Group Blog
 
All blogs
 
ลำนำรักสีรุ้ง Extra Episode: คืนจันทร์อิงดาว

แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ


++------++


ลำนำรักสีรุ้ง Extra Episode : คืนจันทร์อิงดาว


RRRrrrrr….


เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นครั้งหนึ่งก่อนจะเงียบไป เป็นสัญญาณที่รู้กันดีระหว่างผมกับคนที่มารับว่าอีกฝ่ายมาถึงบริษัทแล้ว ผมจึงปิดคอมพิวเตอร์และหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นพาดบ่า จากนั้นก็หันไปไหว้ลารุ่นพี่ที่นั่งทำงานอยู่ใกล้ๆ กัน

“ผมกลับก่อนนะครับ พี่ก้อย พี่ศิลป์”

รุ่นพี่ทั้งสองหันมายิ้มให้แล้วโบกมือลา เนื่องจากตั้งแต่ปิดเทอมครั้งก่อนๆ ผมก็มาฝึกงานที่นี่ประจำ ทำให้ค่อนข้างคุ้นเคยกับทุกคนในบริษัทดี โดยเฉพาะกับสองคนนี้ซึ่งคอยช่วยสอนงานให้ผมตลอด

พอเดินออกมาถึงโถงด้านหน้าบริษัท ผมก็เห็นร่างสูงใหญ่ที่คุ้นเคยกำลังนั่งอ่านนิตยสารฆ่าเวลาอยู่ตรงโซฟา พอเป้เงยหน้ามาเห็นผมก็วางนิตยสารในมือลงแล้วลุกขึ้นยิ้มให้ ผมเลยไหว้ลารุ่นพี่ตรงเคาน์เตอร์รีเซปชั่นก่อนจะเดินออกจากออฟฟิศไปพร้อมกับคนที่มารับ

“เมื่อตอนบ่ายหว้าโทรมาบอกว่าเย็นนี้จะไปกินข้าวกับติวหนังสือที่บ้านเพื่อน คงจะมากินข้าวด้วยไม่ได้นะ”

ผมบอกระหว่างที่พวกเรากำลังลงลิฟต์ไปยังชั้นจอดรถใต้ดิน เป้ที่ยืนล้วงกระเป๋ามองแผงไฟเหนือประตูเลยส่งเสียงรับในคอ

“อืม...งั้นคืนนี้พวกเราก็อยู่ด้วยกันจนถึงดึกได้สิ?”

พ่อคุณชายหันมาพูดยิ้มๆ พร้อมกับที่ประตูลิฟต์เปิดออก ผมเลยขมวดคิ้วมองคนที่เดินนำออกไปก่อนแบบไม่เห็นด้วยเท่าไหร่

“คงไม่ค่อยดีมั้งเป้ เดี๋ยวกินข้าวแล้วกลับเลยดีกว่า ไม่อยากให้หว้าอยู่หอคนเดียว”

ผมเอ่ยขึ้นหลังจากที่เราขึ้นรถและออกมาจากอาคารสำนักงานแล้ว แต่เป้กลับยักไหล่ทั้งที่ไม่ได้หันมาหา “หว้าก็โตแล้วนะวิว อีกอย่างเด็กวัยนี้อย่าไปคอยเฝ้ามากนักเลย ตอนเป้อายุเท่าหว้ายังเคยหนีออกไปเที่ยวตอนกลางคืนกับปูมด้วยซ้ำ”

เป้พูดยังกับเด็กวัยรุ่นที่ไม่เคยหนีเที่ยวตอนกลางคืนต่างหากที่ผิดปกติ ผมเลยรู้สึกเหมือนกำลังโดนกระทบชอบกลทั้งที่เจ้าตัวคงไม่ตั้งใจ ก็ตอนผมยังเด็กเท่าหว้าน่ะ แถวบ้านผมมันไม่มีอะไรให้ไปออกไปดูเลยยกเว้นเวลามีงานวัดนี่นา ดังนั้นถ้าหากไม่ทำการบ้านหรืออ่านหนังสือล่ะก็ ไม่เกินสี่ทุ่มผมก็กางมุ้งเข้านอนแล้ว

“แล้วทั้งเป้ทั้งพี่ปูมก็โดนทำโทษทุกครั้งที่พากันหนีเที่ยวใช่ไหมล่ะ?”

ผมช่วยต่อให้ คราวนี้คนขับรถหัวเราะแทนคำตอบ ผมเลยได้แต่เก็บความหมั่นไส้ไว้แล้วหันไปมองนอกหน้าต่างซึ่งเต็มไปด้วยรถราแทน ถึงแม้ช่วงนี้จะยังปิดเทอม แต่เพราะย่านที่ผมทำงานนั้นเป็นย่านสำนักงานที่รถติดเป็นประจำ เวลานี้ถนนทั้งเส้นจึงมีแต่ผู้คนที่กำลังจะเดินทางกลับบ้านทั้งด้วยรถส่วนตัวและรถสาธารณะติดกันยาวเป็นแพ รถของเราก็เลยแทบจะไม่ขยับเขยื้อนไปด้วยทั้งที่ออกจากออฟฟิศมาได้พักใหญ่

ดูเหมือนเป้เองก็ไม่ได้รีบร้อนจะพาผมไปไหน เพราะดูหมอนี่จะไม่ทุกข์ร้อนเลยกับการที่ต้องนั่งอยู่ในรถเฉยๆ ท่ามกลางการจราจรที่ย่ำแย่ นอกจากจะนั่งฮัมเพลงตามแผ่นซีดีเวลาได้ยินเพลงที่ชอบ ก็มีแต่ดึงมือขวาผมไปคลึงเล่นฆ่าเวลาเท่านั้นเอง บางทีที่เป้ไม่บ่นก็คงเพราะเราสองคนแทบไม่ได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองแบบนี้ตั้งแต่หว้ามาอยู่ด้วย แต่จะทำไงได้ จะให้ผมไล่น้องชายที่ปีนึงเจอกันไม่กี่ครั้งให้ไปหาข้าวเย็นกินเองในขณะที่ตัวเองมากินข้าวกับแฟนทุกวันได้ยังไงกัน

กว่าพวกเราจะหลุดพ้นจากการจราจรที่แทบเป็นอัมพาตเพราะมีไฟแดงทุกๆ ระยะไม่กี่สิบเมตร เป้ก็ขับรถพาผมไปที่สวนอาหารย่านชานเมืองซึ่งอยู่ไกลจากใจกลางเมืองพอสมควร เนื่องจากละแวกนี้ไม่ค่อยมีตึกสูงหรือโครงการหมู่บ้านจัดสรรใหญ่ๆ สวนอาหารจึงมีพื้นที่กว้างขวาง ตรงกลางร้านมีการขุดทะเลสาบเอาไว้โดยมีน้ำพุกับหินสลักประดับ แต่ทั้งๆ ที่ทางร้านมีโต๊ะอาหารเกือบร้อยโต๊ะไว้บริการทั้งในส่วนกลางแจ้งและในห้องแอร์ พวกเราก็ยังต้องรอคิวกันหลายนาทีเพราะว่ามีคนมาทานอาหารที่นี่กันเยอะ

หลังจากที่รับบัตรคิวจากพนักงานต้อนรับและได้รู้ว่ามีคิวที่มาก่อนอีกกี่คิว พ่อคุณชายก็ทำหน้ามุ่ยขณะที่พวกเรานั่งรอกันบริเวณหน้าร้าน

“โทษทีเป้พลาดไปหน่อย ไม่นึกว่าวันธรรมดาคนจะแน่นเลยไม่ได้โทรมาจองไว้”

ผมฟังแล้วก็เพียงแต่ส่ายหน้าแล้วยิ้มอ่อนๆ ให้ เพราะถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ความผิดของเป้เสียทีเดียว ถือว่าหมอนี่โชคดีด้วยที่ผมยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ ไม่งั้นระหว่างรอผมอาจหงุดหงิดก็ได้ว่าทำไมต้องพามากินไกลถึงที่นี่

ราวสิบห้านาทีพวกเราก็ได้โต๊ะว่างในโซนกลางแจ้งที่ไม่มีหลังคา ทำให้สามารถมองเห็นท้องฟ้าและบรรยากาศโดยรอบได้ชัด นอกจากนั้นโต๊ะนี้ยังอยู่ข้างทะเลสาบที่อยู่ตรงกลางสวนอาหารด้วย ไอเย็นจากน้ำพุบวกกับลมที่พัดมาอ่อนๆ ทำให้อากาศไม่อบอ้าวทั้งที่ไม่ได้นั่งในห้องแอร์

พวกเราสั่งอาหารสามอย่างกับข้าวเปล่าอีกหนึ่งโถ เพราะว่าตัวใหญ่อย่างเป้กินข้าวจานเดียวไม่เคยพออยู่แล้ว และอาหารที่นี่ก็อร่อยแถมให้เยอะอีกต่างหาก สุดท้ายเราสองคนก็เลยผลัดกันเติมทั้งข้าวและกับข้าวจนทุกอย่างหมดเกลี้ยงในเวลาแค่ครึ่งชั่วโมง

