลิ่นแนวนี้ก็ไม่เคยเจอนะครับ เป็นกลิ่นที่ยังคงความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ได้ยาวนาน ซึ่งยังไม่มีใครก็อปได้ครับ


Top Notes


Lemon, Petitgrain, Bergamot, Clary Sage, Basil, Lavender



Middle Notes


Clove, Cinnamon, Nutmeg, F=geranium, Muguet



Base Notes


Cedarwood, Sandalwood, Amber, และ Musk


กลิ่นช่วงต้นถือว่าหอมมาก แค่ดมหัวสเปรย์ก็หอมแล้วครับ และเป็นขวดที่ผมหยิบมาดมฝาบ่อยที่สุดครับ แต่ไม่ค่อยใช้หรอก งกน่ะครับ 555 ช่วงต้น ผมจับ Lavender และ Basil ได้ชัดครับ เขาเบลนด์มันได้ลงตัวมาก ๆ กลิ่นท้ายจะสะอาด ๆ ไม่น่าเชื่อว่าออกมาตั้งแต่ปี 1984 หรือ 24 ปีมาแล้ว นั่นเพราะกลิ่นมันทันสมัยมาก ๆ ชวนนึกถึงคนทำงานออฟฟิศที่ภูมิฐาน ความรู้ดี แต่งกายดี และนิสัยดีครับ (ว่าไปนั่น) คือกลิ่นมันออกแนวพระเอกน่ะครับ


รุ่นพี่ Dunhill for men 1934 ก็หอมมากเช่นกัน แต่เลิกทำแล้ว น่าเสียดายมาก ตัวนั้นสะอาดเบาบางกว่า Edition ส่วนขวดเหมือนกัน ต่างที่ Edition ออกขุ่น ๆ แต่ 1934 มาแบบใส ๆ


ผมมีตัวอย่างรุ่น 1934 นิดนึง ลองแล้วรู้สึกว่าคล้าย Dunhill Pursuit นิด ๆ ครับ แต่ไม่มีกลิ่นส้มหรือ amber เป็น Pursuit ที่สะอาดเรียบร้อยมาก ๆ ประมาณว่า Gentleman เลยล่ะครับ ไว้ว่าง ๆ จะตามล่ามาให้ได้


ใครพอจะหาทั้ง 2 ตัวนี้ได้ ก็หาไว้นะครับ เพราะตอนนี้ Edition ราคาพุ่งขึ้น มีแนวโน้มว่าอาจจะเลิกทำในเร็ว ๆ นี้ แต่ก็ไม่สามารถฟันธงได้ครับ






 

Create Date : 15 สิงหาคม 2551    
Last Update : 15 สิงหาคม 2551 17:25:19 น.
Counter : 2365 Pageviews.  

REVIEW - Vanille Passion by Comptoir Sud Pacifique

จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ถ้าคิดจะกินไอศครีม ต้องรสวานิลลาเท่านั้น ไม่ก็กาแฟ ส่วนรสอื่น ไม่เอาครับ แต่พอโตขึ้นมา รู้สึกว่ารสนี้มันธรรมดามาก เลยหันไปกินรสอื่น โดยเฉพาะตัวที่มีถั่วแบบไหนก็ได้ผสมอยู่ และส่วนมากไอศครีมที่มีถั่ว จะเป็นรสช็อคโกแลต ไม่ก็กาแฟ จากเหตุนี้ ทำให้ผมแทบไม่ได้กินรสวานิลลาอีกเลย จะว่าไป ไม่น่าต่ำกว่า 5-7 ปีแล้วล่ะครับ


ไม่รู้ว่าเพราะความห่างเหินจากไอศครีมรสวานิลลาหรือเปล่าที่ทำให้ผมชอบน้ำหอมกลิ่นวานิลลามาก ๆ ไม่ว่าจะเป็น Givenchy Pi, Jaipur by Boucheron หรือ Armand Basi ก็ตาม แต่น้ำหอมพวกนี้ไม่ได้มีกลิ่นวานิลลาอย่างเดียว ดังนั้น มันยังแทนที่ไอศครีมวานิลลาของผมไม่ได้ และแล้ว...ก็ทำการสอยน้ำหอมที่เจาะกลุ่มผู้หญิงของค่าย Comptoir Sud Pacifique มา เป็นรุ่นที่มีชื่อว่า Vanille Passion


เคยเห็นว่าหลาย ๆ คนชอบ Vanilla ของ The Body Shop มาก แต่ผมก็ไม่เคยลอง ไม่รู้ว่าเป็นไง จะสู้ตัวนี้ได้หรือเปล่า


