Group Blog
 
All blogs
 

เหตุเกิดจากวันนั้น...5


แนะนำ
สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ


++------++


ตอนที่ 5.


ในทุกเช้าของวันธรรมดา ศรันย์จะตั้งนาฬิกาปลุกไว้ที่เจ็ดโมงตรงเป็นประจำจนร่างกายจำได้โดยอัตโนมัติ ดังนั้นเขาจึงมักรู้สึกตัวตื่นก่อนที่เสียงนาฬิกาปลุกจะดังเสมอๆ แต่ว่าวันนี้ต่างออกไป


เนื่องจากถูกรบกวนการนอนกลางดึก พอนาฬิกาปลุกส่งเสียงตอนเจ็ดโมงเช้า เขาก็เลยเอื้อมมือไปกดปิดพร้อมกับคิดอย่างสะโหลสะเหลว่าจะขอนอนต่ออีกสักครึ่งชั่วโมง ที่ไหนได้ ตอนที่ชายหนุ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้นอีกทีเพราะเสียงการเคลื่อนไหวจากชั้นล่าง นาฬิกาก็ชี้บอกเวลาเคารพธงชาติเข้าไปแล้ว


“บ้าเอ๊ย!”


ศรันย์สบถก่อนจะรีบอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปทำงาน ความจริงแล้วระยะทางจากบ้านเขาไปถึงบริษัทใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมง แต่ด้วยการจราจรในกรุงเทพที่ไว้ใจไม่ได้ เขาจึงต้องเผื่อเวลาไว้อย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงในการเดินทางเสมอ ถึงแม้ว่าเงินเดือนที่ได้จะพอเอาไปดาวน์และผ่อนส่งคอนโดมิเนียมใกล้ที่ทำงานได้อย่างไม่เดือดร้อนนัก ทว่าศรันย์ทำใจทิ้งบ้านที่เขาเติบโตและมีความทรงจำร่วมกับครอบครัวไปอยู่ที่อื่นไม่ได้ ที่ผ่านมาจึงยอมเดินทางไปกลับจากบ้านและออฟฟิศเช่นนี้ตลอด

หลังจากอาบน้ำเสร็จและใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย ศรันย์ก็รีบคว้าเนคไทสีเข้มที่ผูกปมไว้หลวมๆ ขึ้นคล้องคอก่อนจะคว้ากระเป๋าสะพายแล้ววิ่งลงมาชั้นล่าง ทำให้เกือบชนเข้ากับแผ่นอกของใครบางคนที่กำลังจะเดินขึ้นบันไดมาพอดี


แถมเป็นแผ่นอกที่ไม่ใส่เสื้ออีกต่างหาก...


“จะรีบร้อนไปไหนน่ะคุณ นี่ผมกำลังว่าจะไปเรียกให้ลงมากินข้าวเช้าพอดีเลย”


ปราบพงศ์ทักพลางใช้สองมือจับไหล่ของศรันย์ไว้ก่อนจะเสียหลักล้มลงมาเอาจมูกทิ่มอกเขา เจ้าของบ้านเลยรีบยันตัวขึ้นยืนตรงแล้วมองเข้าไปในครัว และได้เห็นว่าบนโต๊ะมีข้าวไข่เจียววางอยู่สองจาน


อ้อ...มิน่าถึงว่าได้ยินเสียงจากในครัวอยู่เมื่อกี้...


ศรันย์ขมวดคิ้วก่อนจะหันกลับมาหาคนตัวสูงกว่า สายตาตวัดลงต่ำแวบหนึ่งก่อนจะตวัดขึ้นอีกที


“อย่าบอกนะว่าคุณไม่ได้ใส่เสื้อนอน?”


“หือ? เปล่าๆ พอดีเมื่อกี้ผมทำเสื้อเลอะก็เลยถอดออก รับรองไม่ได้ทำให้โซฟาคุณเหม็นเหงื่อแน่ๆ”


คนตอบแปลกใจนิดหน่อยที่โดนทักเรื่องไม่ใส่เสื้อมากกว่าเรื่องที่ใช้ขอ งในห้องครัวตามใจชอบ ความจริงแล้วในตู้เย็นก็แทบไม่มีวัตถุดิบทำอาหารด้วยซ้ำนอกจากไข่กับต้นหอมเหี่ยวๆ ไม่กี่ต้น เขาพอจะรู้ว่าใกล้ๆ หมู่บ้านมีตลาดจากที่เคยขับรถมาส่งครั้งก่อน แต่ก็กลัวว่าเดี๋ยวจะคลาดกับศรันย์เพราะไม่รู้เจ้าของบ้านจะออกไปทำงานตอนไหน ก็เลยตัดสินใจใช้แค่ของที่มีมาทำมื้อเช้าตอบแทนที่ให้ที่หลับนอนไปก่อน


ศรันย์เม้มปากนิดหนึ่ง ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าห้องชั้นล่างค่อนข้างจะอบอ้าว แต่ความไม่อยากเปลืองค่าไฟทำให้เลือกติดเครื่องปรับอากาศเฉพาะที่ห้องนอนชั้นบน เพราะที่ผ่านมาห้องรับแขกนี้ก็แทบไม่เคยได้ต้อนรับใครอยู่แล้ว ยิ่งเรื่องที่จะมีคนมาขอค้างอ้างแรมยิ่งไม่ต้องพูดถึง


“ถ้างั้นก็แล้วไป”


ปราบพงศ์เลิกคิ้วเมื่อศรันย์เดินผ่านเขาไปที่ประตูแทนที่จะเลี้ยวเข้าห้องครัว “อ้าว? จะไม่กินข้าวก่อนเหรอ ยังร้อนๆ อยู่เลยนะ”


“ไม่มีเวลา ผมสายแล้ว”


ศรันย์หันกลับมาตอบห้วนๆ พร้อมด้วยแววตาที่เหมือนจะเอาเรื่องว่า ‘เพราะใครล่ะทำฉันอดนอนเมื่อคืน’ ปราบพงศ์เลยชักรู้สึกผิดขึ้นมา


แต่ก็นะ...คนเรา...นี่ถ้าเปลี่ยนเป็นทำหน้ากระเง้ากระงอดแล้วพูดว่า ‘ไม่เอา เพราะปิงแหละหนุ่ยเลยสาย’ คงน่ารักขึ้นเป็นกอง...


ปราบพงศ์ยิ้มพลางส่ายหน้า เพราะจากระดับความสัมพันธ์ตอนนี้ คงอีกนานกว่าทั้งคู่จะไปถึงจุดนั้น เขารีบคว้าข้อมือคนที่กำลังรีบร้อนไว้ทันก่อนจะก้าวออกจากบ้าน


“เดี๋ยวผมขับรถไปส่ง ขอใส่เสื้อแป๊บนึง”


ราวกับกลัวอีกฝ่ายจะไม่รอ หรือเพราะรู้ว่าถ้าปล่อยมือเจ้าตัวก็คงแผล็วออกไปเลย ปราบพงศ์เลยจับข้อมือศรันย์ไว้แน่นขณะเดินไปหยิบเสื้อยืดตัวหนึ่งออกจากกระเป๋าแบ็คแพ็คที่เปิดอ้าอยู่แล้ว ฝ่ายคนถูกจูงได้แต่ส่งเสียงฮึดฮัดในคอด้วยความไม่พอใจ


“ไปส่งแค่ปากซอยก็พอ เดี๋ยวผมเรียกแท็กซี่ต่อเอง”


“แต่เส้นนี้ตอนเช้ารถติดไม่ใช่เหรอ? ให้ผมไปส่งเถอะ บอกมาว่าออฟฟิศอยู่ตรงไหนก็แล้วกัน”


ปราบพงศ์ท้วงพลางสวมเสื้อแล้วเดินตามศรันย์ออกจากบ้าน เขาจูงมอเตอร์ไซค์ไปรอด้านหน้าขณะที่เจ้าของบ้านล็อกประตูและรั้วให้เรียบร้อย จากนั้นก็ยื่นหมวกกันน็อกให้คนที่เดินมาทำหน้ามุ่ยอยู่ข้างๆ รถ


“ขึ้นรถเร็วสิ เดี๋ยวสายจริงๆ ขึ้นมาผมไม่รับผิดชอบนะ”


ศรันย์พยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจขณะรับหมวกกันน็อกมาสวม ใจหนึ่งก็นึกอยากเสยคางใบหน้ายิ้มๆ นั่นให้หายคันไม้คันมือนัก แต่ถ้าทำแบบนั้นคงมีหวังไม่ได้ไปทำงานแน่เพราะคงต้องพาคนขับไปคลินิกแทน


“ถ้าออกรถกระชากแบบวันนั้นล่ะก็ ผมจะไม่ซ้อนท้ายคุณอีกตลอดชีวิตเลย”


ศรันย์ขู่พลางตวัดขาขึ้นนั่งคร่อมเบาะหลัง คราวนี้ไม่ยอมจับแม้แต่เสื้อของคนขับเพราะเอามือไปจับราวท้ายเบาะแทน แต่ปราบพงศ์ก็ไม่ได้ทักท้วงและเพียงสตาร์ทรถยิ้มๆ


แปลว่าถ้าไม่กระชากก็จะซ้อนตลอดชีวิตสิ...ปราบพงศ์คิดแต่ไม่ได้พูดออกมา ถึงเขาจะขี้เล่นแต่ก็รู้ว่าเวลาไหนควรไม่ควร อีกอย่างขืนเล่นมากไป ดีไม่ดีจะโดนมองว่าแค่จีบสนุกๆ เท่านั้นก็ได้


หลังจากที่ศรันย์บอกว่าบริษัทอยู่ตรงไหน ปราบพงศ์ก็อาศัยความคุ้นเคยใช้เส้นทางลัดเลาะที่ทำให้การเดินทางย่นระยะเวลาไปได้มาก ศรันย์จึงค่อยคลายกังวลเมื่อพบว่าตนมาถึงที่หมายโดยมีเวลาเหลือพอจะแวะซื้อขนมปังจากร้านสะดวกซื้อด้วยซ้ำ พอรถมอเตอร์ไซค์เวสป้าสีครีมวิ่งมาหยุดตรงที่สำหรับส่งผู้โดยสาร เขาเลยรีบลงและส่งหมวกกันน็อกคืน ก่อนจะนึกอะไรได้ เลยหันมาหยิบพวงกุญแจออกจากกระเป๋าแล้วยื่นให้


“ดอกนี้กุญแจรั้ว ดอกนี้กุญแจบ้าน ถ้าคุณจะกลับเมื่อไหร่ก็ใส่พวงกุญแจนี่ไว้ในโถใส่ร่มข้างประตูก็แล้วกัน”


“ไม่กลัวผมขโมยของเหรอ?”


ปราบพงศ์รับกุญแจไปเก็บลงกระเป๋ากางเกงพลางถามยิ้มๆ ศรันย์มองรอยบุ๋มบนแก้มซ้ายนั่นแล้วก็นึกหมั่นไส้ขึ้นมาครามครัน


“ถ้ากลัวคุณขโมยของก็คงไม่ให้เข้าบ้านตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว อีกอย่างบ้านผมมันไม่มีอะไรน่าขโมยทั้งนั้นแหละ ผมไปล่ะนะ”


“อ๊ะ เดี๋ยวก่อน”


“…อะไรอีก?”


ศรันย์หันกลับมาถามอย่างหงุดหงิดหน่อยๆ ก่อนที่พยางค์สุดท้ายจะแผ่วไปเพราะคนเรียกยื่นมือมาช่วยรูดเนคไทให้ทั้งที่ตัวยังนั่งอยู่บนรถ เสร็จแล้วยังอุตส่าห์ยกมือขึ้นจับปกคอเสื้อเขาให้เข้าที่อีกต่างหาก


“ตั้งใจทำงานนะ...หนุ่ย”


ศรันย์รู้สึกว่าเลือดอุ่นๆ ฉีดพุ่งขึ้นจนหน้าร้อนผ่าวเพราะกิริยาท่าทางและคำพูดของคนที่มาส่ง คราวนี้ก็เลยไม่พูดอะไรตอบและรีบสะบัดหน้าเดินหนีเข้าไปข้างในเลย แต่แน่นอนว่าผิวแก้มแดงๆ เมื่อครู่ถูกบันทึกไว้ในสายตาของคนมองเรียบร้อยแล้ว


“...พอโดนแหย่ก็เขิน แต่บางทีก็โมโห เอาใจยากจริงๆ ผู้ชายคนนี้”


ปราบพงศ์บ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ แต่บนมุมปากกลับหยักยิ้มน้อยๆ อยู่ตลอด เขาพอจะดูออกจากปฏิกิริยาที่ศรันย์แสดงออกว่าคงไม่ชินกับการโดนจีบมาก่อน ทว่ากลับเป็นจุดนั้นแหละที่ทำให้เขายิ่งรู้สึกว่าน่าค้นหา นอกเหนือไปจากความประทับใจตั้งแต่เห็นเจ้าตัวครั้งแรกที่นิทรรศการศิลปะเมื่อสัปดาห์ก่อน


แต่ถึงอธิบายไป...ดีไม่ดีเขาอาจจะโดนหัวเราะใส่ก็เป็นได้...