หลังจากจัดการมื้อเย็นเรียบร้อย พวกเราไม่ได้เรียกพนักงานเก็บเงินทันที เพราะว่าบรรยากาศที่ร่มรื่นกับเสียงดนตรีเบาๆ ที่ทางร้านเปิดไว้ทำให้อยากนั่งเล่นไปเรื่อยๆ ก่อน โชคดีที่พอเริ่มดึกขึ้น คนที่มาทานอาหารตั้งแต่หัวค่ำก็ทยอยกลับกันไปบ้าง เราสองคนเลยไม่รู้สึกกดดันว่าต้องรีบลุกเพราะอาจจะมีคนรอคิวอยู่

ผมพยายามไม่เร่งเป้ให้รีบพากลับ นอกจากเพราะชอบบรรยากาศของที่นี่แล้ว ส่วนหนึ่งผมก็พอจะเข้าใจด้วยว่าเป้คงอยากใช้เวลากับผมให้นานขึ้น ก็เลยชวนคุยเรื่องที่ฝึกงานไปเรื่อยๆ แต่เพราะว่าปิดเทอมทีไรผมก็ไปฝึกงานที่เดิมทุกครั้ง ก็เลยไม่ค่อยมีอะไรใหม่ๆ เล่าให้เป้ฟังสักเท่าไหร่ ต่างจากพ่อคุณชายที่คราวนี้เลือกจะไปฝึกงานที่อื่นซึ่งไม่ใช่บริษัทของพ่อ แต่เป็นบริษัทที่ทำด้านการส่งออกเครื่องแก้วเจียระไนไปต่างประเทศ ผมเลยได้ฟังเป้เล่าเรื่องของตัวเองให้ฟังมากกว่า

กว่าเราสองคนจะได้เรียกพนักงานมาคิดเงิน เวลาก็ล่วงผ่านไปอีกพักใหญ่ อุณหภูมิในยามดึกลดต่ำลงเล็กน้อยเพราะลมที่พัดแรงกว่าเมื่อหัวค่ำ ส่วนจันทร์ครึ่งดวงบนฟ้าก็ลอยขึ้นสูงลิบ ผมจึงหันไปคว้าข้อมือเป้ขึ้นมาดูนาฬิการะหว่างที่เดินออกจากร้านด้วยกัน เพราะว่านาฬิกาของผมถ่านหมดและยังไม่มีเวลาไปเปลี่ยนถ่านใหม่เสียที ทำให้เห็นว่าตอนนั้นเป็นเวลาสี่ทุ่มครึ่งเข้าไปแล้ว

“ดึกป่านนี้แล้วสิ ไม่รู้หว้าอยู่คนเดียวจะเป็นยังไงบ้าง เดี๋ยวเรากลับหอกันเลยดีกว่าเป้”

ผมบอกพลางปล่อยข้อมือใหญ่ลงอย่างเดิม แต่กลับได้เห็นหัวคิ้วที่มุ่นเข้าหากันน้อยๆ ของคนที่หยิบกุญแจรถออกจากกระเป๋ากางเกง

“ตั้งแต่หว้ามาอยู่หอกับวิว เป้รู้สึกเหมือนตัวเองโดนลดขั้นยังไงไม่รู้สิ”

พ่อคุณชายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ หลังจากพวกเราขึ้นรถกันและออกมาจากร้านแล้ว ผมเลยหันไปเลิกคิ้วแบบไม่ค่อยเข้าใจ “หมายความว่าไง?”

เป้เงียบไปนิดนึงก่อนจะตอบโดยไม่หันมาหา “ก็...เหมือนโดนลดขั้นให้เป็นกิ๊กแทนที่จะเป็นแฟนทำนองนั้น”

คนพูดไม่พูดด้วยเสียงธรรมดา แต่เหมือนจะมีกลิ่นความน้อยใจเล็กๆ เจืออยู่ในน้ำเสียงด้วย คราวนี้ผมเลยยกมือขึ้นบีบไหล่หนาอย่างให้กำลังใจ เพราะเดาได้ว่าคงกำลังโดนหมอนี่งอนเข้าให้แล้ว

“คิดมากน่ะเป้ ก็น้องยังเด็กแถมไม่เคยมาอยู่กรุงเทพฯ ก็ต้องเป็นห่วงสิ อีกอย่างหว้าก็จะมาอยู่ด้วยเดือนเดียวเอง ลองคิดในมุมกลับกันดูนะ ถ้าสมมติว่าเป้ออกไปอยู่นอกบ้านแล้วน้องปอนด์ตามไปอยู่ด้วย เป้ก็ต้องห่วงน้องสาวเหมือนกันใช่ไหมล่ะ?”

เป้ยกมือซ้ายขึ้นมาดึงมือผมไปจับโดยที่สองตายังมองถนน แต่คราวนี้ส่งเสียงหึขึ้นจมูกด้วย “ถ้าเป็นแบบนั้น หัวเด็ดตีนขาดยังไงยายปอนด์ก็ไม่มีทางขอมาอยู่กับเป้หรอก ไม่งั้นมีหวังได้ทะเลาะกันทั้งวันแน่”

ผมฟังแล้วก็ได้แต่หัวเราะ เพราะในขณะที่น้องชายผมจะชอบเข้ามาอ้อนเวลาอยากได้นั่นได้นี่ แล้วก็ไม่ค่อยกล้าเถียงเวลาที่โดนผมดุหรือตักเตือน แต่ที่บ้านเป้จะเลี้ยงลูกมาอีกแบบ พี่น้องแต่ละคนก็เลยค่อนข้างจะมีความเป็นตัวของตัวเองสูง แถมเป้กับน้องปอนด์ยังนิสัยคล้ายๆ กันเสียอีก ดังนั้นจึงไม่แปลกถ้าหากอยู่ด้วยกันนานๆ แล้วจะอดเถียงกันไม่ได้ ถึงแม้นั่นจะไม่ได้หมายความว่าสองพี่น้องไม่รักกันก็ตามที

แต่ว่า...การได้ยินเป้พูดออกมาแบบนั้น ก็เลยทำให้อดคิดไม่ได้ว่าหรือผมจะละเลยความรู้สึกของคนข้างตัวเกินไปหน่อยจริงๆ...

“ความจริงเป้มีที่ที่อยากพาวิวไปดูคืนนี้ แต่ถ้าวิวยังยืนยันว่ายังไงก็อยากจะกลับไปอยู่กับน้องล่ะก็ เป้ก็จะพากลับ”

ผมยังไม่ทันคิดว่าจะพูดอะไรให้คนข้างตัวรู้สึกดีขึ้น เป้ก็ชิงพูดก่อนด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่คำพูดที่ใช้กลับทำให้รู้สึกว่าหมอนี่คงกำลังงอนชัดเจนกว่าไอ้ประโยคก่อนหน้านี้เสียอีก คราวนี้ผมเลยได้แต่กลอกตา เพราะดูเหมือนผมคงต้องให้ความสนใจเจ้าเด็กคนนี้ก่อนเด็กที่ห้องเสียแล้ว

“...เอางี้ ถือซะว่าไหนๆ เราก็อยู่ข้างนอกกันจนดึกป่านนี้แล้ว ถ้าหากวิวจะกลับดึกกว่านี้อีกหน่อยก็คงไม่ต่างกันหรอก เป้อยากพาไปไหนก็ตามใจเถอะ”

คราวนี้คนขับรถเลี้ยวแฉลบเข้าข้างทางก่อนจะเข้าเกียร์จอด นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่หันมามองทางผมเป็นประกายวาวอย่างดีใจ

“สัญญาแล้วนะ”

“หา? สัญญาอะไร??”

ท่าทางของหมอนี่ที่จู่ๆ ก็กระตือรือร้นขึ้นอย่างกะทันหันทำเอาผมตกใจหน่อยๆ เป้คงเห็นเครื่องหมายคำถามบนหน้าผม เลยยิ้มแล้วก็บีบมือผมแน่นขึ้น

“สัญญาว่าคืนนี้ยอมอยู่กับเป้แล้วไง เมื่อกี้วิวก็พูดเองไม่ใช่เหรอว่าถึงกลับดึกกว่านี้ก็ไม่เป็นไรน่ะ?”

