Group Blog
 
All blogs
 
ลำนำรักสีรุ้ง Extra Episode: ของขวัญที่เฝ้ารอ


แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ

ปล. สำหรับคนที่ชอบเป้กับวิว ทั้งคู่จะมีบทบาทอีกในเรื่อง เมื่อหัวใจเราใกล้กัน สามารถติดตามได้ในบล็อกนี้เช่นกันค่ะ


++------++


ลำนำรักสีรุ้ง Extra Episode : ของขวัญที่เฝ้ารอ


เสียงสัญญาณเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือที่ดังกังวานไปทั่วห้องทำให้ผมรีบหยิบผ้าขนหนูขึ้นซับหน้าแล้วตรงดิ่งไปหยิบมือถือขึ้นดู ทว่าหมายเลขโทรเข้ากลับไม่ใช่หมายเลขของคนที่รออยู่แต่เป็นชื่อ “Anonymous” ผมเลยขมวดคิ้วก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นรับ

“สวัสดีครับ”

“วิวเหรอ? นี่โอ๊คนะ เป็นไงบ้าง ไม่ได้คุยกันตั้งนาน”

เสียงของเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันมาเกือบปีทำให้ผมส่งเสียงอุทานด้วยความดีใจ “โอ๊คเหรอ? ไม่ได้คุยกันนานจริงๆด้วย นี่อยู่ที่ซิดนีย์อยู่ใช่มั้ย? หรือว่ากลับมาเยี่ยมบ้าน?”

“เปล่าๆ พอดีหม่าม้ามาเยี่ยม นี่ก็บ่นอู้เลยว่าอากาศร้อน เห็นว่าปีนี้ที่เมืองไทยหนาวมากนี่นา เราก็อยากกลับไปเยี่ยมแต่คงไปช่วงปิดเทอมใหญ่เลย แล้วนี่วิวอยู่ที่บ้านหรือเปล่า? ที่สกลฯน่าจะหนาวยิ่งกว่ากรุงเทพฯนี่”

เสียงใสเจื้อยแจ้วตามประสาคนช่างพูดจนผมต้องยิ้ม น้ำเสียงบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวคงสุขสบายดีกับการใช้ชีวิตนักเรียนนอก หลังจากที่โอ๊คบินไปออสเตรเลียแล้วส่วนใหญ่เราจะติดต่อกันทางอีเมล์เสียมากกว่าเลยไม่ค่อยได้คุยกันนัก ครั้งสุดท้ายที่เจ้าตัวโทรมาก็ตั้งแต่วันเกิดผมเมื่อปีที่แล้ว

“ปีนี้ไม่ได้กลับน่ะ พอดีช่วงหยุดยาวนี่พ่อกับแม่เค้าไปเที่ยวมาเลเซียกับพวกญาติๆ แต่ว่าเราไม่สบายก็เลยอยู่ที่หอนี่แหละ”

“อ้าว? แล้ววิวอยู่คนเดียวเหรอ เป้ไปไหนล่ะ?”

ผมเดินไปเลื่อนเปิดกระจกหน้าต่างเพื่อให้อากาศภายนอกถ่ายเทเข้ามาแล้วก็มองลงไปยังลานจอดรถที่มีรถยาริสสีดำของใครบางคนจอดอยู่ ที่จริงเจ้าของรถจะจอดทิ้งไว้ที่บ้านตัวเองก็ได้ แต่ก่อนวันเดินทางไปต่างประเทศเป้กลับเอากุญแจมาให้ผมแล้วบอกว่าฝากดูแลรถแทนให้ด้วย ทำอย่างกับว่าถ้าบินกลับมาปุ๊บก็ต้องตรงมาหาผมก่อนเพื่อเอารถคืนปั๊บอย่างนั้นแหละ ผมล่ะสงสัยจริงๆว่าเจ้าตัวเคยโดนที่บ้านถามบ้างหรือเปล่าว่าที่ไม่ชอบกลับบ้านนี่เพราะไปขลุกอยู่ที่ไหน

“เป้ไปเยี่ยมพี่ชายที่อังกฤษกับที่บ้านน่ะ เห็นว่าคงบินกลับมาก่อนเปิดเทอมวันนึงมั้ง”

“เหรอ...แต่อย่างนี้วิวก็ต้องอยู่คนเดียวทั้งที่ไม่สบายน่ะสิ”

“ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก แค่เจ็บคอนิดหน่อย เดี๋ยวกินยาลดไข้แล้วนอนพักก็น่าจะหาย”

“ได้ยังไง วิวไปหาหมอดีกว่า แล้วก็ให้ทายนะ นี่คงไม่ได้บอกเป้แหงเลยสิท่าว่าตัวเองไม่สบาย?”

โอ๊คจุ๊ปากแล้วก็ดักคออย่างรู้ทันจนผมยิ้มเจื่อนๆแม้อีกฝ่ายจะไม่เห็นก็ตาม

“เราไม่ได้เป็นอะไรจริงๆโอ๊ค ไม่ต้องห่วง”

ผมยืนยันไม่ลดละจนสุดท้ายคนทักก็ต้องยอมแพ้ “เอาเถอะ ว่าแต่นี่เดี๋ยวเราต้องออกไปข้างนอกกับหม่าม้าแล้วล่ะ เดี๋ยววันหลังจะโทรมาใหม่ ยังไงวิวอย่าลืมไปหาหมอนะ”

“อื้ม ขอบคุณนะโอ๊คที่โทรมาหา บาย”

ผมกดวางสาย ลมเย็นๆที่โชยเข้ามาจากช่องหน้าต่างที่เปิดไว้ทำให้เริ่มหนาวจนต้องรีบเลื่อนปิด ผมยกหลังมือขึ้นแตะหน้าผากตัวเองแล้วก็ต้องถอนหายใจ บางทีการไปหาหมอกันไว้ก่อนอย่างที่เพื่อนแนะนำอาจจะดีกว่าก็ได้


+------+


ผมปิดโทรทัศน์หลังจากไล่กดรีโมทครบทุกช่องจนวนกลับมาที่ช่องแรกเป็นรอบที่สอง ก่อนอาการคันและแสบร้อนในคอจะทำให้ต้องฝืนยกตัวที่เมื่อยล้าไปกดน้ำอุ่นจากกระติกมาจิบและเอาสองมืออังกับแก้วไว้ คุณหมอที่คลินิกบอกว่าคงเพราะอากาศที่หนาวจัดในปีนี้ประกอบกับไข้หวัดที่กำลังระบาดทำให้ผมไม่สบายขึ้นมา แต่ผมก็คิดเอาเองว่ายังดีที่เพิ่งจะมามีอาการเอาในช่วงวันหยุดที่ไม่ต้องมีธุระไปไหน ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดป่วยขึ้นมาระหว่างที่ยังสอบไม่เสร็จคงทำให้อารมณ์เสียแน่ๆ

ตอนแรกที่เป้มาบอกผมว่าต้องไปเยี่ยมพี่ชายที่ต่างประเทศกับครอบครัว ผมก็ตั้งใจว่าจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัดเหมือนกันเพราะวันหยุดปีนี้ยาวมาก แต่พอได้รู้ว่าพ่อกับแม่วางแผนจะไปเที่ยวมาเลเซียกันผมเลยขอตัวอยู่หอคนเดียว เพราะท่าทางก๊วนที่ไปด้วยก็คงมีแต่พวกญาติผู้ใหญ่ที่ผมไม่สนิท อีกอย่างต่อให้โดนกระเตงไปจริงๆ สังขารที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็คงทำให้ผมเที่ยวไม่สนุกอยู่ดี