ชายหนุ่มยิ้มพลางถอนหายใจ ก่อนจะติดเครื่องแล้วเลี้ยวรถออกมาจากหน้าอาคาร เขาไม่ได้แวะที่ไหนอีกเพราะออกมาข้างนอกทั้งที่ยังไม่ได้ล้างหน้าเสียด้วยซ้ำ อีกอย่างที่บ้านของศรันย์ก็มีข้าวไข่เจียวสองจานรอให้กลับไปจัดการกินและเก็บล้างอยู่


++------++


“หนุ่ย ตกลงแผนงานเดือนนี้เอาตามนี้นะ”


ผู้จัดการฝ่ายขายทักขึ้นหลังจากเรียกพนักงานในทีมมาแจกแจงงาน ซึ่งในรายละเอียดก็จะมีทั้งลูกค้ารายเก่าที่ต้องให้บริการ รวมทั้งลูกค้ารายใหม่ที่ต้องเข้าไปเสนอสินค้า ศรันย์นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าตอบช้าๆ


“ได้ครับ”


“หนุ่ยไม่สบายเหรอ? ทำไมดูหน้าซีดๆ จังเลย?”


รุ่นพี่สาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ทักขึ้น อาจเพราะว่าศรันย์อายุน้อยที่สุดในทีม ทำให้ค่อนข้างเป็นที่เอ็นดูของคนอื่นๆ ถึงแม้เจ้าตัวจะนิสัยแข็งๆ ไปหน่อย แต่เพราะไม่เคยมีปัญหาในการทำงานหรือปัญหาส่วนตัวกับใคร ก็เลยไม่ค่อยมีใครหมั่นไส้


“เปล่าหรอกครับพี่เนตร ว่าแต่พี่ตุลย์มีอะไรอีกไหมครับ พอดีผมมีนัดกับลูกค้าตอนบ่ายสาม”


ศรันย์ถามผู้จัดการโดยพยายามไม่ทำหน้างุ่นง่านใส่ เพราะเขารู้ดีว่าที่ตัวเองมีปฏิกิริยาโต้ตอบช้าก็เพราะนอนไม่พอ แถมยังโดนเบียดเบียนเวลากินมื้อกลางวันอีกเพราะการประชุมที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่สิบเอ็ดโมงครึ่ง


“อ้าวเหรอ โอ๊ะ! โทษทีพี่เพิ่งเห็นว่าบ่ายสองแล้ว ถ้างั้นปิดประชุมเลยก็แล้วกัน ขอโทษนะ หิวกันแย่เลยสิ”


เสียงถอนหายใจด้วยความโล่งอกปนเสียงหัวเราะคิกคักตามมาจากเหล่าผู้ร่วมเข้าประชุม ศรันย์รีบถือโอกาสนั้นลุกออกมาเตรียมเอกสารเพื่อจะได้เอาไปเสนอที่บริษัทลูกค้ารายใหม่ตามที่ได้นัดกันเอาไว้ เขาตั้งใจว่าจะนำเสนอให้เสร็จทีเดียวค่อยหาอะไรกินแล้วกลับไปนอนพักที่บ้าน โชคดีว่าพรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ ดังนั้นเย็นนี้เขาจะนอนอืดแค่ไหนก็ไม่มีปัญหา


ชายหนุ่มโบกมือเรียกรถแท็กซี่หลังจากลงลิฟท์มาถึงชั้นล่าง เนื่องจากลูกค้ารายใหม่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมที่ต้องออกไปไกลจากตัวเมืองพอสมควร ศรันย์จึงหวั่นใจไม่น้อยว่าจะไปสายแล้วกลายเป็นความประทับใจแรกที่ไม่ดี แต่การณ์กลับกลายเป็นว่าเขาเสียอีกที่ต้องเป็นฝ่ายประหลาดใจหลังจากใช้เวลาเดินทางมาบนรถแท็กซี่ถึงหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ


“อะไรนะครับ? คุณเกียรติไม่อยู่?”


“ใช่ค่ะ มีประชุมกับสำนักงานใหญ่ทั้งวัน ก็เลยไม่อยู่ทั้งคุณเกียรติแล้วก็เลขาฯ เลย เมื่อเช้าไม่ได้โทรถามกันไว้ก่อนเหรอคะ?”


พนักงานต้อนรับวัยกลางคนที่ไม่ค่อยยิ้มแย้มเท่าไหร่ถามเขาเป็นเชิงตำหนิ ศรันย์จึงได้แต่อึกอัก เพราะเมื่อเช้าเขาพยายามโทรเข้ามือถือของลูกค้าแล้วแต่ไม่ติด ก็เลยนึกว่าคงจะคอนเฟิร์มตามเวลาเดิมแท้ๆ


“ถ้างั้นไม่เป็นไรครับ ไว้ผมจะโทรนัดคุณเกียรติใหม่อีกที”


คว้าน้ำเหลวตั้งแต่ยังไม่เริ่ม...อย่างน้อยถ้าเป็นลูกค้าที่คุ้นเคยก็คงจะโทรมาบอกกันก่อนว่าจะยกเลิกนัด แต่นี่เป็นไปได้ว่าลูกค้าอาจจะเห็นว่านัดของเขาไม่สำคัญพอก็เลยลืมมารยาทเสียสนิท ทำให้เขาต้องเสียเวลาและค่ารถมาตั้งไกลโดยไร้ประโยชน์ ถึงแม้ที่บริษัทจะให้เบิกค่าเดินทางได้เต็มจำนวนก็เถอะ


ศรันย์ถอนหายใจหนักๆ หลังจากเดินออกมาพ้นฝ่ายประชาสัมพันธ์ ทันทีที่ออกมานอกเงาอาคาร แสงแดดที่แผดจ้าก็ทำให้เขาหน้ามืดจนต้องยึดราวทางเดินไว้แน่น ชายหนุ่มตัดสินใจเรียกแท็กซี่เพื่อตรงกลับบ้าน เพราะรู้ว่าถึงกลับเข้าบริษัทไปก็คงทำงานไม่ไหว เพราะตอนนี้เขาทั้งเหนื่อยทั้งเพลียจนแทบจะคิดอะไรไม่ออกอยู่แล้ว


แล้วทั้งหมดทั้งมวลนี่ มันก็เพราะเจ้าคนที่ทำให้เขานอนไม่พอคนเดียวนั่นแหละ!


ชายหนุ่มคิดอย่างพาลพาโลขณะนั่งกระสับกระส่ายอยู่ในรถ ศรันย์มีจุดอ่อนตรงที่จะไม่ค่อยหลับในยานพาหนะที่กำลังเคลื่อนไหวมาตั้งแต่พ่อกับแม่เสียชีวิตในอุบัติเหตุทางถนน ดังนั้นถึงแม้ร่างกายจะเหนื่อยล้าแค่ไหน เขาก็ยังทนนั่งตาแข็งไปจนกระทั่งถึงบ้าน ชายหนุ่มถอนหายใจยาวเมื่อในที่สุดก็มาถึงที่หมาย หลังจากหยิบเงินออกจ่ายค่าแท็กซี่แล้วเขาก็รีบลงเดินไปที่รั้ว ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ากุญแจบ้านไม่ได้อยู่ในกระเป๋า แต่เมื่อมองเข้าไปในบ้านก็ไม่เห็นสัญญาณว่ามีใครอยู่


หมอนั่นคงไม่บื้อถึงขนาดล็อกประตูรั้วหรือว่าลืมวางกุญแจไว้ก่อนกลับไปนะ ไม่งั้นเจอดีแน่...


ศรันย์คิดขณะลองเลื่อนประตูรั้วดู เมื่อพบว่ารั้วไม่ได้ล็อกก็ระบายลมหายใจอย่างโล่งอก เพราะถึงแม้รั้วบ้านเขาจะไม่ได้สูงจนปีนไม่ได้ แต่ถ้าต้องมาปีนเข้าบ้านตัวเองก็คงแลดูน่าสมเพชไม่ใช่ย่อย


ชายหนุ่มก้มหากุญแจในโถเก็บร่มหน้าประตู เมื่อพบแล้วก็หยิบขึ้นมาไขกุญเข้าไปในบ้าน ความเหนื่อยอ่อนจากอาการนอนไม่พอผสมกับไม่ได้ทานมื้อกลางวันทำให้หน้ามืดจนเกือบล้ม แต่เขาก็ยังมีสติพอจะเปิดพัดลมก่อนจะปลดเน็คไทออกวางบนโต๊ะ จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา เมื่อเหลือบมองนาฬิกาที่แขวนบนผนังผ่านเปลือกตาที่กำลังหรี่ลงอย่างสะลึมสะลือก็เห็นว่าเป็นเวลาสี่โมงครึ่ง


เอาเถอะ...ไว้เดี๋ยวตื่นเมื่อไหร่ค่อยหาข้าวเย็นกินทีเดียวก็แล้วกัน...


ศรันย์คิดก่อนจะผล็อยหลับในชั่วอึดใจ นี่ถ้าหากเขาฝืนเปิดเปลือกตานานขึ้นอีกหน่อย ศรันย์คงนึกเฉลียวใจว่าทำไมตรงมุมหนึ่งของห้องนั่งเล่นถึงยังมีกระเป๋าแบ็คแพ็คใบใหญ่สีแดงวางอยู่ จากนั้นก็คงตั้งคำถามต่อว่าแล้วตัวเจ้าของกระเป๋าหายไปไหน และทำไมถึงได้ทิ้งกระเป๋าเอาไว้ในที่ที่เห็นชัดขนาดนั้นราวกับอยากให้เขารู้ว่าตั้งใจจะกลับมา ทั้งที่ทั้งคู่น่าจะจบธุระกันไปตั้งแต่ที่อีกฝ่ายขับมอเตอร์ไซค์ไปส่งเขาที่บริษัทเมื่อเช้าแล้วแท้ๆ


แต่ ณ วินาทีนั้น คำถามเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในหัวสมองของคนที่กำลังหลับใหลโดยมีเสียงพัดลมขับกล่อมเลยแม้แต่นิดเดียว



++---TBC--++



A/N: คติที่ได้จากตอนนี้คือ อย่าทำให้ใครนอนไม่พอค่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวโดนแค้นฝังหุ่นจริงๆ นะ ฮา




 

Create Date : 17 มิถุนายน 2555    
Last Update : 17 มิถุนายน 2555 19:57:23 น.
Counter : 1009 Pageviews.  

เหตุเกิดจากวันนั้น...4


แนะนำ
สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ


++------++


ตอนที่ 4.



หลายวันผ่านไปโดยที่ศรันย์ไม่ได้ไปป้วนเปี้ยนแถวหอศิลป์อีก ด้วยงานที่ยุ่งมากเพราะว่าใกล้ช่วงสิ้นเดือน และเขามีลูกค้ารายใหม่ที่ถูกผู้จัดการฝ่ายขายส่งมาให้ดูแล ทำให้แทบจะลืมเรื่องของผู้ชายพิลึกๆ ที่เคยพามาส่งบ้านเมื่อสัปดาห์ก่อนไปสนิทใจ

หากไม่ใช่เพราะบางครั้งรถเวสป้าสีครีมบนท้องถนนจะดึงดูดสายตาให้มองตามโดยไม่รู้ตัว เขาก็คงลืมเจ้าคนที่มีลักยิ้มบนแก้มซ้ายคนนั้นไปแล้วแน่ๆ

วันหนึ่งหลังจากออกไปพบลูกค้า ศรันย์แวะทานมื้อเที่ยงที่ห้างสรรพสินค้าก่อนจะขึ้นรถไฟใต้ดินเพื่อกลับไปที่บริษัท ขณะที่กำลังเดินเข้าไปด้านในก็ชนเข้ากับสาวน้อยในชุดนักศึกษาคนหนึ่งจนถุงผ้าในมือเธอหล่น ชายหนุ่มจึงก้มลงช่วยเก็บให้

“ขอโทษนะครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะพี่ หนูซุ่มซ่ามเองล่ะ”

เด็กสาวยิ้มอย่างไม่ถือสาขณะรับถุงผ้าใบเล็กคืน เมื่อรถไฟฟ้าเคลื่อนที่ไปได้สักครู่ ศรันย์ก็สังเกตเห็นว่าเธอแอบชำเลืองมองเขาบ่อยๆ พลางกลอกตาเหมือนไม่แน่ใจ เขาจึงหันไปหา

“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

เด็กสาวสะดุ้งก่อนยิ้มแหยๆ “อุ้ย! ขอโทษค่ะพี่ พอดีหนูรู้สึกเหมือนคุ้นหน้าพี่ แต่จำไม่ได้ว่าเคยเจอที่ไหน ขอโทษจริงๆ ค่ะ”

ศรันย์เลิกคิ้ว ในสายงานของเขาไม่ค่อยต้องยุ่งเกี่ยวกับพวกสถาบันการศึกษา แต่ด้วยความจำที่ค่อนข้างดี เมื่อเขาเห็นเข็มประจำสถาบันที่ติดบนอกเสื้อ รวมถึงผมหยักศกปล่อยยาวถึงกลางหลังที่ฟูและยุ่งหน่อยๆ เขาก็นึกออกทันทีว่าทำไมอีกฝ่ายจึงคุ้นหน้าเขา

“น้องที่เฝ้านิทรรศการภาพวาดที่หอศิลป์หรือเปล่า? ผมไปมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วน่ะ”

“อ๊า!! ใช่ๆๆ พี่น่ะเอง แบบว่าหนูไม่ได้เฝ้าทุกวันอะค่ะ ถ้าใครมาวันที่หนูเฝ้าก็เลยพอจำได้”

น้ำเสียงเล็กใสซึ่งติดภาษาพูดแบบวัยรุ่นทำให้ศรันย์ยกมุมปากให้นิดหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีกต่อจากนั้น เด็กสาวจึงชวนคุย

“หลังจากนั้นได้ไปดูอีกมั้ยคะพี่?”

