|
ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาครอง]
แนะนำ
สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ
++------++
ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ Square One [ภาครอง]
เสียงยิงปืนและเสียงวิ่งซอยฝีเท้าถี่ๆ รวมทั้งเสียงตะโกนออกคำสั่งราวกับอยู่ในสนามรบปลุกณรงค์ที่ยังหลับใหลให้ตื่นขึ้น ชายหนุ่มใช้ข้อนิ้วข้างหนึ่งขยี้ตาอย่างงัวเงีย พอเหลือบมองนาฬิกาก็เห็นว่าเป็นเวลาแปดโมงกว่า สมองที่ค่อยๆ ตื่นตัวทีละน้อยบอกเขาว่าวันนี้เป็นวันเสาร์ ชายหนุ่มจึงยันตัวขึ้นจากเตียงอย่างเชื่องช้าพลางหยีตามองผ่านประตูออกไปยังคนที่กำลังเล่นเกมอยู่ในห้องนั่งเล่น
“ตี้ พี่เคยบอกว่าตอนเช้าๆ ถ้าอยากเล่นเกมก็อย่าเปิดเสียงดังไง”
หลังจากล้างหน้าแปรงฟันแล้ว ณรงค์ก็เดินออกมาจากห้องนอนพลางเอ่ยบอกคนที่กำลังขะมักเขม้นกับการทำแต้มอยู่หน้าจอโทรทัศน์ เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อจึงเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วทำหน้ายู่
“อ้าว ตี้เห็นพี่รงค์หลับสนิทเลยนึกว่าคงไม่ได้ยินนี่นา ขอโทษ”
ธีระกดหรี่เสียงลำโพงลงและหันไปสนใจกับเกมต่อ ณรงค์จึงเดินเลยเข้าไปในครัวพลางเสียบปลั๊กกระติกน้ำร้อน
“พี่จะทอดไข่ ตี้จะกินด้วยมั้ย?”
“อื้อ พี่รงค์ทำอะไรตี้ก็กินอันนั้นแหละ”
เสียงแหบเล็กตอบมาทั้งที่ตายังจ้องเกม ส่วนมือทั้งสองข้างก็กระหน่ำกดจอยแบบไม่ยั้ง ณรงค์จึงส่ายหน้ายิ้มๆ พลางหันไปเปิดตู้เย็นและหยิบอาหารเพื่อออกมาทำเป็นมื้อเช้า ตั้งแต่มีใครอีกคนชอบมาใช้เวลาในช่วงวันหยุดที่คอนโดของเขา ณรงค์ก็เลยเริ่มซื้อของสดมาตุนไว้ในตู้เย็นมากขึ้นไปโดยปริยาย
เวลาผ่านไปร่วมหนึ่งเดือนตั้งแต่คืนที่เขาแตกหักกับไรอัน...และโทรชวนเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่เคยมีสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนกันให้ตามมาที่ห้อง เพียงเพื่อปลดปล่อยความอัดอั้นและช้ำใจจากการถูกคนรักบอกเลิกอย่างไม่ไยดี
ในตอนแรกณรงค์ไม่ได้คาดหวังที่จะสืบสานความสัมพันธ์กับเด็กหนุ่มเลยสักนิด เขาเพียงสับสนและต้องการใครสักคนอยู่ข้างๆ เพื่อช่วยให้ลืมความปวดร้าว แต่พอเช้าวันถัดมา เขาก็เป็นฝ่ายประหลาดใจเองที่พบว่าคนที่นอนด้วยเมื่อคืนยังนั่งรอให้เขาตื่นอย่างอดทน และประกาศว่าจะไม่ยอมออกจากห้องไปไหนจนกว่าจะได้คำอธิบายถึงเรื่องราวในคืนที่ผ่านมา ณรงค์ไม่มีทางเลือกนอกจากเล่าเรื่องเท่าที่อีกฝ่ายควรรู้โดยไม่ลงรายละเอียด และเขาก็คิดว่าทุกอย่างคงจะจบลงแค่ตรงนั้น
แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้คิดเหมือนกัน เพราะหลังจากที่รู้ว่าตอนนี้ณรงค์ไม่มีใคร เด็กหนุ่มก็เสนอตัวขอคบกับเขาเอง และพอได้แนะนำตัวกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ณรงค์ก็ยิ่งตกใจมากเข้าไปอีกเมื่อได้รู้ว่าอีกฝ่ายเพิ่งจะอายุยี่สิบเอ็ด แถมยังเรียนมหาวิทยาลัยปีสามเท่านั้นเองด้วย ซึ่งเท่ากับหากบวกลบแล้ว ช่องว่างระหว่างวัยของพวกเขาสองคนยังมากกว่าระหว่างธีระกับน้องๆ ฝาแฝดที่บ้านต่างจังหวัดเสียอีก
ถึงแม้จะมีนิสัยชอบดูแลคนอื่นตามประสาลูกชายคนโต แต่ชายหนุ่มไม่เคยคิดฝันว่าวันหนึ่งจะได้มาคบกับคนที่เด็กกว่าถึงแปดปี และความแตกต่างระหว่างพนักงานบริษัทกับนักศึกษาก็ช่างกว้างเสียจนทำเอาณรงค์ปวดหัวหลายครั้ง ถึงแม้ธีระก็ดูจะรู้ตัวในเรื่องนี้และพยายามปรับตัวให้เป็นผู้ใหญ่เพื่อจะได้ทันเขามากขึ้นแล้วก็ตาม
ซึ่งอย่างน้อยก็ต่างกับผู้ชายอีกคนที่แทบจะไม่เคยพยายามปรับตัวเข้าหาเขาเลยตลอดเวลาที่คบกันมา...
“อื้ม ไข่ดาวหอมจัง เดี๋ยวตี้ชงกาแฟให้พี่รงค์เอามั้ย?”
ณรงค์สะดุ้งเมื่อจู่ๆ ก็ถูกสวมกอดจากด้านหลัง ธีระมีรูปร่างผอมกะทัดรัด ขนาดณรงค์เอี้ยวคอกลับไปมองก็ยังเห็นกระหม่อมอีกฝ่ายอยู่แค่ระดับหัวไหล่ ดูเหมือนเขาจะใจลอยจนไม่ทันรู้สึกว่าคนร่วมห้องหยุดเล่นเกมและปิดโทรทัศน์ได้สักพักแล้ว ชายหนุ่มพยักหน้าพลางหันกลับไปพลิกไข่ในกระทะ
“เอาสิ ขอเข้มๆ หน่อยก็ดีเหมือนกัน”
“กาแฟกับน้ำตาลอย่างละช้อนครึ่งกับครีมช้อนนึงนะ? งั้นรอแป๊บ”
เด็กหนุ่มผละจากเขาไปเลื่อนฝาตู้เก็บของใกล้ๆ ตู้เย็นเพื่อหยิบกาแฟออกมาชง ณรงค์ชำเลืองมองแล้วก็ยิ้มน้อยๆ ดูเหมือนการคบกับเด็กก็ใช่ว่าจะแย่ไปเสียหมด เพราะว่าธีระเป็นคนยิ้มแย้มร่าเริง ช่างพูด นอกจากนั้นยังไม่ค่อยขัดใจเขา หากมีเรื่องไม่พอใจขึ้นมาก็โกรธง่ายหายเร็ว ณรงค์จึงไม่ค่อยต้องเหนื่อยกับการง้อสักเท่าไหร่ และการมีคนอยู่ใกล้ๆ ก็ช่วยให้เขาลืมความหม่นมัวที่ฝังตัวแน่นในอกไปได้ไม่น้อยเลย
ถึงแม้ความรู้สึกนั้นจะไม่มีวันสลายไปได้อย่างถาวรก็ตามที
“เสร็จแล้ว เดี๋ยวตี้เอาออกไปรอที่ห้องนั่งเล่นนะพี่รงค์”
ธีระหันมาบอกหลังจากชงกาแฟของณรงค์กับโกโก้ของตัวเองเสร็จ ณรงค์จึงส่งเสียงรับพลางหยิบจานสองใบมาใส่อาหารเช้าที่เพิ่งทำเสร็จ “อืม”
ทั้งสองนั่งทานอาหารด้วยกันบนโซฟาในห้องนั่งเล่นโดยเปิดโทรทัศน์ดูไปด้วย ซึ่งเป็นกิจกรรมวันหยุดที่ทำกันทุกสัปดาห์นับตั้งแต่เริ่มคบกัน แต่ในวันธรรมดาธีระจะอยู่อพาร์ตเม้นท์ของนักศึกษาซึ่งอยู่นอกตัวเมืองเนื่องจากใกล้มหาวิทยาลัยมากกว่า และส่วนหนึ่งในใจของณรงค์ก็ยังค่อนข้างพอใจที่เป็นแบบนั้น
“วันนี้พี่รงค์จะออกไปไหนหรือเปล่า?”
หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จ เด็กหนุ่มก็กระเถิบตัวมานั่งใกล้ณรงค์มากขึ้นแล้วเงยหน้าถาม ชายหนุ่มจึงยักไหล่พลางยกกาแฟขึ้นจิบ “ไม่รู้สิ จริงๆ เมื่อคืนกว่าจะได้กลับบ้านมานอนก็ดึกดื่น อุตส่าห์ตั้งใจว่าจะนอนตื่นสักเที่ยงด้วยซ้ำ แต่โดนเสียงเกมของใครไม่รู้ปลุกตั้งแต่เช้าเลย”
“พี่รงค์อ้ะ ก็เมื่อคืนตี้นอนเร็วนี่นา อีกอย่างนี่มันวันหยุดทั้งที ขืนเอาแต่นอนก็เสียเวลาทำอย่างอื่นหมดสิ”
ธีระทุบไหล่เขาแล้วแก้ตัวด้วยท่าทางกระเง้ากระงอด หากจะมีนิสัยอย่างหนึ่งที่เด็กหนุ่มค่อนข้างต่างจากเพื่อนวัยเดียวกันก็เห็นจะเป็นเรื่องที่ชอบตื่นแต่เช้านี่เอง ณรงค์จึงยิ้มบางๆ พลางยกมือขึ้นยีผมอีกฝ่าย
“เอาเถอะ ยังไงตอนนี้พี่ก็ตื่นแล้ว ตี้อยากไปไหนหรือเปล่าล่ะพี่จะได้พาไป”
เด็กหนุ่มยิ้มอย่างดีใจ “จริงนะ? ถ้างั้นตี้อยากไปสวนจตุจักรน่ะ อยากไปดูเสื้อกับกางเกงหน่อย ว่าจะไปหลายทีแล้วก็ไม่ได้ไปซักที”
ณรงค์เลิกคิ้ว “แต่เสื้อผ้าเราก็มีเยอะแล้วไม่ใช่เหรอ? พี่ว่าบางตัวที่เคยซื้อให้นั่นตี้ยังใส่ไม่ครบเลยนะ”
ชายหนุ่มติงหลังจากรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่าย เพราะที่ผ่านมามีบางครั้งที่ทั้งคู่ไปเดินซื้อของตามห้างสรรพสินค้าหรือย่านการค้าในเมืองด้วยกัน และเด็กหนุ่มก็เคยอ้อนเขาให้ซื้อของที่อยากได้ให้บ่อยครั้ง ซึ่งถ้าณรงค์เห็นว่าไม่ได้สิ้นเปลืองจนเกินไปก็จะยอมตามใจให้
ซึ่งอาจเป็นกลไกการชดเชยที่เขายังไม่อาจทุ่มหัวใจให้อีกฝ่ายก็เป็นได้
ธีระทำปากยื่น “พี่รงค์อ้ะ...”
“เอ้าๆ ไปก็ไป ถ้างั้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เสร็จแล้วจะได้ออกไปกันเลย”
ณรงค์ตัดบทพลางหยิบจานชามและถ้วยเครื่องดื่มเพื่อนำไปเก็บในครัว แต่แล้วก็เลิกคิ้วเมื่อเด็กหนุ่มเดินตามมาแล้วใช้สองแขนคล้องแขนเขาไว้ พอก้มลงมองก็เห็นใบหน้าเนียนใสกำลังยิ้มซุกซน
“พี่รงค์ก็ยังไม่อาบน้ำเหมือนกันนี่นา ถ้าเกิดเข้าไปอาบทีละคนก็เปลืองน้ำอยู่นะ”
“ไอ้เด็กทะลึ่ง”
ณรงค์ยิ้มพลางผลักหัวอีกฝ่ายเบาๆ แต่พอวางจานชามลงในอ่างแล้วก็หันมาช้อนร่างผอมบางขึ้นอุ้ม เสียงหัวเราะสดใสจากคนในอ้อมแขนดังตลอดทางจากห้องครัวไปจนถึงห้องน้ำ
++------++
ตลาดนัดในช่วงบ่ายของวันหยุดเต็มไปด้วยผู้คนที่มาเดินจับจ่ายซื้อของ ต่อให้เป็นร้านที่มีพื้นที่น้อยและซ่อนอยู่ในตรอกซึ่งลึกลับแค่ไหนก็ยังมีลูกค้าเดินผ่าน ณรงค์ดึงสายตาจากความคึกคักของบรรยากาศนอกร้านกลับมาเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากคนที่เพิ่งเข้าไปลองเสื้อหลังม่าน
“พี่รงค์ ตัวนี้เทียบกับตัวที่เพิ่งลองเมื่อกี้เป็นไง?”
ผิวแก้มของคนถามเรื่อสีชมพูและมีเหงื่อซึมตามไรผมเล็กน้อยถึงแม้ในร้านจะมีพัดลมเป่า นัยน์ตากลมโตเป็นประกายสดใสขณะเดินออกจากหลังม่านมาขอความเห็นเขาเกี่ยวกับเสื้อที่เพิ่งลองสวม ณรงค์โน้มตัวลงเท้าศอกบนเข่าข้างหนึ่งพลางเอียงคอมองอย่างพิจารณา
“ก็...ดูเป็นตี้ดี”
อาจเพราะไม่ค่อยชินกับการช้อปปิ้งเสื้อผ้าวัยรุ่น แถมความชอบของธีระกับเขายังต่างกันแบบคนละปลายขั้วเสียอีก ณรงค์จึงไม่รู้จะออกความเห็นอย่างไรนอกจากที่พูดไปแล้ว
“พี่รงค์อ้ะ!”