นาฬิกาบนผนังชี้บอกเวลาสามทุ่มกว่าซึ่งถือว่ายังหัวค่ำอยู่มาก แต่อาการเวียนหัวที่คอยจู่โจมเป็นระลอกก็เหมือนจะส่งสัญญาณให้ผมรีบพักผ่อนเร็วๆ ผมเลยกินยาที่หมอสั่งให้สำหรับก่อนนอนแล้วปิดไฟในห้องจนเหลือเพียงโคมไฟหัวเตียง อุณหภูมิที่ลดต่ำลงอีกในยามค่ำทำให้ผมต้องเอาผ้าห่มมาคลุมตัวถึงสองชั้นแม้ว่าจะใส่เสื้อไหมพรมเนื้อหนาทับชุดนอนและสวมถุงเท้าแล้วก็ตาม

อาการสะบัดร้อนสะบัดหนาวและความปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อทำให้ผมนอนพลิกไปมาอย่างไม่สบายตัว ได้แต่พยายามข่มตาให้หลับขณะรอยาออกฤทธิ์เพื่อจะได้พักผ่อนเสียที ถึงแม้อาการป่วยที่เป็นอยู่ตอนนี้จะไม่ได้ถือว่ารุนแรงหนักหนาอะไร แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ชอบความรู้สึกว่าร่างกายกำลังอ่อนแอโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่ต้องอยู่คนเดียวแบบนี้อยู่ดี

หลังจากที่การข่มตาหลับอยู่เป็นนานไม่ส่งผล ผมเลยเอื้อมไปหยิบมือถือที่วางอยู่ข้างหมอนก่อนจะกดหาเบอร์คนที่ได้คุยกันครั้งล่าสุดเมื่อวานนี้ ทั้งที่ผมเคยบอกก่อนเจ้าตัวจะบินไปอังกฤษแล้วว่าอยู่ที่โน่นไม่ต้องโทรกลับมาทุกวันก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นพ่อตัวดีก็ไม่ยอมฟัง ยิ่งหลังจากผมหลุดปากว่าช่วงวันหยุดนี้ไม่ได้กลับบ้านเป้เลยยิ่งโทรมาเช็คทั้งเช้าทั้งเย็น แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เห็นแก่ตัวพอจะทำให้อีกฝ่ายกังวลใจเลยพยายามปิดเรื่องที่ตัวเองไม่สบายเอาไว้ พอเห็นเวลาที่เป้โทรมาหาครั้งล่าสุดผมก็อดนึกถึงบทสนทนาตอนนั้นขึ้นมาไม่ได้

.
.
.
.
.
.
.
.
.
.


“วิวกินข้าวหรือยัง แล้ววันนี้กะจะออกไปไหนหรือเปล่า?”

“เรียบร้อยแล้ว แต่วันนี้คงนั่งๆนอนๆอยู่ที่ห้องนี่แหละ แล้วเป้ล่ะ?”

“เห็นพ่อกับแม่คุยกันว่าอยากขึ้นไปดูปราสาทโบราณที่เอดินเบิร์ก แต่พี่ปิ่นกับยายปอนด์อยากข้ามไปเที่ยวปารีส เลยยังตกลงกันไม่ได้สักทีว่าจะไปไหนกันแน่”

เสียงที่แสดงความเซ็งของคนพูดทำเอาผมอมยิ้ม ความจริงแล้วเป้ก็เป็นคนชอบเดินทางท่องเที่ยวพอสมควร เคยขับรถพาผมไปเที่ยวต่างจังหวัดก็หลายครั้ง แต่เจ้าตัวเคยบอกว่าตั้งแต่โตมาไม่ค่อยชอบไปเที่ยวพร้อมหน้ากับครอบครัวเท่าไหร่เพราะคนยิ่งเยอะก็ยิ่งยุ่งยากเวลาจะตัดสินใจทำอะไรแต่ละที

“ดีจังนะ ครอบครัวได้ไปเที่ยวไกลๆด้วยกัน พี่ชายเป้คงดีใจที่ทุกคนไปเยี่ยม”

“ปูมก็คงดีใจแหละ แต่ก็แอบมาบ่นเหมือนกัน นี่ถ้ารู้ว่าวิวจะไม่กลับบ้านช่วงนี้เป้ชวนมานี่ด้วยแล้ว”

“บ้า จะให้ไปเป็นส่วนเกินในทริปครอบครัวคนอื่นได้ไง อีกอย่างค่าเครื่องบินวิวก็ไม่มี แล้วก็ไม่ต้องบอกนะว่าเป้จะออกให้ ถ้าพูดอย่างนั้นจะโกรธจริงๆด้วย”

ผมรู้ดีว่าเป้มีเงินเก็บในบัญชีเยอะเพราะได้หัดช่วยงานที่บริษัทของพ่อมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้เจ้าตัวจะชอบบอกว่าเรียนจบเมื่อไหร่จะไปสมัครงานที่อื่นเพราะไม่อยากสืบทอดธุรกิจครอบครัวก็ตามที แต่เพราะอีกฝ่ายก็คอยทำอะไรๆให้ผมมาตลอด อีกอย่างผมอยากรู้สึกว่าตัวเองเท่าเทียมเป้บ้าง ถ้าหากว่าเราเรียนจบและผมทำงานมีเงินเดือนแล้วก็คงไม่กระอักกระอ่วนเวลาเป้ชวนไปทำอะไรที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เพราะถึงแม้ฐานะทางบ้านผมจะถือว่าโอเคในระดับหนึ่งแต่ผมก็ไม่ชอบขอเงินพ่อแม่มาทำอะไรฟุ่มเฟือยอยู่ดี

ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองพูดเสียงแข็งไปหรือเปล่า แต่ท่าทางเจ้าตัวจะสำนึกได้ว่าพูดจี้จุดผมเข้าเลยตอบด้วยเสียงอ่อนลง “เข้าใจละ เอาไว้วิวพร้อมเมื่อไหร่เราค่อยมาเที่ยวกันเองสองคนก็แล้วกัน ว่าแต่ทำไมเสียงถึงแหบๆชอบกล ไม่สบายหรือเปล่า?”

จังหวะที่เป้ถามผมเกือบจะไออยู่แล้ว เลยต้องรีบยกแก้วน้ำขึ้นจิบแล้วสูดหายใจลึกๆก่อนจะพยายามปรับเสียงให้เป็นปกติที่สุดเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายจับได้

“เปล่านี่ สัญญาณไม่ค่อยดีเพราะโทรทางไกลหรือเปล่า วิวไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”

“แน่นะ?”

เสียงเข้มที่ทวนถามกลับมาอย่างระแวงทำให้ผมต้องรีบเบี่ยงประเด็นไปชวนคุยเรื่องอื่นแทน เพราะรู้ว่าถ้าบอกไปตามตรงคงทำให้เป้ไม่สบายใจและรู้สึกผิดที่ปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวแน่ๆ แต่กระทั่งก่อนจะวางสายผมก็ยังโดนยกเรื่องนี้ขึ้นมาถามอีกจนต้องตัดบทด้วยน้ำเสียงแกมรำคาญนั่นแหละพ่อคุณชายถึงได้เลิกเซ้าซี้

.
.
.
.
.
.
.
.
.
.


