Group Blog
 
All blogs
 
ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน One Step Closer


แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ


++------++



ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ One Step Closer


ในช่วงบ่ายของวันพฤหัสบดี แสงจากดวงอาทิตย์สาดจ้าโดยไร้เมฆบดบัง
แต่ถึงแม้ไอร้อนภายนอกจะแผดเผารุนแรงสักเพียงใด ภายในอาคารสำนักงานกลับเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำเสียจนพนักงานแทบทุกคนต้องสวมแจ็คเก็ตหรือห่มผ้าคลุมไหล่กันหนาวให้วุ่น ณรงค์ก็เป็นคนหนึ่งที่ต้องหยิบแจ็คเก็ตซึ่งปกติวางพาดบนพนักเก้าอี้ขึ้นมาสวม แต่เมื่อเหลือบเห็นรุ่นน้องสาวที่นั่งเยื้องไปฝั่งตรงข้ามก็อดจะแซวไม่ได้

“หนาวเว่อร์ไปรึเปล่าผึ้ง? ทำยังกับอยู่ขั้วโลกเหนือ”

ยุพดีเหล่มองคนถาม เพราะนอกจากเธอจะสวมแจ๊คเก็ตแบบหนาฟูซึ่งรูดซิปขึ้นจนสุดแล้ว ยังดึงฮู้ดคลุมศีรษะราวกับพวกชนเผ่าเอสกิโมอีกต่างหาก “ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงล่ะพี่รงค์ ก็รู้หรอกว่าอากาศข้างนอกมันร้อน แต่ทำไมจะต้องเร่งแอร์ขนาดนี้ด้วยก็ไม่รู้ เดี๋ยวพนักงานป่วยยกบริษัทกันพอดี”

อิสราซึ่งสวมแจ็คเก็ตเหมือนกันและนั่งถัดไปจากณรงค์หัวเราะ “ช่วยไม่ได้นี่นา แอร์ที่นี่ดันเป็นแอร์กลาง ถ้าบริษัทเราขอให้ลดอุณหภูมิ เดี๋ยวบริษัทอื่นก็บ่นร้อนอีก ทางอาคารก็เลยช่วยอะไรไม่ได้น่ะสิ”

ยุพดีตวัดสายตามองเพื่อนร่วมงานซึ่งเป็นจูเนียร์ดีไซเนอร์เหมือนกัน จากนั้นก็บ่นอุบอิบแล้วทำงานต่อ ณรงค์หัวเราะพลางหยิบกระบอกน้ำพลาสติกขึ้นเปิดดื่ม แต่พอเห็นว่าไม่มีน้ำสักหยดจึงลุกเข้าไปในครัวเพื่อเติมน้ำ

โชคดีว่าหลังจากผ่านเทศกาลสงกรานต์มาได้สองเดือน งานที่ชุกจนมือเป็นระวิงเมื่อตอนต้นปีก็ค่อยๆ ลดลง โดยลูกค้ารายล่าสุดที่เพิ่งส่งแบบให้พิจารณาก็ยังไม่ตอบกลับมา ช่วงนี้งานของเขาจึงไม่มีอะไรเร่งด่วนมากนัก

ขณะที่กำลังรองน้ำโดยกดจากคูลเลอร์ในห้องครัว เสียงเลื่อนประตูเปิดก็ดึงความสนใจให้เหลือบตาขึ้นมอง และเมื่อเห็นว่าคนที่กำลังเดินเข้ามาคือหนุ่มลูกครึ่ง หนึ่งในผู้บริหารและยังอยู่ในสถานะเป็น ‘คนพิเศษ’ ของเขา ใบหน้าของณรงค์ก็สดใสขึ้นทันที

“กลับจากประชุมข้างนอกแล้วเหรอ?”

ณรงค์ถามเนื่องจากวันนี้พวกเขายังไม่ได้เจอกันเลยตั้งแต่เช้า ไรอันพยักหน้าแทนคำตอบแล้วก็เลื่อนประตูปิดตามหลัง ผิวแก้มของหนุ่มลูกครึ่งมีสีเลือดฝาดเรื่อๆ เนื่องจากเพิ่งเข้ามาในอาคารที่ปรับอุณหภูมิต่างจากภายนอกมาก

“อืม แต่เดี๋ยวอีกสักพักก็จะมีประชุมผู้บริหารอีก ผมเลยแวะมากินน้ำก่อน”

ไรอันตอบพลางเปิดตู้ด้านบนเพื่อหยิบแก้วน้ำ ณรงค์ที่ยังรองน้ำไม่เต็มกระบอกจึงหยุดกดและถอยให้ก่อน ไรอันเหลือบตามองเขาแล้วก็ขยับตัวเข้าไปกดน้ำแทน “ขอบคุณ”