ผมสบตาคนที่ขอคำยืนยันอย่างงงๆ ชักไม่แน่ใจว่าคิดถูกหรือเปล่าที่เมื่อกี้พูดเปิดทางแบบนั้นไป แต่ในเมื่อออกปากไปแล้ว ถ้าเกิดกลับคำตอนนี้คงได้ต้องมาง้อทีหลังกันยาวแน่ ก็เลยพยักหน้ารับเพื่อตัดปัญหา เป้เลยยิ้มกว้างก่อนจะหันไปเข้าเกียร์ออกรถ

“ถ้างั้นไปกันเลยดีกว่า เป้น่ะรอจะพาวิวไปที่นี่มาตั้งหลายวันแล้ว”

เป้พูดแล้วก็ไม่ได้ขยายความต่อ ส่วนผมเองก็คร้านจะถามว่า ‘ที่นี่’ ที่ว่ามันคือที่ไหน เพราะถึงแม้จะอ่านพฤติกรรมหรือนิสัยของเป้ได้มากกว่าตอนที่เริ่มคบกันแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายได้หมดทุกเรื่อง ผมก็เลยปล่อยให้เป้ขับรถพาไปแบบไม่ถามจู้จี้อีก

ขากลับครั้งนี้เป้ใช้เส้นทางคนละเส้นกับตอนขามา ถนนตัดใหม่ที่ไม่คุ้นเคยทอดยาวไปสู่ย่านชุมชนแห่งหนึ่งในเมืองซึ่งนานครั้งผมถึงจะนั่งรถผ่านสักที แต่ก็พอจะรู้อยู่บ้างว่าแถวนี้เป็นแหล่งสำนักงานกับที่พักอาศัยสำหรับคนที่พอจะมีฐานะ ถนนที่ว่างโล่งในยามดึกทำให้เราใช้เวลาไม่นานก็มาถึงคอนโดแห่งหนึ่งซึ่งยังดูค่อนข้างใหม่ รั้วด้านหน้าซึ่งทำจากหินสีเข้มที่เรียงกันเป็นชั้นๆ สูงประมาณหนึ่งเมตร ส่วนป้ายชื่อโครงการทำจากโลหะที่แกะเป็นตัวหนังสือให้นูนขึ้นและมีแสงไฟสีส้มส่องจากด้านล่าง หลังจากเลี้ยวผ่านรั้วเข้ามาจะพบกับทางเข้าที่มีต้นปาล์มผอมเรียวเรียงกันเป็นระยะห่างๆ ขนาบสองข้างทาง เป้หันมาเปิดเก๊ะหน้ารถหยิบบัตรใบหนึ่งออกไปแสดงให้ยามตรงป้อมดู จากนั้นพวกเราก็ถูกปล่อยให้ขับรถเข้าไปด้านในอย่างง่ายดาย

ทางขึ้นที่จอดรถของที่นี่แบ่งทางสำหรับรถวิ่งขึ้นและลงไว้คนละฝั่ง และเนื่องจากเส้นทางที่ใช้สำหรับวนขึ้นอาคารนั้นมีผนังเปิดโล่ง จึงทำให้สามารถมองออกไปเห็นสภาพบรรยากาศรอบๆ ได้ด้วย โชคดีที่คอนโดแห่งนี้มีพื้นที่โดยรอบพอสมควร ทำให้ถึงแม้จะอยู่ในตึก แต่ก็ไม่รู้สึกอึดอัดคับแคบจากการที่รอบด้านมีแต่ตึกอาคารสูงๆ รายรอบเท่าไรนัก

“วิวไม่ถามหน่อยเหรอว่าเป้พามาที่นี่ทำไม?”

เป้หันมาถามหลังจากเอารถเข้าจอดที่ชั้นสี่ ผมเลยส่ายหน้าระหว่างลงจากรถและเดินไปที่ลิฟต์ด้วยกัน

“ขี้เกียจถาม ถ้าคนพามาอยากเฉลยเขาก็คงบอกเอง”

ผมตอบตามที่คิด และที่บอกว่าขี้เกียจถามก็เพราะขี้เกียจจริงๆ ซึ่งคงเป็นเพราะเริ่มเพลียจากการที่ทำงานมาตลอดทั้งวัน เป้ฟังแล้วก็หัวเราะ พอลิฟต์มาถึงก็ดึงมือผมแล้วจูงเข้าไปข้างใน

“งั้นก็รอให้ไปถึงที่ค่อยเฉลยก็แล้วกัน”

คนพูดยังคงใช้คำกำกวมชวนให้หมั่นไส้ แต่ผมก็คร้านจะต่อล้อต่อเถียงเลยได้แต่เงียบ พอเป้กดเลขชั้นที่ต้องการ ไม่นานพวกเราก็ขึ้นมาถึงชั้นที่ยี่สิบแปด และเนื่องจากไม่มีใครกดใช้ลิฟต์ระหว่างที่พวกเราขึ้นมาเลย ความเร็วของการถูกดันขึ้นสู่ที่สูงในเวลาสั้นๆ เลยทำเอาผมหูอื้อจนต้องกลืนน้ำลาย พอประตูลิฟต์เปิดปุ๊บ เป้ก็จูงมือผมออกไปบนทางเดินปูกระเบื้องสีครีมที่เรียงกันเป็นลายตารางถี่ๆ ทันที

“ทางนี้ อยู่สุดทางเดินเลย”

เจ้าคนตัวใหญ่ก้าวขายาวๆ แบบแทบจะไม่รอให้ผมได้ปรับจังหวะตาม แต่พอมาถึงประตูห้องที่อยู่สุดปลายทางเดิน คนที่เดินนำอยู่ก็ชะงักฝีเท้ากะทันหันจนผมเกือบจะสะดุด พอผมขมวดคิ้วแล้วเหลือบตาขึ้นมองแบบฉุนๆ เป้ก็ยิ้มแบบไม่สำนึกผิดสักนิดให้

“เป้ว่าวิวหลับตาก่อนดีกว่า”

“หือ?”

ผมขมวดคิ้วทันที เอาล่ะ ผมยอมรับว่าตั้งแต่ตกปากรับคำว่าคืนนี้จะให้เป้พาไปไหนก็ได้ ผมก็ทำใจไว้แล้วว่าต่อให้โดนพาไปที่แปลกประหลาดขนาดไหนก็จะไม่บ่น แต่จู่ๆ ตอนนี้ก็จะมาบอกให้หลับตาโดยไม่อธิบายสักคำว่าเรากำลังมาเยี่ยมใครเนี่ยนะ...

ผมกำลังจะอ้าปากถามให้สมกับที่สงสัย แต่เป้ก็ยกนิ้วชี้ขึ้นมาปิดปากผมไว้ก่อนราวกับเดาปฏิกิริยาไว้แล้ว

“เถอะน่า เป้เคยหลอกวิวไปทำอะไรไม่ดีหรือไง?”

พอโดนถามแบบนี้ ไอ้ที่ผมตั้งใจจะบ่นก็เลยต้องกลืนคำพูดลงคอไป หลังจากถอนหายใจดังๆ เสียทีหนึ่งให้เจ้าคนตรงหน้ารู้ว่าผม ‘จำยอม’ ผมถึงค่อยหลับตาลงตามที่ถูกขออย่างไม่มีทางเลือก

“แล้วก็ห้ามลืมตาจนกว่าเป้จะบอกนะ”

เป้สำทับอีก ผมเลยส่งเสียงคำรามในคอให้รู้ว่าจะทำอะไรก็รีบๆ ทำ เพราะตอนนี้ผมแทบจะไม่มีพลังงานเหลือสำหรับโวยวายแล้ว และได้ยินเสียงหัวเราะต่ำๆ ในคอของอีกฝ่ายก่อนจะตามด้วยเสียงฝีเท้าที่หมุนตัวไปทางประตู

เสียงฟืดต่ำๆ เหมือนเสียงรูดการ์ดดังขึ้น ตามด้วยเสียงหมุนลูกบิดประตูและความรู้สึกว่าลมวูบผ่านเพราะบานประตูถูกผลักเข้าไป ผมยังหลับตาอยู่ก็จริง แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเป้ถึงมีกุญแจห้อง และตกลงแล้วห้องนี้เป็นห้องของใครกันแน่

ผมไม่ทันได้เอ่ยคำถามออกไป เป้ก็หันมาจับมือทั้งสองข้างของผมไว้แล้วจูงเข้าไปในห้องช้าๆ พอพ้นประตูเข้ามาและเป้เลื่อนตัวไปผลักประตูปิดอย่างเดิม คนตัวโตกว่าก็ก้มลงมากระซิบข้างหูผม

“เดี๋ยววิวถอดรองเท้าออกก่อน ห้ามลืมตาหรือหรี่ตาดูด้วยนะ”

เสียงการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายที่ยังจับมือผมอยู่ทำให้รู้ว่าเป้ก็กำลังถอดรองเท้าเหมือนกัน ผมจึงยอมทำตามเงียบๆ ถึงแม้ว่าจะอยากแกล้งหมอนี่ด้วยการลืมตาขึ้นให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำและเพียงแต่ยอมให้เป้จูงมือต่อ

“โอเค ตรงนี้พื้นมันต่างระดับ วิวก้าวสูงขึ้นอีกนิดนึง”

เป้ยังคงใช้วิธีบอกทางด้วยปากและจูงผมด้วยมือทั้งสองข้าง เวลาเดินไปตรงไหนที่มีสิ่งกีดขวางหรือต้องเลี้ยวก็จะคอยบอกหรือใช้มือหนึ่งจับเอวผมให้เบี่ยงตัวไปทางที่ต้องการ จนผมชักอยากจะบอกว่าอุ้มผมไปเลยจะเร็วกว่าไหมเพราะเริ่มเหนื่อยกับการเล่นเกมปิดตานี่เต็มที แต่ก็ยังพยายามทำใจเย็นแล้วปล่อยให้เป้ทำอย่างที่ต้องการต่อไป

“ยังไม่ถึงอีกเหรอเป้ วิวจะหลับทั้งยืนอยู่แล้วนะ”

ผมบ่นขึ้นในที่สุดหลังจากรู้สึกเหมือนโดนจูงมานาน เลยได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากคนจูง แล้วก็เพราะว่าเป้จูงผมแบบไม่ยอมปล่อยมือห่างนัก ผมเลยรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นที่ระอยู่บนหน้าผากนี่เอง

“ตรงนี้พอแล้วล่ะ วิวหันหลังแล้วลืมตาสิ”