“หือ?”

“นิทรรศการอะค่ะ ได้ไปดูอีกมั้ย?”

ท่าทางใสซื่อของคนถามทำให้ศรันย์ไม่อยากเสียมารยาทด้วยการตอบห้วนๆ ก็เลยพยายามเลือกคำที่ฟังแล้วรื่นหูที่สุด ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนที่ทำงานด้านการขาย

“ไม่มีเวลาว่างไปเลยน่ะครับ อีกอย่างมันค่อนข้างอยู่นอกเส้นทางด้วย”

เด็กสาวเอียงคอ “อ๋อ ไงถ้าพี่จะไปดูอีกก็ได้ถึงวันอาทิตย์หน้านะคะ เพราะเขาจะเอาภาพที่ได้รางวัลที่หนึ่งไปแสดงต่อที่ต่างประเทศ เห็นว่าวันที่จัดแสดงวันสุดท้ายจะมีงานเลี้ยงเล็กๆ ด้วย คนทั่วไปก็ไปแจมได้ค่ะ อ๊ะ! ถึงสถานีหนูแล้วล่ะ บ๊ายบายค่ะพี่”

ศรันย์มองตามหลังร่างเล็กแต่ผมค่อนข้างฟูที่ก้าวออกจากขบวนรถจนกระทั่งประตูปิดลง ในใจหวนประหวัดไปถึงภาพที่ได้รางวัลชนะเลิศอีกครั้ง นั่นเป็นภาพที่เขาชอบที่สุดในจำนวนภาพที่จัดแสดงทั้งหมด พอรู้ว่าจะจัดแสดงถึงแค่อาทิตย์หน้าก็นึกเสียดายนิดๆ

ถ้างั้น...อาจหาเวลาไปดูอีกทีก่อนนิทรรศการจะปิดก็ได้มั้ง...


เย็นนั้นศรันย์กลับถึงบ้านค่อนข้างค่ำเพราะมีงานเอกสารที่ต้องจัดการเต็มโต๊ะ ดังนั้นพออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เขาก็ปิดไฟแล้วเข้านอนเลยแม้ว่าจะยังไม่สี่ทุ่มเสียด้วยซ้ำ

ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าผล็อยหลับไปนานแค่ไหน แต่เมื่อสะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงกริ่งหน้าประตู ภายในห้องยังคงมืดสนิท เขาจึงหยีตาพลางหยิบมือถือที่ชาร์จไฟอยู่ข้างเตียงขึ้นดู จากนั้นก็คำรามเสียงต่ำในคอเมื่อเห็นเวลา

ตีสาม...บ้าเอ๊ย ใครกันมาเล่นตลกตอนนี้...

เสียงกริ่งที่ดังขึ้นอีกครั้งทำให้ชายหนุ่มเริ่มหงุดหงิด เสียงนั้นดังโดยเว้นระยะห่างจากครั้งแรกพอสมควร ซึ่งถ้าหากเป็นพวกที่ตั้งใจจะแกล้งก็คงกดกริ่งรัวถี่ๆ แล้ววิ่งหนีไปแล้ว แต่นี่กลับเว้นระยะแล้วกดใหม่ ราวกับมีธุระจริงๆ ถึงได้รออย่างนั้นแหละ

ศรันย์เริ่มคิดสะระตะ เพราะไม่มีคนรู้จักรายไหนที่น่าจะมารบกวนเขาตอนดึกดื่นแบบนี้ หากจะบอกว่าเป็นยามในหมู่บ้าน ก็ยังน่าสงสัยเกินไปที่จะมาหาตอนตีสาม หรือว่าจะเป็นพวกมิจฉาชีพ? ถ้าใช่จริงๆ ก็คงเป็นโจรปลายแถวเต็มที เพราะบ้านเก่าๆ โทรมๆ ที่แม้แต่รถสักคันก็ไม่มีมันน่าปล้นที่ไหนกัน?

ชายหนุ่มตัดสินใจลุกขึ้นแง้มม่านหน้าต่างดูให้หายสงสัย เพราะถ้าเป็นคนแปลกหน้าจริงๆ เขาจะโทรแจ้งตำรวจให้สิ้นเรื่อง แต่พอเห็นใบหน้าของคนที่กำลังเงยขึ้นมามองจากหน้ารั้วโดยมีแสงจากเสาไฟฟ้าช่วย คนที่กำลังงัวเงียก็มุ่นหัวคิ้วทันที

เจ้าบ้านั่น...

ปราบพงศ์ยิ้มแหยๆ เมื่อในที่สุดเจ้าของบ้านก็เดินออกมาที่รั้วด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าตัวเองมารบกวนเอาในเวลาที่แย่แค่ไหน แต่พอนึกถึงว่าคืนนี้ต้องอาศัยหลับนอนที่อื่นเพราะเข้าบ้านไม่ได้ ที่นี่ก็เป็นตัวเลือกแรกที่นึกถึงโดยอัตโนมัติ

“ไง”

ผู้มาเยือนทักก่อน เพราะเจ้าของบ้านเอาแต่กอดอกจ้องเขาด้วยหน้าบอกบุญไม่รับอยู่อีกฟากของรั้ว แต่ถ้าใครโดนคนไม่สนิทกันมาปลุกตอนตีสามก็คงจะทำหน้าแบบนี้ละมั้ง

“...มีธุระอะไร? แล้วก็ขอแค่สั้นๆ ด้วย ผมจะรีบกลับไปนอน”

ศรันย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงงุ่นง่าน แขนทั้งสองที่กอดอกยังไม่คลายลง เขาไม่เปิดไฟทั้งในบ้านหรือหน้ารั้วเพราะแสงจากเสาไฟฟ้าก็สว่างพอจะคุยกับคนที่มาหา และเนื่องจากคืนนี้อากาศร้อน เขาก็เลยใส่แค่เสื้อกล้ามเนื้อบางกับกางเกงขาสั้นเข้านอน ซึ่งแค่นั้นก็ทำเอาคนที่เห็นต้องลอบกลืนน้ำลายแล้วเพราะความกว้างของช่วงคอเสื้อกับวงแขนที่ทำให้เห็นผิวกายรำไร

“...ขอโทษที่จู่ๆ มารบกวน ที่หายหน้าไปหลายวันเพราะผมไปปักกิ่งมาน่ะ ผมมีของฝากมาให้คุณด้วยนะ”

คนฟังยิ่งขมวดคิ้วแน่น “ตกลงว่าคุณมีธุระแค่นั้น? จะเอาของฝากมาให้?”

ศรันย์รู้สึกว่าเส้นเลือดตรงขมับเต้นตุบๆ เมื่อรู้สาเหตุที่โดนปลุก ปราบพงศ์เห็นท่าไม่ดีจึงรีบอธิบาย “ไม่ใช่ๆ คือว่า...จริงๆ ผมเพิ่งกลับมาถึงเมื่อตีหนึ่งนี่เอง แต่ว่าพอกลับไปถึงบ้านแล้วปรากฏว่าพ่อกับแม่ผมไปต่างจังหวัดแล้วเอากุญแจบ้านไปด้วย ผมเลยเข้าบ้านไม่ได้น่ะ”

ปราบพงศ์อธิบายพลางจับลูกกรงรั้วราวกับกลัวศรันย์จะเดินหนี เจ้าของบ้านจึงเหลือบตาลงบนพื้นข้างๆ ผู้มาเยือน และพบว่ามีกระเป๋าสะพายแบบแบ็คแพ็คใบใหญ่สีแดงวางอยู่ พอมองเลยไปด้านหลังก็เห็นมอเตอร์ไซค์เวสป้าสีครีมจอดสงบนิ่ง

“แล้วไง? อย่าบอกนะว่านอกจากผมที่ไม่สนิทกันแล้วคุณไม่มีเพื่อนให้ไปรบกวนได้อีกเลย?”

ศรันย์ยังไม่คลายหัวคิ้วที่ขมวดมุ่น ในใจไม่ได้เชื่อถือคำพูดแก้ตัวของคนตรงหน้าสักกระผีกเดียว แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่เดินกลับเข้าบ้านไปซะให้รู้แล้วรู้รอด

ปราบพงศ์ยิ้มอ่อนๆ เริ่มใจชื้นขึ้นที่อีกฝ่ายยังอุตส่าห์ฝืนความง่วงมาซักไซ้ไล่เลียงเขาแทนที่จะไล่ตะเพิดทันที “ก็มี...แต่พอรู้ตัวว่าเข้าบ้านไม่ได้ปุ๊บ ผมก็นึกถึงบ้านคุณเป็นที่แรกเลย เถอะนะ...ขอผมเข้าไปหน่อย”

“หน้าหม้อ”

ศรันย์ตอกกลับทันที ถึงแม้จะง่วงแต่ก็พอจะรู้ตัวว่าผิวหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมา ทำไมกันนะ...เพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครมาพูดเกี้ยวพาแบบนี้ หรือเพราะคนพูดคือหมอนี่ ไอ้ความรู้สึกขัดเขินนี่มันถึงได้ชัดเจนเหลือเกิน

ขณะที่บทสนทนาข้ามรั้วดูจะไม่จบลงง่ายๆ เสียงกริ่งจักรยานที่ดังกรีดหูก็ทำเอาทั้งคู่สะดุ้ง

“มีอะไรกันรึเปล่าครับ?”

ยามวัยกลางคนของหมู่บ้านขับจักรยานเข้ามาใกล้แล้วถามขึ้น นัยน์ตาสองข้างมองชายหนุ่มแปลกหน้าอย่างไม่ไว้วางใจ ปราบพงศ์เลยหันมาหาศรันย์ด้วยแววตาขอความช่วยเหลือ พอเห็นนัยน์ตาเป็นหมาหงอยแบบนั้นเข้า เจ้าของบ้านจึงเผลอตัว หลุดหัวเราะเบาๆ ออกมา

มันน่าแกล้งบอกว่าเป็นผู้ร้ายให้ลุงแกจับส่งตำรวจชะมัด แต่เอาเถอะ เห็นแก่ที่ฉันอยากรีบไปนอนต่อหรอกนะ...

“ไม่เป็นไรครับลุง คนรู้จักของผมเอง”

ในที่สุดศรันย์ก็ยอมปลดล็อคและเลื่อนประตูรั้วออก เขารอจนกระทั่งปราบพงศ์ยกกระเป๋าขึ้นสะพายและเลื่อนรถมอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดในรั้วจึงค่อยหันไปเลื่อนปิด ฝ่ายลุงยามที่เห็นว่าท่าทางไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วจึงขับจักรยานกลับไป

“ขอบคุณนะ”

ปราบพงศ์หันมายิ้มให้ระหว่างรอให้เจ้าของบ้านเดินเข้าไปด้านในก่อน ศรันย์เลยทำเสียงหึทางจมูกขณะเปิดไฟในห้องนั่งเล่น

“อย่าเพิ่งได้ใจไป ผมเห็นแก่ว่าคืนนี้ผมเหนื่อยแล้วเลยไม่อยากมีเรื่อง ห้องน้ำอยู่ตรงนั้น น้ำดื่มอยู่ในห้องครัว ถ้าตอนเช้าจะออกไปก็ล็อกรั้วให้ด้วยก็แล้วกัน”

ศรันย์พูดแล้วก็เดินขึ้นไปชั้นบน ครู่หนึ่งก็เดินกลับลงมาพร้อมกับหมอนและผ้าห่มบางๆ หนึ่งผืน ชายหนุ่มชะงักเมื่อพบว่าคนที่นั่งอยู่บนโซฟากำลังถอดเสื้อยืดสีเทาตัวหลวมออก เหลือเพียงกางเกงยีนส์ทรงตรงที่ได้เข็มขัดหนังเส้นใหญ่ช่วยรั้งไว้ให้เกาะสะโพก เผยให้เห็นแผงอกกับช่วงไหล่ที่เขาเคยสัมผัสมาแล้วว่าหนาและกว้างกว่าที่ตาเห็น

กะจะถอดโชว์กันรึไง...เจ้าบ้านี่...