นับตั้งแต่กลับจากไปเยี่ยมบ้านของณรงค์ที่กาญจนบุรีเมื่อสองเดือนก่อนและยอมรับว่าเขาเป็นแฟน ผู้บริหารหนุ่มลูกครึ่งก็พูดภาษาไทยกับเขาบ่อยขึ้น เว้นแต่บางทีที่ขี้เกียจก็อาจจะพูดภาษาอังกฤษเหมือนเดิม

ความสัมพันธ์ของทั้งสองเริ่มขึ้นแบบที่ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครคาดคิด เพราะแม้จะทำงานในบริษัทเดียวกันนับตั้งแต่ไรอันมารับตำแหน่งเป็นหนึ่งในผู้บริหารเมื่อหนึ่งปีก่อน แต่พวกเขาก็แทบจะไม่เคยได้แลกเปลี่ยนคำพูดกันสักครั้ง ถึงแม้ณรงค์จะสนใจมองอีกฝ่ายบ้างเพราะรู้สึกว่าบุคลิกน่าสนใจดี แต่ก็ไม่เคยคิดไปถึงขั้นอยากจีบหรือสานสัมพันธ์ให้เกินกว่าการเป็นเพื่อนร่วมงานเลยสักนิด

ซึ่งทั้งหมดนั้นเปลี่ยนไปตั้งแต่วันคริสต์มาสที่ผ่านมา...

ไรอันยืนหันหลังให้ณรงค์และก้มศีรษะเล็กน้อยขณะรองน้ำจากคูลเลอร์ใส่แก้ว เสื้อเชิ้ตบริเวณแผ่นหลังมีเหงื่อซึมบางๆ และต่อให้ไม่ได้ตั้งใจจะคิดลามก แต่ณรงค์ก็อดมองภาพตรงหน้าแล้วคิดไปถึงวันที่ทั้งสองอาบน้ำด้วยกันที่บ้านสวนไม่ได้

ทั้งแผ่นหลังและช่วงบ่ากว้างโปร่งซึ่งเนียนลื่นไร้ไฝฝ้า ลำแขนเพรียวแต่มีกล้ามเนื้อกำลังพอดี ท่อนเอวสอบที่นำสายตาลงสู่สะโพกเกร็งเครียด และท่อนขาแข็งแรงอย่างคนที่ออกกำลังสม่ำเสมอ ทุกส่วนสัดที่ถูกบดบังด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงแสล็คล้วนเคยผ่านสายตาและการสัมผัสของเขามาแล้วทั้งสิ้น

ราวกับรู้ตัวว่าโดนจ้อง ไรอันเลยเอี้ยวคอมามองเขานิดหนึ่งทั้งที่ยังยืนท่าเดิม หนุ่มลูกครึ่งกระตุกมุมปากขึ้นแล้วหันกลับไปกดน้ำต่อ ณรงค์เลยหัวเราะในคอเพราะรู้ว่าถูกจับได้

อย่างน้อยก็ไม่เดินหนีหรือหันมาแยกเขี้ยวใส่ล่ะน่า...

ณรงค์ยืนมองไรอันยกแก้วน้ำขึ้นดื่มรวดเดียวเกลี้ยงอย่างเงียบๆ พอหนุ่มลูกครึ่งก้มลงเติมน้ำอีกครั้งก็ถามขึ้น

“ว่าแต่เย็นนี้ผมเลิกงานเร็ว ไปกินข้าวเย็นด้วยกันมั้ย?”

ปกติแล้วทั้งสองเลิกงานไม่ค่อยจะตรงกัน ดังนั้นการทานมื้อเย็นร่วมกันในวันธรรมดาจึงเป็นเรื่องที่นานทีปีหนจะเกิดขึ้นสักที

ไรอันส่ายหน้าพลางใช้หลังมือปาดคราบน้ำบนริมฝีปาก “Sorry เย็นนี้ผมมีนัดกินข้าวกับลูกค้า คุณกลับก่อนได้เลย”

หนุ่มลูกครึ่งหันไปวางแก้วเปล่าลงในอ่างล้างจาน แต่พอหันมาเห็นแววตาผิดหวังของณรงค์ก็ยกมือตบไหล่เขาเบาๆ

“Don’t make a face like that. ยังไงวันเสาร์ก็ได้กินข้าวด้วยกันอยู่แล้วนี่คุณ อุตส่าห์ได้เลิกเร็วก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะน่า”

ไรอันพูดจบก็เดินออกจากครัว ณรงค์จึงถอนหายใจเบาๆ แล้วกดน้ำจากคูลเลอร์ใส่กระบอกพลาสติกที่รองค้างไว้ ถึงแม้ใจหนึ่งจะรู้สึกดีที่ไรอันยังพูดเอาใจเขาบ้าง แต่ขณะเดียวกัน เขาก็เริ่มรู้สึกว่าความสัมพันธ์เท่าที่ดำเนินอยู่ไม่เพียงพอกับความรู้สึกในใจมากขึ้นเรื่อยๆ

อยากทำอะไรให้ไรอันรู้ว่าเขาแคร์มากกว่าการพาไปกินข้าวในวันหยุดบ้าง...