ธีระห่อปากแล้วพูดวลีประจำตัวเวลาที่ณรงค์ทำอะไรไม่ได้อย่างใจ จากนั้นก็บ่นอุบอิบแล้วหันไปเลือกเสื้อตัวอื่นต่อ โชคดีที่เจ้าของร้านนี้เป็นญาติของเจ้าตัวเอง เด็กหนุ่มจึงสามารถเลือกลองเสื้อเยอะหรือนานแค่ไหนก็ได้โดยไม่ถูกเขม่น
ณรงค์ยิ้มบางๆ พลางนั่งเอนหลังพิงพนักอย่างเดิม ถึงแม้ใจจะอยากแยกไปเดินดูนิตยสารหรือของแต่งบ้านไว้เป็นไอเดียแค่ไหนก็ต้องรอจนกว่าอีกฝ่ายจะลองเสื้อจนพอใจ เพราะครั้งที่แล้วที่เคยมาเลือกซื้อของด้วยกันเขาก็เคยขอแยกตัวไปดูร้านที่เล็งไว้ แต่กลายเป็นว่าทำให้เด็กหนุ่มงอนจนเขาต้องคอยง้อทั้งคืน ณรงค์เลยเลือกที่จะตัดปัญหาด้วยการรอแล้วค่อยชวนไปเดินด้วยกันทีเดียวดีกว่า
ชายหนุ่มได้ยินเสียงเสียดสีของผ้าและเห็นการขยับของคนด้านในผ่านการไหวของผ้าม่านเวลายกแขนหรือหมุนตัว แล้วก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงสรีระของอีกฝ่ายยามไร้อาภรณ์ปกปิดและบิดเกร็งด้วยความรัญจวนอยู่ใต้ร่างเขา เมื่อเช้าทั้งคู่ใช้เวลา ‘อาบน้ำ’ ด้วยกันนานถึงสองชั่วโมงกว่าจะได้ออกจากคอนโด กว่าจะมาถึงตลาดก็เลยเที่ยงไปแล้ว ทำให้ต้องแวะทานข้าวกันก่อนจะได้เริ่มเดินดูร้านรวงจริงๆ
ณรงค์ยอมรับว่าพึงใจธีระพอสมควร โดยเฉพาะในเรื่องความสัมพันธ์เพื่อตอบสนองแรงขับของผู้ชายด้วยกัน อาจเพราะอีกฝ่ายยังอายุน้อยและอยากรู้อยากเห็นในเรื่องนี้เป็นทุนอยู่แล้ว แต่ในด้านบุคลิกนั้นพวกเขายังต้องปรับตัวเข้าหากันอีกมาก
แต่ณรงค์ก็ยังรู้สึกถึงความว่างเปล่าในใจทุกครั้งหลังจากได้แนบชิดร่างกายกันอยู่นั่นเอง
ชายหนุ่มถอนหายใจพลางมองออกไปนอกร้าน วันหยุดที่ร้อนอบอ้าวดูจะไม่ได้ทำให้ความรู้สึกอยากออกมาเดินซื้อของของผู้คนน้อยลงเลย ยิ่งตกบ่าย จำนวนของลูกค้าในตลาดก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ระหว่างที่ณรงค์กำลังทอดสายตามองด้านนอกไปเรื่อยๆ เพื่อฆ่าเวลา สายตาของเขาก็สะดุดเข้ากับร่างสูงโปร่งที่มีผมสีน้ำตาลอ่อนเข้าอย่างจัง
ไรอัน??
นั่นคือชื่อแรกที่ผุดขึ้นในหัวเมื่อเห็นด้านหลังของร่างสูงโปร่งอันคุ้นตา เขาไม่ได้พบผู้บริหารหนุ่มลูกครึ่งมามากกว่าหนึ่งสัปดาห์แล้วเพราะอีกฝ่ายเดินทางไปประชุมที่ฮ่องกง ซึ่งจะว่าดีก็ดีเพราะทำให้เขาได้ทุ่มเทกับงานโดยไม่พะวักพะวนคอยมองหาเจ้าตัว แต่ขณะเดียวกันก็ยิ่งตอกย้ำความคิดถึงจนณรงค์ร่ำๆ จะโทรไปหาก่อนเสียหลายครั้ง
เท้าไวกว่าความคิด ร่างสูงใหญ่รีบลุกจากเก้าอี้และเดินเบียดผู้คนเพื่อตามเจ้าของร่างนั้นไปทันที ใจเขาเต้นแรงขึ้นจนณรงค์คิดว่าได้ยินเสียงหัวใจดังก้องในหู เนื่องจากทางเดินที่แคบและผู้คนที่เดินสวนกันไปมามีจำนวนมาก กว่าณรงค์จะตามไปจนถึงเป้าหมายได้ ชายหนุ่มก็เดินเลยร้านเสื้อผ้าที่ธีระกำลังเลือกซื้อมาหลายซอยแล้ว
“ไรอัน...”
ณรงค์ยื่นมือออกไปแตะไหล่อีกฝ่ายจากด้านหลัง ทั้งที่ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหากเจ้าตัวหันมา เขาจะอธิบายเรื่องที่มาทักกลางตลาดว่าอย่างไร ในเมื่อตลอดหนึ่งเดือนนี้พวกเขาแทบไม่เคยคุยกันสักคำเวลาอยู่ที่บริษัท แต่แล้วเมื่อคนที่เดินนำหน้าหันกลับมามองเขาด้วยสีหน้างุนงง ณรงค์ก็รู้สึกเหมือนหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“Do I know you?”
“เอ้อ...no, sorry.”
แค่สำเนียงกับสีนัยน์ตาก็ไม่ใช่แล้ว...แถมคนที่ถูกทักยังไม่ใช่ลูกครึ่งแต่เป็นชาวต่างชาติเต็มตัว อีกฝ่ายมองณรงค์อย่างงงๆ ก่อนจะหันกลับไปจูงมือหญิงสาวชาวต่างชาติที่มาด้วยกันแล้วเดินต่อ ณรงค์มองตามหลังคู่รักแล้วก็แค่นหัวเราะกับตัวเอง
งี่เง่าดีนัก...หน้าแตกเลยไหมล่ะไอ้รงค์เอ๊ย...
ณรงค์หมุนตัวแล้วก็ตั้งใจจะเดินกลับไปที่ร้าน แต่ดูเหมือนเขาจะเดินตามหนุ่มแปลกหน้าออกมาไกลเกินจนจำไม่ได้ว่าต้องเลี้ยวตรงไหนแน่ ขณะที่กำลังเดินหาจุดสังเกตที่พอจะจำได้ ธีระก็โทรศัพท์มาเรียกเขา
“พี่รงค์ไปไหนน่ะ ตี้ซื้อเสื้อเสร็จแล้วนะ พี่ป๊อกบอกว่าตะกี้จู่ๆ พี่รงค์ก็ลุกออกจากร้านแล้วไม่รู้หายไปไหน”
ณรงค์นึกถึงหน้าของลูกพี่ลูกน้องของธีระซึ่งเป็นเจ้าของร้าน เขาไม่ค่อยชอบขานั้นเท่าไหร่เพราะชอบทำสายตากะลิ้มกะเหลี่ยจนไม่ค่อยอยากสุงสิงด้วย
“ขอโทษที พี่...มาเข้าห้องน้ำน่ะ ว่าแต่พี่จำทางกลับไปที่ร้านไม่ได้ เดี๋ยวตี้ออกมาเจอพี่แถวหอนาฬิกาแทนได้มั้ย?”
ปลายสายทำเสียงเหมือนกำลังพ่นลมออกทางปาก “แค่นี้ก็หลงด้วย? เอ้า งั้นเดี๋ยวตี้ไปหาที่หอนาฬิกาก็ได้ เดี๋ยวถึงแล้วโทรหาอีกทีนะ”
ณรงค์รับคำแล้วก็วางสาย ชายหนุ่มลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ธีระไม่ได้ระแคะระคายกับเหตุผลที่เขาผลุนผลันลุกออกมา หลังจากเดินทะลุตามทางในซอยจนออกมาถึงทางเดินระหว่างโครงการ ณรงค์ก็เริ่มจำทิศทางได้และเดินไปยังสถานที่ที่นัดไว้ ระหว่างทางเขารู้สึกกระหายจึงแวะซื้อน้ำดื่มจากแผงข้างทาง แต่พอหันกลับมาเพื่อจะเดินต่อก็ชนกับคนที่เดินสวนมาอย่างจัง
“Oops, sorry. Hey…Narong! How are you mate?”