ผมกดปุ่มดูฟังก์ชันอื่นๆในมือถืออย่างเลื่อนลอยเพราะไม่รู้จะทำอะไร สุดท้ายเลยเปิดอัลบัมรูปในเครื่องดู ในนั้นมีโฟลเดอร์หนึ่งที่คนตัวโตถือวิสาสะเอามือถือผมไปถ่ายรูปตัวเองเก็บไว้ พอผมเปิดดูรูปของคนที่อุตส่าห์ถ่ายตัวเองไว้แล้วก็ต้องยิ้ม ปกติเป้ไม่ใช่คนบ้ากล้อง ถ้าจะถ่ายรูปก็ชอบถ่ายภาพวิวหรือภาพคนอื่นมากกว่า แต่สำหรับกล้องในโทรศัพท์ผมเจ้าตัวบอกว่ายกให้เป็นกรณีพิเศษ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะยกให้ทำไมทั้งที่ผมเองก็ไม่เคยขอสักหน่อย

ผมกดเลื่อนดูรูปไปเรื่อยๆระหว่างที่ยังนอนไม่หลับ พลันคลื่นแห่งความเหงาที่เริ่มสะสมมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ก็ถาโถมเข้าหา ความคุ้นเคยกับการที่ได้พูดคุย เห็นหน้าและสัมผัสเนื้อตัวกับใครบางคนทุกวันทำให้ผมชินกับการมีเป้อยู่ข้างๆไปโดยไม่รู้ตัว และถึงแม้ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเจ้าตัวจะอยู่ไกลถึงต่างประเทศ แต่เพราะเป้คอยโทรมาหาสม่ำเสมอทำให้ผมไม่ทันได้รู้สึกถึงความเหงาสักเท่าไหร่ แต่อาจเป็นเพราะร่างกายที่กำลังอ่อนแอบวกกับการไม่ได้อยู่คนเดียวมานาน การที่ไม่ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายแค่วันเดียวจึงทำให้ผมคิดถึงคนที่อยู่ไกลมากอย่างที่ไม่เคยคิดถึงขนาดนี้มาก่อน

ปลายนิ้วของผมเลื่อนไปที่หมายเลขโทรศัพท์ซึ่งเจ้าตัวเปิดใช้บริการโรมมิ่งเอาไว้ ทว่าเมื่อจะย้ำแรงที่ปุ่มโทรออกก็ให้ลังเลใจขึ้นมา ถ้าหากผมโทรไปก็เท่ากับผิดคำพูดตัวเองที่บอกว่าไม่อยากทำลายเวลาครอบครัวของเป้ อีกอย่างก็ผมเองอีกนั่นแหละที่เคยออกปากเป็นมั่นเหมาะว่าผมไม่เหงากับการที่ต้องอยู่คนเดียวในช่วงวันหยุดนี้ ความอึดอัดใจซึ่งมาจากความต้องการที่ตีกันในหัวทำให้ผมกดปุ่มเข้าฟังก์ชันเมสเสจแล้วพิมพ์ข้อความสั้นๆแทน

‘I miss you’

ผมรัวนิ้วลงที่ปุ่มตัวอักษรแต่ละปุ่มราวกับทุกตัวอักษรบรรจุความรู้สึกของตัวเองไว้ พอพิมพ์เสร็จก็นอนอ่านทวนข้อความนั้นอยู่อีกหลายรอบก่อนจะเลื่อนนิ้วไปที่คำสั่ง ‘Send to’ แล้วเลือกชื่อของเป้ ทว่าพอถึงคำสั่งสุดท้ายที่ให้ยืนยันว่า ‘Send’ ผมก็เริ่มไม่แน่ใจขึ้นมาอีก เป้จะคิดยังไงถ้าได้รับข้อความนี้จากผม แล้วเจ้าตัวจะตอบรับด้วยการโทรมาหาทันทีเลยหรือเปล่า แต่ถ้าอย่างนั้นไม่เท่ากับว่าทุกคำพูดที่ผมพร่ำบอกอีกฝ่ายไปไม่มีค่าให้เชื่อถือหรอกหรือ

สุดท้ายเมสเสจที่เพิ่งพิมพ์เสร็จก็ถูกกดลบทิ้งก่อนผมจะวางเครื่องไว้ข้างหมอนเหมือนเดิม ทันทีที่มือละจากสัมผัสเย็นเฉียบของเครื่องมือสื่อสารทรงสี่เหลี่ยมแบนๆได้ก็เหมือนความตั้งใจแต่เดิมจะกลับคืนมา ผมจึงระบายลมหายใจยาวด้วยความโล่งอกและบอกตัวเองว่าทำถูกแล้วที่ไม่ส่งข้อความนั้นไป

ความง่วงงุนที่แล่นขึ้นเป็นริ้วส่งสัญญาณว่ายาเริ่มออกฤทธิ์จนร่างกายหนักอึ้ง ผมเลยเอื้อมมือไปปิดโคมไฟหัวเตียงก่อนจะซุกตัวเองลงใต้ผ้าห่ม แต่ท่ามกลางความสะลึมสะลือผมฝืนเปิดเปลือกตาขึ้นเพื่อคว้าหมอนที่เป้ใช้หนุนเวลามาค้างที่ห้องมากอดแนบอก อย่างน้อยถึงเจ้าของหมอนจะไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่กลิ่นประจำตัวที่ติดอยู่บนหมอนก็ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้น และเมื่อหลับตาลงอีกครั้งผมก็แทบจะหลับสนิทในทันที


+------+


เสียงโทรศัพท์แจ้งว่ามีเมสเสจเข้ากลางดึกทำให้ผมผวาตื่นแล้วรีบหยิบมือถือขึ้นกดดู แต่แล้วหัวใจที่พองฟูก็ต้องแฟบลงอีกครั้งเมื่อเห็นว่าข้อความบนหน้าจอเป็นเพียงเมสเสจสวัสดีปีใหม่จากเพื่อนคนหนึ่ง ท่ามกลางความเงียบสงัดผมได้ยินเสียงเฮฮาเหมือนมีคนตั้งวงเหล้าในบ้านหลังที่อยู่ถัดไปจากหอแว่วๆ

เวลาบนหน้าจอมือถือแจ้งให้รู้ว่าเพิ่งเลยเที่ยงคืนมาไม่นานนัก และเลขวันเดือนปีที่ปรากฏก็เตือนให้ผมนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ทั่วประเทศกำลังฉลองการเข้าสู่ปีใหม่แล้ว

ผมกดปุ่มลบข้อความจากเพื่อนที่คงส่งหาทุกคนที่เจ้าตัวมีหมายเลขทิ้งโดยไม่พิมพ์ตอบ แม้จะเสียมารยาทอยู่บ้างแต่ผมก็ไม่อยู่ในอารมณ์จะเฉลิมฉลองกับใครจริงๆ ความรู้สึกแห้งผากในคอทำให้ผมต้องเอื้อมหยิบแก้วน้ำที่ตั้งไว้บนหัวเตียงขึ้นจิบก่อนจะสำลักเพราะเกิดไอตอนจังหวะที่จะกลืนน้ำพอดี ผมยกหลังมือขึ้นปาดริมฝีปากลวกๆหลังจากหอบสำลักจนตัวโยนก่อนจะทิ้งตัวลงนอนใหม่อีกครั้งแล้วยกแขนทั้งสองข้างขึ้นก่ายหน้าผาก

แม้ตอนนี้จะเป็นปีใหม่ที่นี่ แต่ที่อังกฤษตอนนี้คงเพิ่งเป็นช่วงเย็นของวันที่ 31 ธันวาคม ดังนั้นกว่าที่นั่นจะได้ฉลองการเข้าสู่ปีใหม่บ้างก็ต้องเป็นเวลาเช้าของวันที่ 1 มกราคมตามเวลาในเมืองไทยไปแล้ว