++------++


ในเช้าวันศุกร์ต่อมา ณรงค์มาถึงออฟฟิศสายกว่าเวลาเข้างานเล็กน้อย เนื่องจากบริษัทของเขาไม่ค่อยเคร่งครัดเรื่องเวลาเข้าออกของพนักงานสักเท่าไหร่ อีกอย่างเขาก็ไม่ได้มีงานที่ต้องรีบเข้ามาเคลียร์ให้เสร็จอยู่ดี

วันนี้งานเดียวของณรงค์คือออกไปประชุมกับลูกค้าเพื่อรับบรีฟโครงการปรับปรุงคอมมิวนิตี้มอลล์ย่านชานเมือง ซึ่งกว่าจะถึงเวลานัดก็บ่ายโมง ตอนกลางวันเขาจึงกินข้าวแถวๆ สำนักงานกับพวกรุ่นน้องในทีมก่อน พอใกล้ถึงเวลาจึงค่อยขับรถออกไป

เนื่องจากสถานที่อยู่ไกลออกไปนอกตัวเมืองมาก กว่าการประชุมจะจบและณรงค์ได้กลับเข้าบริษัทอีกครั้งก็เกือบสี่โมงเย็นแล้ว ชายหนุ่มเรียกประชุมรุ่นน้องทั้งสองในทีมเพื่อบรีฟงาน หลังจากอธิบายธีมจนเข้าใจและแบ่งงานกันเรียบร้อยก็พากันกลับไปที่โต๊ะ แต่แล้วณรงค์ก็เหลือบไปเห็นว่าห้องทำงานของไรอันยังปิดไฟมืดเหมือนเมื่อเช้าไม่มีผิด

วันนี้ประชุมข้างนอกทั้งวันหรือไงนะ...

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ก่อนจะตัดสินใจเดินไปถามจากเลขาของไรอันดู ถึงแม้ในทางปฏิบัติแล้วเขาจะไม่มีงานที่ต้องติดต่อกับฝ่ายนั้นโดยตรงในระยะนี้ แต่ถ้าแค่แกล้งถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็คงไม่ผิดปกตินัก

“อ้าวเหมย วันนี้นายเราไม่เข้าออฟฟิศเหรอ?”

ณรงค์ทำทีเป็นหยุดแวะถามระหว่างทางที่จะเดินไปห้องน้ำ เมธาวีซึ่งนั่งมีโต๊ะทำงานอยู่หน้าห้องของไรอันจึงเงยหน้าขึ้นพลางขยับแว่นที่สวม หญิงสาวอายุไล่เลี่ยกับณรงค์ แต่อายุงานที่บริษัทน้อยกว่าเพราะเพิ่งเข้ามาทำที่นี่เมื่อกลางปีที่แล้ว

“อื้อ โทรมาลาป่วยตั้งแต่เช้าแล้วแหละ รงค์มีอะไรกับเขาหรือเปล่า?”

คำตอบที่ได้ทำให้คิ้วของคนถามมุ่นขึ้น แต่ณรงค์ก็พยายามไม่แสดงอาการไม่พอใจแล้วถามต่อ

“อ๋อเปล่า แค่ถามดูเพราะเห็นทุกวันเขาต้องเข้าออฟฟิศไง นึกว่าลาพักร้อนกลับไปออสเตรเลียซะอีก”

เลขาสาวหัวเราะ “จะไปได้ยังไงล่ะจ๊ะ ยังไม่ใช่ช่วงวันหยุดซักหน่อย จะว่าไปเขาก็บ่นว่าเวียนหัวตั้งแต่เย็นวานแล้วนะ แต่วันนี้คงไม่ไหวจริงๆ เลยโทรมาบอกเราเมื่อเช้าให้แคนเซิลนัดลูกค้าวันนี้ทั้งหมดเลย”

ณรงค์รู้สึกว่ามือข้างที่ล้วงกระเป๋าอยู่กำแน่นขึ้น ทว่าใบหน้ายังคงยิ้มแย้มเหมือนเดิม “วันนี้นายไม่อยู่ทั้งวัน เหมยก็สบายเลยสิ”

“ไม่มีหรอกย่ะ นายไม่อยู่แต่ฝากงานให้เต็มเลยเนี่ย ถ้ารงค์ว่างจะแบ่งไปทำก็ได้นะ”

คนโดนชวนรีบส่ายหน้า “ไม่เอาล่ะ ขอไปทำงานที่ถนัดดีกว่า”

ณรงค์ตอบแล้วก็เดินสาวเท้าเร็วๆ กลับไปที่โต๊ะทำงาน รอยยิ้มเมื่อครู่ก่อนถูกความไม่พอใจสาดซัดให้หายไปโดยสิ้นเชิง และนอกจากความหงุดหงิดที่รู้สึกได้อย่างชัดเจนแล้ว เขายังสัมผัสได้ถึงกระแสของความน้อยใจที่ประสมอยู่ด้วย

ไม่สบายทำไมไม่บอกกันสักคำ...

