Group Blog
 
All blogs
 
เหตุเกิดจากวันนั้น...2


แนะนำ
สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ


++------++


ตอนที่ 2.



ท่ามกลางไอร้อนระอุที่รุมล้อมจากทั้งบนฟ้าและทางเท้าจนทำให้แผ่นหลังใต้เสื้อเชิ้ตเปียกชุ่ม ศรันย์หยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อก่อนจะเก็บลงที่เดิม จากนั้นก็ยกมือขึ้นคลายเน็คไทบนคอให้หลวมเพื่อจะได้หายใจสะดวกขึ้นบ้าง

แย่ชะมัด เมื่อวานฝ่ายประสานงานดันเตรียมเอกสารมาให้ลูกค้าไม่ครบ แถมเป็นลูกค้ารายใหญ่ เขาเลยต้องเสียเวลาเอามาให้ลูกค้าเองแทนที่จะใช้เมสเซนเจอร์ไปซะฉิบ...

ศรันย์นึกบ่นในใจหลังจากเดินออกมาพ้นสำนักงานของลูกค้า ขณะที่กำลังจะเดินต่อไปยังป้ายรถเมล์ เท้าสองข้างก็ชะลอลงเมื่อพบว่าตนกำลังเดินผ่านหอศิลปะที่เขาเพิ่งจะมาแวะไปเมื่อวาน ชายหนุ่มหยีตาขึ้นมองอาคารที่ทาสีอ่อนพลางนึกถึงคำพูดของใครบางคน

‘ท่าทางคุณยังเดินดูไม่ทั่วเลยใช่ไหมล่ะ พรุ่งนี้มาอีกสิ เดี๋ยวผมพาเดินดูแล้วอธิบายให้เอง’

มือข้างหนึ่งของศรันย์ล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง ขณะที่มืออีกข้างจับสายสะพายกระเป๋าอย่างชั่งใจ แต่ยิ่งยืนนานเข้าก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวชุ่มเหงื่อขึ้นทุกที เลยตัดสินใจก้าวขาตรงเข้าไปในตึกเสียเพื่อหลบเปลวแดดและความร้อน เพราะถึงยืนตรงนั้นนานไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น

ก็แค่จะเข้ามาเดินตากแอร์ให้ตัวแห้งเท่านั้นแหละน่า ไม่ใช่ว่าฉันมาตามคำเชิญของนายหรอกนะ...

ศรันย์คิดในใจ ก่อนจะระบายลมหายใจยาวเมื่อได้ทิ้งอากาศร้อนอันแผดเผาไว้ด้านนอก จำนวนคนที่มาเดินชมนิทรรศการยังคงน้อยเหมือนเมื่อวานเพราะเป็นเวลาบ่ายของวันธรรมดา กระนั้นเขาก็ไม่คิดว่าที่นี่จะครึกครื้นเหมือนห้างสรรพสินค้าฝั่งตรงข้าม ต่อให้เป็นวันหยุดก็ตามทีเถอะ

เนื้อผ้าที่อุ้มเหงื่อจนแนบติดแผ่นหลังค่อยๆ แห้งลงทีละนิด ศรันย์ตัดสินใจดึงเนคไทออกแล้วม้วนเก็บใส่กระเป๋าสะพาย จากนั้นก็เดินขึ้นบันไดเลื่อนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงชั้นที่จัดนิทรรศการซึ่งดูค้างไว้เมื่อวาน พอกำลังจะเดินเข้าไปด้านในก็โดนเสียงหวานเล็กรั้งฝีเท้าไว้

"สวัสดีค่า เชิญลงทะเบียนก่อนเข้าชมงานนะคะ"

สาวน้อยซึ่งนั่งเฝ้าโต๊ะลงทะเบียนด้านหน้าทักทายเขาพร้อมรอยยิ้ม ศรันย์จึงแวะลงชื่อในสมุดพลางเหลือบมองเก้าอี้ว่างตรงข้างๆ ของเธอ แต่ก็ตัดสินใจไม่ถามอะไรและเพียงแต่รับแผ่นพับก่อนจะเดินเข้าไปชมนิทรรศการ

จะว่าไป...รู้งี้ไม่ทิ้งโบรชัวร์เมื่อวานไปซะก็ดี เปลืองกระดาษชะมัด...