ผมกระพริบตาไล่หยดน้ำที่เอ่อขึ้นมาคั่งอยู่ในหน่วยตาทั้งสองออกไป แล้วก็ต้องสูดจมูกที่แสบร้อนจากน้ำมูกซึ่งไม่ได้มาจากหวัด ทว่าพอพลิกตัวนอนตะแคงหยาดน้ำในตาก็ซึมลงไปบนหมอนจนผมต้องใช้อุ้งมือเช็ดออก น่าอายจริงๆที่ต้องมานอนป่วยและซึมเศร้าอยู่คนเดียวในเทศกาลวันหยุดแบบนี้ แต่จะไปเรียกร้องอะไรกับใครได้ในเมื่อผมเป็นคนเลือกที่จะทำแบบนี้เอง

ผมตัดสินใจฝืนลุกขึ้นไปล้างคราบน้ำตาและสั่งน้ำมูกในห้องน้ำ ก่อนจะตัดสินใจว่าถ้าหากพรุ่งนี้เป้ยังไม่โทรมาอีก พอถึงเวลาก้าวสู่วันใหม่ที่อังกฤษเมื่อไหร่ผมจะโทรไปหาเอง อย่างน้อยถ้าใช้ข้ออ้างว่าโทรไปสวัสดีปีใหม่ก็คงดูไม่เหมือนว่าผมอยากได้ยินเสียงอีกฝ่ายจนยอมกลืนน้ำลายตัวเองจนเกินไปนัก

ผมไล้ปลายนิ้วบนหมอนที่เอามากอดอีกครั้งก่อนจะปิดตาลง ครั้งนี้ผมหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ขณะที่กำลังขดตัวด้วยความหนาวอยู่ใต้ผ้าห่ม จู่ๆก็รู้สึกว่าได้ยินเสียงฝีเท้าในห้องก่อนที่เตียงข้างตัวจะยุบลงแล้วตามด้วยสัมผัสเย็นๆบนแก้ม ทว่าเปลือกตาที่ยังหนักอึ้งบวกความสะลึมสะลือทำให้ผมลืมตาไม่ขึ้น แม้จะตกใจว่าทำไมถึงมีใครมาอยู่ในห้องแต่ประสาทสัมผัสที่ยังครึ่งหลับครึ่งตื่นทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฝันอยู่

ความเย็นแต่อ่อนโยนที่ไล้สัมผัสอยู่บนผิวหน้าทำให้ผิวที่ร้อนผ่าวรู้สึกสบาย สัมผัสนั้นไล้ต่ำเรื่อยลงไปที่ซอกคอจนผมต้องรีบหดคอหนี เสียงสวบสาบเหมือนใครคนนั้นขยับตัวพร้อมกับเสียงถอนหายใจลอยมาเข้าหูก่อนที่อะไรบางอย่างที่นุ่มและหยุ่นจะประทับลงมาบนหน้าผาก ประสาทการรับรู้ที่ค่อยๆเป็นอิสระจากการหลับใหลมากขึ้นทำให้เริ่มแยกแยะได้ว่าสัมผัสนั้นมาจากริมฝีปากของใครคนหนึ่งที่กำลังพรมจูบไปทั่วใบหน้า เช่นเดียวกับที่ใครคนนั้นชอบทำเวลาที่รู้ว่าผมไม่สบายใจหรือเวลาที่อยากแหย่ผมเล่น กลิ่นอ่อนๆที่คุ้นเคยยิ่งตอกย้ำให้ผมมั่นใจมากขึ้นว่าเจ้าของจูบคือใครแม้จะยังไม่ลืมตา

หยดน้ำตาซึมจากหางตาผมอย่างกลั้นไม่อยู่ทันทีที่ริมฝีปากนั้นเคลื่อนไปหยุดที่ริมฝีปากตัวเอง ผมเอื้อมแขนทั้งสองข้างขึ้นโอบรอบลำคอแข็งแรงเอาไว้และเผยอริมฝีปากต้อนรับลิ้นอุ่นชื้นที่สอดแทรกเข้ามาราวจะปลอบประโลมและปลุกเร้าความต้องการไปพร้อมกัน ภายใต้การรับรู้ที่ตื่นเต็มที่ผมรู้สึกถึงปลายนิ้วแข็งแรงที่ช่วยกรีดน้ำตาออกให้ทั้งที่ริมฝีปากของเราสองคนยังคลอเคลียกันอยู่ไม่ห่าง

เป็นนานกว่าที่ผู้มาเยือนยามวิกาลจะถอนริมฝีปากออก ผมสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นมองคนที่กำลังจ้องตัวเองอยู่พร้อมรอยยิ้ม เป้เลื่อนมือไปเปิดโคมไฟหัวเตียงตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้

“ไหนบอกว่าอยู่คนเดียวได้ไง แล้วนี่ร้องไห้ทำไม?”

“ทำไมเป้มาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”

ผมไม่ตอบแล้วยังถามกลับด้วยเสียงแหบแห้งโดยไม่ปล่อยมือที่โอบคอคนตัวโตอยู่ มันประจวบเหมาะเกินไปที่เป้มาปรากฏตัวหลังจากที่ผมเพิ่งคิดถึงอีกฝ่ายในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนจนเหมือนกับฝัน แต่รอยยิ้มมุมปากประจำตัวกับความอบอุ่นจากเลือดเนื้อที่ได้สัมผัสก็ทำให้รู้ว่าคนที่กำลังคิดถึงอยู่ตรงหน้าผมแล้วจริงๆ

“ก็ใครล่ะมาทำให้คนอื่นสงสัยว่าตัวเองไม่สบายแล้วก็พยายามปิดแทบตายน่ะ เคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าให้อ้อนเป้บ้างก็ได้”

เป้พูดแล้วก็ก้มลงจูบบนหางตาผมที่ยังมีคราบน้ำตาหลงเหลืออยู่ ส่วนมือใหญ่ก็เลื่อนขึ้นเสยผมที่ชื้นเหงื่อจนแนบติดหน้าผากออกให้ ผมหลับตาลงก่อนจะระบายลมหายใจที่ไม่รู้ว่ากลั้นไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ออกมาด้วยความโล่งอก

...เป้กลับมาหาจริงๆด้วย…

ความดีใจทำให้ผมซุกตัวกับอกกว้างโดยไม่ยอมปล่อยมืออยู่นาน คนตัวโตเลยนวดต้นคอให้ก่อนจะเอ่ยทักเสียงเบา

“วิวตัวร้อนมากเลย เดี๋ยวเช็ดตัวแล้วกินยาดีกว่านะจะได้นอนสบายๆ”

ร่างสูงใหญ่พูดแล้วก็ทำท่าจะลุกขึ้น ความเย็นเยือกจากผิวกายที่ถอยห่างทำให้ผมรีบลุกนั่งแล้วรั้งแขนอีกฝ่ายไว้ทันที เป้หันกลับมามองด้วยสีหน้าประหลาดใจแล้วก็ยิ้มให้

“เป็นอะไรไป? เป้ไม่ได้ไปไหนนะ แค่จะไปเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้เอง”

คนตัวโตทรุดตัวลงนั่งที่เดิมแล้วเอ่ยปลอบ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการมากกว่าการพักผ่อนคืออะไร

“นั่นไว้ทีหลังก็ได้ ตอนนี้วิวอยากให้เป้อยู่ใกล้ๆก่อน”

ผมกระถดตัวเข้ากอดเอวคนตรงหน้าไว้แน่นเหมือนกลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไปอีก ไออุ่นที่แผ่ออกมาจากร่างสูงใหญ่จุดความปรารถนาในจิตใต้สำนึกและสั่งให้ผมเลื้อยมือเข้าใต้แจ๊คเก็ตที่เจ้าตัวสวมอยู่เพื่อลูบไปตามแผงอกอุ่นและหน้าท้องตึงแน่น เป้ลมหายใจสะดุดเมื่อมือผมเริ่มป่ายไปมาบนร่างต่ำลงเรื่อยๆ

“...วิวแน่ใจเหรอ?”

เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามราวกำลังพยายามชั่งใจตัวเอง ผมไม่ตอบอะไรอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าแล้วสอดมือผ่านขอบกางเกงอีกฝ่ายเข้าเกาะกุมส่วนไวสัมผัสที่แทบจะตื่นตัวทันทีที่โดนแตะต้อง คิ้วเข้มขมวดมุ่นเมื่อผมเพิ่งแรงส่งที่ปลายนิ้วไปยังท่อนเนื้อร้อนรุ่มจนเจ้าตัวต้องรั้งมือห้ามเอาไว้

ผมเงยหน้าสบกับนัยน์ตาคมนิ่งแต่ก็ไม่ชักมือหนี ถึงแม้จะไม่เอ่ยอะไรออกมาแต่เป้ก็คงรู้แล้วว่าผมเอาจริง มือแกร่งจึงเลื่อนขึ้นเชยคางผมให้แหงนหน้ารับจูบก่อนจะดันร่างผมให้เอนลงบนเตียงและตามเข้าทาบทับ นัยน์ตาสีเข้มจัดถอยออกจ้องตาเหมือนจะถามให้แน่ใจเป็นครั้งสุดท้าย ผมเลยเลื่อนมือสองข้างขึ้นลูบไปตามแผ่นหลังใต้เสื้อหนาและเบียดสะโพกเข้าหาอีกฝ่ายเพื่อย้ำว่าผมอยากให้ทำอย่างที่พูดจริงๆ

มือแข็งแรงแทบจะทึ้งเสื้อผ้าผมออกทันทีที่ส่วนอ่อนไหวของเราบดเบียดซึ่งกันและกัน แต่ความต้องการที่กำลังปลุกปั่นให้วงจรความคิดไม่ปะติดปะต่อทำให้ผมไม่ท้วงคนที่กำลังประทับตราความเป็นเจ้าของไปทั่วร่างอย่างรุนแรง ไม่น่าเชื่อว่าการอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่วันจะทำให้เราสองคนกระหายที่จะเติมเต็มซึ่งกันและกันด้วยร่างกายมากถึงขนาดนี้ อาจเพราะผมกำลังไข้ขึ้นสูงอยู่ด้วย ร่างกายทุกส่วนจึงยิ่งตอบสนองทุกแรงสัมผัสจนน่าตกใจ

ผมรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของปลายนิ้วที่ไล่ลงวนรอบปากทางคับแคบด้านหลัง ก่อนจะสะดุ้งจนตัวงอเมื่อโดนปลายนิ้วใหญ่ที่ฉาบด้วยหยาดอารมณ์ข้นใสของเจ้าตัวแทรกเข้ามา ลิ้นอุ่นชื้นลากไล้ระหว่างตุ่มไตเล็กทั้งสองบนหน้าอกผมจนเปียกชุ่มก่อนที่เป้จะขบตามด้วยฟันอย่างไม่ออมแรงนักจนผมร้องคราง

“วิวเจ็บข้างล่างหรือเปล่า? ให้หาอะไรมาหล่อลื่นก่อนมั้ย?”

เสียงแหบพร่าที่เอ่ยถามชิดแผ่นอกอย่างเป็นห่วงขัดแย้งกับสัมผัสทางกายอันเร่งเร้า ผมเลยหลับตาแน่นแล้วเร่งมือที่รูดรั้งศูนย์รวมความปรารถนาของอีกฝ่ายมากขึ้นแทนการโต้ตอบ ร่างสูงขบกรามก่อนจะครูดนิ้วออกไปแล้วสอดกลับเข้ามาใหม่พร้อมนิ้วที่สองอย่างรวดเร็วจนผมกระตุกไปทั้งร่าง

“วิว...พอก่อน”

มือข้างที่ว่างของเป้ดึงมือผมออกขณะที่นิ้วทั้งสองซึ่งควานไล้ไปมาอยู่ในกายเมื่อครู่ถูกถอนออกไป ผมปรือตาขึ้นอ่านความต้องการที่ฉายอยู่หลังนัยน์ตาสีเข้มแล้วก็บังคับร่างกายที่สั่นสะท้านให้ก้มลงปรนนิบัติคนตรงหน้าด้วยริมฝีปากและปลายลิ้น หน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อเป็นลอนหดเกร็งราวจะพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้รีบปลดปล่อยเมื่อผมโหมเร่งจังหวะมากขึ้นขณะที่มือใหญ่ยื่นมาประคองท้ายทอยไว้ ผมจึงละริมฝีปากที่ฉ่ำด้วยหยาดอารมณ์แล้วเลื่อนตัวขึ้นจูบไปตามหน้าท้องและแผงอกกว้างของคนรักแทน ฝ่ามือใหญ่ทั้งสองที่เอื้อมมาบีบเคล้นเนินสะโพกด้านหลังทำให้ผมต้องโอบคออีกฝ่ายไว้แล้วกระซิบเสียงสั่น

“เข้ามาเถอะเป้ วิวจะไม่ไหวแล้ว”

ราวกับคนตัวโตจะรอประโยคนี้อยู่แล้ว ลำแขนแข็งแรงจึงจับร่างผมให้นอนคว่ำลงก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะตามเข้าประชิด ปลายนิ้วแกร่งคลี่เบิกปากทางก่อนที่สัมผัสอุ่นและชื้นแฉะจะจรดตามมาจนร่างกายผมที่สั่นอยู่แล้วยิ่งสั่นมากขึ้นไปอีก

“จะเข้าแล้วนะ”

เป้เลื่อนตัวขึ้นทาบทับแล้วกระซิบบอกเสียงพร่าที่ริมหู ผมเลยพยักหน้าแล้วย่อแขนลงให้ร่างท่อนล่างยกสูงเพื่อให้คนข้างหลังเข้ามาได้ง่ายขึ้น แต่ถึงแม้จะคิดว่าตัวเองพร้อมแล้ว วินาทีแรกที่ช่องทางเบื้องหลังถูกขยายเพราะสิ่งที่กำลังสอดใส่เข้ามาก็ยังทำให้ผมเจ็บจนต้องจิกมือลงกับหมอนแน่นอยู่ดี

“วิวไหวหรือเปล่า? จะให้หาอะไรมาช่วยก่อนมั้ย?”

แม้อารมณ์ที่สานต่อกันมาตั้งแต่แรกเริ่มจะคุกรุ่นแต่เป้ก็ยังสังเกตอาการผมออก แต่ผมคงทนไม่ได้หากความต้องการในตอนนี้ต้องขาดช่วงเพราะร่างกายที่กำลังแนบชิดต้องแยกจากกันแม้เพียงวินาทีเดียว

“ไม่ต้อง เป้ต่อเถอะ ทำแบบที่อยากทำเลย”

ผมเอี้ยวคอบอกก่อนจะพยายามระงับความเจ็บด้วยการลากมือข้างหนึ่งไปยังจุดกึ่งกลางของตัวเอง แล้วก็ต้องสูดหายใจเข้าลึกเมื่อรู้สึกถึงความแข็งขืนที่รุกไล่เข้ามาในช่องทางอุ่นแน่นต่อหลังจากได้รับอนุญาต