ณรงค์มองญาติผู้พี่ของไรอันที่กำลังยิ้มแย้มทักทายเขาด้วยสีหน้าตกตะลึง คงเพราะว่าทั้งสองไม่ได้เจอกันนานแล้วตั้งแต่อีกฝ่ายกลับออสเตรเลียไปเมื่อเดือนก่อน พอจู่ๆ ก็มาเจอกันแถมยังเป็นกลางตลาดจตุจักรอีกจึงทำให้ณรงค์ตั้งตัวไม่ถูก ทว่าเมื่อเหลือบไปเห็นคนที่เดินมากับอีกฝ่าย นัยน์ตาของเขาก็หยุดอยู่ที่หนุ่มลูกครึ่งเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนทันที
“ไรอัน…”
ชื่อของหนุ่มลูกครึ่งหลุดจากริมฝีปากของเขาอย่างแผ่วเบา พลันก็รู้สึกเหมือนกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกระตุกจนต้องกำมือตัวเองแน่น เพราะความที่ทางเดินนั้นแคบแสนแคบ ทำให้ไรอันอยู่ในระยะที่เขาแทบจะยื่นมือออกไปจับหรือรั้งตัวเข้ามากอดได้อย่างไม่ยากเย็น แต่อีกฝ่ายกลับเพียงมองเขาด้วยนัยน์ตาเฉยเมย ริมฝีปากหยักได้รูปเม้มเป็นเส้นตรงอย่างไม่สะท้อนอารมณ์ใดๆ
เจมส์ไม่ทันได้สังเกตท่าทีของคนที่ยืนข้างๆ จึงชวนณรงค์คุยต่อ “โทษทีนะที่งวดนี้ไม่ได้โทรบอกคุณก่อน พอดีผมบินมาทำธุระด่วนน่ะ ว่าแต่ไรอันไม่ยักบอกว่าวันนี้ก็นัดคุณไว้ที่นี่ด้วย”
ณรงค์เลิกคิ้วและเบนสายตากลับไปทางเจมส์ “เอ๊ะ?”
“I didn’t.”
ไรอันขัดขึ้น และทำให้เจมส์ทำหน้าเหลอหลา ฝ่ายณรงค์เองเมื่อเห็นดังนั้นก็งุนงงไม่แพ้กัน แต่ท่าทางจับต้นชนปลายไม่ถูกของญาติผู้พี่ของไรอันกลับทำให้ในใจของเขาชื้นขึ้นราวกับมีตาน้ำเล็กๆ ผุดซึมออกมา
หมายความว่าไรอันไม่ได้เล่าเรื่องที่พวกเขาเลิกกันให้เจมส์ฟัง...
“พี่รงค์! อยู่นี่เอง ตี้เดินหาตั้งนาน”
เสียงเรียกจากด้านหลังฉุดเขาจากภวังค์ ฝ่ายธีระเองเมื่อเดินมาทันณรงค์และเห็นไรอันก็ชะงัก เด็กหนุ่มรีบก้าวเร็วๆ เข้ามายึดแขนณรงค์ไว้แน่นทันที ตอนแรกชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็มาเกาะเขาแจ แต่พอเห็นสายตาไม่เป็นมิตรของธีระที่มองไปยังหนุ่มลูกครึ่ง เช่นเดียวกับสายตาเย็นชาของไรอันที่มองตอบ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าสองคนนี้เคยเจอกันมาก่อนที่ผับเพราะไรอันสาดน้ำใส่พวกเขานั่นเอง
เจมส์ดูเหมือนจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าดีนักแม้จะเริ่มเอะใจ ญาติผู้พี่ของไรอันจึงยิ้มและถามณรงค์เพื่อหยั่งท่าที
“He’s your brother?”
ณรงค์แปลกใจที่เจมส์ความจำดีใช้ได้ทีเดียว เพราะเขาเคยเล่าให้ฟังว่ามีน้องชายกับน้องสาวฝาแฝดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
“No, I’m his boyfriend.”
ธีระโพล่งตอบพลางเบียดตัวเข้าหาร่างสูงใหญ่มากขึ้น ณรงค์เหลือบตามองคนข้างตัวก่อนจะเบนสายตากลับไปที่ไรอัน นัยน์ตาของทั้งสองสบกันเป็นเวลาสั้นๆ ก่อนที่ไรอันจะมองไปอีกทาง ทั้งสองจึงไม่ทันสังเกตว่าเจมส์ลอบประเมินการแลกสายตาของพวกตนอยู่ ขณะที่ธีระก็เห็นเช่นกัน เด็กหนุ่มบีบแขนณรงค์แน่นขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ชายหนุ่มไม่รู้สึกตัว
“Let’s go, James. I want to get your fucking shopping list done and go home now.”
ไรอันพูดขึ้นพลางฉุดแขนเจมส์ไปอีกทาง เจมส์จึงหันมาโบกมือให้ณรงค์และร้องบอก
“Hey, you take care alright? I’ll call you later.”
ไรอันมองญาติผู้พี่ของตัวเองตาเขียวแล้วเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น ฝ่ายณรงค์ได้แต่มองตามทั้งสองไปด้วยความรู้สึกอยากก้าวตามใจแทบขาด แต่แรงกอดแขนที่กระชับแน่นก็ดึงสายตาเขาให้ก้มลงมอง และทำให้ได้เห็นว่าธีระก็กำลังมองตามคนทั้งสองเช่นกัน แต่ด้วยนัยน์ตาไม่พอใจและริมฝีปากเม้มแน่น ณรงค์จึงได้แต่ถอนหายใจ
“เราจะไปดูอะไรกันต่อดี?”
ณรงค์ถามขึ้นในที่สุด ถึงแม้จะอยากตามไปอธิบายกับไรอันและเจมส์แค่ไหนก็ไม่อาจละทิ้งคนข้างตัวได้ เพราะเขาคือคนที่ดึงธีระเข้ามาข้องเกี่ยวเอง และนี่คือความรับผิดชอบที่จะละทิ้งกลางคันไม่ได้
“ตี้ไม่อยากเดินตลาดต่อแล้ว ตี้อยากไปที่อื่น”
เด็กหนุ่มปล่อยมือณรงค์และออกเดินนำหน้า น้ำเสียงบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังไม่พอใจมาก ณรงค์จึงสาวเท้ายาวๆ จนตามทันและรั้งข้อมือผอมเล็กไปจับไว้
“ถ้างั้นไปดูหนังกันดีกว่า แล้วตอนเย็นๆ ค่อยไปหาร้านกินข้าวแถวนี้ โอเคมั้ย?”
การแสดงความเอาใจใส่ของณรงค์ช่วยสลายอารมณ์โกรธของธีระลงบ้าง เด็กหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นยิ้มให้แล้วบีบมือเขากลับ ทั้งสองเดินจูงมือกันออกจากตลาดเพื่อไปยังลานจอดรถ ทำให้ไม่ทันได้เห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลอมเทาของเจมส์ที่มองตามพวกเขาทั้งคู่ ก่อนที่จะหันกลับไปมองญาติผู้น้องของตนที่กำลังยืนเลือกสินค้าด้วยสีหน้าไม่รู้สึกรู้สาอย่างครุ่นคิด
หลังจากไปดูหนังและทานข้าวเย็นกันในห้างสรรพสินค้าซึ่งเลยไปจากตลาดไม่ไกล ณรงค์ก็ยอมตามใจธีระที่ยังไม่อยากกลับห้องด้วยการพาไปนั่งดื่มเหล้าและฟังเพลงที่ร้านซึ่งเด็กหนุ่มชอบไปประจำ ดูเหมือนก่อนหน้าที่จะคบกับเขาธีระจะเป็นที่นิยมไม่ใช่น้อย เพราะระหว่างที่นั่งอยู่ในบาร์นั้นมีผู้ชายไม่ต่ำกว่าสี่คนเดินเข้ามาทักอีกฝ่ายอย่างคุ้นเคย แต่พอเด็กหนุ่มแนะนำเขาไปว่าเป็นแฟน คนเหล่านั้นก็ถอยกลับไปเองพร้อมกับท่าทางเสียดาย
จวบจนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปเกือบค่อนคืน ณรงค์ก็จ่ายค่าเครื่องดื่มและชวนธีระกลับ เขาไม่ได้ดื่มมากเท่าเด็กหนุ่มที่สั่งเบียร์มาหลายขวดจนเดินเซเล็กน้อยตอนเดินขึ้นรถ หลังจากมาถึงคอนโดและถอยรถเข้าจอดช่องประจำ ณรงค์ก็ดับเครื่องพลางถามขึ้นเปรยๆ
“ตี้เคยคบใครมาก่อนหน้าพี่มั้ย?”