ชายหนุ่มกลับมาถึงโต๊ะปุ๊บก็ปิดคอมพิวเตอร์แล้วเดินออกจากบริษัทโดยไม่ลาใคร พอลงลิฟต์ไปถึงที่รถก็หยิบมือถือมากดโทรออก แต่ทั้งที่โทรซ้ำถึงสามครั้ง ไรอันก็ไม่รับสายเลยสักครั้ง สุดท้ายณรงค์จึงตัดสายทิ้งแล้วรีบขับรถออกสู่ถนนใหญ่อย่างเร่งรีบ เพราะดูเหมือนทางเดียวที่จะรู้ได้ว่าไรอันป่วยมากน้อยแค่ไหนคือไปดูให้เห็นกับตาเท่านั้น

โชคไม่ค่อยเข้าข้างคนที่กำลังร้อนใจสักเท่าไหร่ เพราะนอกจากตอนนี้จะเป็นเย็นวันศุกร์ ช่วงเวลาที่ณรงค์ขับรถออกมายังคาบเกี่ยวระหว่างเวลาเลิกงานและเลิกเรียนอีกด้วย การจราจรบนถนนจึงติดขัดเป็นพิเศษโดยเฉพาะย่านออฟฟิศของเขาเอง กว่าจะพารถหลบหลีกการจราจรเข้าในซอยและลัดเลาะไปจนถึงคอนโดของไรอันได้ เวลาก็ผ่านไปเกือบชั่วโมงและตะวันเริ่มลับขอบฟ้าแล้ว ทั้งที่ระยะทางไม่ได้ห่างไกลกันมากเลยแท้ๆ

ณรงค์จอดรถบริเวณที่ว่างด้านหน้าใกล้กับรั้วของคอนโด ฝ่ายพนักงานรักษาความปลอดภัยนั้นคุ้นเคยกับเขาดีเพราะมาส่งไรอันบ่อย จึงยิ้มทักทายและเปิดประตูอาคารให้โดยไม่ขอดูบัตรหรือถามว่ามาหาใคร พอขึ้นลิฟต์ถึงชั้นที่ยี่สิบ ณรงค์ก็แทบจะวิ่งไปที่ห้องซึ่งติดหมายเลขที่คุ้นเคยทันที

ชายหนุ่มกดกริ่งที่หน้าห้องรัวๆ แล้วก็ให้นึกขึ้นได้ว่าตัวเองรีบจนไม่ได้แวะซื้อของติดมือมาเยี่ยมคนป่วยเลย แต่หลังจากรอครู่หนึ่งก็ยังไม่มีใครออกมาเปิดประตูสักที เขาจึงยกนิ้วขึ้นเพื่อจะกดกริ่งอีกครั้ง แต่นิ้วที่กำลังยื่นออกไปก็ชะงักเมื่อประตูถูกเปิดจากด้านในเสียก่อน

“ไร...ขอโทษครับ”

คนที่เปิดประตูออกมาและมองหน้าเขาด้วยแววตาแปลกใจไม่แพ้กันคือชายหนุ่มที่น่าจะอายุมากกว่าเล็กน้อย แต่ด้านรูปร่างแล้วสูงใหญ่ใกล้เคียงกัน ตอนแรกณรงค์นึกว่าตัวเองไม่ดูตาม้าตาเรือจนกดกริ่งผิดห้อง แต่พอชำเลืองมองเลขห้องอีกครั้งก็พบว่าตัวเองมาถูกที่แล้ว คราวนี้เขาจึงหันกลับไปขมวดคิ้วใส่คนที่ออกมาเปิดประตูแทน

หมอนี่เป็นใคร?

ดูเหมือนความไม่เป็นมิตรในแววตาของเขาจะเข้มข้นพอใช้ เพราะคนถูกมองยิ้มบางๆ ให้ก่อนจะเอ่ยเชื้อเชิญ

“เพื่อนของไรอันเหรอ? เข้ามาสิ เขานอนอยู่ข้างในน่ะครับ”

ชายหนุ่มแปลกหน้าเปิดประตูกว้างขึ้นและเบี่ยงตัวให้ เมื่อมั่นใจแล้วว่ามาถูกที่ ณรงค์จึงก้าวเข้าไปข้างในทันทีโดยไม่รอให้เชิญซ้ำ หลังจากถอดรองเท้าแล้วเขาก็หยุดยืนมองคนที่กำลังปิดประตูด้วยแววตาคลางแคลงไม่หาย

ชายแปลกหน้าที่เป็นคนเปิดประตูให้หันกลับมา และดูเหมือนจะอ่านแววตาของณรงค์ออก จึงยิ้มมุมปากและผายมือไปทางประตูห้องนอน “อยู่ในนั้นครับ พอดีวันนี้เขาหลับๆ ตื่นๆ ทั้งวัน ไม่แน่ตอนนี้อาจจะตื่นแล้วเพราะเสียงกริ่งของคุณเมื่อกี้ก็ได้”