วูบแรกที่ละอองถูกฉีดออกมา ผมได้กลิ่นวานิลลาจริง ๆ เป็นวานิลลาในแบบที่เคยได้กลิ่นมาตั้งแต่เด็ก ๆ แทบไม่มีกลิ่นแอลกอฮอล์ปนมาเลย แม้แต่ช่วงต้นก็ไม่มีสักนิด แล้วกลิ่นก็อยู่อย่างนั้น ไม่ค่อยเปลี่ยนไปเท่าไหร่ เป็นวานิลลาที่ creamy หวานหอม น่ากินมาก ๆ และที่สำคัญ ติดทนมาก ๆ และกระจายตัวดีทีเดียว ผมไม่รู้สึกเลยว่าเป็นน้ำหอมผู้หญิง คงเป็นเพราะเพศไหนก็กินไอศครีมรสวานิลลาได้ ไม่แบ่งแยกอยู่แล้ว แต่ทาง Comptoir Sud Pacifique เจาเจาะกลุ่มผู้หญิงเป็นหลัก


ข้อดีของกลิ่นโทนเดียวแบบนี้คือสามารถเอาไป layer ทับกลิ่นอื่นได้ โดยที่กลิ่นนี้ควรใช้เป็นเบส แล้วค่อยทับด้วยกลิ่นอื่น ผมยังนึกไม่ออกว่าจะเอากลิ่นไหนมาทับดี เล็ง ๆ อยู่ว่าอาจจะเอาพวกเด่นด้วยใบหญ้าแฝก (vetiver) กลิ่นคงออกมาหอมพิลึกดีครับ








 

Create Date : 14 สิงหาคม 2551    
Last Update : 14 สิงหาคม 2551 17:35:58 น.
Counter : 1079 Pageviews.  

REVIEW - X Limited by Aigner

X Limited by Aigner ออกครั้งแรกเมื่อปี 1997 ครับ แต่คาดว่าไม่ทน เขาเลยออก version ใหม่ออกมา โดยพิมพ์ที่ขวดและกล่องว่า extra lasting ซึ่งก็จริงอย่างที่เขาว่า เพราะทนจริง ๆ อยู่ถึง 10 ช.ม. บนผิวผม แถมยังมีส่วนผสมแปลก ๆ จริง ๆ ไม่ได้แปลกหรอกครับ เพียงแต่ฉงนว่าทำไมถึงต้องเน้นว่า with coolness factor from River Rock ยังไงก็ตาม X Limited กลิ่นแนวเดียวกับ CK One เพียงแต่ตัดความหวานออก แล้วเพิ่มความสดชื่นแบบ modern มาก ๆ เข้ามาแทนที่ ถือเป็นน้ำหอมที่ใช้ง่าย และเจาะตลาด unisex ครับ


จากการใช้เอง ทำให้นึกถึงตึกสมัยใหม่ วันอาทิตย์ที่ฟ้าสว่างสดใสแต่ไม่ร้อน นึกถึงกางเกงยีนส์ เสื้อยืดสีขาว และรองเท้าหนังกลับสีน้ำตาลอ่อน พูดง่าย ๆ มันสร้างความรู้สึกแบบ causual ครับ คือสบาย ๆ ผ่อนคลาย ไม่เท่านั้น X Limited ยังเหมาะกับการใส่ไปเล่นกีฬามาก ๆ เพราะผมเคยใส่ไปตีแบด ซึ่งกลิ่นนั้นช่วยเพิ่มความสดชื่นให้อีกมากโขทีเดียว เพราะ X Limited ผมเลยไม่คิดที่จะหา CK One มาไว้ใน collection เลยครับ เหตุผลง่าย ๆ นะครับ ราคาพอ ๆ กัน แต่ X Limited ทนกว่า สดชื่นกว่า และใช้ง่ายกว่าเนื่องจากไม่มีความหวานแบบที่ CK One มี ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้หมายความว่า CK One ไม่หอมนะครับ บางครั้งอะไรที่คนใช้เยอะไปมันก็ไม่น่าใช้นะครับ ประมาณไม่อยากซ้ำเขาก็เท่านั้นเอง


X Limited มาในกล่องลูกฟูกชั้นเดียวสีดำ เข้าใจว่าลดต้นทุนครับ แถมไม่มีพลาสติกหุ้มด้วย ขวดก็ธรรมดา ๆ แต่กลิ่นถือว่าดีเกิน packaging เรียกได้ว่า "รูปไม่สวย แต่จูบหอม" ครับ 






 

Create Date : 12 สิงหาคม 2551    
Last Update : 14 สิงหาคม 2551 17:39:13 น.
Counter : 1231 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

Benzac
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




สวัสดีครับ Benzac เองครับ จบด้านวรรณคดีอังกฤษมาครับ เคยทำงานด้านการท่องเที่ยวมา 4 ปี เป็นครูและนักเขียน freelance ด้วยครับ แต่ตอนนี้ทำธุรกิจส่วนตัวกับครอบครัวครับ มาคุยเรื่องน้ำหอมกันนะครับ

Bangkok

Friends' blogs
[Add Benzac's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.