คำถามนั้นทำให้คนที่เพิ่งจะตื่นจากการผล็อยหลับหันมาถามอย่างงุนงง
“หือม์? ถามทำไมอะ?? พี่รงค์หึงตี้เหรอ?”
เสียงของเด็กหนุ่มยานคางเล็กน้อย ผิวแก้มเนียนใสเป็นสีแดงเรื่อเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์ ณรงค์ปรายตามองคนที่เอนตัวมาพิงไหล่แล้วก็ส่ายหน้า
“พี่ก็แค่ถามดูเฉยๆ เห็นเราป๊อบเหลือเกินนี่นา ถ้าเมื่อกี้พี่ไม่อยู่ด้วยสงสัยคงมีคนอยากแย่งกันไปส่งถึงห้องเลยมั้ง”
ณรงค์แซวอย่างไม่ได้คิดอะไร แต่ธีระกลับเงียบไป เขานึกว่าเด็กหนุ่มคงง่วงจึงไม่ได้เซ้าซี้ แต่พอกำลังจะหันไปปลดล็อคประตู ณรงค์ก็เลิกคิ้วเมื่อคนที่นึกว่าหลับยื่นแขนขึ้นมาโน้มคอเขาลงไปจูบ
ชายหนุ่มครางเสียงต่ำเมื่อถูกปลายลิ้นอุ่นรุกเข้ามาในริมฝีปาก ขณะเดียวกันร่างผอมบางก็พยายามเบียดเข้าหาเขามากขึ้น ณรงค์สัมผัสได้ถึงความพยายามของอีกฝ่ายที่จะปลุกอารมณ์จึงจับไหล่แล้วดันออก
“ไม่อยากขึ้นไปนอนบนเตียงเหรอเรา อีกอย่างนี่มันในรถนะ”
ณรงค์ไม่ใช่พระอิฐพระปูน แต่เป็นผู้ชายที่มีเลือดเนื้อและแรงขับทางกายเช่นผู้ชายทั่วไป เมื่อความปรารถนาที่อัดอั้นมานานถูกสะสมจนล้นปรี่ก็ย่อมต้องหาทางระบายออกเป็นธรรมดา ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้พลาดจนมีอะไรกับธีระตั้งแต่ครั้งแรกเพราะความมึนเมา เขาไม่ปฏิเสธว่าอีกฝ่ายตอบสนองเขาได้ดีต่อให้บางครั้งเขาจะเรียกร้องมากแค่ไหน แต่ก็ใช่ว่าณรงค์จะคึกอยากมีอะไรกันทุกครั้งที่เด็กหนุ่มอยู่ใกล้ เขาไม่ได้ต้องการความสัมพันธ์ที่มีเงื่อนไขแค่การใช้ร่างกายระบายความใคร่ต่อกันเท่านั้น
และไฟปรารถนาในตัวเขาก็ยิ่งดูจะริบหรี่ลงไปอีกเมื่อได้เจอไรอันที่ตลาดกับเจมส์วันนี้ ถึงแม้จะรู้ดีว่าทั้งสองเป็นแค่ญาติกันก็ตาม
“ถ้าหากตี้บอกว่าพี่รงค์ไม่ใช่คนแรกของตี้ พี่รงค์จะหึงหรือเปล่า?”
เด็กหนุ่มกระซิบชิดริมฝีปาก ลมหายใจที่อวลกลิ่นแอลกอฮลล์พวยออกจากปลายจมูกและรดลงเหนือริมฝีปากของณรงค์แผ่วๆ แต่เขาก็เพียงมองอีกฝ่ายด้วยนัยน์ตาว่างเปล่า
“งั้นเหรอ...”
ณรงค์ไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากนั้น แต่ปฏิกิริยาที่ราวกับไม่ใส่ใจของเขากลับจุดไฟโทสะให้ธีระได้อย่างชะงัด เด็กหนุ่มเบิกตากว้างมองเขาเหมือนไม่เชื่อหูในวูบแรก จากนั้นก็ผลักอกณรงค์อย่างแรงแล้วเปิดประตูวิ่งออกจากรถ ณรงค์อึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป จึงรีบเปิดประตูและวิ่งตามอีกฝ่ายไปทันที
“ตี้! จะไปไหนน่ะ!!”
“ไม่ต้องตามมาเลย! ตี้มันไม่มีค่าเลยไม่ใช่หรือไง!! ถ้าหากอยากกลับไปหาเขานักก็รีบไปเดี๋ยวนี้เลยสิ!!!”
ณรงค์รีบคว้าแขนเรียวไว้แล้วดึงอีกฝ่ายให้หันมาหา น้ำตาที่ไหลอาบเต็มสองแก้มของธีระทำให้เขาชะงัก ความรู้สึกผิดเอ่อท้นในอกจนณรงค์ต้องรีบรั้งร่างผอมบางเข้ามากอดแล้วลูบแผ่นหลังขึ้นลงแรงๆ
“พี่ขอโทษ พี่...ไม่ได้ตั้งใจจะพูดอย่างนั้น ตี้ใจเย็นๆ ก่อนเถอะ”
“ฮึก ถึงจะเคยมีคนเข้ามาจีบก่อนพี่รงค์ แต่ตี้ไม่เคยนอนกับใครเลยนะ...ทำไมพี่รงค์ต้องพูดเหมือนไม่แคร์กันเลยอย่างนั้นด้วย”
คำตัดพ้อของเด็กหนุ่มตอกย้ำความรู้สึกผิดในใจให้ฝังลึก และทำให้ณรงค์รู้สึกว่าตัวเองเลวมากขึ้นไปอีก เพราะนอกจากจะลากอีกฝ่ายเข้ามาเพื่อชดเชยความเหงาแล้ว เขายังเป็นคนที่พรากสิ่งสำคัญที่สุดของธีระไปแล้วทำเหมือนไม่เห็นค่าอีกด้วย
นี่เขาจะต้องทำผิดพลาดอีกสักกี่ครั้งถึงจะพอ...