พอพูดยาวขึ้น ณรงค์ก็จับได้ถึงสำเนียงที่แปร่งเล็กน้อยเหมือนคนพูดไม่ค่อยชินกับการใช้ภาษาไทย และเมื่อมองดีๆ เขาก็เห็นว่านัยน์ตาของคนพูดเป็นสีน้ำตาลอมเทาจางๆ ทั้งที่ผมสีดำ แต่ตอนนี้เขาไม่คิดจะสนใจหนุ่มแปลกหน้าคนนี้มากไปกว่าคนที่นอนอยู่ในห้องอีกแล้ว

เมื่อเปิดประตูห้องนอนออก ณรงค์ก็พบว่าคนที่อยากเจอทั้งวันและทำให้เป็นห่วงแทบบ้ากำลังพยายามยันตัวขึ้นนั่งอยู่บนเตียง ผิวหน้าที่ปกติเป็นสีงาช้างแดงเรื่อและนัยน์ตาฉ่ำปรอย ส่วนผมสีน้ำตาลอ่อนหยักศกก็ยุ่งเหยิงไปหมด

“James? Who was it? ...คุณมาทำไม?”

ตอนแรกหนุ่มลูกครึ่งถามด้วยภาษาอังกฤษ แต่พอเห็นว่าใครคือคนที่เดินเข้ามาในห้อง ใบหน้าของคนป่วยก็ดูจะตึงขึ้นมาทันที และทำเอาคนที่ได้เห็นพาลหางคิ้วกระตุกไปด้วย

“ทำไมเหรอ? นี่คุณเห็นผมเป็นหัวหลักหัวตอหรือไงถึงไม่คิดจะบอกสักคำว่าป่วยน่ะ!?”

ชายหนุ่มก้าวเร็วๆ เข้าไปนั่งลงบนเตียงแล้วยื่นมือแตะหน้าผากของไรอันโดยไม่สนใจคนอีกคนที่เดินตามเข้ามาในห้อง พอหลังมือสัมผัสกับอุณหภูมิที่สูงจนน่าตกใจ พลันความห่วงหาที่ผสานกับความไม่พอใจก็ยิ่งทวีขึ้นจนเป็นความโกรธ และนั่นทำให้เขาสะบัดหน้าขวับไปทางคนที่ยืนอยู่ตรงประตูทันทีอย่างหาเรื่อง ทำเอาคนถูกจ้องต้องยกมือสองข้างขึ้นพลางทำหน้าไร้เดียงสาว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้นกับอาการของคนบนเตียง

ไรอันรีบดึงแขนเสื้อณรงค์ไว้ก่อนจะทันลุกแล้วหันไปเค้นเสียงถามผู้ชายตัวสูงตรงประตู “You moron! why the hell did you let him in!?”

คนถูกถามยักไหล่โดยไม่ลดมือทั้งสองข้างลง “How would I know? Besides, you were too sick to answer the door yourself anyway.”

ทั้งสองเถียงกันต่ออีก แต่ณรงค์ไม่ได้สนใจแล้วว่าไรอันกับชายแปลกหน้าพูดอะไรกัน เพราะตอนนี้เขามีคำถามที่จำเป็นต้องได้รับการชี้แจงอย่างเร่งด่วน

“ไรอัน หมอนี่เป็นใคร?”

คำถามที่แทรกขึ้นช่วยยับยั้งการถกเถียงได้เป็นอย่างดี ไรอันสบนัยน์ตาที่เป็นประกายวาวของณรงค์แล้วก็หลบตาไปทางอื่น “....เขาชื่อเจมส์ เป็นลูกพี่ลูกน้องผม เจมส์ นี่ณรงค์”

ไรอันแนะนำทั้งสองให้รู้จักกันแบบส่งๆ พลางทรุดตัวลงนอนตะแคงหันหลัง หนุ่มลูกครึ่งไอโขลกก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นคลุมถึงไหล่ ณรงค์จึงรีบก้มลงถามอย่างเป็นห่วง

“คุณเจ็บคอเหรอ? เป็นอะไรมากหรือเปล่า?”

คนป่วยนิ่งไปครู่หนึ่ง “...ผมหิวน้ำ”

เสียงตอบกลับเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่ณรงค์ก็รีบลุกพรวดเข้าไปในครัวแล้วเทน้ำอุ่นใส่แก้วมาให้ ชายหนุ่มช่วยประคองไรอันขึ้นนั่งแล้วเอาแก้วน้ำค่อยๆ จ่อริมฝีปาก ฝ่ายคนป่วยเหลือบมองเขาสลับกับชายแปลกหน้านิดหนึ่งก่อนจะยอมให้ป้อนน้ำแต่โดยดี พอดื่มน้ำหมดแก้วแล้วก็กระถดตัวลงใต้ผ้าห่มอีกครั้งและหลับตาลง