“จะอาบน้ำก็ไปถอดเสื้อผ้าในห้องน้ำสิคุณ เดี๋ยวโซฟาเหม็นเหงื่อหมด”

ปราบพงศ์ลุกขึ้นยืนทันทีที่โดนทัก ชายหนุ่มใช้มือข้างที่ไม่ได้ถือเสื้อเกาท้ายทอยเก้อๆ “อ้อ ขอโทษที ผมชินมาจากเวลาอยู่กับเพื่อนน่ะ”

“แต่ผมไม่ใช่เพื่อนคุณ”

ศรันย์วางหมอนกับผ้าห่มลงบนโซฟาก่อนจะถอยออกมองตาคนที่สูงกว่าตรงๆ อาจเพราะเขาทำงานในออฟฟิศเป็นหลัก ผิวก็เลยขาวกว่าอย่างช่วยไม่ได้เมื่อมายืนเทียบกับอีกฝ่ายแบบนี้ ทั้งสองจ้องตากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ศรันย์จะหมุนตัวและเดินกลับไปที่บันได แต่หูยังทันได้ยินเสียงที่ดังไล่หลัง

“ผมก็ไม่ได้อยากเป็นแค่เพื่อนกับคุณนะ”

ศรันย์เอี้ยวคอกลับไปมอง แต่ก็ไม่โต้ตอบและเพียงเดินต่อขึ้นไปชั้นบน ปราบพงศ์มองตามจนกระทั่งช่วงขาขาวที่โผล่พ้นกางเกงขาสั้นหายลับไปตรงลานพักบันได จากนั้นก็ระบายลมหายใจยาวที่กลั้นไว้ตั้งแต่สบตากันเมื่อครู่

ทั้งที่คงไม่ได้ตั้งใจจะยั่ว แต่ท่าทางเมื่อกี้มันยิ่งกว่ายั่วอีก...สงสัยจะไม่รู้ตัวเลยสิท่า...

ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงความร้อนรุ่มที่จู่ๆ ก็พลุ่งขึ้นมาแถวใต้ท้องน้อย เลยเขกหัวตัวเองทีหนึ่งก่อนจะเปิดกระเป๋าเพื่อหยิบเสื้อผ้าเข้าไปอาบน้ำ เผื่อว่าโดนน้ำเย็นๆ แล้วอะไรในตัวที่ร้อนอยู่จะเย็นตามลงบ้าง ถึงอย่างไรก็เพิ่งเจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง ถ้าขืนเขาบุ่มบ่ามทำอะไรไปคงโดนเกลียดแน่ เพราะดูท่า ‘คู่กรณี’ จะไม่ชอบโดนบังคับเสียด้วย

อย่างน้อยก็ยังยอมให้เข้ามานอนในบ้านได้...คงไม่หมดหวังเสียทีเดียวหรอกน่า...

ศรันย์ก้าวเข้าห้องนอนแล้วแล้วก็ล็อกประตูแน่นหนา ถึงแม้จะมั่นใจว่าคนข้างล่างคงไม่หน้ามืดพอจะตามขึ้นมาถึงบนนี้ กระนั้นการที่ได้ทำอะไรเพื่อป้องกันตัวเองก็ทำให้เขารู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง

เพราะว่าหมอนั่น...อันตราย...

ศรันย์รู้ตัวมาตั้งแต่มัธยมแล้วว่าเขาไม่สนใจผู้หญิง ทว่าก็ไม่เคยบอกให้พ่อกับแม่รู้เพราะกลัวว่าจะไม่สบายใจ อีกอย่างเขาก็ไม่ได้ชอบการแสดงออกแบบตุ้งติ้งจึงไม่มีปัญหา หลังจากที่บุพการีทั้งสองจากไปเพราะอุบัติเหตุ เขาก็ยิ่งมุ่งมั่นกับการดูแลความเป็นอยู่ของตัวเองจนไม่เหลียวแลใครเข้าไปใหญ่ จนกระทั่ง...วันที่ไปดูนิทรรศการที่หอศิลป์ครั้งแรก แล้วโดนหมอนั่นถ่ายภาพไปเก็บไว้นั่นแหละ

แม่เคยพูดบ่อยๆ สมัยเขายังเด็กว่า ‘เบญจเพสมักนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิต’ แต่เขาก็ไม่ค่อยอยากเชื่อว่าหมอนี่จะเป็นความเปลี่ยนแปลงที่แม่เคยเอ่ยถึง...เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนที่อายุยี่สิบห้าจะต้องเจอความเปลี่ยนแปลงเสียเมื่อไหร่

"เฮอะ"

ชายหนุ่มส่งเสียงในคอกับความคิดฟุ้งซ่านขณะทิ้งตัวลงบนเตียง ทว่าแทนที่จะหลับในทันทีตามที่ตั้งใจ เสียงความเคลื่อนไหวจากชั้นล่างก็ลอยเข้าหูจนทำให้ตาค้างอย่างช่วยไม่ได้ ไม่ว่าจะเสียงปั๊มน้ำที่กำลังทำงานหรือเสียงเปิดปิดประตูห้องน้ำ เขายื่นมือไปหยิบมือถือขึ้นมากดดูอีกครั้งหลังจากหลับไม่ลงสักที และพบว่าเวลาล่วงเลยไปจนตีสี่กว่า เท่ากับว่าเขาต้องเสียเวลานอนไปหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ เพราะเจ้าคนแปลกหน้าที่มาขออาศัยหลับนอนในเวลาที่คนอื่นกำลังฝันหวานบนเตียงกัน พอคิดแล้วก็ยิ่งเจ็บใจตงิดๆ ขึ้นมาอีก

เจ้าคนพิลึก...ถ้าพรุ่งนี้ตื่นมาแล้วยังเจอนายนอนอืดอยู่บนโซฟาล่ะก็...น่าดูแน่ๆ...



++---TBC---++



A/N: กำลังไล่ทันตอนปัจจุบันที่ลงในแฟนเพจแล้ว ฮี้วววววว >0<




 

Create Date : 13 มิถุนายน 2555    
Last Update : 13 มิถุนายน 2555 13:47:44 น.
Counter : 939 Pageviews.  

เหตุเกิดจากวันนั้น...3


แนะนำ
สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ


++------++


ตอนที่ 3.



สรุปว่าเย็นนั้น ศรันย์ ‘ยอม’ ให้ปราบพงศ์เลี้ยงชานมและชวนคุยอยู่ถึงหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ โดยที่เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมไม่ตัดบทแล้วปลีกตัวกลับตั้งแต่หมดชาแก้วแรก แต่ยังยอมสั่งชานมแก้วที่สองและแซนด์วิชทูน่ามากินต่อตามที่ถูกแนะนำอีก

เพราะเห็นแก่ความพยายามของหมอนี่...มั้ง....

ไม่ใช่ว่าปราบพงศ์คุยสนุก มีบางครั้งที่เหมือนเจ้าตัวไม่รู้จะพูดอะไรด้วยซ้ำ แต่ก็ยังอุตส่าห์พยายามหาเรื่องคุยให้ได้ ศรันย์จึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้จัดการร้านขายของเก่าและแกลเลอรี่ซึ่งเป็นธุรกิจเล็กๆ ของที่บ้าน เป็นลูกชายคนเดียว พอดีว่ารู้จักกับคณะกรรมการที่เป็นคนจัดนิทรรศการครั้งนี้ก็เลยอาสามาช่วยเฝ้านิทรรศการให้ในเวลาว่าง ซึ่งเป็นคำตอบได้อย่างดีว่าทำไมเจ้าตัวดูไม่อนาทรร้อนใจเลยที่ปล่อยให้สาวน้อยนักศึกษาที่ศรันย์เจอนั่งเฝ้าโต๊ะลงทะเบียนคนเดียว

กระทั่งน้ำแข็งในแก้วชานมละลายกลายเป็นน้ำสีเทาขุ่นๆ ก้นแก้ว และปราบพงศ์ก็ท่าทางหมดมุกจะชวนคุยแล้ว ศรันย์จึงยกนาฬิกาข้อมือขึ้นเช็คเวลา

"จะกลับแล้วเหรอ?"

ปราบพงศ์ถามเมื่อเห็นคนตรงข้ามหยิบสายกระเป๋ามาคล้องไหล่ ศรันย์จึงพยักหน้า "ถ้าออกเย็นกว่านี้เดี๋ยวรถติด ขอบคุณมากสำหรับชากับแซนด์วิช"

ชายหนุ่มเอ่ยพลางลุกเดินออกมา ไม่ได้เสนอตัวจะช่วยจ่ายเงินในเมื่อคนที่ชวนออกปากไว้ตั้งแต่แรกว่าจะเลี้ยง ปราบพงศ์จึงรีบจ่ายเงินให้เจ้าของร้านแล้วสาวเท้าเร็วๆ ตาม

"แล้ว...เอ้อ...คุณจะกลับยังไง?"

ศรันย์เหลือบมองคนที่ลงมายืนข้างๆ ขณะกำลังลงบันไดเลื่อนแล้วก็ยักไหล่

"ก็คงเรียกแท็กซี่"

"ไม่ได้ขับรถเหรอ?"

"เปล่า เซลส์ที่นี่ไม่จำเป็นต้องมีรถ ค่าเดินทางก็เบิกได้เต็มจำนวน"

คนถูกถามตอบเรื่อยๆ คงเพราะรู้จักกันระดับหนึ่งแล้ว เขาเลยไม่ค่อยรำคาญที่จะตอบคำถามจุกจิกเท่าไหร่ อีกอย่างก็คือ เขารู้สึกว่าน้ำเสียงของคนถามก็ฟังแล้วเพลินดี

อ้อ...แต่นั่นเขาคงไม่ต้องบอกเจ้าตัวหรอกมั้ง

"งั้นผมไปส่ง"

ศรันย์หันขวับไปหาคนพูด แล้วก็ได้เห็นรอยยิ้มอวดเขี้ยวและลักยิ้มบนแก้มซ้ายที่ชักคุ้นตาขึ้นทุกทีกำลังส่งนัยน์ตาวาววับมาให้ อดจะเหน็บในใจไม่ได้ว่า หมอนี่ก็ทำตาเจ้าชู้เป็นด้วยรึ...

“ไม่ต้องหรอก อีกอย่างคุณจะปล่อยนิทรรศการให้น้องคนนั้นเฝ้าคนเดียวหรือไง?”

ปราบพงศ์เลิกคิ้ว “หมายถึงยายเก๋น่ะเหรอ? ไม่ต้องห่วงหรอก ขานั้นเขาเก่งอยู่แล้ว มาทางนี้สิ รถผมจอดอยู่ข้างนอก”

ปราบพงศ์พูดแล้วก็เลี้ยวนำทางชนิดไม่เปิดช่องให้ปฏิเสธ คนที่เดินตามเลยชักตะหงิดๆ ด้วยความหมั่นไส้ และความรู้สึกนั้นก็ยิ่งเพิ่มดีกรีขึ้นเมื่อเห็น ‘รถ’ ที่จะถูกใช้ขับไปส่งเต็มสองตา

“ผมว่าผมไปขึ้นแท็กซี่ดีกว่า”

“เดี๋ยวสิ ผมขับปลอดภัยนะ ยังไม่เคยล้มเลยสักครั้ง”

คนพูดรีบคว้าข้อมือของศรันย์ไว้ก่อนจะทันเดินหนี ชายหนุ่มจึงหันกลับมาขึงตาดุใส่โดยลืมสะบัดมือออก “ถ้าแค่ไปส่งปากซอยผมจะพิจารณานะ แต่ถ้าคุณจะขับเวสป้าไปส่งผมถึงบ้านเนี่ย ผมขอไม่รบกวนก็แล้วกัน”

ชายหนุ่มพูดพลางก็ปรายตามองไปยังรถมอเตอร์ไซค์สกู๊ตเตอร์สีครีม เบาะนั่งบุหนังสีน้ำตาลอ่อนอย่างไม่ค่อยจะชื่นชมเท่าไหร่ อีกอย่างระยะทางระหว่างบ้านเขากับหอศิลปะนี่ก็ไม่ใช่ใกล้ๆ สู้เขายอมเสียค่าแท็กซี่แล้วได้นั่งในรถติดแอร์เย็นเฉียบยังจะดีซะกว่า

ปราบพงศ์ยิ้มอย่างใจเย็น “แต่เมื่อกี้คุณบอกว่ากลัวรถติดไม่ใช่เหรอ มอเตอร์ไซค์มันซิกแซกได้เร็วกว่านะ ผมไม่คิดค่าน้ำมันด้วยเอ้า”

“ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้น....”