ชายหนุ่มคิดขณะเดินเข้าไปในส่วนจัดแสดงภาพวาดที่ส่งเข้าประกวดในหัวข้อความงามขององค์ประกอบระหว่างแสงกับเงา โดยแต่ละภาพจะจัดแสดงห่างๆ กัน และข้างๆ ภาพจะมีคำบรรยายที่พิมพ์ใส่กระดาษสีขาวแปะเอาไว้ ศรันย์มองแต่ละภาพไปก็ต้องยอมรับว่าเขาคงไม่มีหัวทางศิลปะมากพอ เพราะบางภาพก็พอจะเรียกว่า ‘สวย’ ในสายตาเขาได้ แต่บางภาพนี่สิ...ไม่รู้ว่าคนวาดตั้งใจให้คนมองจากองศาไหนถึงจะเห็นความงามที่ซ่อนอยู่เอาเสียเลยจริงๆ

หลังจากเดินชมนิทรรศการซึ่งกินพื้นที่ทั้งชั้นครบ ศรันย์ก็เดินวนมาตรงจุดที่จัดแสดงภาพที่ได้รับรางวัลชนะเลิศอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะว่าภาพนั้นเป็นภาพที่ใหญ่ที่สุดหรือเพราะเป็นภาพที่ชนะการประกวด แต่ภาพของแสงสีใบไม้ที่ปลิดปลิวอยู่บนสะพานซึ่งทอดไปเหนือผิวน้ำช่างให้ความรู้สึกสงบ และฝีแปรงที่สะท้อนว่าจิตรกรผู้รังสรรค์ภาพตั้งใจใส่รายละเอียดทุกครั้งที่จรดพู่กันก็สะกดสายตาเขาไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว

ถ้าไม่ใช่เพราะมีไอ้บ้าบางคนมาส่งเสียงกดชัตเตอร์จากข้างหลัง เขาก็คงไม่พาลหงุดหงิดหมดอารมณ์ที่จะยืนมองภาพนี้ไปเรื่อยๆ หรอก...

พอคิดถึงตรงนี้ อารมณ์ของศรันย์ก็ขุ่นขึ้นเล็กน้อย วูบหนึ่งก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไอ้งั่งที่ย้อนกลับมาดูนิทรรศการนี้ราวกับตอบรับคำเชิญที่ผู้ชายคนเมื่อวานมอบให้ไม่มีผิด ทั้งๆ ที่หมอนั่นก็คงจะชวนทุกคนในฐานะเจ้าหน้าที่เพื่อเพิ่มจำนวนคนมาดูเท่านั้นแหละ

ชายหนุ่มมองภาพวาดที่สะกดสายตาเขาไว้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินจากมา อย่างน้อยๆ เขาก็บรรลุวัตถุประสงค์ที่จะเข้ามาเดินตากแอร์ให้เสื้อแห้งแล้ว ต่อไปนี้ก็คงไม่ต้องมาทำธุระแถวนี้อีกเพราะที่ทำงานเขาก็ไม่ได้อยู่ใกล้ๆ ถือเสียว่าเข้ามาพักสายตา ‘เสพ’ งานศิลป์ให้ดูรุ่มรวยเหมือนบุปผาชนแบบที่ปกติไม่ทำก็แล้วกัน

“อ๊ะ เดี๋ยวรบกวนช่วยกรอกแบบสอบถามหลังชมนิทรรศการเสร็จหน่อยได้ไหมคะ?”