เป้ค่อยๆ ปล่อยมือทั้งสองข้างก่อนจะเลื่อนขึ้นมาจับไหล่ผมแทนแล้วดันเบาๆ ให้หันหลังกลับ ผมถึงค่อยลืมตาขึ้นทีละนิด แต่เนื่องจากแสงไฟในห้องสว่างจ้ามาก บวกกับผมหลับตาเอาไว้มาชั่วขณะหนึ่ง พอเจอแสงสว่างเต็มๆ เข้าเลยตาพร่าจนแสบตาไปหมด

ผมกะพริบตาถี่เพื่อปรับสายตาจนกระทั่งไม่เห็นจุดสีดำกับสีขาวที่ิวิ่งวนจนน่าเวียนหัวอีก ถึงค่อยเห็นว่าตอนนี้พวกเราสองคนกำลังยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องรับแขก ซึ่งเท่าที่วัดจากสายตาคร่าวๆ ก็น่าจะใหญ่กว่าห้องนอนผมที่หอเสียด้วยซ้ำ ด้านหนึ่งของห้องคือประตูกระจกที่กินที่เกือบทั้งผนังและสามารถเลื่อนเปิดออกไปยังระเบียงได้ ส่วนด้านในห้องมีโทรทัศน์แบบจอแบนที่ฝังไว้ในผนัง ตรงข้ามกันคือชุดโซฟายาวบุกำมะหยี่สีแดงเข้มน่านั่งซึ่งคงเป็นจุดที่เป้ให้ผมเลี้ยวอ้อมเมื่อครู่จะได้ไม่เดินชน ถัดจากบริเวณห้องนั่งเล่นออกไปมีห้องครัวแล้วก็เคาน์เตอร์สำหรับทำอาหาร และเยื้องกันไม่ไกลนักมีประตูห้องคู่กันอยู่สองประตู ซึ่งผมเดาเองว่าคงเป็นประตูห้องนอนหรือไม่ก็ห้องน้ำ

เครื่องเรือนในห้องนั่งเล่นดูเหมือนผ่านการใช้งานมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังนับว่าอยู่ในสภาพดีและสะอาดเอี่ยม ทว่าสิ่งที่ทำให้ผมสะดุดใจคือการที่ห้องนี้ดูเหมือนเป็นห้องเปล่าๆ ซึ่งไม่มีคนอาศัยอยู่ เพราะที่อ่างล้างจานไม่มีถ้วยชามหรือแก้วน้ำคว่ำเลย ตรงชั้นวางรองเท้าด้านหลังประตูก็มีแต่รองเท้าของผมกับเป้ ส่วนระเบียงภายนอกก็ไม่มีราวตากผ้าหรือกระถางต้นไม้ประดับนอกจากเถาไม้เลื้อยบางๆ ที่พันอยู่กับขอบระเบียง ผมเลยเอี้ยวคอไปหาคนข้างหลังอย่างไม่เข้าใจ

“เป้ นี่ห้องใครน่ะ?”

คนถูกถามยิ้มให้กับคำถามของผม ก่อนจะลดมือที่จับบ่าลงแล้วโอบเอวผมจากด้านหลังไว้หลวมๆ

“ก็ห้องของเราไง”

เป้ตอบแล้วเอาคางเกยไหล่ผมไว้ แต่คำตอบที่ได้รับกลับทำให้ผมงงมากกว่าเดิม

“ห้องของเรา?”

ผมทวนคำพร้อมกับขมวดคิ้ว คราวนี้พ่อคุณชายเลยกดจมูกลงมาบนขมับผมแรงๆ ราวกับมันเขี้ยวนักหนา

“ก็จะเป็นห้องของเรา...ทันทีที่วิวตอบตกลงจะมาอยู่กับเป้ไง จำที่เป้เคยบอกเรื่องคอนโดของพ่อไม่ได้เหรอ? พอดีคนที่เคยเช่าเขาเพิ่งหมดสัญญาแล้วย้ายออกไปเมื่ออาทิตย์ก่อนนี่เอง เป้น่ะอยากพาวิวมาดูตั้งแต่วันที่เขาเก็บของออกไปหมดแล้วด้วยซ้ำ”

คราวนี้เป้ปล่อยมือลงแล้วจับไหล่ผมทั้งสองข้างให้หันกลับไปหา ผมจึงได้เห็นประกายล้ำลึกในแววตาสีน้ำตาลเข้มที่กำลังสะท้อนภาพของผมอย่างแน่วนิ่ง และแววตาเช่นนั้นก็ทำให้ผมฉุกนึกถึงตอนที่เป้ออกปากชวนผมให้มาอยู่ด้วยกันหลังเรียนจบเป็นครั้งแรก

จำได้สิ...ทำไมจะจำไม่ได้ ถึงแม้ว่ามันจะผ่านมาหลายเดือนแล้วก็ตาม เพียงแต่ผมคิดไม่ถึงว่าเป้จะถึงกับพาผมมาดูห้องเพื่อช่วยเร่งการตัดสินใจแบบนี้...

ผมเหลียวกลับไปมองภายในห้องอีกครั้ง และนึกถึงที่เป้เคยเล่าให้ฟังว่าคอนโดของพ่อสะดวกกว่าหอที่ผมอยู่ตอนนี้มาก ซึ่งหลังจากที่ได้มาเห็นกับตาก็ต้องยอมรับว่าที่นี่ไม่เลวเลยทีเดียว ทั้งขนาดที่กว้างขวางกว่าห้องของผมเยอะ แถมการมีครัวในตัวก็คงทำให้ชีวิตสะดวกสบายขึ้นกว่าการที่ต้องคอยฝากท้องข้างนอก นอกจากนี้ยังตั้งอยู่ใกล้ย่านสำนักงานซึ่งถือได้ว่าเป็นทำเลที่ใครๆ ก็คงฝันอยากจะได้มาอยู่อีกต่างหาก

ผมระบายลมหายใจยาวๆ ออกมาทีหนึ่ง ใช่ว่าผมจะไม่เคยเก็บคำถามของเป้ไปคิดพิจารณาอย่างจริงจังตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา เพียงแต่ว่า...ถ้าหากเป้เป็นคนประเภทที่ใครก็บังคับให้ทำอะไรไม่ได้ ผมเองก็เป็นคนประเภทที่ใครก็มาบังคับความคิดไม่ได้เหมือนกัน และแม้ว่าจะได้มาเห็นสถานที่กับตาตัวเองแล้ว แต่มันก็แทบจะไม่ส่งผลให้ผมอยากรีบตัดสินใจเลยสักนิดเดียว

ผมเหลียวกลับไปมองคนที่ยังยืนจับไหล่ผมอยู่อีกครั้ง พวกเรามองตากันโดยไม่พูดอะไรอยู่นาน และความเงียบของผมก็คงจะแทนคำตอบได้ดีที่สุด ประกายของความกระตือรือร้นจึงหายไปจากดวงตาสีน้ำตาลเข้ม เป้ปล่อยมือที่จับไหล่ผมไว้ลงข้างตัวแล้วหันกลับไปเลื่อนประตูกระจกด้านหลัง จากนั้นก็เดินออกไปยืนเท้าระเบียงด้านนอกโดยไม่หันกลับมาทางผมอีกเลย

ผมได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างของคนที่ยืนอยู่ด้านนอก ชายเสื้อกับปลายผมของเป้พลิ้วเล็กน้อยตามแรงลมที่พัด การที่เป้ไม่พูดอะไรทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังผิดหวัง แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็พยายามไม่แสดงออกให้ผมเห็นตรงๆ ความรู้สึกผิดที่ตัวเองเป็นสาเหตุทำให้ผมต้องพยายามสงบจิตใจด้วยการสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วจึงค่อยเดินออกไปยืนเคียงข้างร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ก่อน

ผมเลือกที่จะยืนทางขวาของเป้ เพื่อที่จะได้กุมมือขวาที่เป้ใส่แหวนคู่ของเราเอาไว้ได้ถนัด และถึงแม้ภาพแสงไฟจากรถราบนถนนและตึกรามบ้านช่อง รวมทั้งจันทร์ครึ่งดวงที่ลอยอยู่บนฟ้าจะน่ามองแค่ไหน แต่ผมก็รู้ว่าเราสองคนต่างไม่มีอารมณ์จะสนใจภาพที่เห็นตรงหน้าเลยสักนิด

โชคดีว่าคอนโดที่นี่ถูกออกแบบให้ระเบียงของแต่ละห้องหันออกจากกันและกัน ดังนั้นจึงมีความเป็นส่วนตัวสูงเพราะเรามองไม่เห็นระเบียงของห้องอื่นที่อยู่บนชั้นเดียวกันเลย และการที่เป้ไม่ได้ชักมือหนีก็ทำให้ผมใจชื้นขึ้นบ้าง

“ขอโทษนะ”

ผมตัดสินใจทำลายความเงียบเมื่อตระหนักได้ว่าตัวเองควรจะเป็นคนง้อ เป้ฟังคำขอโทษแล้วก็เงยหน้ามองท้องฟ้าพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ ซึ่งนั่นทำเอาผมใจหายไปวูบหนึ่ง เพราะเป้ไม่ใช่คนที่จะแสดงท่าทางแบบนี้ออกมาเลยไม่ว่ากับเรื่องอะไรก็ตาม