เป้ดันตัวเองเข้ามาช้าๆแต่ไม่หยุดจนกระทั่งเข้ามาในตัวผมได้หมด ตลอดเวลาเสียงหอบของเราสองคนดังสะท้อนไปทั่วห้องที่ถูกย้อมด้วยแสงสลัวของโคมไฟ มือหนาสองข้างยึดตรึงสะโพกผมที่สั่นสะท้านให้อยู่นิ่งก่อนริมฝีปากอุ่นจะขบเม้มไปทั่วแผ่นหลัง ทั้งที่เราสองคนคุ้นเคยกับการใกล้ชิดกันแบบนี้มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว แต่ร่างกายของผมก็ยังตอบรับการรุกรานของอีกฝ่ายด้วยการบีบรัดอย่างรุนแรงจนเรียกเสียงครางต่ำจากร่างสูงทุกครั้งอยู่ดี

“รู้ตัวมั้ยว่าวิวยั่วเก่งขึ้นทุกทีแล้วนะ”

เสียงทุ้มกระซิบอย่างหยอกล้อ แต่เป้ไม่รอให้ผมตอบเพราะพอพูดจบอีกฝ่ายก็เริ่มสวนกายเข้าออกทันทีจนในหัวผมเบลอไปหมด มือที่ดึงรั้งสะโพกผมเข้าหาเพิ่มแรงจิกขึ้นเรื่อยๆจนไม่ต้องสงสัยว่าพรุ่งนี้ต้องทิ้งรอยช้ำแน่นอน แต่ถึงแม้จะรู้สึกอึดอัดในตอนแรก ความต้องการในสิ่งที่คนตัวโตกำลังปรนเปรอให้ก็มีมากกว่าจนผมเริ่มปรับลมหายใจและการเคลื่อนไหวของตัวเองให้สอดคล้องกับจังหวะของเป้บ้าง

“อือ เป้....อ๊ะ....จะ...อึ๊ก...จะถึงแล้ว...อ๊า!”

ผมร้องเสียงหลงเมื่อโดนอ้อมแขนแข็งแรงรั้งตัวให้นั่งทับบนตักใหญ่ทั้งที่ร่างกายของเรายังเชื่อมเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่ แผ่นหลังเปียกชื้นของผมแนบชิดกับแผ่นอกตึงแน่นของคนที่รองรับขณะที่ปลายลิ้นอุ่นเล็มไล้ตามผิวแก้ม เป้ยันมือข้างหนึ่งลงบนเตียงขณะที่มืออีกข้างอ้อมมากุมส่วนที่กำลังเรียกร้องการปลดปล่อยของผมไว้ แม้ว่าท่านี้จะทำให้ขยับตัวได้ไม่ถนัดเท่ากับเมื่อครู่ แต่ก็ทำให้ผิวกายเราเพิ่มเนื้อที่สัมผัสกันมากขึ้น ความปั่นป่วนที่เดือดพล่านไม่หยุดในท้องน้อยทำให้ผมรู้ว่าร่างกายกำลังจะทนการถูกกระตุ้นได้อีกไม่นานแล้ว

“อื้อ...วิว เป้ขอออกข้างในนะ”

“เป้...เป้ อ๊ะ!...อ๊า!!!”

ผมกรีดร้องอย่างสุดกลั้นเมื่อแก่นกายโดนปลุกเร้าจนความต้องการที่สั่งสมกลั่นตัวออกมาอย่างรุนแรง ช่องทางเบื้องหลังที่โอบอุ้มท่อนเนื้ออุ่นตอดรัดสิ่งแปลกปลอมแน่นราวกับจะดูดกลืนเอาไว้ เป้ยึดเอวผมไว้มั่นก่อนจะกระแทกตัวส่งสายธารแห่งความพึงพอใจเข้ามาในร่างผมซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนหยาดหยดข้นขาวไหลเอ่อออกมาด้านนอก

ความเสียวซ่านถึงขีดสุดจากการร่วมรักทำให้ในหัวผมขาวโพลนด้วยแสงวูบวาบและในหูอื้ออึงจากเสียงที่ไม่มีความหมาย ผมทิ้งตัวลงหอบหายใจแรงบนแผ่นอกกว้างก่อนที่จะถูกมือใหญ่บิดคางให้หันไปรับจูบท่ามกลางเสียงเต้นของหัวใจที่รัวประสานกันไม่หยุด

“ตัวเหนียวไปหมดเลย...”

ผมเอ่ยขึ้นลอยๆหลังจากนั่งพิงอกเป้ได้สักพักจนจังหวะลมหายใจเริ่มเป็นปกติขึ้น แต่ผมมั่นใจว่าเสียงที่แหบหวิวน่าจะเป็นผลจากกิจกรรมอันหนักหน่วงเมื่อครู่มากกว่าอาการป่วยที่เป็นอยู่ในตอนแรก เป้แตะหน้าผากตัวเองเข้ากับหน้าผากผมเบาๆแล้วก็หัวเราะในคอ

“แต่เหงื่อออกแล้ววิวจะได้หายไข้เร็วๆไง เดี๋ยวเป้เช็ดตัวให้เอง”

“อืม...”

ผมยกมือใหญ่ขึ้นจูบก่อนจะส่งยิ้มให้คนพูดอย่างอ่อนเพลีย ใบหน้าคมยิ้มตอบขณะที่ไล้มืออีกข้างไปมาบนร่างกายที่เปียกลื่นไปด้วยเหงื่อของผม ความร้อนรุ่มที่ยังไม่ได้ถอนออกไปเริ่มฟื้นตัวขึ้นใหม่อย่างช้าๆ และนัยน์ตาสีเข้มที่มองตรงมาก็สื่อความหมายในใจโดยไม่ต้องใช้คำพูด

“เป้....”

ผมเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างลังเล แต่แล้วปลายจมูกโด่งก็กดลงบนไหล่เหมือนจะช่วยตัดสินใจแทนให้

“เหนื่อยใช่รึเปล่า? ถ้าวิวไม่ไหวแล้วก็นอนพักดีกว่านะ ไม่ต้องฝืนตัวเองหรอก”

ประโยคที่ปราศจากความเห็นแก่ตัวนั่นทำให้ผมตัดสินใจได้ทันที เป้อุตส่าห์บินข้ามทวีปกลับมาหาทั้งที่กำลังได้ใช้เวลากับครอบครัว ส่วนผมเองถึงแม้จะรู้ว่าร่างกายกำลังเรียกร้องการพักผ่อน แต่ความหวามไหวที่ปนเปไปกับความยินดีเพราะคนที่คิดถึงกลับมาอยู่ใกล้ๆทำให้ความคิดที่จะปฏิเสธถูกปัดออกจากหัวอย่างรวดเร็ว

ผมสูดหายใจรวบรวมกำลังก่อนจะบดร่างกายท่อนล่างเข้ากับหน้าตักของคนที่รองรับอยู่ เป้ผงกหัวแล้วเลิกคิ้วขึ้นมองเหมือนจะถาม ผมจึงยิ้มให้ก่อนจะแตะริมฝีปากลงบนคางสากเบาๆ ขอตอบแทนที่คนตัวโตทำเซอร์ไพรส์ได้ถูกใจผมบ้างก็แล้วกัน

“ไม่เป็นไร คืนนี้วิวยกให้ ถือว่าเป็นของขวัญต้อนรับเป้กลับบ้าน”


+------+


หลังจากค่ำคืนอันยาวนานผมก็หลับยาวไปจนถึงบ่าย ความทรงจำสุดท้ายที่เลือนลางก่อนจะไม่รับรู้อะไรอีกคือความรู้สึกว่าถูกเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ อาจเพราะความเหนื่อยล้าและโล่งใจที่ประดังเข้ามาพร้อมกันทำให้ผมหลับลึกจนไม่ฝันถึงอะไรเลยตลอดทั้งคืน