ศรันย์ยังเถียงไม่ทันจบ คนอาสาไปส่งก็หยิบหมวกกันน็อกอีกใบมาวางแปะบนศีรษะให้ เท่านั้นไม่พอ ยังช่วยคาดสายรัดใต้คางให้อีกด้วย

"ไม่ต้องห่วง ผมพาคุณถึงบ้านอย่างปลอดภัยแน่ๆ"

ปราบพงศ์พูดยิ้มๆ พลางบุ้ยคางไปทางที่นั่งด้านหลัง คำพูดและกริยาที่อ่อนโยนแต่ก็ไม่ยอมให้ขัดขืนทำให้ศรันย์อดคิดไม่ได้ว่า เนื้อแท้หมอนี่เป็นพวกเจ้าเล่ห์ชอบมัดมือชกชัดๆ

"นี่คงพูดอย่างนี้กับทุกคนที่จีบล่ะสิ" ชายหนุ่มเอ่ยพลางขึ้นนั่งคร่อมที่ว่างบนเบาะอย่างเสียไม่ได้ คนที่นั่งด้านหน้าจึงทำเสียงแย้งในคอขณะบิดกุญแจรถ

"เปล่านะ เพิ่งมีหนุ่ยนี่แหละที่ผมชวนมาซ้อนท้ายคนแรก"

"ใครจะไปเชื่อ...เฮ้ย!!"

ศรันย์ร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆ คนขับก็ออกรถอย่างเร็วจนเขาต้องรีบคว้าเอวไว้ ฝ่ายปราบพงศ์หัวเราะเมื่อรู้สึกได้ถึงอ้อมแขนที่กระชับแน่นอยู่รอบเอว เช่นเดียวกับแผ่นอกของคนซ้อนที่แนบอยู่บนแผ่นหลัง โชคดีว่าเส้นทางที่ออกจากหอศิลป์ค่อนข้างโล่ง เขาเลยเร่งเครื่องได้เต็มที่ อย่างน้อยระหว่างที่ศรันย์ยังตั้งตัวไม่ทัน เขาก็จะได้มีโอกาสใกล้ชิดอีกฝ่ายเพิ่มขึ้นอีกหน่อย

“ขอโทษที ไม่เคยให้ใครซ้อนมาก่อนเลยไม่ชิน”

เสียงคนขับดังโต้ลมโดยที่ไม่ได้หันกลับมา กระนั้นในน้ำเสียงก็เคล้าเสียงหัวเราะอย่างไม่ปกปิด ทำเอาศรันย์นึกหน้าของคนพูดออกอย่างชัดเจน แต่ขึ้นรถมาแล้วจะกระโดดลงกลางถนนก็คงไม่เข้าท่า ขืนต้องไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาลก็เสียเวลาทำมาหากินกันพอดี จึงทำได้อย่างมากที่สุดก็ส่งเสียงขู่ลอดไรฟัน

“ถ้าหากล้มหรือพาไปเฉี่ยวชนใครล่ะก็ ผมเอาคุณตายแน่”

“ครับๆ ถ้างั้นก็เกาะแน่นๆ ก็แล้วกัน”

ปราบพงศ์เอี้ยวคอมาบอกเมื่อรถติดไฟแดง รอยบุ๋มลักยิ้มบนแก้มยิ่งเห็นชัดในระยะใกล้จนศรันย์รู้สึกเหมือนหายใจสะดุดไปจังหวะหนึ่ง พอสัญญาณไฟเปลี่ยนเลยรีบดันหน้าคนขับให้หันกลับไป

“รู้ว่าขับรถอยู่ก็อย่าหันมาข้างหลังสิ คุณนี่จริงๆ เลย”

ศรันย์สำทับก่อนจะจับเสื้อช่วงสีข้างทั้งซ้ายขวาของคนขับแทนการกอดเอว ก็ภาพผู้ชายกอดเอวซ้อนมอเตอร์ไซค์กันบนถนนมันน่าอายน้อยอยู่เมื่อไหร่ อีกอย่างพวกเขายังไม่ได้เป็นอะไรนอกจาก ‘คนรู้จัก’ เลยด้วยซ้ำ แต่ถึงจะแค่จับเนื้อผ้าไว้ ศรันย์ก็ยังรู้สึกได้ว่าช่วงตัวของอีกฝ่ายกระเพื่อมจากการหัวเราะ

เส้นตื้นจริงนะ...ถ้าไม่ติดว่าซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์อยู่ล่ะน่าดู...

คนซ้อนคิดขณะมองต้นคอของอีกฝ่ายในระยะใกล้ ตอนแรกเขานึกว่าปราบพงศ์รูปร่างผอมสูง แต่พอได้กอดเอวเมื่อครู่ถึงได้รู้ว่าหมอนี่ก็ซ่อนรูปเหมือนกัน ที่แน่ๆ ช่วงไหล่ด้านหลังกว้างผิดตาทั้งที่สูงกว่าไม่เท่าไหร่

สายลมที่พัดปะทะหน้าและลำตัว รวมทั้งสรรพเสียงรอบกายที่สัมผัสได้ชัดเจนขึ้น ต่างจากเวลานั่งรถแท็กซี่ทำให้ศรันย์เริ่มละความสนใจจากคนขับไปยังสิ่งรอบๆ ตัวเช่นร้านค้าบนทางเท้าและผู้คนบนรถแทน และพบว่าการเปลี่ยนบรรยากาศแบบนี้ก็แปลกใหม่ดีไปอีกแบบ

จะว่าไป...ก็ไม่ได้นั่งมอเตอร์ไซค์นานแล้วเหมือนกันนี่นะ...


“นี่ จากแยกนี้คุณจะให้ไปทางไหน?”

เสียงถามดังขึ้นเมื่อใกล้ถึงสี่แยก ศรันย์จึงดึงความสนใจกลับมาแล้วบอกทางที่จะเลี้ยวไปบ้านเขา ความรู้สึกวางใจที่ไม่รู้ว่าเริ่มซึมซาบเข้ามาตอนไหนทำให้เขาลดความเกร็งในการซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไปได้มาก

ราวสิบห้านาทีหลังผ่านสี่แยก ศรันย์ก็ต้องคอยชี้บอกทางเข้าบ้านตลอดเพราะเส้นทางค่อนข้างคดเคี้ยว กระทั่งผ่านทางลัดที่เขาคุ้นเคยเข้ามาในหมู่บ้านจัดสรรที่สร้างมานานหลายปี ชายหนุ่มก็ชี้ให้ปราบพงศ์จอดรถที่หน้าบ้านหลังหนึ่งตรงสุดซอยซึ่งเป็นทางตัน

“ขอบคุณที่มาส่ง นึกว่าจะมาไม่ถึงบ้านแล้ว”

ศรันย์ไม่วายจิกกัดขณะลงจากรถมอเตอร์ไซค์ ปราบพงศ์จึงหัวเราะเสียงดัง “อะไรกัน ผมว่าผมออกจะขับแบบเรียบร้อยนะ ไม่ปาดไม่แซงใครสักคัน”

จริงๆ ก็เป็นแบบนั้นแหละ แต่เขาหมั่นไส้เลยไม่อยากชมนี่นา ศรันย์คิดพลางยกมือขึ้นเพื่อจะปลดสายรัดใต้คางของหมวกกันน็อก แต่ไม่รู้ว่าทำไมปลดไม่ออก ปราบพงศ์เห็นคิ้วที่ขมวดยุ่งของอีกฝ่ายเลยช่วยยื่นมือออกปลดตัวล็อกให้

สัมผัสจากปลายนิ้วไล้โดนผิวแก้มเขาแผ่วๆ ศรันย์จึงยืนนิ่งและเม้มปากแน่น ยังดีว่าตรงนี้มีแค่แสงไฟจากรั้วบ้านข้างๆ ส่องลงมา ไม่อย่างนั้นคนที่กำลังมองคงได้เห็นหลักฐานว่าผิวแก้มเขาเพิ่มอุณหภูมิขึ้นอย่างปกปิดไม่ได้

"บ้านปิดไฟมืดเชียว คนอื่นยังไม่กลับกันเหรอ?"

ปราบพงศ์ถามหลังจากช่วยถอดหมวกกันน็อกเสร็จ ใจยังนึกเสียดาย อยากอ้อยอิ่งปลายนิ้วบนแก้มคนตรงหน้านานๆ แต่ขืนทำแบบนั้นเดี๋ยวจะพาลโดนโมโหเอา ก็เจ้าตัวเล่นเม้มปากแถมทำหน้าดุเสียขนาดนั้น

ไม่นึกว่าคำถามลอยๆ เพื่อคลายความอึดอัด จะทำให้บรรยากาศอ่อนหวานเมื่อครู่ปลาสนาการโดยสิ้นเชิง

“ผมอยู่คนเดียวนี่แหละ พ่อกับแม่เสียไปนานแล้ว”

หน้าดุเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นขรึมในทันใด ทว่าปราบพงศ์จับรอยเศร้าหมองเลือนลางที่แทรกอยู่ในน้ำเสียงและแววตาได้ เขาจึงอ้ำอึ้งไปชั่วขณะ

หรือว่าบางที...นี่เป็นสาเหตุให้ไม่ค่อยอยากสนิทสนมกับใครหรือเปล่านะ...

“ขอโทษนะ ผมไม่น่าถามเลย”

ศรันย์เหลือบตาขึ้นมองตาคนพูดตรงๆ ประโยคนั้นเป็นประโยคที่เขาได้ยินมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่ที่เสียบุพการีทั้งสองไปในอุบัติเหตุทางรถยนต์สมัยยังเป็นนักศึกษา การเป็นลูกคนเดียวไม่มีญาติพี่น้องทำให้เขาต้องปกป้องดูแลตัวเองมาตลอด มรดกทุกบาททุกสตางค์ก็ถูกใช้เป็นทุนการศึกษา ตอนนี้บ้านหลังนี้จึงเป็นมรดกอย่างเดียวที่เหลือไว้ให้เขาได้หวนรำลึกถึงวันคืนเปี่ยมสุขสมัยเด็ก

เขาชินแล้วที่จะโดนมองว่าเป็นคนที่แตกต่างจากคนอื่น ไม่ว่าจะในแง่ที่ต้องส่งเสียตัวเองเรียน หรือเรื่องที่ไม่มีพ่อแม่มาคอยแสดงความยินดีในโอกาสใดๆ แต่ส่วนมากสายตาเหล่านั้นมักจะมองมาด้วยความสงสารเวทนา หรือไม่ก็สนใจใคร่รู้ในแบบที่ทำให้เขาอยากปิดปากเงียบ ไม่เหมือนกับสายตาที่กำลังสะท้อนภาพเขาในตอนนี้...ที่ราวกับจะบอกว่าอยากรับฟังเรื่องราวของเขาให้มากขึ้น...ถ้าหากเขายินดีที่จะเล่าออกไป และนั่นยิ่งทำให้ศรันย์ไม่ชอบใจเข้าไปใหญ่

อะไรกันล่ะ...ฉันกับนายเพิ่งจะเจอกันสองครั้งเองนะ อย่ามาทำสายตาแบบนั้นหน่อยเลย...

“ช่างมันเถอะ เรื่องมันตั้งหลายปีแล้ว ขากลับออกไปก็ขับรถดีๆ ล่ะ หมาหมู่บ้านนี้มันดุ”

ศรันย์ขู่พลางเลื่อนประตูรั้วเหล็กหลังจากปลดล็อกด้วยกุญแจรหัส คำพูดนั้นบ่งบอกถึงการตัดบทกลายๆ โดยไม่สนใจจะให้ความหวังในการสานสัมพันธ์ต่อ แต่ปราบพงศ์ก็พอจะสัมผัสได้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะเซ้าซี้ เพราะเขาคงเผลอไปจุดไต้ตำตอเข้าโดยไม่เจตนา

แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องยอมจบความสัมพันธ์ที่เริ่มจะก่อตัวนี้ไปด้วยเสียหน่อย..

“ถ้างั้น...ไว้เจอกันใหม่นะ”

ปราบพงศ์เอ่ยทิ้งท้ายลอยๆ ขณะที่ศรันย์หมุนตัวมาเพื่อเลื่อนประตูปิด ทั้งคู่สบตากันแวบหนึ่ง ก่อนที่คนมาส่งจะยิ้มจนแก้มซ้ายอวดรอยบุ๋มให้และวนรถมอเตอร์ไซค์ออกไป ทิ้งให้ศรันย์ยืนมองตามจนลับสายตาโดยมีเพียงแสงสว่างจากเสาไฟฟ้าข้างถนนช่วย ชายหนุ่มถอนหายใจเพื่อระบายความรู้สึกโหวงหวิวในอก บอกไม่ถูกว่านั่นเป็นความเสียดายหรือความโล่งใจ

หมอนั่นคงแค่เห็นว่าเราแปลกดีละมั้ง คำพูดเมื่อกี้ก็คงแค่พูดลอยๆ เท่านั้นแหละ...