“....ช่างมันเถอะ เป้คงตื่นเต้นเกินไปที่ได้ห้องก็เลยอยากพาวิวมาดูเร็วๆ แต่ลืมไปว่าวิวไม่ใช่คนที่จะรีบตอบตกลงกับเพราะเหตุผลแค่นี้ เอาเป็นว่าต่อไปเป้จะไม่ถามหรือเร่งวิวเรื่องนี้อีกก็แล้วกัน”

เป้ยิ่งพูด ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองหน้าเสียขึ้นเรื่อยๆ มือที่ทาบทับมือใหญ่เอาไว้เผลอยกขึ้นเองโดยไม่รู้ตัว แต่เป้กลับพลิกมือขึ้นจับมือผมไว้แทนแล้วหันมายิ้มอ่อนๆ ให้

“แต่ว่า...วิวอย่าลืมก็แล้วกันว่าเป้จะรอคำตอบจากวิวทุกวัน”

เป้สอดนิ้วเข้ากับนิ้วผมแล้วก็จับยึดไว้แน่น ผมเลยหันไปสบตาด้วยตรงๆ และได้พบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่ราวจะสะท้อนทุกความรู้สึกนึกคิดภายใน ไม่ว่าจะเป็นความน้อยใจหรือความผิดหวัง แต่ขณะเดียวกันก็มีประกายเล็กๆ ของความเชื่อมั่นและความเข้าใจแฝงอยู่ ผมจึงค่อยระบายลมหายใจออกมาได้อย่างปลอดโปร่งขึ้น และทำให้ได้รู้ว่าเมื่อครู่ก่อนนี้ผมกลั้นลมหายใจไว้จนแน่นหน้าอกไปหมด

“เป้ไม่ได้โกรธนะ?”

ผมยังอยากถามให้มั่นใจ แล้วก็เพื่อให้เป้รู้ว่าผมคำนึงถึงความรู้สึกของเป้เสมอ เพียงแต่ไม่ใช่ว่าผมจะโอนอ่อนได้กับทุกเรื่องที่ถูกขอหากว่ามันขัดกับสัญชาตญาณของตัวเอง เป้มองตาผมหลังได้ยินคำถามแล้วก็ส่ายหน้า

“...เป้เคยโกรธวิวได้ที่ไหนล่ะ”

คราวนี้คนพูดผละจากราวที่กั้นระเบียงไว้และหันมาหาทั้งตัว มือข้างซ้ายที่ไม่ได้จับมือผมเอาไว้ยกขึ้นเสยผมบนหน้าผากให้ และเมื่อมือนั้นเลื่อนลงมาแนบบนแก้มและออกแรงดันเบาๆ ผมก็ไม่ได้ออกแรงต่อต้าน และยอมเงยหน้าขึ้นหาริมฝีปากที่ทาบทับลงมาแต่โดยดี

ลมที่พัดอยู่บนระเบียงชั้นที่ยี่สิบแปดไม่ถึงกับแรง แต่ว่าก็ไม่ได้เบาเสียทีเดียว และความหนาวจากลมนั้นก็ทำให้ผมเบียดตัวเข้าหาเจ้าของร่างที่แผ่ไออุ่นอยู่ตรงหน้า ริมฝีปากของเป้ยังคงเคลียเคล้ากับริมฝีปากผมไม่ห่าง กลีบปากบางจูบซับบนมุมปากของผมอย่างอ่อนโยน บางครั้งก็เย้าแหย่ปลายลิ้นแตะแต้มอย่างแผ่วเบาแต่ไม่ได้สอดแทรกเข้ามา ราวจะตอกย้ำให้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกรธผมจริงๆ และผมก็คงจะหวามไหวไปจนลืมทั้งเวลาและสถานที่กับรสจูบที่ได้รับ หากไม่ใช่เพราะรู้สึกถึงมือข้างหนึ่งที่ลอดเข้ามาใต้ชายเสื้อแล้วลูบบนแผ่นหลังไปมา

ผมถอนริมฝีปากออกจากความหวานที่ชวนให้มึนงงพร้อมกับหอบเบาๆ แต่ว่าไม่ได้ถอยตัวหนีหรือว่าผลักไสคนตรงหน้า เพียงแต่ขมวดคิ้วมองตาคนที่ยังคงใช้มือหนึ่งรั้งเอวผมไว้ ส่วนมือข้างที่ลอดเข้ามาใต้เสื้อก็เริ่มป่ายสูงขึ้นจนตอนนี้ทาบอยู่บนแผ่นอกผมพร้อมกับนวดคลึงอย่างหยอกเย้า

“...มันดึกแล้วนะเป้”

ผมท้วงพร้อมกับลดสายตาลงมองริมฝีปากของเป้แทน แม้ว่าน้ำเสียงที่เปล่งออกไปจะแผ่วและแทบไม่มีพลังในการโน้มน้าวใจใครเลยก็ตาม พลันก็รู้สึกได้ถึงมือที่เปลี่ยนจากคลึงแผ่นอกมาสะกิดบนยอดอกแทนจนต้องหลุดเสียงครางออกมา ความหวามซ่านที่แผ่ไปถึงปลายนิ้วจากสัมผัสนั้นทำเอาผมเผลอห่อไหล่เข้าหากัน

“เป้รู้ แต่ตอนนี้เป้อยากรำลึกความหลังตอนเราขึ้นไปบนดาดฟ้าหอด้วยกันนี่นา”

เสียงกระซิบชิดริมหูคราวนี้ทำเอาผมลืมตาโพลง และเห็นว่านัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่กำลังมองกลับมาพราวระยับ แต่แทนที่จะได้เห็นประกายเจ้าเล่ห์เหมือนทุกครั้งที่เป้อยากจะซุกซนกับผม ยามนี้นัยน์ตาคู่นั้นกลับดูจริงจังจนผมสะท้าน ยิ่งเมื่อนึกย้อนไปถึงคืนที่พวกเราสองคนขึ้นไปบนดาดฟ้าหอด้วยกันเพราะนอนไม่หลับ และคืนนั้นผมได้นอนมองดาวผ่านไหล่หนาของเป้ที่ขยับอยู่เหนือตัวผมบนผ้าปูที่นอนที่เราใช้แทนเสื่อ ผมก็รู้สึกได้ถึงความอุ่นซ่านที่แล่นขึ้นมาบนหน้าราวกับโดนถ่านไฟอัง

“แต่นั่นมัน...จะบ้าเหรอ... ตรงนี้เนี่ยนะ?”

ทั้งที่อยากจะโวยวาย แต่น้ำเสียงของผมกลับฟังแล้วเบาหวิวเหมือนไม่แน่ใจเสียมากกว่า และไม่รู้ว่าเพราะยังรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบที่ทำให้เป้ผิดหวังหรือเปล่า ตอนนี้ผมจึงไม่มีกะจิตกะใจจะห้ามคนตรงหน้าเอาเสียเลย

“ตรงนี้แหละ โชคดีว่ามีเก้าอี้สำหรับนั่งเล่นอยู่พอดี”

เป้พยักหน้าไปทางด้านหลัง ทำให้ผมได้เห็นว่ามีเก้าอี้ยาวแบบที่ปรับระดับพนักได้ ลักษณะคล้ายๆ เก้าอี้ที่มักวางตามสระว่ายน้ำอยู่ตรงระเบียงตัวหนึ่ง คราวนี้หน้าผมเลยร้อนฉ่าเพราะเข้าใจแล้วว่าเป้กำลังคิดอะไร และพาลให้จิตสำนึกที่ว่าอะไรควรไม่ควรตีกันจนยุ่งไปหมด

“แต่หว้ารออยู่...อื้อ”

ผมยังพูดไม่ทันจบประโยค คำพูดที่เหลือก็ถูกริมฝีปากอุ่นจัดที่ก้มลงมาประทับอย่างกะทันหันดูดซับไป ปลายลิ้นร้อนซุกไซ้เข้ามาภายในช่องปากของผมที่เผยออยู่แล้วอย่างถือสิทธิ์ ส่วนมือใหญ่ที่เมื่อครู่ทาบอยู่บนแผ่นอกก็เลื่อนลงไปนาบบนกึ่งกลางร่างกายผ่านกางเกงแทนจนผมได้แต่ครางอู้อี้ในคอ

“คืนนี้อย่าพูดถึงชื่อคนอื่นนอกจากเป้อีก โอเคมั้ย?”