ตอนที่ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้งคือเมื่อรู้สึกว่าเตียงข้างตัวยวบไหวและหลังมือเย็นๆอังลงบนหน้าผาก พอปรือตาขึ้นก็เห็นเป้ที่สวมเพียงยีนส์สีเข้มนั่งพับขาข้างหนึ่งอยู่บนเตียง บนลำคอเปลือยเปล่ามีผ้าขนหนูผืนเล็กคล้องอยู่ เรือนผมที่ยังเปียกชื้นกับกลิ่นสบู่ที่กรุ่นเข้าจมูกบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวเพิ่งอาบน้ำเสร็จมาหมาดๆ

“ว่าจะปลุกพอดี เป้ลงไปซื้อโจ๊กมาให้แล้วนะ วิวลุกมากินหน่อยแล้วกันจะได้กินยา”

ผมหลับตาลงอีกครั้งก่อนจะพยักหน้าแล้วค่อยๆยืดแขนออกบิดขี้เกียจ ความปวดเมื่อยตามเนื้อตัวเพราะอาการหวัดเริ่มบรรเทาลงมากแล้ว แต่พอขยับตัวจะลุกขึ้นก็รู้สึกถึงความระบมที่แล่นจี๊ดขึ้นมาจากร่างกายส่วนล่างจนต้องทิ้งตัวลงนอนใหม่ทันที

ผมกระพริบตาถี่มองเพดานที่หมุนไปมาแล้วพยายามคิดทบทวนว่าเมื่อคืนทำอะไรร่างกายท่อนล่างถึงได้ปวดหนึบขนาดนี้ แล้วภาพเหตุการณ์ของคืนก่อนก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวจนรู้สึกว่าผิวหน้าร้อนเหมือนโดนไฟลวก ทั้งที่ไม่สบายขนาดนี้ยังจะดึงดันทำอะไรไม่ดูสังขารตัวเองอีก ผมชำเลืองมองแผ่นหลังของเป้ที่กำลังยืนเลือกเสื้อจากตู้เสื้อผ้าแล้วก็ถอนหายใจ กรณีนี้จะบ่นคนทำก็คงไม่ได้เพราะตัวผมเองที่เป็นคนปล่อยให้เลยตามเลย ผมจึงหลับตาลงอีกครั้งก่อนจะพยายามยันตัวขึ้นใหม่แล้วเอนหลังพิงหมอนที่ตะแคงขึ้นชิดหัวเตียงก่อนคนตัวโตจะทันหันมาเห็น

“ตัวยังรุมๆอยู่เลย เดี๋ยวกินเสร็จแล้ววิวนอนต่อดีกว่านะ”

เป้พูดแล้วก็เสยผมบนหน้าผากผมไปด้วย ผมคนโจ๊กในชามพร้อมถาดรองที่เจ้าตัวเอามาวางให้บนตักอยู่พักใหญ่ ทั้งที่ความจริงก็หิวอยู่บ้างเพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องมาหลายชั่วโมงแล้ว แต่พออาหารมาอยู่ตรงหน้ากลับรู้สึกพะอืดพะอมจนขัดแย้งในตัวเองแปลกๆ สุดท้ายผมก็ฝืนตักโจ๊กขึ้นทานเพราะไม่อยากให้คนที่ซื้อมาให้ต้องเสียน้ำใจ

ผมทานโจ๊กไปก็เหลือบมองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสีอยู่นอกหน้าต่างไปด้วย จริงอยู่ว่าร่างกายของผมตอนนี้ไม่แข็งแรงเต็มร้อย แต่ความที่ได้แต่อุดอู้อยู่ในห้องมาตั้งแต่เที่ยงเมื่อวานทำให้ผมเริ่มอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง

“เป้ วิวอยากออกไปเดินเล่น”

พ่อตัวดีที่กำลังยืนเช็ดผมอยู่หน้ากระจกหันมาขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินเสียงผม “จะไปได้ไง ข้างนอกลมแรงแถมอากาศก็เย็น เดี๋ยววิวไข้กลับกันพอดี วันนี้นอนพักอีกวันแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยไปก็ได้”

“แต่วิวนอนมาหลายชั่วโมงแล้วนะ เอาแต่นอนๆๆเดี๋ยวก็อืดกันพอดีสิ”

ผมเอ่ยอย่างหงุดหงิดก่อนจะตักโจ๊กเข้าปากอีก ท่าทางนี่จะเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่โดนเป้ขัดใจ อาจเพราะปกติผมไม่ค่อยเรียกร้องอะไร ดังนั้นถ้าเรื่องไหนที่ผมเอ่ยปากขออีกฝ่ายจึงยอมตามใจตลอด ถ้าหากคิดด้วยหลักเหตุผลก็ใช่จะไม่เข้าใจว่าทำไมเป้ถึงไม่เห็นด้วยกับคำขอในคราวนี้ แต่ความรำคาญสภาพร่างกายที่ปวกเปียกของตัวเองบวกกับอาการมึนหัวเพราะพิษไข้ทำให้ผมเริ่มจะพาลขึ้นมา

จากหางตาผมรู้ว่าคนตัวโตกำลังยืนกอดอกมองตัวเองอยู่แต่ก็ไม่ยอมหันไปสบตาด้วย สุดท้ายก็ได้ยินเสียงถอนหายใจก่อนเป้จะเดินมานั่งลงข้างๆแล้วเท้าศอกกับหัวตียง

“เวลาวิวไม่สบายแล้วดื้อเป็นเด็กๆเลย รู้รึเปล่า?”

ผมตวัดสายตามองคนพูดที่ทำยังกับตัวเองแก่กว่ามากทั้งที่เกิดก่อนแค่ไม่กี่เดือน แล้วเลยเลือกทำไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะตักโจ๊กเข้าปากต่อ

“ไม่รู้ล่ะ เป้เคยบอกเองนี่ว่าให้วิวอ้อนได้ แต่ถ้าวันนี้ไม่ยอมให้ไปไหนจะได้จำไว้ว่าถึงอ้อนก็ไม่มีประโยชน์”

คนที่นั่งอยู่ข้างๆหัวเราะกับคำยอกย้อนก่อนจะรั้งไหล่ผมไปหอมแก้มฟอดใหญ่ ไม่เหม็นที่ผมไม่ได้อาบน้ำสระผมข้ามวันบ้างหรือไงก็ไม่รู้

“เข้าใจละ แต่แค่พาไปขับรถเล่นเฉยๆนะ ยังไงก็ถือว่าไปข้างนอกเหมือนกัน เอาไว้หายดีแล้ววิวอยากไปไหนเดี๋ยวเป้พาไปให้ทุกที่เลย”

คำตอบรับแม้จะมีเงื่อนไขแต่ก็ทำให้ผมยิ้มออก หลังจัดการโจ๊กจนเกือบหมดชามเป้เลยเช็ดตัวกับเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อีกรอบก่อนจะหยิบผ้าห่มติดมือลงไปให้ที่รถด้วย จากนั้นคนตัวโตก็ขับวนพาไปดูแสงไฟที่ประดับตามห้างกับถนนในย่านดังต่างๆแถวใจกลางเมืองตามที่ขออยู่หลายชั่วโมง ความที่ไม่ได้ออกไปไหนไกลกว่าละแวกหอตลอดช่วงวันหยุดที่ผ่านมาทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นที่ได้เห็นผู้คนและโลกภายนอกบ้าง

ระหว่างทางกลับหอเป้แวะซื้อชาร้อนให้ผมจากร้านในปั๊มน้ำมันแล้วก็ขับรถไปจอดพักใต้สะพานริมแม่น้ำก่อน พ่อตัวดียืนกรานไม่ให้ผมลงจากรถแต่ยอมไขกระจกหน้าต่างลงให้จะได้สูดอากาศบ้าง ส่วนตัวเองกลับเปิดประตูลงไปยืนสูบสารก่อมะเร็งอยู่ข้างรถหน้าตาเฉย ขี้โกงกันชะมัด

เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกัน แค่ทอดสายตามองแสงไฟจากเหล่าเรือล่องแม่น้ำและร้านอาหารที่ตั้งเรียงรายริมฝั่งตรงข้ามไปเงียบๆ ผมเท้าแขนทั้งสองข้างลงกับขอบหน้าต่างก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนที่ยืนล้วงกระเป๋าพิงรถอยู่

“เป้ แล้วกลับมาก่อนอย่างนี้พ่อกับแม่ไม่สงสัยเหรอว่ารีบกลับมาทำไม”

คนถูกถามดูดบุหรี่อึกสุดท้ายก่อนจะทิ้งลงบนพื้นแล้วขยี้ด้วยส้นรองเท้าผ้าใบ “ก็ไม่มีอะไร บอกเค้าไปตามตรงว่าเป็นห่วงแฟนเลยต้องรีบกลับ”

ผมทำตาโต แต่พอเตรียมอ้าปากจะว่าเจ้าตัวก็หันกลับมาแล้วก็หัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าผม

“ล้อเล่นน่า เป้บอกเค้าว่าอยากมีเวลาเตรียมตัวก่อนเปิดเรียนหลายวันหน่อยเลยขอกลับมาก่อน เค้าก็ไม่ได้ถามซอกแซกอะไร ไม่ต้องห่วงหรอก”

พอได้ฟังแบบนั้นผมจึงค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก ไม่ใช่ว่าผมชอบใจนักกับการต้องคบกันแบบไม่ให้ครอบครัวรู้ และไม่ใช่เพราะผมไม่มั่นใจในตัวเราสองคนด้วย แต่เพราะผมกับเป้เพิ่งคบกันได้ปีเดียว ถ้าเกิดต้องมีปัญหาระหว่างเรียนเพราะเรื่องนี้คงทำให้เรามองหน้ากันไม่ติดหรือเผลอๆอาจถึงขั้นต้องเลิกกันไปเลยก็ได้ ผมเลยอยากประวิงเวลาไว้ก่อนจนถึงตอนที่เราต่างมีงานทำและดูแลตัวเองกันได้แล้วค่อยคิดถึงเรื่องนี้อีกที

“อากาศชักเย็นขึ้นแล้วนะ กลับกันดีกว่าวิวจะได้ไปนอนพัก หรืออยากให้ช่วยเรียกเหงื่อให้แบบเมื่อคืนอีก?”

พ่อตัวดีค้อมตัวลงแซวผมแล้วก็ยิ้มกวน ผมเลยค้อนกลับเข้าให้ก่อนจะเอนหลังพิงพนักแล้วยกผ้าห่มขึ้นคลุมตัว

“คืนนี้ไม่ได้ เอาไว้วิวหายดีเมื่อไหร่แล้วค่อยว่ากัน”

ผมเอ่ยตอบเสียงเฉียบขาด เป้เลยหัวเราะแล้วเดินอ้อมกลับมานั่งประจำที่ตัวเอง แต่ก่อนเจ้าตัวจะสตาร์ทรถผมก็หันไปสะกิดไหล่หนาเสียก่อน

“ครับผม?”

ผมยิ้มให้กับน้ำเสียงตอบรับอย่างขี้เล่นแล้วก็โน้มใบหน้าคมลงจูบ เป้ดูจะแปลกใจนิดหน่อยแต่ก็จูบตอบผมแทบจะทันที ผมไล้ปลายลิ้นดุนลิ้นอุ่นไปมาแล้วเม้มริมฝีปากล่างของคนตัวโตเบาๆก่อนจะผละออกยิ้มให้ทั้งที่ยังไม่ปล่อยมือ

“ขอบคุณที่บินกลับมาหานะ แค่นี้วิวก็ไม่อยากได้ของขวัญปีใหม่อย่างอื่นจากเป้แล้ว”

ผมเอ่ยขอบคุณด้วยความรู้สึกที่อยู่ในใจจริงๆ เป้เลยยิ้มจนตาเป็นประกายก่อนจะรั้งผมเข้าไปจูบคืนอีกที

“วิวก็เป็นของขวัญปีใหม่ที่ดีที่สุดสำหรับเป้เหมือนกัน”

“เรากลับห้องกันเถอะ”

ผมเอ่ยขึ้นเมื่อรู้สึกว่ามือไม้ของอีกฝ่ายชักทำท่าจะรุ่มร่ามขึ้นทุกที เป้เลยหัวเราะในคอก่อนจะยอมปล่อยแล้วเข้าเกียร์ออกรถ ผมดึงผ้าห่มบนตักขึ้นคลุมจนถึงคอก่อนจะหันออกไปมองแสงไฟหลากสีที่ประดับอยู่ตามข้างถนนเพื่อต้อนรับเทศกาล แล้วก็ให้นึกขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆก็ตามที่บันดาลให้ปีใหม่นี้เป็นปีที่ดีที่สุดในชีวิตที่ผมเคยได้รับ

และที่เทศกาลนี้มีความหมายที่สุดสำหรับผมในปีนี้ ก็เพราะการที่ผมมีผู้ชายตัวโตชื่อเป้คอยอยู่ข้างๆนั่นเอง...


+--- End ของขวัญที่เฝ้ารอ ---+



Create Date : 26 กรกฎาคม 2552
Last Update : 28 มกราคม 2553 19:21:58 น. 5 comments
Counter : 1742 Pageviews.

 
รินรู้มั้ย ว่าเราชอบตอนพิเศษตอนนี้มากที่สุดเลยหละ อ่านไปอ่านมาไม่ต่ำกว่า 20 รอบแล้วมั้ง เฮ้อ เป้น่ารักโคตรๆ เลย


โดย: น้ำค้าง IP: 124.120.39.7 วันที่: 27 สิงหาคม 2552 เวลา:20:17:44 น.  

 
เห็นคอมเม้นต์แล้วก็ปลื้มใจแทนเป้ ดีใจที่รู้ว่าอ่านหลายรอบแล้วนะจ๊ะน้ำค้าง สำหรับตอนใหม่รออีกนิดนะ น่าจะได้อ่านเร็วๆนี้ล่ะจ้า


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 28 สิงหาคม 2552 เวลา:16:13:19 น.  

 
น่ารักจังเลยค่ะ
อ่านแล้วอุ่นๆกำลังดี ..
อิจฉาวิวจังเลย .. เป้เป็นผู้ชายที่ต่อมโรแมนติกดูจะไม่อยู่ลึกจนเกินไปแล้วก็อบอุ่นมากๆเลยค่า ~

เราก็เป็นคนคล้ายๆวิวเหมือนกันนะคะ เวลาป่วยแล้วจะรู้สึกอ่อนแอเป็นพิเศษ .. ต้องเรียกร้องความสนใจ อิอิ~


โดย: mirufuine IP: 124.120.151.79 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:8:56:36 น.  

 
ขอบคุณค่า น้องวิวนี่โชคดีจริงๆด้วย เวลาป่วยเนี่ย ไม่ว่าใครก็อยากให้คนมาสนใจแหละนิ

ฉบับรวมเล่มจัดส่งไปให้แล้ว รออ่านตอนพิเศษนะคะ


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 25 ตุลาคม 2552 เวลา:14:16:49 น.  

 
หวานม๊ากกกก


นายเป้นี่หื่นตลอดจริงๆ


โดย: ไอ้หัวแห้ว IP: 183.89.112.106 วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:12:58:27 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Applebee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]






ลายปากกา



~ สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ~
ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมดหรือส่วนใดไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!

Friends' blogs
[Add Applebee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.