ศรันย์คิดพลางไขกุญแจเข้าไปในบ้าน เขาเปิดไฟแล้วก็วางกระเป๋าสะพายลงบนโซฟา ก่อนจะเปิดโทรทัศน์แล้วเดินต่อเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำใกล้ๆ กับห้องครัว หลังจากวักน้ำเย็นๆ ลูบหน้าจึงค่อยรู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง

ชายหนุ่มหยิบผ้าขนหนูที่แขวนไว้กับราวขึ้นมาซับน้ำ ก่อนจะปลดกระดุมคอเสื้อลงเพื่อระบายความร้อนจากเหงื่อที่ผุดซึม วูบหนึ่งที่สบตาตัวเองในกระจก เขาก็เอียงคอมองใบหน้าที่เห็นอยู่ทุกวันอย่างสงสัย

หากจะบอกว่าเขาหน้าตาดีไหม ก็ไม่ได้ถึงกับจะสะดุดตาใครตั้งแต่แรกพบ จะมีจุดเด่นที่ใครๆ ชอบชมอยู่บ้างก็คิ้วที่หนาเป็นปื้นกับตาสองชั้นที่ได้จากพ่อ เพราะองค์ประกอบอื่นๆ ก็ธรรมดา ไม่ได้ทำให้ใครเห็นแล้วจะต้องเหลียวหลังหรือชวนเข้าวงการเสียหน่อย แต่หมอนั่น...ปิง...กลับไม่เถียงสักคำตอนที่เขาโพล่งออกไปอย่างรู้ทันว่าจะจีบ นี่มาเล็งเห็นเสน่ห์อะไรในตัวเขาที่เขาก็ไม่เคยเห็นหรือยังไง

ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปทุกที

ศรันย์ส่ายหน้า ก่อนจะหันไปพาดผ้าขนหนูไว้ที่เดิมและเริ่มถอดเสื้อเพื่ออาบน้ำ ขณะที่ก้าวเข้าไปยืนใต้ฝักบัวให้สายน้ำเย็นๆ ชำระล้างความเหนื่อยล้าออกจากร่างกายเปลือยเปล่า ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงรอยยิ้มของคนที่มาส่งเมื่อหัวค่ำ รวมทั้งน้ำเสียงเนิบทุ้มแบบคนใจดี แล้วก็รอยยิ้มที่มักจะเห็นเขี้ยวซี่เล็กๆ กับลักยิ้มบนแก้มซ้ายด้วย ราวกับเจ้าตัวจงใจทำให้เขาเห็นบ่อยๆ จะได้ลืมไม่ลงอย่างไรอย่างนั้น

เขาว่ากันว่าความประทับใจแรกคือตัวตัดสินว่าจะทำให้เราอยากทำความรู้จักกับใครหรือไม่ แต่ที่เขาจำได้น่ะ แค่ความประทับใจแรกก็น่าจะติดลบแล้วนี่นา ในเมื่อเขาไม่ได้ไปทำท่าทางน่ารักหรือพูดจาภาษาดอกไม้ใส่เลยสักคำ แต่ไปๆ มาๆ กลับได้นั่งคุยจนกระทั่งอาสาพามาส่งถึงบ้าน สงสัยรสนิยมหมอนี่คงมีปัญหาแหงๆ เพราะคนอื่นเจออย่างนี้คงไม่อยากเจอเขาเป็นครั้งที่สองแล้ว แต่นี่กลับพูดเหมือนไม่อยากให้รีบเลิกราทั้งที่ยังไม่ได้เริ่ม...หากจะให้หาคำไหนมาบรรยายพฤติกรรมของคนที่มาส่งเมื่อเย็น เขาก็คงนึกออกได้แค่คำเดียว

“คนอะไร พิลึกจริงๆ”


++---TBC---++


A/N: อีกไม่กี่ตอนก็ลงทันตอนที่ลงในแฟนเพจแล้วค่ะ ฝากติดตามกันด้วยนะคะ ^____^




 

Create Date : 08 มิถุนายน 2555    
Last Update : 10 มิถุนายน 2555 20:40:44 น.
Counter : 875 Pageviews.  

เหตุเกิดจากวันนั้น...2


แนะนำ
สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ


++------++


ตอนที่ 2.



ท่ามกลางไอร้อนระอุที่รุมล้อมจากทั้งบนฟ้าและทางเท้าจนทำให้แผ่นหลังใต้เสื้อเชิ้ตเปียกชุ่ม ศรันย์หยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อก่อนจะเก็บลงที่เดิม จากนั้นก็ยกมือขึ้นคลายเน็คไทบนคอให้หลวมเพื่อจะได้หายใจสะดวกขึ้นบ้าง

แย่ชะมัด เมื่อวานฝ่ายประสานงานดันเตรียมเอกสารมาให้ลูกค้าไม่ครบ แถมเป็นลูกค้ารายใหญ่ เขาเลยต้องเสียเวลาเอามาให้ลูกค้าเองแทนที่จะใช้เมสเซนเจอร์ไปซะฉิบ...

ศรันย์นึกบ่นในใจหลังจากเดินออกมาพ้นสำนักงานของลูกค้า ขณะที่กำลังจะเดินต่อไปยังป้ายรถเมล์ เท้าสองข้างก็ชะลอลงเมื่อพบว่าตนกำลังเดินผ่านหอศิลปะที่เขาเพิ่งจะมาแวะไปเมื่อวาน ชายหนุ่มหยีตาขึ้นมองอาคารที่ทาสีอ่อนพลางนึกถึงคำพูดของใครบางคน

‘ท่าทางคุณยังเดินดูไม่ทั่วเลยใช่ไหมล่ะ พรุ่งนี้มาอีกสิ เดี๋ยวผมพาเดินดูแล้วอธิบายให้เอง’

มือข้างหนึ่งของศรันย์ล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง ขณะที่มืออีกข้างจับสายสะพายกระเป๋าอย่างชั่งใจ แต่ยิ่งยืนนานเข้าก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวชุ่มเหงื่อขึ้นทุกที เลยตัดสินใจก้าวขาตรงเข้าไปในตึกเสียเพื่อหลบเปลวแดดและความร้อน เพราะถึงยืนตรงนั้นนานไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น

ก็แค่จะเข้ามาเดินตากแอร์ให้ตัวแห้งเท่านั้นแหละน่า ไม่ใช่ว่าฉันมาตามคำเชิญของนายหรอกนะ...

ศรันย์คิดในใจ ก่อนจะระบายลมหายใจยาวเมื่อได้ทิ้งอากาศร้อนอันแผดเผาไว้ด้านนอก จำนวนคนที่มาเดินชมนิทรรศการยังคงน้อยเหมือนเมื่อวานเพราะเป็นเวลาบ่ายของวันธรรมดา กระนั้นเขาก็ไม่คิดว่าที่นี่จะครึกครื้นเหมือนห้างสรรพสินค้าฝั่งตรงข้าม ต่อให้เป็นวันหยุดก็ตามทีเถอะ

เนื้อผ้าที่อุ้มเหงื่อจนแนบติดแผ่นหลังค่อยๆ แห้งลงทีละนิด ศรันย์ตัดสินใจดึงเนคไทออกแล้วม้วนเก็บใส่กระเป๋าสะพาย จากนั้นก็เดินขึ้นบันไดเลื่อนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงชั้นที่จัดนิทรรศการซึ่งดูค้างไว้เมื่อวาน พอกำลังจะเดินเข้าไปด้านในก็โดนเสียงหวานเล็กรั้งฝีเท้าไว้

"สวัสดีค่า เชิญลงทะเบียนก่อนเข้าชมงานนะคะ"

สาวน้อยซึ่งนั่งเฝ้าโต๊ะลงทะเบียนด้านหน้าทักทายเขาพร้อมรอยยิ้ม ศรันย์จึงแวะลงชื่อในสมุดพลางเหลือบมองเก้าอี้ว่างตรงข้างๆ ของเธอ แต่ก็ตัดสินใจไม่ถามอะไรและเพียงแต่รับแผ่นพับก่อนจะเดินเข้าไปชมนิทรรศการ

จะว่าไป...รู้งี้ไม่ทิ้งโบรชัวร์เมื่อวานไปซะก็ดี เปลืองกระดาษชะมัด...

ชายหนุ่มคิดขณะเดินเข้าไปในส่วนจัดแสดงภาพวาดที่ส่งเข้าประกวดในหัวข้อความงามขององค์ประกอบระหว่างแสงกับเงา โดยแต่ละภาพจะจัดแสดงห่างๆ กัน และข้างๆ ภาพจะมีคำบรรยายที่พิมพ์ใส่กระดาษสีขาวแปะเอาไว้ ศรันย์มองแต่ละภาพไปก็ต้องยอมรับว่าเขาคงไม่มีหัวทางศิลปะมากพอ เพราะบางภาพก็พอจะเรียกว่า ‘สวย’ ในสายตาเขาได้ แต่บางภาพนี่สิ...ไม่รู้ว่าคนวาดตั้งใจให้คนมองจากองศาไหนถึงจะเห็นความงามที่ซ่อนอยู่เอาเสียเลยจริงๆ

หลังจากเดินชมนิทรรศการซึ่งกินพื้นที่ทั้งชั้นครบ ศรันย์ก็เดินวนมาตรงจุดที่จัดแสดงภาพที่ได้รับรางวัลชนะเลิศอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะว่าภาพนั้นเป็นภาพที่ใหญ่ที่สุดหรือเพราะเป็นภาพที่ชนะการประกวด แต่ภาพของแสงสีใบไม้ที่ปลิดปลิวอยู่บนสะพานซึ่งทอดไปเหนือผิวน้ำช่างให้ความรู้สึกสงบ และฝีแปรงที่สะท้อนว่าจิตรกรผู้รังสรรค์ภาพตั้งใจใส่รายละเอียดทุกครั้งที่จรดพู่กันก็สะกดสายตาเขาไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว

ถ้าไม่ใช่เพราะมีไอ้บ้าบางคนมาส่งเสียงกดชัตเตอร์จากข้างหลัง เขาก็คงไม่พาลหงุดหงิดหมดอารมณ์ที่จะยืนมองภาพนี้ไปเรื่อยๆ หรอก...

พอคิดถึงตรงนี้ อารมณ์ของศรันย์ก็ขุ่นขึ้นเล็กน้อย วูบหนึ่งก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไอ้งั่งที่ย้อนกลับมาดูนิทรรศการนี้ราวกับตอบรับคำเชิญที่ผู้ชายคนเมื่อวานมอบให้ไม่มีผิด ทั้งๆ ที่หมอนั่นก็คงจะชวนทุกคนในฐานะเจ้าหน้าที่เพื่อเพิ่มจำนวนคนมาดูเท่านั้นแหละ

ชายหนุ่มมองภาพวาดที่สะกดสายตาเขาไว้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินจากมา อย่างน้อยๆ เขาก็บรรลุวัตถุประสงค์ที่จะเข้ามาเดินตากแอร์ให้เสื้อแห้งแล้ว ต่อไปนี้ก็คงไม่ต้องมาทำธุระแถวนี้อีกเพราะที่ทำงานเขาก็ไม่ได้อยู่ใกล้ๆ ถือเสียว่าเข้ามาพักสายตา ‘เสพ’ งานศิลป์ให้ดูรุ่มรวยเหมือนบุปผาชนแบบที่ปกติไม่ทำก็แล้วกัน

“อ๊ะ เดี๋ยวรบกวนช่วยกรอกแบบสอบถามหลังชมนิทรรศการเสร็จหน่อยได้ไหมคะ?”

สาวน้อยที่นั่งเฝ้าโต๊ะเมื่อครู่รีบลุกแล้วยื่นแบบสอบถามที่ทำจากกระดาษเอสี่มาให้ ศรันย์ลังเลนิดหนึ่งก่อนจะรับมาเขียนให้ตามมารยาท เสร็จแล้วก็ส่งแบบสอบถามคืนและเดินลงบันไดเลื่อนมาชั้นล่าง

จะห้าโมงแล้วสิ...เดี๋ยวหาข้าวเย็นกินแถวนี้ค่อยกลับบ้านก็แล้วกัน...

ศรันย์คิดขณะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ถึงแม้เขาจะไม่ได้รักใคร่หน้าที่การงานที่ทำอยู่สักเท่าไหร่ แต่การที่ทางบริษัทไม่ค่อยเคร่งเรื่องเวลาออกงานสำหรับพนักงานขายก็ถือเป็นข้อดีที่ทำให้เขาไม่ค่อยเบื่องานนัก ความที่ไม่ทันได้มองทางตอนลงมาถึงชั้นล่าง พอศรันย์จะเลี้ยวไปทางประตูจึงชนกับคนที่เดินสวนมาอย่างจัง

“ขอโทษครับ! อ้าว คุณ”

แน่นอนว่าคำขอโทษไม่ได้ออกมาจากปากของศรันย์ก่อนแน่ๆ เขาขมวดคิ้วมองคนที่ยื่นมือมาช่วยจับแขนไว้ไม่ให้หงายหลัง และยิ่งรู้สึกว่าหว่างคิ้วมุ่นเข้าหากันมากขึ้นเมื่อเห็นว่าคนที่เพิ่งเดินชนคือคนเดียวกับที่ทำให้อารมณ์เสียเมื่อวาน

“เฮ้! เดี๋ยวก่อนสิ จะกลับแล้วเหรอ?"