เป้กระซิบเสียงหอบชิดริมฝีปากผม ส่วนมือที่ทาบอยู่บนท่อนล่างก็ขยับไหวรุนแรงขึ้นจนผมแทบยืนไม่อยู่ การถูกกระตุ้นเช่นนั้นทำให้ผมได้แต่ขยุ้มแขนเสื้ออีกฝ่ายแน่นเข้าแล้วหอบหายใจแรง และตระหนักได้ว่าตอนนี้คนตรงหน้าไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะฟังคำโต้เถียงจริงๆ พลันผมก็สะดุ้งตัวโยนเมื่อเป้รูดซิปกางเกงผมลงและทาบอุ้งมือเข้ากับสิ่งที่กำลังตื่นตัวอยู่ใต้เนื้อผ้าตรงๆ

“เข้าใจแล้ว เป้...พอก่อน เดี๋ยวกางเกงเลอะ”

ผมพยายามยื้อมือใหญ่ที่กำลังกระทำอุกอาจกับร่างกายตัวเองอย่างอ่อนแรง เพราะทุกสัมผัสของเป้ทำให้ความสามารถในการควบคุมตัวเองของผมหลุดลอยไปทุกที ผมสูดหายใจแรงเมื่อคนตัวโตปล่อยมือจากส่วนอ่อนไหวในที่สุด และยอมปล่อยให้เป้จูงผมไปนั่งที่เก้าอี้ยาวตรงมุมระเบียงโดยไม่ขัดขืน

ร่างสูงใหญ่ดันผมให้เอนลงก่อนจะปลดกระดุมเสื้อและถอดกางเกงให้อย่างรีบร้อน ทันทีที่แผ่นหลังเปลือยเปล่าสัมผัสกับแผ่นเบาะตรงพนักซึ่งมีน้ำค้างเย็นๆ เกาะอยู่ ผมก็สะท้านเยือกจนเผลอดีดตัวขึ้นนั่ง เป้คงสังเกตเห็นก็เลยถอดเสื้อเชิ้ตตัวเองออกวางพาดบนพนักให้ผมพิงได้ และพอรู้ตัวอีกที พ่อคนตัวใหญ่ก็เลื่อนตัวลงไปนั่งคุกเข่าบนพื้นข้างเก้าอี้แล้ว และที่ทำให้ผมสะดุ้งจนต้องดีดตัวขึ้นจากพนักอีกครั้งก็คือการที่ถูกจับแยกขาทั้งสองออกกว้าง ก่อนที่คนซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นจะก้มลงใช้ปลายลิ้นกับริมฝีปากโลมไล้บนกึ่งกลางของร่างกายที่กำลังตอบสนองต่อการปลุกเร้า

“เป้!!!”

ผมร้องเสียงดังแล้วก็พยายามจะดันหัวเป้ออกโดยสัญชาตญาณ แต่เป้ก็ไม่สนใจแถมยังดึงมือผมให้วางบนที่เท้าแขนแทนเสียอีก

“เถอะน่า วิวนั่งเฉยๆ”

เป้พูดก่อนจะก้มลงไปอีกครั้ง และทันทีที่รู้สึกว่าแก่นกายของผมถูกโพรงปากอุ่นรูดรั้งเข้าไปคลุกเคล้ากับความอบอุ่นภายใน ผมก็ได้แต่เกร็งแขนและทิ้งตัวพิงพนักอย่างหมดเรี่ยวแรงจะต่อต้าน ความเสียวซ่านจากสัมผัสที่ได้รับทำให้ปลายเท้าทั้งสองเกร็งลงจิกกับพื้นเก้าอี้อย่างห้ามไม่อยู่ แต่ถึงแม้จะเริ่มเมามายไปกับการถูกกระตุ้นเร้าจนราวกับร่างกายไม่เป็นตัวของตัวเอง นัยน์ตาที่หรี่ปรือของผมก็ยังคงรับรู้ถึงแสงจันทร์และแสงดาวที่กะพริบสูงอยู่บนฟ้า เช่นเดียวกับที่หูยังคงได้ยินเสียงจากแตรรถและการจราจรที่ดังมาแว่วๆ จากถนนเบื้องล่าง ก่อนที่พายุความสุขสมจะโถมกระหน่ำจนไม่รับรู้ถึงสิ่งรอบตัวนอกจากคนที่มอบความสุขนั้นให้ในที่สุด


++------++


ผมไม่รู้ว่าตัวเองถูกปรนเปรอความต้องการจนปลดปล่อยไปกี่ครั้ง หรือว่าตอนนี้เป็นเวลาดึกดื่นแค่ไหน แต่ก็มั่นใจว่าต้องล่วงเข้าวันใหม่แล้วแน่ๆ ผมค่อยๆ ระบายลมหายใจยาวออกมาเมื่อรู้สึกว่าความร้อนรุ่มที่เสียดสีกับท่อนล่างของผมเริ่มสงบลง และตอนนี้เป้ก็ช่วยจับตัวผมให้นอนคว่ำทับตัวเองไว้เพราะพื้นที่บนเก้าอี้ที่จำกัด ฝ่ามือใหญ่ทั้งสองข้างที่ลูบแผ่นหลังและเนินสะโพกผมไปมาช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายจนไม่อยากลุกหลังจากที่หอบเหนื่อยมานาน

สายลมที่พัดไม่หยุดบนระเบียงของชั้นยี่สิบแปดช่วยให้ผิวกายที่ร้อนระอุค่อยเย็นลง เช่นเดียวกับเหงื่อที่ผุดซึมบนผิวให้ค่อยๆ แห้งเหือด กระนั้นผมก็ยังรู้สึกได้ถึงความเหนียวเหนอะหนะจากร่างกายของคนสองคนที่เพิ่งทำเรื่องไม่ควรทำในที่โจ่งแจ้งแบบนี้ แต่ความเหน็ดเหนื่อยก็ทำให้ผมไม่อยากรีบขยับไปไหนมากนัก

เป้จูบหน้าผากผมเบาๆ โดยไม่เลิกลูบแผ่นหลังกับบั้นท้ายให้ และผมก็คงปล่อยให้เป้ทำแบบนั้นไปเรื่อยๆ เพราะสัมผัสนั้นราวกับมีฤทธิ์ขับกล่อมให้หลับใหล หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเลื่อนมือทั้งสองข้างลงกอบเนินสะโพกผมไว้แล้วกดลงให้บดกับหน้าขาของตัวเอง ผมจึงต้องยอมฝืนหรี่เปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้นอย่างไม่เต็มใจ

“อย่าได้เริ่มอีกเชียวนะเป้ ไม่งั้นถีบตกตึกจริงๆ ด้วย”

อาจเพราะรู้สึกว่าได้ชดเชยให้อีกฝ่ายจนน่าจะพอใจได้แล้ว ผมเลยไม่ค่อยรู้สึกผิดที่ส่งเสียงขู่ลอดไรฟันแบบนั้นออกไป แต่เพราะตอนนี้แค่เรี่ยวแรงจะยกหัวขึ้นจากไหล่ของเป้ก็ยังไม่มี เสียงที่เปล่งออกมาก็เลยฟังแล้วไม่ค่อยคุกคามตามไปด้วย

“...วิวยังมีแรงเหลืออีกเหรอ?”

คำถามนั้นทำเอาผมต้องยอมฝืนตัวเอง เลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นไปทาบไว้บนคอเป้เหมือนจะบอกว่าถ้ายังไม่เลิกพูดอีกจะบีบคอให้จริงๆ ถึงแม้ตอนนี้แค่จะบังคับนิ้วตัวเองให้กดแรงๆ ลงไปบนคอหนาๆ ของหมอนี่ยังทำไม่ไหว และได้การตอบรับเป็นเสียงหัวเราะจากคนโดนขู่จนแผ่นอกกระเพื่อม แถมแรงสะเทือนยังส่งมาถึงผมที่นอนทับอยู่ข้างบนจนได้แต่คำรามในคอ

“ไอ้โรคจิต... ไอ้หื่นกาม... ไอ้ลามก”

อาจเพราะความเหน็ดเหนื่อยจนไม่รู้จะบรรยายยังไง บวกกับความอ่อนเพลียและง่วงจนตาแทบปิด ทำให้สมองผมไม่แจ่มใสและพูดอะไรที่ปกติจะไม่พูด แต่มันก็คงจะเป็นความคิดที่ติดอยู่ในหัวผมอยู่แล้ว ไม่งั้นมันคงไม่ออกมาจากปากเอาในเวลาที่ไร้การป้องกันตัวแบบนี้หรอก

เป้ขยับตัวนิดหน่อยก่อนจะใช้สองแขนโอบเอวผมไว้เฉยๆ โดยไม่ซุกซนอีก “เพิ่งรู้แฮะว่าวิวคิดกับเป้แบบนี้ แต่นอกจากวิวแล้วเป้ก็ไม่เคยหื่นใส่ใครอีกเลยนะ”

ก็ลองกล้าไปทำดูสิ... ผมได้แต่คิดในใจ ถึงจะนึกไม่ออกว่าถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นจริงตัวเองจะทำยังไงก็เถอะ จะว่าไป...ผมเองก็อาจจะผิดด้วยที่ชอบปล่อยให้หมอนี่ได้สิ่งที่ต้องการแทบทุกที ถ้าจะโทษก็คงต้องโทษนิสัยของพี่คนโตที่ติดอยู่ในตัวผม แต่สิ่งที่หลุดออกมาจากปากกลับเป็น

“...เงียบซักทีเถอะเป้ วิวง่วงจะตายอยู่แล้ว”

คนถูกบอกให้เงียบหัวเราะในคอเบาๆ เหมือนไม่อยากให้กระเทือนผมที่นอนทับตัวเองอยู่อีก จากนั้นก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นสางผมให้อย่างเบามือ สัมผัสที่อ่อนโยนนั้นทำให้ผมสบายใจจนส่งเสียงครางออกมา และยิ่งรู้สึกถึงกระแสความสะลึมสะลือที่ถาโถมเข้าหามากขึ้น

“วิวนอนเถอะ เดี๋ยวหลับแล้วเป้จะอุ้มเข้าไปนอนในห้อง”

ผมรู้สึกได้ถึงลมอุ่นๆ ที่ระอยู่บนหน้าผากเวลาเป้พูด จึงได้แต่ส่งเสียงรับในคอโดยไม่ได้ลืมตาขึ้นมา วูบหนึ่งใจก็นึกถึงน้องชายที่นอนเฝ้าหออยู่คนเดียว แต่ตอนนี้คงสายเกินไปที่จะบอกให้เป้พากลับ และผมก็รู้ว่าถ้าเกิดเอ่ยชื่อใครขึ้นมาตอนนี้ ต่อให้คนนั้นเป็นน้องชายของผมเอง พ่อคุณชายคงได้น้อยใจแบบไร้เหตุผลขึ้นมาอีกแน่ บางทีเป้ก็ทำตัวเป็นเด็กๆ ในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่อาจเพราะอย่างนี้...ผมเลยเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับหมอนี่กระมัง

...ถึงแม้ผมจะยังไม่อาจให้คำตอบที่เป้อยากได้ยินที่สุดในตอนนี้ได้ก็ตาม...