“พี่ขอโทษนะตี้ เลิกร้องไห้เถอะ นี่มันก็ดึกแล้ว กลับห้องพี่ก่อนดีกว่านะ”
ณรงค์ดันร่างผอมบางออกแล้วเช็ดน้ำตาให้ ก่อนจะโอบไหล่แล้วพาเดินกลับเข้าไปในคอนโด ถึงแม้จะอายพนักงานรักษาความปลอดภัยที่อยู่ตรงป้อมยามแต่ก็ช่วยไม่ได้ และโชคยังดีของเขาที่ฝ่ายนั้นก็พยายามแสร้งทำเป็นไม่เห็นด้วยความเกรงใจ
หลังจากขึ้นลิฟต์มาถึงที่ห้อง ณรงค์ก็จูงธีระให้นั่งลงบนโซฟาแล้วหยิบกล่องทิชชู่ส่งให้เพื่อเช็ดน้ำมูก
“เดี๋ยวพี่เอาน้ำมาให้นะ รอตรงนี้แป๊บนึง”
ชายหนุ่มบอกก่อนจะเดินหายเข้าไปในครัว แต่ขณะที่กำลังหยิบแก้วมากดรองน้ำดื่มจากเครื่องกรอง ณรงค์ก็ชะงักเพราะธีระเดินตามมากอดเอวเขาและแนบหน้าลงบนแผ่นหลังอย่างเงียบๆ
“ง่วงหรือไงเรา? ถ้างั้นก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไป”
ณรงค์บอกพลางปิดก๊อกน้ำ แล้วก็ชะงักอีกครั้งเมื่อคนข้างหลังเริ่มปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเขาพลางเอ่ยเสียงอู้อี้จากด้านหลัง
“พี่รงค์ กอดตี้หน่อย”
ไม่เพียงใช้คำพูดเท่านั้น เด็กหนุ่มยังสอดมือเข้าใต้สาบเสื้อของณรงค์และลูบแผ่นอกของเขาไปมา ณรงค์ขบกรามเมื่อถูกสัมผัสอันเร่งเร้าจุดไฟปรารถนาในร่างให้ค่อยๆ คุโชน จึงรีบดึงมือที่กำลังซุกซนออกแล้วหันกลับไปหา
“เมื่อเช้าพี่ก็กอดตี้ไปแล้วนี่”
ณรงค์อ้างถึงการอาบน้ำด้วยกันเมื่อเช้า ซึ่งมักไม่จบลงเพียงการอาบน้ำทุกครั้งที่ทั้งสองเข้าห้องน้ำด้วยกัน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ธีระยอมถอย เด็กหนุ่มหรี่ตามองเขาพลางทำปากยื่นอย่างดื้อรั้น
“แค่นั้นไม่พอ ตี้อยากให้พี่รงค์กอดอีก กอดตี้ให้ถึงเช้าเลย นะ...พี่รงค์”
ธีระพูดพลางถอดเสื้อกับกางเกงของตัวเองออกราวไม่ต้องการฟังคำปฏิเสธ ณรงค์ได้แต่ยืนนิ่งเมื่ออีกฝ่ายก้าวร่างเปลือยเปล่าเข้ามากอดเขาไว้และสอดมือลงใต้กางเกง อุ้งมืออุ่นที่โอบกุมส่วนอ่อนไหวพลางหยอกเย้าไปมาเป็นจังหวะ เช่นเดียวกับริมฝีปากอุ่นที่พรมจูบลงบนแผ่นอกทำให้ณรงค์ต้องใช้มือข้างหนึ่งกำขอบอ่างล้างจานไว้เพื่อพยุงตัว ส่วนมืออีกข้างจิกลงบนไหล่ผอมและกัดฟันแน่นเพื่อข่มกลั้นอารมณ์ ธีระเหลือบมองณรงค์ที่ปิดตาแน่นและหอบหายใจเพราะการเล้าโลมของตัวเอง ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนตัวลงและกระซิบด้วยเสียงแหบต่ำ
“กอดตี้นะพี่รงค์ จนกว่าพี่รงค์จะลืมเขา จะนึกว่าตี้เป็นเขาก็ได้”
“ตี้!!”
คำพูดนั้นทำให้ณรงค์ได้สติ เขารีบจับยึดไหล่อีกฝ่ายให้ยืนขึ้นอีกครั้งแล้วเขย่าอย่างแรง
“อย่าพูดอย่างนั้นอีกนะตี้!! ไม่มีใครเป็นตัวแทนใครได้ทั้งนั้นเข้าใจไหม!!!”
ณรงค์รู้สึกปวดหัวจี๊ดและร้อนในอกราวกับใครมาสุมไฟเผา ประโยคที่เพิ่งได้ยินทำให้เขาโกรธจนไม่สามารถจะใช้คำใดมาบรรยายได้
“ฮึก ถ้างั้น...ถ้างั้นพี่รงค์ก็กอดตี้สิ! อย่าทำเหมือนตี้ไม่มีตัวตนแบบนี้! ทั้งๆ ที่พี่รงค์เป็นคนเข้ามาหาตี้ก่อนแท้ๆ!!”
ใบหน้าเหยเกที่มีหยาดน้ำไหลรินทำให้ณรงค์ใจหายวูบ ไฟโทสะดับมอดราวกับถูกน้ำถังใหญ่สาดเข้าใส่ ร่างที่สั่นเทาและเสียงสะอื้นเรียกความสงสารจนใจของเขาอ่อนยวบ
เขาเป็นคนที่ลากคนอื่นเข้ามาเกี่ยว และทำให้ตัวเองกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้เอง ไม่มีใครให้โทษทั้งนั้น ไม่ใช่แม้แต่ไรอันด้วย…
พลันภาพของเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่ไม่ยอมสบตาเขาเมื่อตอนกลางวันก็ผุดขึ้นมาในหัว
ชายหนุ่มเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างเชื่องช้าและพยายามมองคนตรงหน้าโดยไม่มีภาพของใครมาทาบทับอีก ถึงแม้ว่ามันจะช่างทำได้ยากเย็นเหลือเกินก็ตาม
“เข้าใจแล้ว พี่ขอโทษนะตี้ คืนนี้พี่จะกอดตี้ถึงเช้าเลย เรานั่นแหละ แน่ใจนะว่าทนพี่ไหว?”
“....ที่ผ่านมาตี้ไม่ทนหรือไงล่ะ”
เด็กหนุ่มตัดพ้อด้วยท่าทางเขินอาย ณรงค์จึงหัวเราะเบาๆ เพราะรู้ดีว่าตั้งแต่คบกันมา บางครั้งเขาก็เรียกร้องจากธีระมากเกินไปจริงๆ
“เด็กขี้น้อยใจ ถ้าพรุ่งนี้ลุกไม่ขึ้นอย่าบ่นก็แล้วกัน”
ณรงค์อุ้มธีระขึ้นและพาเข้าไปในห้องนอน จากนั้นก็วางร่างผอมบางลงบนเตียงอย่างอ่อนโยนก่อนจะถอดเสื้อผ้าและตามลงทาบทับ ร่างในอ้อมแขนโอนอ่อนตามทุกการสัมผัสของเขาอย่างกระตือรือร้น และไม่ว่าจะถูกขอให้ทำอะไรก็ยินยอมโดยไม่อิดออดด้วยอยากให้เขาพอใจมากที่สุด
ร่างสูงใหญ่ใส่อารมณ์ในทุกการเคลื่อนไหวอันหนักหน่วง เขาจูบกลืนเสียงกรีดร้องด้วยความสุขสมของอีกฝ่ายอย่างกระหาย ขณะเดียวกันก็ตักตวงความสุขจากผิวกายเนียนอุ่นราวไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่ถึงแม้ว่าความหิวโหยทางกายจะได้รับการบรรเทาสักเพียงใด บาดแผลในใจของณรงค์กลับยิ่งขยายรอยลึกและเจ็บแสบมากขึ้นเมื่อได้เห็นแววตาที่เปิดเผยถึงความหลงใหลในตัวเขาอย่างหมดใจ
เขาผิดเองที่ลากเด็กคนนี้เข้ามาในชีวิตตั้งแต่แรก….