ปราบพงศ์ถามเมื่ออีกฝ่ายสะบัดแขนออกแล้วเดินหนี ใบหน้ายุ่งๆ นั้นดูเผินๆ เหมือนเด็กที่กำลังไม่สบอารมณ์ ทั้งที่เขาคิดว่าอายุของพวกเขาคงไม่ห่างกันสักเท่าไหร่ เผลอๆ อาจจะรุ่นเดียวกันเสียด้วยซ้ำ

“ก็ดูเสร็จหมดแล้วนี่”

คนเดินนำตอบโดยไม่เหลียวกลับไปมอง ฝ่ายปราบพงศ์ที่เดินตามจึงได้แต่ยิ้มหน่ายๆ ขณะมองแผ่นหลังตั้งตรงของคนที่กำลังเดินไปที่ประตู

ทั้งดื้อทั้งกวนเลยสิน่า....แต่ทำไมเขาไม่ยักเข็ดที่จะคุยด้วยก็ไม่รู้สิ...

ปราบพงศ์ก้าวเร็วๆ จนไปหยุดหน้าประตูทันก่อนอีกฝ่ายจะผลักออกไป พอศรันย์ขมวดคิ้วมอง เขาก็พยักหน้าขึ้นไปชั้นบน

“ออกไปตอนนี้แดดก็ยังร้อน ไหนๆ ก็อุตส่าห์ได้เจอกันอีกที ให้ผมเลี้ยงกาแฟคุณสักแก้วได้มั้ย?”

ศรันย์ยืนกอดอกมองคนถาม โชคดีที่ตอนนี้ไม่มีคนเดินเข้าออกอาคาร ไม่อย่างนั้นพวกเขาสองคนคงขวางทางคนอื่นอย่างไม่ต้องสงสัย

“ผมแต่งงานมีลูกแล้ว”

ปราบพงศ์ชะงักไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น นัยน์ตาสีดำสนิทเบิกกว้างเหมือนไม่เชื่อหูขณะมองคนตรงหน้า เนื่องจากวันนี้เจ้าตัวไม่ผูกเนคไท ประกอบกับเสื้อเชิ้ตที่ใส่ก็เป็นสีขาว พอมองผ่านๆ เลยดูเหมือนนักศึกษามากกว่าพนักงานบริษัท

“เอ่อ....”

“ถ้าผมพูดแบบนี้ คุณยังจะจีบผมอีกมั้ย?”

ศรันย์ถามหน้าตาย ถึงจะไม่ใช่คนที่มนุษยสัมพันธ์เป็นเลิศ แต่เขาก็ไม่ได้ซื่อบื้อขนาดจะตีความไม่ออกว่าคนที่ชวนแบบนี้มีจุดประสงค์อย่างไร เขาอยากรู้นักว่าถ้าโดนตัดบทขนาดนี้แล้ว หมอนี่จะยังอยากทำความรู้จักเขาต่ออยู่หรือเปล่า

ปราบพงศ์ไม่นึกว่าจะโดนแทงใจดำ ประกอบกับนัยน์ตาของอีกฝ่ายที่จับจ้องเขาตรงๆ เลยทำให้ผิวหน้าร้อนผ่าวขึ้น แต่ก็ตัดสินใจไม่ยอมแพ้

"ผมไม่เชื่อ...คุณหน้าเด็กเกินไปที่จะมีครอบครัว อีกอย่างบุคลิกคุณดูยังไงก็ยังไม่น่าจะมีแฟน"

พูดไปแล้วปราบพงศ์ก็ได้แต่กลั้นหายใจ ไม่รู้เพราะความอยากเอาชนะหรือผีบ้าอะไรเข้าสิงที่ทำให้หลุดปากไปแบบนั้น ทั้งที่ฟังแล้วมันไม่น่าจะให้ผลลัพธ์ที่เขาต้องการสักนิด แต่ฝ่ายนั้นรวนใส่เขาก่อนเองนี่นา

ทั้งสองยืนสบตาหยั่งเชิงกันหน้าประตูอย่างไม่มีใครยอมลงให้ก่อน คนที่ผ่านไปมาจึงเริ่มหันมามองอย่างสนใจ ศรันย์มองคนที่ยืนขวางประตูแล้วก็มั่นใจว่าหมอนี่คงไม่เปิดทางให้เขากลับง่ายๆ แน่

เอาวะ...ก็ไม่ได้จะรีบร้อนไปไหนต่อเสียที่ไหน...

“ร้านอยู่ไหน?”

“หือ?”

ปราบพงศ์ส่งเสียงแทนคำถามอยู่ในคอ ศรันย์เลยทำสายตาเหนื่อยหน่าย “ตกลง คุณเดาถูกว่าผมยังโสด จะเลี้ยงกาแฟผมไม่ใช่รึไง ร้านอยู่ไหนล่ะ?”

คำตอบที่บอกให้รู้ว่ายอมโอนอ่อน แม้จะมากับน้ำเสียงและใบหน้าที่ไม่ค่อยกระตือรือร้นสักเท่าไหร่ทำให้ปราบพงศ์ใจชื้นขึ้น ชายหนุ่มคลี่ยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคำตอบที่น่าพอใจ ศรันย์จึงค่อยรู้สึกว่าหน้าจืดๆ ของคนตรงหน้า เวลายิ้มก็ดูเข้าทีไม่ใช่เล่น สงสัยจะเพราะเขี้ยวกับลักยิ้มข้างแก้มที่ชอบโผล่มาเวลาเจ้าตัวยิ้มนั่นกระมัง

แต่เรื่องอะไรจะต้องบอกให้ดีใจ...ยังไม่รู้จักกันดีเลยนี่นา

“อยู่ข้างบนนี่แหละ ร้านนี้ชงกาแฟอร่อยนะ เวลาพักผมก็ชอบไปนั่งเล่นที่นี่”

ศรันย์พยักหน้ารับรู้พลางเดินตามคนชวนไปที่บันไดเลื่อน รู้สึกแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่ยอมปล่อยการ์ดป้องกันตัวลงอย่างง่ายดายขนาดนี้ บางทีอาจเพราะการเป็นพนักงานขายทำให้เขาต้องคอยตามเล่ห์เหลี่ยมของลูกค้าที่ชอบตุกติกให้ทัน พอเจอคนที่พูดและแสดงความรู้สึกออกมาตรงๆ ก็เลยรู้สึกว่าแปลกใหม่ดีก็เป็นได้

ทั้งคู่มาถึงร้านกาแฟที่ตกแต่งแบบเรียบง่ายแต่ก็อบอุ่น โต๊ะและเก้าอี้ในร้านทำจากไม้ขนาดกะทัดรัด มีหมอนอิงแฮนด์เมดที่ทำจากผ้าหลากสีวางอยู่ตามโต๊ะ ทำให้รู้สึกถึงความเป็นกันเองของเจ้าของสถานที่ ปราบพงศ์ทักหญิงสาวที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ชงเครื่องดื่มอย่างคุ้นเคยก่อนจะสั่งกาแฟร้อนซึ่งเป็นเมนูประจำตัว จากนั้นก็หันกลับมาถามคนที่หยุดอยู่ข้างหลัง

“ผมสั่งของผมไปแล้วนะ แล้วของคุณจะเอาอะไรดี? คุณ...”

“หนุ่ย ผมไม่กินกาแฟ ขอชานมเย็นไม่หวานมากก็แล้วกัน”

ศรันย์บอกชื่อเล่นพลางสั่งเครื่องดื่มให้ตัวเองเสร็จสรรพ จากนั้นก็เดินไปเลือกที่นั่งซึ่งอยู่มุมในสุดและติดกระจก ปราบพงศ์จึงเดินตามไปนั่งลงเพราะเจ้าของร้านจะนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟให้ทีหลัง

“จะมาวันนี้ทำไมไม่โทรมาหาผมล่ะ เมื่อวานก็ให้ชื่อกับเบอร์โทรไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”

ศรันย์ซึ่งกำลังหยิบนิตยสารแถวนั้นมาพลิกดู พอได้ยินคำถามก็ทำปากยื่นขึ้นนิดหนึ่ง “ทิ้งโบรชัวร์ไปแล้ว ไม่ได้คิดว่าวันนี้จะมาอีก”

“อ้าว ถ้างั้นทำไมถึงมาล่ะ?”

ปราบพงศ์ถามต่อ นี่ถ้าคนอื่นมาเจอคนที่ชอบตอบคำถามแบบมะนาวไม่มีน้ำเช่นคนตรงหน้าคงเลิกคุยไปแล้ว แต่น่าประหลาดที่เขากลับยิ่งรู้สึกว่าอยากยั่วให้อีกฝ่ายพูดกับเขาเยอะๆ ขึ้น ก็เลยไม่ล้มเลิกความพยายามที่จะป้อนคำถามให้อีกฝ่ายตอบเรื่อยๆ

ศรันย์เหลือบตาขึ้นมองคนถาม ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าของร้านนำเครื่องดื่มของทั้งคู่มาเสิร์ฟ เขาจึงหยิบชานมของตัวเองมาใช้หลอดคนแล้วดูดเสียอึกใหญ่ก่อนจะตอบ “พอดีมีธุระเลยต้องมาหาลูกค้าแถวนี้ ตอนออกมาอากาศมันร้อนก็เลยแวะเข้ามาตากแอร์เฉยๆ ไม่ใช่เพราะมาตามคำชวนของคุณหรอก”

นี่อาจเป็นประโยคที่ยาวที่สุดที่ศรันย์เอ่ยนับตั้งแต่ทั้งคู่เริ่มบทสนทนา หากมองในแง่หนึ่ง คำอธิบายนั้นก็ช่างแห้งแล้งไร้ไมตรีจิตสิ้นดี แต่หากมองในอีกแง่...ก็ตีความได้ว่าน้ำแข็งที่จับตัวเป็นเกราะบางๆ รอบตัวอีกฝ่ายค่อยๆ ละลายลงทีละน้อย เพราะคนพูดไม่ได้เล่นแง่เหมือนตอนที่อ้างว่ามีครอบครัวต้องกลับไปดูแลเมื่อครู่ เพียงแต่ตอบเฉยๆ ตามที่ใจคิดเท่านั้น

และปราบพงศ์เลือกจะตีความตามแบบหลังมากกว่า

“คุณทำงานอะไรเหรอ?”

คำถามนั้นทำให้ศรันย์มองหน้าคนถามเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะยักไหล่แล้วหยิบนามบัตรออกจากกล่องโลหะเล็กบางมายื่นให้ ปราบพงศ์จึงได้เห็นชื่อและนามสกุลรวมทั้งที่ทำงานของอีกฝ่ายในคราวเดียว

“บริษัทผมขายเครื่องเขียนส่งให้พวกสำนักงาน พอดีมีธุระต้องมาหาลูกค้าแถวนี้ จริงๆ ลูกค้ารายนี้เป็นของรุ่นพี่ที่เพิ่งออกไปก็เลยต้องมาดูแลแทน ไม่งั้นปกติไม่มาแถวนี้หรอก”

ปราบพงศ์พยักหน้าพลางทักยิ้มๆ “ศรันย์...ชื่อเข้ากับคุณดีนะ ชื่อเล่นว่าหนุ่ยก็เหมือนกัน”

ชายหนุ่มเอ่ยพลางเก็บนามบัตรใบนั้นลงกระเป๋าเสื้อ ท่าทีที่ปฏิบัติกับกระดาษแข็งสี่เหลี่ยมเล็กๆ ใบนั้นอย่างทะนุถนอมทำให้ศรันย์เอียงคอแล้วเท้าคางมองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา

“คุณ...ชื่อปิงใช่มั้ย?”

“อื้อ จำได้ด้วย?”

ปราบพงศ์ถามอย่างแปลกใจ เพราะเห็นอีกฝ่ายบอกว่าทิ้งโบรชัวร์ไปแล้ว เขาก็นึกว่าคงลืมชื่อที่เขียนให้ไปด้วยแล้วเสียอีก ศรันย์จึงยกมุมปากขึ้นนิดหนึ่ง นิดเดียว...แต่ก็ยังถือได้ว่าเป็นยิ้มแรกนับจากได้เจอกันจนทำเอาหัวใจของปราบพงศ์กระตุก

“เป็นเซลส์ก็ต้องความจำดีอยู่แล้วสิ ว่าแต่คุณนี่....นิสัยพิลึกจริงๆ นะ”


++---TBC---++


A/N: พอดีตอนนี้มีเนื้อหาสต็อคไว้บ้าง เลยจะลงวันละตอนให้ทันในแฟนเพจ เพราะที่นั่นคงได้อัพ 2-3 วันต่อหนึ่งตอน อาจสังเกตได้ว่าแต่ละตอนไม่ยาวเท่าไหร่ เพราะตั้งใจให้เรื่องนี้เป็นงานเขียนทดลองน่ะค่ะ ภาษาบรรยายก็จะพยายามให้น้อยลงกว่าปกติด้วย ไม่รู้อ่านแล้วห้วนๆ ไปรึเปล่านะ ^^a




 

Create Date : 05 มิถุนายน 2555    
Last Update : 5 มิถุนายน 2555 18:26:16 น.
Counter : 1018 Pageviews.  