ณรงค์มองท่าทางอ่อนเพลียของคนบนเตียงแล้วก็ใช้นิ้วเสยผมสีน้ำตาลอ่อนที่ยุ่งเหยิงให้ ความไม่พอใจเริ่มลดเลือนเพราะภาพที่ได้เห็น แต่แล้วเสียงกระแอมก็เรียกความสนใจเขาไปยังคนที่ยืนกอดอกอยู่ตรงมุมห้อง

พอเห็นสายตาของณรงค์ที่บ่งบอกชัดเจนว่ายังไม่คลายความระแวง เจมส์ก็ยิ้มแล้วค่อยๆ ลดมือลงล้วงกระเป๋ากางเกงไว้

“ไม่ต้องทำสายตาแบบนั้นหรอกน่า ผมกับไรอันเป็นญาติกันจริงๆ แม่ผมเป็นลูกพี่ลูกน้องกับแม่เขา แล้วตอนเด็กเราก็ไปโรงเรียนประจำที่เดียวกันด้วย”

“โรงเรียนประจำ?”

คำอธิบายนั้นทำให้ณรงค์เลิกคิ้ว ชายหนุ่มเหลือบตาลงมองคนบนเตียงราวจะขอคำยืนยัน แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะหลับไปเสียแล้ว

จะว่าไป...ไรอันแทบไม่เคยเล่าเรื่องสมัยเด็กให้ฟังด้วยซ้ำ...

เจมส์จับความประหลาดใจจากน้ำเสียงและแววตาของณรงค์ได้ และแม้ว่าเมื่อครู่นี้ญาติผู้น้องของเขาจะไม่ได้อธิบายละเอียดว่าณรงค์เป็นใครมาจากไหน แต่จากท่าทางที่ทั้งสองแสดงออก เขาก็สรุปเองได้โดยไม่ต้องถาม

โดยเฉพาะเหตุผลว่าทำไมไรอันถึงไม่บอกว่าตัวเองไม่สบายให้ฝ่ายนั้นฟัง...

“นอกจากแม่ของพวกเราจะเป็นญาติกัน พ่อของไรอันกับพ่อผมก็เป็นหุ้นส่วนธุรกิจกันด้วย ตอนพวกเรายังเด็กพวกเขาต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ ก็เลยส่งพวกเราไปโรงเรียนประจำจะได้ไม่ต้องกังวล จะว่าไปผมก็เหมือนเป็นพี่ชายสำหรับเขา เพราะตอนเด็กไรอันได้ใช้เวลากับผมมากกว่ากับพ่อแม่อีก”

เป็นครั้งแรกที่ณรงค์ได้รับฟังเรื่องราวที่ไรอันไม่เคยเล่าให้ฟังจากปากคนอื่น ดูเหมือนการที่หนุ่มลูกครึ่งมุ่งมั่นกับหน้าที่ที่เมืองไทยมาก ส่วนหนึ่งก็เพราะผูกตัวเองไว้กับความคาดหวังของครอบครัวนี่เอง

เขาค่อยรู้สึกวางใจญาติผู้พี่ของไรอันขึ้นมาเล็กน้อย แม้จะยังไม่สนิทใจด้วยเสียทีเดียว

“แล้วทำไมผมถึงเพิ่งได้เจอคุณวันนี้ล่ะ? หรือปกติคุณไม่ได้อยู่เมืองไทย?”

ณรงค์หันไปถามต่อโดยที่ยังไม่ยอมลุกห่างจากคนป่วย ส่วนมือข้างที่เพิ่งสางผมให้ไรอันก็ยังวางแปะอยู่บนหมอนไม่ห่างจากเจ้าตัว ราวกับถ้ารู้สึกตัวอีกเมื่อไหร่ก็พร้อมจะช่วยประคองทันที

“ปกติผมอยู่ช่วยงานพ่อที่เมลเบิร์น แต่อาทิตย์นี้มีงานต้องมาติดต่อที่กรุงเทพก็เลยแวะมาเยี่ยมหมอนี่ซะหน่อย ดูเหมือนจะไม่สบายตั้งแต่ก่อนเจอผมแล้ว เมื่อเช้าก็เลยพาไปหาหมอจนได้ แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่ยอมกินยาเลย”

“James, shut your fucking mouth already.”

เสียงของคนพูดแหบแห้ง แต่ก็ดังพอจะดึงความสนใจของผู้ชายสองคนที่กำลังคุยกัน ณรงค์จึงก้มลงถาม “คุณยังไม่หลับเหรอ?”

ไรอันหรี่ตาขึ้นมองคนถาม หัวคิ้วมุ่นเข้าหากันจนณรงค์อยากจะช่วยเอานิ้วคลายออกให้เสียเหลือเกิน “How could I when you guys keep chatting? If you two wanna talk, go do it outside.”