สาวน้อยที่นั่งเฝ้าโต๊ะเมื่อครู่รีบลุกแล้วยื่นแบบสอบถามที่ทำจากกระดาษเอสี่มาให้ ศรันย์ลังเลนิดหนึ่งก่อนจะรับมาเขียนให้ตามมารยาท เสร็จแล้วก็ส่งแบบสอบถามคืนและเดินลงบันไดเลื่อนมาชั้นล่าง

จะห้าโมงแล้วสิ...เดี๋ยวหาข้าวเย็นกินแถวนี้ค่อยกลับบ้านก็แล้วกัน...

ศรันย์คิดขณะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ถึงแม้เขาจะไม่ได้รักใคร่หน้าที่การงานที่ทำอยู่สักเท่าไหร่ แต่การที่ทางบริษัทไม่ค่อยเคร่งเรื่องเวลาออกงานสำหรับพนักงานขายก็ถือเป็นข้อดีที่ทำให้เขาไม่ค่อยเบื่องานนัก ความที่ไม่ทันได้มองทางตอนลงมาถึงชั้นล่าง พอศรันย์จะเลี้ยวไปทางประตูจึงชนกับคนที่เดินสวนมาอย่างจัง

“ขอโทษครับ! อ้าว คุณ”

แน่นอนว่าคำขอโทษไม่ได้ออกมาจากปากของศรันย์ก่อนแน่ๆ เขาขมวดคิ้วมองคนที่ยื่นมือมาช่วยจับแขนไว้ไม่ให้หงายหลัง และยิ่งรู้สึกว่าหว่างคิ้วมุ่นเข้าหากันมากขึ้นเมื่อเห็นว่าคนที่เพิ่งเดินชนคือคนเดียวกับที่ทำให้อารมณ์เสียเมื่อวาน

“เฮ้! เดี๋ยวก่อนสิ จะกลับแล้วเหรอ?"

ปราบพงศ์ถามเมื่ออีกฝ่ายสะบัดแขนออกแล้วเดินหนี ใบหน้ายุ่งๆ นั้นดูเผินๆ เหมือนเด็กที่กำลังไม่สบอารมณ์ ทั้งที่เขาคิดว่าอายุของพวกเขาคงไม่ห่างกันสักเท่าไหร่ เผลอๆ อาจจะรุ่นเดียวกันเสียด้วยซ้ำ

“ก็ดูเสร็จหมดแล้วนี่”

คนเดินนำตอบโดยไม่เหลียวกลับไปมอง ฝ่ายปราบพงศ์ที่เดินตามจึงได้แต่ยิ้มหน่ายๆ ขณะมองแผ่นหลังตั้งตรงของคนที่กำลังเดินไปที่ประตู

ทั้งดื้อทั้งกวนเลยสิน่า....แต่ทำไมเขาไม่ยักเข็ดที่จะคุยด้วยก็ไม่รู้สิ...

ปราบพงศ์ก้าวเร็วๆ จนไปหยุดหน้าประตูทันก่อนอีกฝ่ายจะผลักออกไป พอศรันย์ขมวดคิ้วมอง เขาก็พยักหน้าขึ้นไปชั้นบน

“ออกไปตอนนี้แดดก็ยังร้อน ไหนๆ ก็อุตส่าห์ได้เจอกันอีกที ให้ผมเลี้ยงกาแฟคุณสักแก้วได้มั้ย?”

ศรันย์ยืนกอดอกมองคนถาม โชคดีที่ตอนนี้ไม่มีคนเดินเข้าออกอาคาร ไม่อย่างนั้นพวกเขาสองคนคงขวางทางคนอื่นอย่างไม่ต้องสงสัย

“ผมแต่งงานมีลูกแล้ว”

ปราบพงศ์ชะงักไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น นัยน์ตาสีดำสนิทเบิกกว้างเหมือนไม่เชื่อหูขณะมองคนตรงหน้า เนื่องจากวันนี้เจ้าตัวไม่ผูกเนคไท ประกอบกับเสื้อเชิ้ตที่ใส่ก็เป็นสีขาว พอมองผ่านๆ เลยดูเหมือนนักศึกษามากกว่าพนักงานบริษัท

“เอ่อ....”