เหตุเกิดจากวันนั้น...1


แนะนำ
สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ


++------++


ตอนที่ 1.



“แชะ”

เอาอีกแล้ว...

ศรันย์หันกลับไปมองด้านหลัง ตรงที่เขามั่นใจว่าเป็นต้นเสียงกดชัตเตอร์เมื่อครู่ ถึงแม้ว่าในนิทรรศการศิลปะเช่นนี้จะมีคนพกกล้องส่วนตัวเข้ามาถ่ายภาพหลายคน แต่ด้วยจำนวนคนที่เบาบางในช่วงบ่ายของวันธรรมดา ประกอบกับเขาได้ยินเสียงชัตเตอร์นี่ในระยะไม่ห่างตัวมาได้พักหนึ่งแล้ว ชายหนุ่มจึงค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองคือเป้าหมายของตากล้องแน่นอน

ชายหนุ่มสาวเท้าเร็วๆ เข้าไปหาคนที่กำลังหันหลังจะเดินจากไป จากนั้นก็รั้งไหล่อีกฝ่ายให้หันกลับมาหาโดยไม่สนมารยาท เขาทันได้เห็นแววตาประหลาดใจของคนที่น่าจะตัวสูงกว่าสักคืบหนึ่งเพียงแวบเดียว เพราะมัวแต่สนใจดึงกล้องถ่ายรูปออกจากมือเจ้าของ

“เฮ้ย! คุณ!! จะทำอะไรน่ะ!?”

ปราบพงศ์ร้องเรียกเมื่อจู่ๆ ก็ถูกฉวยกล้องไปจากมือแล้วเดินหนี แต่ศรันย์ไม่สนแล้วกดเปิดพรีวิวดูรูปในกล้องขณะก้าวยาวๆ ห่างเจ้าของกล้องออกมาเรื่อยๆ เขาหยุดยืนกับที่กะทันหันหลังจากไม่พบว่ามีภาพใดน่าสงสัย ก่อนจะหันกลับไปยื่นกล้องคืนให้คนที่รีบก้าวตามมาก่อนอีกฝ่ายจะชนเขาเข้าเพราะหยุดตามไม่ทัน

“เอาคืนไป”

ศรันย์ยัดกล้องใส่มือคนที่ตามมาเหมือนตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด จากนั้นก็หันหลังแล้วออกเดินต่อ ทำเอาปราบพงศ์ต้องเดินอ้อมเร็วๆ ไปดักหน้า

“เดี๋ยวสิ จู่ๆ คุณก็มาคว้ากล้องไปจากมือผม เอาไปเปิดดูแล้วก็เอามาคืนหน้าตายแบบนี้ จะไม่ขอโทษสักคำเลยรึไง?”

ศรันย์มองหน้าคนกล่าวหาพร้อมกับขมวดคิ้ว นัยน์ตาจับจ้องคนตัวสูงกว่านิดหนึ่งนิ่งๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “ขอโทษ มีอะไรอีกไหม?”

คำกล่าวขอโทษแบบง่ายๆ แต่ปราศจากความสำนึกผิดโดยสิ้นเชิงทำเอาปราบพงศ์พูดอะไรไม่ถูก เขายกมือเกาท้ายทอยเบาๆ ก่อนจะค่อยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนลง

“...ไม่มี เอ่อ...คุณเพิ่งมาดูนิทรรศการวันนี้เหรอ?”

ศรันย์ยกมือกอดอกพลางมุ่นหัวคิ้ว วันนี้เขาต้องมาหาลูกค้าแถวๆ นี้ พอเสร็จธุระก็ไม่จำเป็นต้องกลับเข้าออฟฟิศอีก แต่ยังไม่อยากตรงกลับบ้านทันทีก็เลยเข้ามาเดินเล่นในหอศิลป์นี่เพราะเห็นว่าเงียบสงบดี อีกอย่างเพราะแอร์เย็นด้วยก็เท่านั้น ไม่คิดว่าจะมาเจอเรื่องที่ทำให้อารมณ์ขุ่นแบบนี้เลยสักนิด

“ใช่”

“มาคนเดียว?”

“เห็นว่ามีตัวอะไรเกาะอยู่บนหลังไหมล่ะ?”

ศรันย์ถามกลับอย่างรวนๆ คนถามเลยทำหน้าเหมือนจะเจื่อนก็ไม่ใช่ จะหัวเราะก็ไม่เชิง สุดท้ายก็เพียงแต่ถอนหายใจเบาๆ แล้วยิ้ม

“ผมเป็นเจ้าหน้าที่ที่จัดนิทรรศการนี่เองแหละ พอดีผมต้องถ่ายรูปของคนที่มาชมงานเพื่อเอาไปทำรีพอร์ต เห็นว่าคุณสนใจดูงานที่จัดแสดงก็เลยถ่ายรูปเก็บไว้เฉยๆ ว่าแต่นี่จะกลับแล้วเหรอ?”

ตกลงยอมรับว่าถ่ายรูปเขาไว้จริงๆ สินะ ถึงแม้เหตุผลจะฟังขึ้นก็เถอะ ศรันย์มองอีกฝ่ายพลางคิดในใจ ว่าแต่ไอ้คำถามสุดท้ายนี่มันอะไรกัน?

“หมดอารมณ์จะดูต่อแล้ว แล้วถ้าไม่กลับตอนนี้เดี๋ยวรถติด”

ตอบไปอย่างไม่ได้ใส่ใจพลางทำท่าจะผละไป แต่คนถามยังอุตส่าห์จะก้าวเท้ามาขวางหน้าจนศรันย์ขึงตาใส่แทนคำถามว่า ‘มีอะไรอีก?’

“ท่าทางคุณยังเดินดูไม่ทั่วเลยใช่ไหมล่ะ พรุ่งนี้มาอีกสิ เดี๋ยวผมพาเดินดูแล้วอธิบายให้เอง ถือว่า...เอ่อ...แทนการขอโทษที่แอบถ่ายรูปแล้วทำให้คุณอารมณ์เสียก็แล้วกัน”

คราวนี้ศรันย์เลิกคิ้วแล้วตั้งใจมองคนตรงหน้าเหมือนมองตัวประหลาด ใครที่ไหนมันใช้วิธีนี้ขอโทษคนอื่นกันบ้าง? อีกอย่างคิดว่าเขามีเวลามากรึไงจะได้มาเดินทอดหุ่ยดูนิทรรศการศิลปะได้ทุกวัน วันนี้เขาแวะเข้ามาได้เพราะมีธุระแถวนี้หรอก!

“ไม่จำเป็น อีกอย่างผมไม่ได้ว่างขนาดนั้น กลับล่ะนะ”

ศรันย์เอ่ยพลางเดินหนีจริงๆ แต่พอก้าวลงบันไดเลื่อนไปแล้ว จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงวิ่งตึกตักตามมา พอหันกลับไปก็ตกใจที่เห็นผู้ชายคนเมื่อกี้วิ่งตามจนลงมาหยุดอยู่ขั้นบันไดเดียวกัน ยังไม่ทันจะเอ่ยอะไรก็โดนยื่นแผ่นพับทำจากกระดาษอาบมันมาให้

“อันนี้เป็นโบรชัวร์ของนิทรรศการนี้ ส่วนนี่เบอร์โทรผม ถ้าหากพรุ่งนี้มาตอนผมไม่อยู่ก็โทรมาบอกนะ บางทีผมออกไปทำธุระแถวๆ นี้บ้างแต่ไม่ไกลหรอก แล้วเดี๋ยวผมพาคุณเดินดูนิทรรศการเอง”

ปราบพงศ์อธิบายพลางยิ้มให้จนเห็นเขี้ยวซี่เล็กๆ กับลักยิ้มบนแก้มซ้าย พอทั้งสองลงมาถึงชั้นล่าง คนตัวสูงกว่านิดหน่อยก็เดินแยกไปขึ้นบันไดเลื่อนเพื่อกลับไปชั้นเดิม ศรันย์ขมวดคิ้วมองตามหลังอีกฝ่ายแวบหนึ่งก่อนจะยกแผ่นพับขึ้นมาอ่าน และเห็นลายมือพร้อมกับหมายเลขโทรศัพท์ซึ่งเขียนด้วยปากกาน้ำเงินบนมุมหนึ่งของแผ่นพับ

‘ปิง 086-935-XXXX’

ศรันย์มองขึ้นไปยังชั้นบนอีกครั้งและไม่พบคนที่เพิ่งให้แผ่นพับมาอีกแล้ว มีเพียงผู้มาชมงานที่เดินกันไปมาหรือกำลังขึ้นลงบันไดเลื่อนเท่านั้น เขาจึงหมุนตัวและเดินต่อไปยังทางออกของหอศิลป์ โดยระหว่างทางก็ขยำสิ่งที่อยู่ในมือทิ้งลงถังขยะไปด้วย แวบหนึ่งเขานึกถึงสีหน้ากระตือรือร้นของคนที่อุตส่าห์วิ่งตามเอาแผ่นพับมาให้ แต่ก็ไม่ได้นึกเสียดมเสียดายแผ่นพับหรือเบอร์โทรศัพท์ที่เพิ่งทิ้งไปสักนิด

จะว่าเขาเป็นคนไม่ค่อยมีมนุษยสัมพันธ์ก็คงไม่ผิดนัก ทั้งๆ ที่นั่นเป็นคุณสมบัติจำเป็นสำหรับคนที่เป็นพนักงานขาย กระนั้นศรันย์ก็ไม่เห็นความจำเป็นจะต้องสานมิตรภาพกับคนที่ดูเหมือนอยู่คนละโลกกับเขาเช่นผู้ชายคนเมื่อกี้ ในเมื่อคนที่จะมาดูนิทรรศการก็มีอีกตั้งหลายคน ถ้าหมอนั่นอยากแนะนำผลงานที่จัดแสดงให้ใครฟังจริงๆ ก็คงหาคนสนใจได้อยู่แล้ว พวกนักศึกษาศิลปะหรือพวกที่ชอบงานศิลป์จริงๆ ก็มีอยู่ถมไป ไม่ใช่เขาที่แค่เดินเข้ามาดูแบบผ่านๆ เพื่อฆ่าเวลาแน่ๆ

ชายหนุ่มชะงักฝีเท้าที่กำลังจะก้าวออกจากอาคารเมื่อความคิดสะดุดลง ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วเอี้ยวคอกลับไปมองบนชั้นลอยอีกครั้งราวสัญชาตญาณบอกว่ามีใครยืนมองอยู่ แล้วก็ไม่ผิดคาดเมื่อเห็นผู้ชายคนเมื่อครู่กำลังยืนโบกมือให้เขาจากชั้นบนอยู่จริงๆ ศรันย์ยืนมองตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วก็ตัดสินใจไม่โบกมือให้และเพียงแต่เดินออกจากอาคารด้วยฝีเท้ามั่นคง อดจะคิดในใจไม่ได้ว่า

‘คนอะไร นิสัยพิลึก’

นั่นเป็นความคิดสุดท้ายเกี่ยวกับชายแปลกหน้าที่ลอยอยู่ในหัว ก่อนที่ชายหนุ่มจะโบกมือเรียกแท็กซี่ที่ขับผ่านมาเพื่อให้ไปส่งที่บ้าน



++---TBC++



A/N: ตอนแรกตั้งใจจะเขียนเรื่องนี้เป็นเรื่องสั้น เลยเขียนทีละนิดๆ ลงในแฟนเพจเฟสบุ๊คไปก่อน กะว่าจบเมื่อไหร่ค่อยมาแปะในบล็อกทีเดียว แต่ไปๆ มาๆ ดูท่ามันจะหลายตอนกว่าที่คิดเสียแล้ว ก็เลยเอามาลงในบล็อกด้วยเลยก็แล้วกัน แต่ไม่ได้คิดโครงเรื่องใหญ่โตไว้ ก็คาดว่าน่าจะเขียนติดต่อกันได้จนจบในเร็ววันค่ะ ช่วยกันลุ้นหน่อยละกันนะ *__*;;




 

Create Date : 04 มิถุนายน 2555    
Last Update : 4 มิถุนายน 2555 22:15:57 น.
Counter : 1489 Pageviews.  

1  2  

Applebee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]






ลายปากกา



~ สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ~
ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมดหรือส่วนใดไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!

Friends' blogs
[Add Applebee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.