“พรุ่งนี้เช้าต้องออกแต่เช้านะเป้...”

จิตใต้สำนึกของผมสั่งให้พูดประโยคนั้นออกไปก่อนจะทำการปิดตัวเอง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเสียงที่เปล่งไปนั้นจะงึมงำจนฟังไม่รู้เรื่องหรือเปล่า แต่ก่อนที่สติสัมปชัญญะทั้งหมดจะดับวูบลงเพราะความง่วงงุน ผมก็ได้ยินเสียงตอบรับในคอจากอีกฝ่าย เช่นเดียวกับอ้อมแขนแข็งแรงที่กระชับรอบตัวผมแน่นขึ้น คราวนี้ผมจึงปล่อยให้ตัวเองดำดิ่งลงในห้วงนิทราโดยไม่พยายามฝืนไว้อีก

สายลมยังคงพัดมาไม่หยุด เช่นเดียวกับเสียงแตรรถและการจราจรจากถนนเบื้องล่างที่ยิ่งฟังก็ยิ่งห่างไกลออกไปทุกที แต่ความโล่งใจและเชื่อใจในเจ้าของวงแขนที่โอบรัดก็ทำให้ผมไม่รู้สึกอยากจะขยับออกไปจากตรงนี้เลยแม้แต่น้อย

ท่ามกลางความมืดมิดซึ่งมีเพียงแสงจากดวงจันทร์และหมู่ดาวบนผืนฟ้าที่คลี่ลงอาบไล้เราทั้งคู่ สิ่งสุดท้ายที่ผมรับรู้ได้ก่อนจะหลับใหล คืออ้อมกอดที่แสนอบอุ่นจนผมไม่นำพากับความหนาวของค่ำคืนเลยสักนิด...


++---End คืนจันทร์อิงดาว---++


A/N: เป็นครั้งแรกที่ตั้งชื่อตอนได้ออกฟีล "นิย้าย นิยาย" มากๆ สงสัยเพราะช่วงนี้อ่านนิยายหวานแหววเยอะไปหน่อยค่ะ คาดว่าคนอ่านที่ติดตามกันมาน่าจะชินแล้วที่เราชอบหยิบเรื่องราวในบางช่วงของตัวละครมาเขียนแบบไม่ค่อยร้อยเรียงกัน ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนระหว่างปิดเทอม (จะว่าไป ตัวเองก็ดันไปหยอดให้คนอ่านสงสัยด้วยแหละนะว่าทำไมวิวถึงไข้ขึ้น ฮา) ก็หวังว่าจะยังไม่เบื่อกันที่เราหยิบเรื่องราวชีวิตของคู่นี้มาเขียนเรื่อยๆ นะคะ แล้วพบกันใหม่ในตอนต่อไปที่ยังไม่รู้จะมาเมื่อไหร่ค่า


Create Date : 13 มิถุนายน 2554
Last Update : 13 มิถุนายน 2554 18:05:14 น. 19 comments
Counter : 732 Pageviews.

 
เข้ามาปิดตาเขิน แล้ววิ่งหนีออกไป อร๊ายยยยย =/////////=


โดย: milphinne* IP: 115.87.115.96 วันที่: 13 มิถุนายน 2554 เวลา:18:39:02 น.  

 
“ไอ้โรคจิต... ไอ้หื่นกาม... ไอ้ลามก” =////=


โดย: NannY IP: 182.52.193.230 วันที่: 13 มิถุนายน 2554 เวลา:19:50:11 น.  

 
Khun Rin, thanks a ton for this nice chapter ka.
^
^
Pae is very..very cute and romantic as usual. :))

If I were "View", can't wait to say ok to move in to "our room" ka.

ps. I'll start to read it carefully again ~ 3 times. eieiei


โดย: sherry IP: 223.204.111.171 วันที่: 13 มิถุนายน 2554 เวลา:20:19:50 น.  

 
ช่วงต้นเกือบจะดราม่าซะแล้ว แต่เพราะความเข้าใจกันแท้ ๆ เลยผ่านไปได้ด้วยดี

ส่วนตอนท้าย ก็นะ เป้ก็ยังเป็นเป้คนเดิม (หื่นแต่น่ารัก) อยู่ดี

ขอบคุณรินนะ สำหรับตอนน่ารัก ๆ ตอนนี้


โดย: Phueng IP: 115.87.101.165 วันที่: 13 มิถุนายน 2554 เวลา:22:08:06 น.  

 
ในที่สุดก็ได้รู้สักทีว่า ไข้หนักเพราะรักนายนี่เอง ลมฟ้าอากาศและภาวะไร้ผ้าผ่อนห่มกายเป็นแรงเสริม อำนวยให้ป่วยหนัก แต่น่ารักมากนะ ป่วยบ่อย ๆ ก็ได้นะวิว เป้ดูแลเอง 555


โดย: mickii IP: unknown, 202.28.17.18 วันที่: 14 มิถุนายน 2554 เวลา:8:34:24 น.  

 
น้องนุ่น เอิ่ม ปิดตาทำม้าย กลับมาดูเต็มๆ ก็ด้าย (กีสสส คนเขียนจะโดนวิวถีบเองซะล่ะมั้ง XD)

----------

น้องแนน อ่านะ วิวก็พูดถูกด้วยล่ะ 555

----------

คุณเชอร์รี สงสัยวิวก็คงคิดละค่ะว่าควรจะรีบตอบ ok ไหม เพราะถ้าอยู่ห้องเดียวกัน คราวนี้ก็ต้องคอยดูแลอารมณ์คุณชายตลอด จะไล่กลับบ้านก็ลำบากแล้วนี่สิ ว่าแต่อ่านสามรอบเลยจะดีเหรอคะ ระวังระดับน้ำตาลในเลือดด้วยน้า เป็นห่วงค่า อิอิ

----------

ผึ้ง ตาเป้นี่ทำอะไรคนอ่านก็ว่าน่ารักตลอดเลยอะ (ทั้งที่หื่นจนสมควรโดนวิวถีบจริงๆ) ดีใจที่ชอบตอนนี้จ้า

----------

คุณ mickii อูย ให้วิวป่วยบ่อยๆ ก็คงไม่ดีมั้งคะ คราวนี้เกิดโมโหลงเอากับตัวต้นเหตุจะลำบากเอานะ เอิ๊กส์


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 14 มิถุนายน 2554 เวลา:10:25:56 น.  

 
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ( เอามือปิดตา กางนิ้วห่างๆ )

อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ( กัดผ้า ไม่ไหวแหล่ว )

อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
( ยุงกัด... เพี๊ยะ / สมน้ำหน้ากัดตูดีนัก )

กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ( ไม่ไหวจะเคลียร์ ตึกไหนเนี่ยมัยไม่บอกกันก๊อนๆๆๆๆๆ ว่าแต่... คราวหน้ามีออนแอร์อีกป่ะเพ่ หึหึหึ... )

โอ้วววววววววววววววววววววววววววววววว
( คิดไปไกลแระกรู เหอๆๆๆ )

ซี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
ซู๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
แจ๊บๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
( น้ำมูกไหล เหอๆๆๆๆๆ / ทิชชู่อยู่ไหนฟร๊ะเนี่ย )


ฮืม... โอเค.... เพียงพอแระ ฮู้ว...... ขอสูดหายใจเข้าแป๊ป



นี่ตกลงคุณชายพาคุณนายมากินที่ " ว่าที่เรือนหอ " นี่เอง นะ..... สมกับเป็นคุณชายจริงจิ๊ง... ว่าแต่.. พี่ชอบตอนปิดตาพาเข้าหอจริงๆเลยอ่ะ น่ารักม๊ากกกกกกกก แต่จริงๆพี่หนับหนุนให้อุ้มเข้าหอมากกว่านะ แต่ก็นะ เดี่ยวมันไม่ตื่นเต้น เหอๆๆๆ แบบเดินปิดตาก็ลุ้นไปอีกแบบ ไอ้อุ้มเข้าหอเนี่ยไว้รอเรือนหอเปิดจริงๆดีกว่าเนอะ
จะว่าไปแล้วก็เห็นใจตาเป้เหมือนกันนะ ก็คงจะอยากรู้สึกถึงคำว่าครอบครัวกะคนรักให้มากกว่านี้นี่เนอะ แหม...ก็เกือบดราม่าแล้วนะนั่น แล้วงัยเหตุการณ์พลิกผันได้ละเนี่ย จากดราม่า เป็น อีโรติก ซะได้ ตกลงว่าอีตาคุณชายมันตั้งใจหวังฟลุ๊ค หรือ มัน sad จริงๆละเนี่ย แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้เรารู้แล้วว่าทำไมน้องวิวถึงได้เป็นไข้... เพราะตากน้ำค้างบนชั้น 28 นี่เอง นี่ดีเท่าไหร่แล้วเนี่ยที่ไม่มียุงอ่ะ ถ้าน้องเป็นไข้เลือดออกขึ้นมาละแย่แน่ คราวนี้แหละเอ็งเอ๊ย.. ไม่อยากจะคิดเล้ย....