“ถ้าผมพูดแบบนี้ คุณยังจะจีบผมอีกมั้ย?”

ศรันย์ถามหน้าตาย ถึงจะไม่ใช่คนที่มนุษยสัมพันธ์เป็นเลิศ แต่เขาก็ไม่ได้ซื่อบื้อขนาดจะตีความไม่ออกว่าคนที่ชวนแบบนี้มีจุดประสงค์อย่างไร เขาอยากรู้นักว่าถ้าโดนตัดบทขนาดนี้แล้ว หมอนี่จะยังอยากทำความรู้จักเขาต่ออยู่หรือเปล่า

ปราบพงศ์ไม่นึกว่าจะโดนแทงใจดำ ประกอบกับนัยน์ตาของอีกฝ่ายที่จับจ้องเขาตรงๆ เลยทำให้ผิวหน้าร้อนผ่าวขึ้น แต่ก็ตัดสินใจไม่ยอมแพ้

"ผมไม่เชื่อ...คุณหน้าเด็กเกินไปที่จะมีครอบครัว อีกอย่างบุคลิกคุณดูยังไงก็ยังไม่น่าจะมีแฟน"

พูดไปแล้วปราบพงศ์ก็ได้แต่กลั้นหายใจ ไม่รู้เพราะความอยากเอาชนะหรือผีบ้าอะไรเข้าสิงที่ทำให้หลุดปากไปแบบนั้น ทั้งที่ฟังแล้วมันไม่น่าจะให้ผลลัพธ์ที่เขาต้องการสักนิด แต่ฝ่ายนั้นรวนใส่เขาก่อนเองนี่นา

ทั้งสองยืนสบตาหยั่งเชิงกันหน้าประตูอย่างไม่มีใครยอมลงให้ก่อน คนที่ผ่านไปมาจึงเริ่มหันมามองอย่างสนใจ ศรันย์มองคนที่ยืนขวางประตูแล้วก็มั่นใจว่าหมอนี่คงไม่เปิดทางให้เขากลับง่ายๆ แน่

เอาวะ...ก็ไม่ได้จะรีบร้อนไปไหนต่อเสียที่ไหน...

“ร้านอยู่ไหน?”

“หือ?”

ปราบพงศ์ส่งเสียงแทนคำถามอยู่ในคอ ศรันย์เลยทำสายตาเหนื่อยหน่าย “ตกลง คุณเดาถูกว่าผมยังโสด จะเลี้ยงกาแฟผมไม่ใช่รึไง ร้านอยู่ไหนล่ะ?”

คำตอบที่บอกให้รู้ว่ายอมโอนอ่อน แม้จะมากับน้ำเสียงและใบหน้าที่ไม่ค่อยกระตือรือร้นสักเท่าไหร่ทำให้ปราบพงศ์ใจชื้นขึ้น ชายหนุ่มคลี่ยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคำตอบที่น่าพอใจ ศรันย์จึงค่อยรู้สึกว่าหน้าจืดๆ ของคนตรงหน้า เวลายิ้มก็ดูเข้าทีไม่ใช่เล่น สงสัยจะเพราะเขี้ยวกับลักยิ้มข้างแก้มที่ชอบโผล่มาเวลาเจ้าตัวยิ้มนั่นกระมัง

แต่เรื่องอะไรจะต้องบอกให้ดีใจ...ยังไม่รู้จักกันดีเลยนี่นา

“อยู่ข้างบนนี่แหละ ร้านนี้ชงกาแฟอร่อยนะ เวลาพักผมก็ชอบไปนั่งเล่นที่นี่”