++------++
ณรงค์รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาตอนสายของวันอาทิตย์ และเพราะการยั่วยวนของธีระที่ยังนอนซุกเขาไม่ไปไหน ทั้งสองจึงมีอะไรกันอีกครั้งก่อนจะได้อาบน้ำและลงไปทานมื้อกลางวันในตลาดใกล้คอนโด กระทั่งบ่ายคล้อย ณรงค์จึงขับรถพาเด็กหนุ่มไปส่งที่อพาร์ตเม้นท์ใกล้มหาวิทยาลัยย่านชานเมือง
“เดี๋ยววันศุกร์หน้าพี่ต้องบินไปเอ๊าท์ติ้งที่ภูเก็ตกับออฟฟิศตั้งแต่เช้า แต่ถ้าเย็นวันอาทิตย์กลับมาแล้วไม่เหนื่อยเกินไปพี่จะแวะเอาของฝากมาให้”
ณรงค์หันไปบอกขณะเทียบรถเข้าจอดหน้าทางเข้าอพาร์ตเม้นท์ ธีระจึงหันมายิ้มให้
“ไม่ต้องรีบก็ได้พี่รงค์ เดี๋ยววันไหนเลิกเรียนเร็วตี้ค่อยไปหาที่ออฟฟิศก็ได้”
คำตอบนั้นทำให้ณรงค์ชะงักไปนิดหนึ่ง เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองพร้อมจะให้ใครต่อใครเห็นคนที่คบด้วยในตอนนี้หรือยัง ไม่ใช่เพราะอายที่มีแฟนเป็นเด็กหนุ่มเพศเดียวกัน แต่หากเปิดเผยตัวเช่นนั้น...ก็เท่ากับยิ่งปิดประตูที่จะได้กลับไปคืนดีกับไรอันมากเข้าไปอีก
นี่เขายังไม่เลิกคิดฝันอะไรลมๆ แล้งๆ อีกหรือไงนะ...จะทำตัวเป็นคนโง่ซ้ำซากไปถึงไหน...
“พี่รงค์?”
ธีระขมวดคิ้วมองนัยน์ตาเลื่อนลอยที่ราวกับมองทะลุผ่านตัวเองไป และน้ำเสียงที่แฝงความหวั่นไหวก็เรียกสติของณรงค์ให้กลับมา ชายหนุ่มกะพริบตาก่อนจะรีบยิ้มให้อีกฝ่ายสบายใจ
“เอาสิ งั้นไว้ค่อยนัดกันอีกทีก็แล้วกัน”
ณรงค์เอ่ยพลางยื่นตัวเข้าไปจูบริมฝีปากอีกฝ่ายเร็วๆ เพื่อปลอบใจ ธีระจึงค่อยคลี่ยิ้มออกมาได้ ถึงแม้จะรู้ว่าไม่ควรให้ความหวังกับเด็กหนุ่มทั้งที่ตัวเองก็ยังสับสน แต่เขาก็ชอบมองรอยยิ้มสดใสที่ช่วยทำให้โลกอันมืดมนคลายความหม่นหมองมากกว่าใบหน้าเศร้าๆ ที่เหมือนภาพสะท้อนความในใจของเขามากกว่า
อย่างน้อยก็จนกว่าเขาจะรู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป...
กว่าณรงค์จะกลับถึงที่พักก็ย่ำค่ำเพราะช่วงเย็นวันอาทิตย์มีรถจากต่างจังหวัดเข้ากรุงเทพหนาแน่น หลังจากทานมื้อเย็นที่ร้านอาหารตามสั่งหน้าคอนโดเพียงลำพัง ชายหนุ่มก็ขึ้นลิฟต์กลับขึ้นไปบนห้อง วูบหนึ่งก็ให้รู้สึกเหงาที่ไม่มีคนคุยด้วยหลังจากส่งธีระกลับไปแล้ว
เสียงโทรศัพท์มือถือของณรงค์ดังขึ้นขณะที่เพิ่งอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ พอเขาหยิบเครื่องขึ้นดูและเห็นชื่อคนโทรเข้าก็ลังเลครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็กดรับ
“ฮัลโหล?”
“ณรงค์ วันนี้มันเรื่องบ้าอะไรกันน่ะ?”
เจมส์ถามด้วยน้ำเสียงคาดคั้น ณรงค์จึงผ่อนลมหายใจยาวแล้วยกมือขึ้นนวดขมับ
“ไม่มีอะไรหรอก ก็อย่างที่คุณเห็นนั่นแหละ ตอนนี้ผมกับไรอันเลิกกันแล้ว และผมก็คบกับเด็กคนนั้นอยู่”
แม้แต่ชายหนุ่มยังแปลกใจตัวเองที่สามารถตอบคำถามได้อย่างฉะฉานไม่สะดุด ปลายสายเงียบไปราวอึ้งกับคำตอบ เกือบหนึ่งนาทีให้หลังเจมส์จึงถามขึ้นอีกครั้ง
“How in bloody hell did it happen?”
ณรงค์เลิกคิ้ว “คุณหมายถึง?”
“คุณกับไรอัน พวกคุณเลิกกันได้ยังไง และไม่ต้องบอกให้ผมถามเจ้าตัวเอง ถ้าผมง้างคำอธิบายออกจากปากหมอนั่นได้ผมคงไม่ต้องโทรมาหาคุณ”
ชายหนุ่มถอนหายใจหนักหน่วงอีกครั้ง เริ่มรู้สึกว่าความปวดหัวแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ เขารู้จักนิสัยไรอันดีว่าอย่างมากก็คงแค่บอกลูกพี่ลูกน้องตัวเองว่าพวกเขาแยกทางกัน แต่ไม่ได้ให้เหตุผลที่เพียงพอหรือน่าพอใจสำหรับคนถามแน่ๆ ไม่ต่างจากเขาที่มึนงงตอนที่ถูกบอกเลิก แล้วก็ถูกขับไล่ไสส่งโดยไม่ได้รับโอกาสให้อุทธรณ์นั่นแหละ
“ถ้าจะถามผม ผมก็จะเดาว่าเพราะเขาหึง เพราะหลังจากที่คุณกลับเมลเบิร์นคืนนั้นไรอันก็ไล่ผมออกจากห้อง ผมโมโหก็เลยไปกินเหล้าเมาแล้ว ก็เลย...กับเด็กคนนั้น...เอาเป็นว่าผมผิดเองก็แล้วกัน”
ณรงค์ตัดบทด้วยยิ่งพูดก็ยิ่งขุดหลุมฝังตัวเอง ชายหนุ่มหายใจหอบเล็กน้อยหลังจากรัวคำอธิบายเหล่านั้นออกมา และนั่นทำให้เจมส์เงียบไปพักใหญ่
“ถ้างั้นก็หมายความว่าคุณ...นอกใจไรอันเพราะน้อยใจที่ถูกไล่กลับห้อง?”
เจมส์ถามขึ้นในที่สุด แต่นั่นช่างเป็นข้อสรุปที่เรียบง่ายและปรักปรำความผิดกับเขาฝ่ายเดียวเหมือนไม่สนใจความซับซ้อนของเรื่องที่เกิดขึ้นเลยสักนิด
“ผมไม่ได้ตั้งใจ! ถ้าหาก...คืนนั้นไรอันไม่ได้บอกว่าผมน่ารำคาญ...ผมอาจไม่ขาดสติจนออกไปกินเหล้าตั้งแต่แรกก็ได้”
ณรงค์ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาพลางยกมือขึ้นเสยผมแรงๆ การพยายามอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่ต่างจากการสะกิดแผลที่ยังไม่ปิดสนิทให้ปริแตกและสูบพลังออกจากตัวไปจนเหนื่อยอ่อน
“...ผมเชื่อว่ามันต้องมีคำอธิบายสำหรับเรื่องนี้ แต่ที่แน่ๆ คุณยังรักไรอันอยู่ใช่ไหมล่ะ?”