หนุ่มลูกครึ่งตอบแล้วก็หลับตาลงอย่างเดิม ณรงค์จึงหันไปสบตากับเจมส์ พอเห็นหนุ่มรุ่นพี่ขยิบตาแล้วใช้นิ้วโป้งชี้ไปทางประตู เขาจึงต้องยอมผละจากเตียงโดยไม่มีทางเลือก

หลังจากทั้งคู่ออกมาจากห้องนอน เจมส์ก็เดินตรงเข้าไปในครัวแล้วหยิบขวดไวน์แดงออกจากตู้เย็น ชายหนุ่มหันมาทำท่าชูขวดเหมือนจะถามณรงค์ว่าจะดื่มด้วยไหม คนถูกชวนจึงส่ายหน้า

ณรงค์มองดูหนุ่มรุ่นพี่เปิดลิ้นชักหาที่เปิดขวดไวน์อย่างคุ้นเคยราวกับมาที่นี่จนชิน แล้วก็ได้แต่ระงับความหึงหวงเอาที่ค่อยๆ ผุดพลุ่งขึ้นมาเอาไว้

ใจเย็นน่ะ เขาก็บอกแล้วนี่ว่าเป็นญาติกับไรอัน ที่เจ้าตัวเคยบอกว่าไม่เคยให้ใครเข้ามาในห้องคงจะหมายถึงคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนมากกว่า...

ถึงแม้จะพยายามปลอบตัวเองเช่นนั้น แต่ณรงค์ก็ยังพบว่าตัวเองใจไม่สงบอยู่ดี จึงต้องหาทางเบนความสนใจด้วยการชวนญาติผู้พี่ของไรอันคุย “คุณก็เป็นลูกครึ่งเหมือนไรอันเหรอ? ดูหน้าตาคุณออกไปทางเอเชียมากกว่านะ”

เจมส์ได้ยินคำถามก็กลอกตา ชายหนุ่มยกแก้วไวน์ขึ้นจิบก่อนจะอมไว้ในกระพุ้งแก้มพลางพินิจรสชาติครู่หนึ่ง หลังจากกลืนไวน์ลงคอแล้วจึงค่อยหันมาตอบ

“แม่ผมน่ะคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่พ่อผมเป็นลูกครึ่งไต้หวันออสเตรเลีย เชื้อเอเชียผมก็เลยค่อนข้างแรง ไม่เหมือนไรอันที่ฝั่งพ่อเขาจะผมสีทองตาสีอำพัน เพราะงั้นก็เลยได้เชื้อทางโน้นมาเยอะอย่างที่เห็น”

ณรงค์ฟังอย่างสนใจ เพราะจะว่าไปเขาก็ยังไม่เคยเห็นแม้แต่รูปพ่อกับแม่ของไรอันด้วยซ้ำ

“ไรอันเขาเป็นคนไม่ค่อยชอบแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น ใช่ไหมครับ?”

ชายหนุ่มถามหลังจากครุ่นคิดวนเวียนไปมา เขาพยายามจะหาเหตุผลมาอธิบายการกระทำของไรอันเพื่อให้ตัวเองโกรธน้อยลง และหากพิจารณาจากนิสัยแล้ว นี่ก็เป็นเพียงคำอธิบายเดียวที่น่าจะเข้าเค้าที่สุด

เจมส์ซึ่งเพิ่งจิบไวน์ไปอีกอึกพยักหน้า “โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนใกล้ชิด สำหรับผมถือเป็นข้อยกเว้นเพราะว่าเคยไปโรงเรียนประจำด้วยกัน เวลาเขาไม่สบายทีไรผมก็ต้องคอยดูแล แต่ไรอันจะกำชับผมทุกครั้งว่าห้ามบอกพ่อกับแม่ว่าเจ้าตัวไม่สบายเด็ดขาด ถ้าระหว่างที่ป่วยแล้วพ่อหรือแม่โทรหา หมอนั่นก็จะฝืนทำเสียงร่าเริงใส่ตลอด ดังนั้นก็มองในแง่ดีไว้เถอะ การที่ไรอันไม่อยากให้คุณรู้ว่าป่วยก็เท่ากับยกให้คุณเป็นคนสำคัญนะ”

เจมส์พูดยาวเหยียดก่อนจะกระดกไวน์ที่เหลือขึ้นดื่มจนหมดแก้ว แต่ณรงค์กลับไม่แน่ใจนักว่าไรอันแคร์เขามากขนาดนั้นจริงๆ แต่ที่รู้แน่ๆ โดยไม่ต้องให้ใครบอก ก็คือเขาไม่ชอบการถูกปิดบังแบบนี้เลย

“ผมไม่อยากมารู้ความจริงเอาทีหลังว่าเขาไม่สบายหลังจากที่หายแล้วหรอกนะ”

ในที่สุดณรงค์ก็พูดออกมาพลางใช้มือหนึ่งเสยผมด้วยความอัดอั้นตันใจ พาลก็ให้ขัดเคืองกับนิสัยของไรอันที่ปกปิดเรื่องสำคัญแบบนี้ต่อให้เพราะมีเจตนาดีก็ตาม และที่ก่อนหน้านี้เขาเคยรู้สึกเหมือนความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยังขาดบางสิ่งบางอย่างไป ตอนนี้ณรงค์ก็รู้แล้วว่าสิ่งที่ขาดหายนั้นคืออะไร