ศรันย์พยักหน้ารับรู้พลางเดินตามคนชวนไปที่บันไดเลื่อน รู้สึกแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่ยอมปล่อยการ์ดป้องกันตัวลงอย่างง่ายดายขนาดนี้ บางทีอาจเพราะการเป็นพนักงานขายทำให้เขาต้องคอยตามเล่ห์เหลี่ยมของลูกค้าที่ชอบตุกติกให้ทัน พอเจอคนที่พูดและแสดงความรู้สึกออกมาตรงๆ ก็เลยรู้สึกว่าแปลกใหม่ดีก็เป็นได้

ทั้งคู่มาถึงร้านกาแฟที่ตกแต่งแบบเรียบง่ายแต่ก็อบอุ่น โต๊ะและเก้าอี้ในร้านทำจากไม้ขนาดกะทัดรัด มีหมอนอิงแฮนด์เมดที่ทำจากผ้าหลากสีวางอยู่ตามโต๊ะ ทำให้รู้สึกถึงความเป็นกันเองของเจ้าของสถานที่ ปราบพงศ์ทักหญิงสาวที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ชงเครื่องดื่มอย่างคุ้นเคยก่อนจะสั่งกาแฟร้อนซึ่งเป็นเมนูประจำตัว จากนั้นก็หันกลับมาถามคนที่หยุดอยู่ข้างหลัง

“ผมสั่งของผมไปแล้วนะ แล้วของคุณจะเอาอะไรดี? คุณ...”

“หนุ่ย ผมไม่กินกาแฟ ขอชานมเย็นไม่หวานมากก็แล้วกัน”

ศรันย์บอกชื่อเล่นพลางสั่งเครื่องดื่มให้ตัวเองเสร็จสรรพ จากนั้นก็เดินไปเลือกที่นั่งซึ่งอยู่มุมในสุดและติดกระจก ปราบพงศ์จึงเดินตามไปนั่งลงเพราะเจ้าของร้านจะนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟให้ทีหลัง

“จะมาวันนี้ทำไมไม่โทรมาหาผมล่ะ เมื่อวานก็ให้ชื่อกับเบอร์โทรไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”

ศรันย์ซึ่งกำลังหยิบนิตยสารแถวนั้นมาพลิกดู พอได้ยินคำถามก็ทำปากยื่นขึ้นนิดหนึ่ง “ทิ้งโบรชัวร์ไปแล้ว ไม่ได้คิดว่าวันนี้จะมาอีก”

“อ้าว ถ้างั้นทำไมถึงมาล่ะ?”

ปราบพงศ์ถามต่อ นี่ถ้าคนอื่นมาเจอคนที่ชอบตอบคำถามแบบมะนาวไม่มีน้ำเช่นคนตรงหน้าคงเลิกคุยไปแล้ว แต่น่าประหลาดที่เขากลับยิ่งรู้สึกว่าอยากยั่วให้อีกฝ่ายพูดกับเขาเยอะๆ ขึ้น ก็เลยไม่ล้มเลิกความพยายามที่จะป้อนคำถามให้อีกฝ่ายตอบเรื่อยๆ

ศรันย์เหลือบตาขึ้นมองคนถาม ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าของร้านนำเครื่องดื่มของทั้งคู่มาเสิร์ฟ เขาจึงหยิบชานมของตัวเองมาใช้หลอดคนแล้วดูดเสียอึกใหญ่ก่อนจะตอบ “พอดีมีธุระเลยต้องมาหาลูกค้าแถวนี้ ตอนออกมาอากาศมันร้อนก็เลยแวะเข้ามาตากแอร์เฉยๆ ไม่ใช่เพราะมาตามคำชวนของคุณหรอก”