ปล. น้องริน...... พี่ขอถามหน่อย พี่พลาดไปหรือน้องรินหมกเม็ดค่ะ ไอ้ตอน " ดาดฟ้า " เนี่ย ช่วยอธิบายพี่หน่อยได้มั้ย พี่พลาดไปได้ยังไง พลาดไปตอนไหน ทำม๊ายยยยยยยย ทำไมไม่เจอเนี่ย นี่กะว่าคืนนี้จะไปตอบข้อสุดท้ายซะหน่อยนะเนี่ย คาใจอีกแระ สงสัยต้องเปิดอ่านใหม่หมดอีกรอบ เอาให้เคลียร์วกันไปเลย ไม่งั้นค้างคาม๊ากกกกกกกกกกกกกกก



โดย: aew IP: 125.27.108.227 วันที่: 15 มิถุนายน 2554 เวลา:17:36:09 น.  

 
อ่านแล้วยิ้มจริงๆค่ะคุณริน หวานแหววสมกับที่รอคอยเลยค่ะ
มีความสุขมากๆๆๆๆๆ
มาให้กำลังใจนะคะ


โดย: sine IP: 180.183.61.24 วันที่: 16 มิถุนายน 2554 เวลา:3:00:21 น.  

 
พี่แอ๋ว เป็นคอมเม้นต์ที่ sound effect เยอะมว้ากก แทบจะได้ยินหลุดออกมาจากหน้าจอระหว่างที่อ่านเลยทีเดียว 5555 (ว่าแต่ยุงตัวนั้น...ช่างกล้า)

ว่าแต่ประโยค "นี่ตกลงคุณชายพาคุณนายมากินที่" นี่ไม่ได้หมายถึง "กินข้าว" ใช่ไหมนี่ ฮา แต่ขนาดเขียนเองยังเดาไม่ถูกเลยค่ะว่าสรุปพ่อเจ้าประคุณตั้งใจหวังฟลุคหรือ แซดจริง แต่ดูจากนิสัย มีแววว่าจะเป็นไปได้ทั้งสองทาง แต่ที่แน่ๆ ไม่ว่าคุณชายจะมาอารมณ์ไหน ภาระหนักก็ตกอยู่กับวิวตล้อด เฮ่อ

สำหรับตอนดาดฟ้า ไม่ได้เขียนออกมาเป็นตอนเดี่ยวๆ ค่ะ แค่เกริ่นไว้นิดหน่อยในตอน "50 Secrets" ตอนที่ 48 สามารถย้อนกลับไปอ่านได้ คิคิคิ

----------

คุณทราย ได้กำลังใจจากคนอ่านก็ยิ้มได้เหมือนกันค่า แล้วจะเขียนตอนพิเศษให้อีกนะคะ



โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 16 มิถุนายน 2554 เวลา:10:15:59 น.  

 
แวะมาทักทายค่ะ คุณริน
เปลี่ยน laptop ตัวใหม่แล้ว เย้! จะได้คอมเมนท์กันได้ถนัดหน่อย :))
^
^
สบายดีนะคะ บล็อคก็เงียบ คนก็เงียบเน้อ...


โดย: sherry IP: 49.49.85.174 วันที่: 24 มิถุนายน 2554 เวลา:23:27:46 น.  

 
คุณเชอร์รี เย้ๆ ยินดีด้วยค่า ^0^ คราวนี้ได้เมนต์ถึงใจขึ้นเนอะ ช่วงอาทิตย์นี้ยุ่งมากเลยค่ะ นี่ก็ต้องมาไบเทคตั้งแต่พฤ - อา. เหนื่อยมากเพราะถึง 3-4 ทุ่มทุกคืนเลย

ตอนนี้ก็มีเตรียมประกาศผลผู้โชคดีชิงโปสเตอร์กับของปลอบใจของแม้นมั่นคำสัญญา แล้วก็จะเริ่มกลับมาต่อ แค่สบตา ก็รู้ว่ารัก หวังว่าวีคหน้าคงมีอัพเดทบ้างค่า ;)


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 25 มิถุนายน 2554 เวลา:7:31:29 น.  

 
พอเข้ามาก็มาหาเรื่องนี้ก่อนเลย
เห็นตอนพิเศษยิ่งเนื้อเต้นใหญ่
เป้ วิวไม่ทำให้ผิดหวังเลย
คงความน่ารัก ไว้ได้ทุกกระเบียดนิ้วเชียว
ช่วงนี้ไม่ค่อยได้แวะมา แต่ก็ยังคอยติดตามนิยายคุณรินอยู่นะคะ
จากที่นี่บ้างจากบอร์ดอินุบ้าง
แต่คงไม่ถี่เท่าเมื่อก่อน
อบคุณกับเป้วิวตอนนี้ค่ะ น่ารักมากมาย โดยเฉพาะเป้ เอาคืนซะวิวกลับไปหาน้องไม่ได้เลย


โดย: porntip IP: 182.53.122.44 วันที่: 25 มิถุนายน 2554 เวลา:10:05:22 น.  

 
คุณ porntip ช่วงนี้ตอนพิเศษเป้วิวถี่มากเลยค่ะ สงสัยเพราะน้องหว้ามาเยี่ยมนี่แหละ ดีใจที่ยังติดตามกันอยู่นะคะ เพราะตอนพิเศษที่เขียนออกมาก็เพื่อแฟนๆ จะได้หายคิดถึงนี่ละ ;)


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 28 มิถุนายน 2554 เวลา:18:53:46 น.  

 
ขอแก้นิดเดียวค่ะ
"ช่วงนี้ตอนพิเศษเป้วิวถี่มากเลยค่ะ "
^
^
ไม่จริงนะคะ ทิ้งช่วงไปตั้ง 15 วัน แล้วน้า...ei ei ล้อเล่นนะคะ

ถึงเป้&วิวมาทุกอาทิตย์ ก็คงจะไม่มีใครเบื่อหรอกค่ะ :))


โดย: sherry IP: 223.204.6.143 วันที่: 28 มิถุนายน 2554 เวลา:20:35:14 น.  

 
^
ชะอุ๋ย นี่ก็ถี่มากๆ แล้วค่าคุณเชอร์รี แถมยังจะมีตอนพิเศษจากมุมมองน้องหว้าโผล่ออกมาอีกเร็วๆ นี้ด้วยนะเนี่ย ทำไม้เวลาเขียนการบ้านไม่กระตือรือร้นแบบนี้มั่งน้อ


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 28 มิถุนายน 2554 เวลา:20:52:32 น.  

 
กรี๊ดดดดดดดดดด...ดีใจล่วงหน้าไปสามโลก
^
^
จริงๆนะคะ ที่จะได้อ่านตอนพิเศษเป้&วิวอีกเร็วๆนี้...

รักเจ้าของบล็อคที่สุด joob joob!

ps. ถ้าจะเข็นออกมาก่อนตอนต่อของ "แค่สบตาก็รู้ว่ารัก" ก็แอบคิดว่าคงไม่มีแฟนานุแฟนท่านไหน บ่นแต่อย่างใด ^o^


โดย: sherry IP: 223.204.6.143 วันที่: 28 มิถุนายน 2554 เวลา:22:43:09 น.  

 
^
อันนี้ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่คนเขียนเกรงใจคุณเชษฐ์ม้ากมากเลยค่ะ กะว่าจะเขียนตอนพิเศษให้เป้วิวอีกสักสองตอน แล้วจะกลับไปหาน้องภัทรกับคุณเชษฐ์จริงๆ จังๆ ซะทีละ อิอิ


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 29 มิถุนายน 2554 เวลา:9:05:05 น.  

 


หลังจากลุ้นมาตั้งนานว่า น้องวิวไม่สบายเพราะอะไร น้องเป้พาไปดูเรือนหอนี้เอง ว่าแต่เรือนหออยู่ที่ได้อ่ะ จะตามไปส่องงงงงงงงงงกรี๊ดดดดดดดดดดดดดด ขอตัวไปซื้อกล้องส่องทางไกลก่อนน่ะค่ะ เผื่อจะได้ใช้กร๊ากกกกกกกกกกกกก


โดย: ภัทร IP: 124.120.22.227 วันที่: 25 พฤษภาคม 2555 เวลา:17:14:53 น.  

 
คุณภัทร อยู่ชั้น 28 นี่อาจต้องใช้กล้องที่จับภาพละเอียดได้สูงๆ หน่อยนะคะ ไม่งั้นเดี๋ยวเห็นไม่ช้าดดดดดด 555555555


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 27 พฤษภาคม 2555 เวลา:11:27:50 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Applebee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]






ลายปากกา



~ สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ~
ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมดหรือส่วนใดไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!

Friends' blogs
[Add Applebee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.