ณรงค์ฟังคำถามแล้วก็ปิดเปลือกตาลงด้วยความอ่อนล้า จู่ๆ ภาพแววตาหวั่นไหวของธีระก่อนจะลาจากกันเมื่อเย็นก็ผุดขึ้นมาในหัว และความรู้สึกเจ็บแปลบอีกอย่างก็ทิ่มแทงใจจนเขาไม่สามารถตอบคำถามได้ในทันที
ทำไมทุกอย่างดำเนินมาจนถึงขั้นนี้ได้ ทำไมเขาถึงต้องรักไรอัน ทำไมไรอันถึงต้องทำตัวเข้าใจยากและไม่ยอมรับเขาเข้าในหัวใจง่ายๆ ทำไมคืนนั้นเขาถึงต้องออกไปกินเหล้าเมาจนเผลอมีอะไรกับธีระไป ทำไมเขาถึงต้องกลับไปที่ผับนั้นอีก ทำไมไรอันถึงต้องบอกเลิกเขา ทำไมธีระต้องแสดงออกว่ารักเขามากและขาดเขาไม่ได้ ทำไม ทำไม ทำไม ดูเหมือนชีวิตของณรงค์จะมีแต่เรื่องที่ชวนให้ตั้งคำถามเกิดขึ้นซ้ำๆ ติดต่อกันไม่หยุดหย่อน
ความมืดในห้องทำให้ชายหนุ่มควานมือหาสวิทช์โคมไฟตั้งโต๊ะเพราะไม่อยากลุกไปเปิดไฟดวงใหญ่ พลันเมื่อแสงสีอ่อนนวลฉายออกจากโคมไฟทรงกลมทำจากเรซินสีขาวสลับกับน้ำเงิน ณรงค์ก็กะพริบตาก่อนจะจ้องโคมไฟดวงนั้นนิ่งนาน
ราวกับเขาไม่เคยสังเกตเห็นเลยว่ามันตั้งอยู่ตรงนี้มาตลอดนับตั้งแต่ได้รับมา
ภาพของคนที่ซื้อโคมไฟให้พลันปรากฏขึ้นในใจอย่างแจ่มชัดโดยไม่ต้องอาศัยรูปถ่าย ไม่ว่าจะเป็นเช้าแรกที่ไรอันตื่นขึ้นมาในห้องเขาด้วยท่าทางงุนงงหลังจากไปเมาจนมีเรื่องที่ผับ รอยยิ้มแรกที่อีกฝ่ายมอบให้หลังจากไปเดินดูไฟคริสต์มาสด้วยกันทั้งที่ไม่ได้ใส่คอนแทคต์เลนส์ ภาพตอนที่ไรอันบอกชื่อเล่นตัวเองอย่างอายๆ ตอนที่เขาไปส่งที่ห้อง ภาพตอนที่ยิ้มรับดอกกุหลาบในวันวาเลนไทน์จากเขาและทานดินเนอร์ด้วยกันใต้แสงเทียน ภาพตอนที่เล่นสงกรานต์ตอนไปเยี่ยมบ้านที่กาญจนบุรี และยังความอ่อนหวานและเร่าร้อนที่ทั้งสองมอบให้กันใต้สายน้ำฝักบัว ถึงแม้จะไม่มีอะไรมากไปกว่าการกอดจูบและสัมผัสผิวกายจนอีกฝ่ายบรรลุความปรารถนาเท่านั้น แล้วยังไม่นับตอนที่อีกฝ่ายไม่สบายจนเขาไปคอยนอนเฝ้าไข้ตลอดสุดสัปดาห์อีก
เขาจะมอบใจให้คนอื่นได้อย่างไร ในเมื่ออดีตที่มีร่วมกับไรอันยังอัดแน่นในทุกอณูความทรงจำแบบนี้
“ณรงค์? Are you still there?”
“Yes....ขอโทษนะเจมส์ ตอนนี้ผมเหนื่อยมาก”
ณรงค์ตอบเสียงเบาก่อนจะกดวางสาย เขาไม่รู้ว่าเจมส์จะเข้าใจไหมว่าคำตอบ ‘Yes’ ของเขาเมื่อครู่คือการตอบรับทั้งสองคำถาม ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ลงข้างตัวก่อนจะยื่นมือออกไปทาบลงบนโคมไฟ พลังงานจากหลอดไฟด้านในส่งผ่านความอบอุ่นออกมายังฝ่ามือใหญ่ที่แนบอยู่บนผิวโค้งกลม แต่นั่นก็ยังเทียบไม่ได้กับความอบอุ่นที่ฝ่ามือนี้ยังคงจดจำจากการกอดและสัมผัสใครคนหนึ่งที่ช่างแสนหัวรั้นแต่ก็กุมหัวใจเขาไว้ได้แน่นหนาจนดิ้นไม่หลุด
ความทรงจำที่สั่งสมมาครึ่งปีไม่ใช่สิ่งที่จะถูกหักล้างกันง่ายดายภายในเดือนเดียว และแม้ว่าจะรู้สึกผิดต่อธีระสักเพียงไหน แต่ณรงค์ก็ไม่อาจยกพื้นที่ในหัวใจให้กับใครแทนไรอันได้ ถึงแม้ว่าภาพใบหน้านองน้ำตาของเด็กหนุ่มเมื่อคืนจะยังทิ่มแทงใจเขาทุกครั้งที่นึกถึงก็ตาม
++---TBC---++
A/N: ต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว ดูเหมือนมาม่าชามนี้จะยังปรุงไม่เสร็จง่ายๆ ใครที่เคยงอนคนเขียนหรือจิตตกจากตอนที่แล้ว เดี๋ยวเอายาดม / ยาลม / ยาหม่อง / คุ้กกี้ / ชา / กาแฟ มาเสิร์ฟให้นะคะ อย่าเพิ่งนอยด์คนเขียนกับณรงค์เลยนะ เห็นใจเฮียแกหน่อย กำลังโดนพิษรักเล่นงานขั้นรุนแรงก็เลยไม่อยู่กับร่องกับรอยแบบนี้แหละ
Create Date : 16 พฤศจิกายน 2554 |
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2554 11:57:13 น. |
|
15 comments
|
Counter : 820 Pageviews. |
|
|
|
โดย: น้ำค้าง IP: 202.41.167.241 วันที่: 17 พฤศจิกายน 2554 เวลา:11:14:35 น. |
|
|
|
โดย: เอิงเอย IP: 116.73.34.101 วันที่: 17 พฤศจิกายน 2554 เวลา:11:32:14 น. |
|
|
|
โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 18 พฤศจิกายน 2554 เวลา:9:59:17 น. |
|
|
|
โดย: sherry IP: 80.254.146.36 วันที่: 18 พฤศจิกายน 2554 เวลา:10:04:22 น. |
|
|
|
โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 18 พฤศจิกายน 2554 เวลา:13:29:34 น. |
|
|
|
โดย: maew IP: 101.108.19.2 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2554 เวลา:9:35:05 น. |
|
|
|
โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 19 พฤศจิกายน 2554 เวลา:11:48:56 น. |
|
|
|
โดย: aew IP: 125.27.70.195 วันที่: 25 พฤศจิกายน 2554 เวลา:20:33:43 น. |
|
|
|
โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 26 พฤศจิกายน 2554 เวลา:0:29:36 น. |
|
|
|
โดย: nootikky วันที่: 10 ธันวาคม 2554 เวลา:16:32:29 น. |
|
|
|
โดย: pantawan วันที่: 10 ธันวาคม 2554 เวลา:20:33:40 น. |
|
|
|
โดย: xuelang IP: 58.8.150.208 วันที่: 13 ธันวาคม 2554 เวลา:12:07:32 น. |
|
|
|
โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 24 เมษายน 2555 เวลา:12:11:21 น. |
|
|
|
| |
|
|
โอย เครียด