นี่อาจเป็นประโยคที่ยาวที่สุดที่ศรันย์เอ่ยนับตั้งแต่ทั้งคู่เริ่มบทสนทนา หากมองในแง่หนึ่ง คำอธิบายนั้นก็ช่างแห้งแล้งไร้ไมตรีจิตสิ้นดี แต่หากมองในอีกแง่...ก็ตีความได้ว่าน้ำแข็งที่จับตัวเป็นเกราะบางๆ รอบตัวอีกฝ่ายค่อยๆ ละลายลงทีละน้อย เพราะคนพูดไม่ได้เล่นแง่เหมือนตอนที่อ้างว่ามีครอบครัวต้องกลับไปดูแลเมื่อครู่ เพียงแต่ตอบเฉยๆ ตามที่ใจคิดเท่านั้น

และปราบพงศ์เลือกจะตีความตามแบบหลังมากกว่า

“คุณทำงานอะไรเหรอ?”

คำถามนั้นทำให้ศรันย์มองหน้าคนถามเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะยักไหล่แล้วหยิบนามบัตรออกจากกล่องโลหะเล็กบางมายื่นให้ ปราบพงศ์จึงได้เห็นชื่อและนามสกุลรวมทั้งที่ทำงานของอีกฝ่ายในคราวเดียว

“บริษัทผมขายเครื่องเขียนส่งให้พวกสำนักงาน พอดีมีธุระต้องมาหาลูกค้าแถวนี้ จริงๆ ลูกค้ารายนี้เป็นของรุ่นพี่ที่เพิ่งออกไปก็เลยต้องมาดูแลแทน ไม่งั้นปกติไม่มาแถวนี้หรอก”

ปราบพงศ์พยักหน้าพลางทักยิ้มๆ “ศรันย์...ชื่อเข้ากับคุณดีนะ ชื่อเล่นว่าหนุ่ยก็เหมือนกัน”

ชายหนุ่มเอ่ยพลางเก็บนามบัตรใบนั้นลงกระเป๋าเสื้อ ท่าทีที่ปฏิบัติกับกระดาษแข็งสี่เหลี่ยมเล็กๆ ใบนั้นอย่างทะนุถนอมทำให้ศรันย์เอียงคอแล้วเท้าคางมองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา

“คุณ...ชื่อปิงใช่มั้ย?”

“อื้อ จำได้ด้วย?”

ปราบพงศ์ถามอย่างแปลกใจ เพราะเห็นอีกฝ่ายบอกว่าทิ้งโบรชัวร์ไปแล้ว เขาก็นึกว่าคงลืมชื่อที่เขียนให้ไปด้วยแล้วเสียอีก ศรันย์จึงยกมุมปากขึ้นนิดหนึ่ง นิดเดียว...แต่ก็ยังถือได้ว่าเป็นยิ้มแรกนับจากได้เจอกันจนทำเอาหัวใจของปราบพงศ์กระตุก

“เป็นเซลส์ก็ต้องความจำดีอยู่แล้วสิ ว่าแต่คุณนี่....นิสัยพิลึกจริงๆ นะ”


++---TBC---++


A/N: พอดีตอนนี้มีเนื้อหาสต็อคไว้บ้าง เลยจะลงวันละตอนให้ทันในแฟนเพจ เพราะที่นั่นคงได้อัพ 2-3 วันต่อหนึ่งตอน อาจสังเกตได้ว่าแต่ละตอนไม่ยาวเท่าไหร่ เพราะตั้งใจให้เรื่องนี้เป็นงานเขียนทดลองน่ะค่ะ ภาษาบรรยายก็จะพยายามให้น้อยลงกว่าปกติด้วย ไม่รู้อ่านแล้วห้วนๆ ไปรึเปล่านะ ^^a


Create Date : 05 มิถุนายน 2555
Last Update : 5 มิถุนายน 2555 18:26:16 น. 0 comments
Counter : 1019 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Applebee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]






ลายปากกา



~ สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ~
ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมดหรือส่วนใดไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!

Friends' blogs
[Add Applebee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.