พวกเขายังไม่เคยได้อยู่ด้วยกันในเวลาที่อีกฝ่ายลำบากนี่เอง

เจมส์มองสีหน้าท่าทางของหนุ่มรุ่นน้องแล้วก็ส่ายหน้า ชายหนุ่มหันไปล้างแก้วไวน์แล้วคว่ำลงบนตะแกรงก่อนจะหันกลับมาหา

“หมอนั่นก็มีนิสัยเสียที่แก้ยากแบบนี้แหละ ไหนๆ คุณมาแล้วก็ช่วยดูแลให้หน่อยก็แล้วกัน ผมละเบื่อจะจู้จี้ให้กินยาเต็มที แล้วก็ขอเบอร์คุณด้วย เผื่อมีเรื่องอะไรผมจะได้ติดต่อได้ เพราะเดี๋ยวผมต้องไปทำธุระต่อ”

ณรงค์ไม่ปฏิเสธและยอมแลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์แต่โดยดี ขณะที่เดินไปที่หน้าประตูห้องด้วยกัน จู่ๆ เจมส์ก็หัวเราะหึๆ เหมือนนึกอะไรขึ้นได้

“จริงสิ ผมเพิ่งนึกได้ว่าคนอย่างไรอันคงไม่ค่อยเล่าเรื่องตัวเองให้ใครฟังหรอก แต่วีรกรรมสมัยเด็กของหมอนั่นมีเยอะนะ ลองขอให้เล่าให้ฟังดูสิ แล้วคุณจะรู้จักหมอนั่นเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลย”

เจมส์พูดก่อนจะตบบ่าณรงค์แล้วเดินออกจากห้อง ส่วนณรงค์ได้แต่ยืนทำหน้างงๆ อยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็รีบเดินกลับเข้าไปดูอาการคนป่วยในห้องนอน ดูเหมือนไรอันจะหลับสนิทแล้วเพราะไม่แม้แต่จะเหลือบตาขึ้นมาดูตอนที่เขาเปิดประตูเข้าไป

เนื่องจากไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามาเปลี่ยนเพราะขับรถตรงมาจากออฟฟิศ ณรงค์จึงตัดสินใจว่าจะอาศัยช่วงที่ไรอันหลับรีบกลับไปจัดเสื้อผ้า เพราะอีกฝ่ายไข้ขึ้นสูงเสียขนาดนี้ วันหยุดเสาร์อาทิตย์เขาก็คงไม่ได้พาไปไหนนอกจากคอยดูแลให้หายไข้อยู่ดี

โชคดีที่การจราจรตอนค่ำคลายความหนาแน่นลงจากเมื่อเย็นพอสมควร หลังกลับถึงห้องและจัดเสื้อผ้าสำหรับไปเฝ้าไข้เสร็จ ณรงค์ก็แวะที่ร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่ระหว่างทางเพื่อซื้ออาหาร นม ผลไม้ รวมทั้งขนมที่คิดว่าคนป่วยน่าจะพอกินได้อย่างเยลลี่หรือโยเกิร์ตไปด้วย หลังจากเตรียมการครบแล้วก็รีบขับรถไปที่คอนโดของไรอันทันทีโดยไม่แวะที่ไหนอีก

เมื่อณรงค์กลับมาถึงคอนโดของไรอันอีกทีก็ค่อนข้างดึกมากแล้ว เขารีบเอาของที่ซื้อมาจัดใส่ตู้เย็นซึ่งว่างเปล่า จากนั้นก็เข้าไปดูไรอันในห้องนอนว่าตื่นหรือยัง พอลองแตะมือลงบนต้นคอคนป่วยที่ยังหลับสนิท ณรงค์ก็แทบจะชักมือหนีเพราะความร้อนที่ได้สัมผัส

“ไรอัน ไรอัน! รู้สึกตัวหรือเปล่า? คุณตัวร้อนมากเลยนะ เดี๋ยวผมเช็ดตัวให้ก่อนค่อยนอนต่อดีกว่า”

หนุ่มลูกครึ่งปรือตาขึ้นอย่างงัวเงียเมื่อถูกปลุก เนื่องจากในห้องถูกปิดไฟมืดยกเว้นโคมไฟบนหัวเตียง แถมยังเป็นด้านที่พอเขาลืมตาแล้วจะส่องเข้าตาพอดี เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจึงหยีตามองณรงค์เหมือนยังไม่ค่อยรู้สึกตัว

“หือม์? …What?”

คนป่วยถามเสียงแห้งเหมือนได้ยินไม่ถนัด ณรงค์จึงพูดช้าๆ ชัดๆ อีกที “เช็ดตัวไง เช็ด.ตัว. รอผมแป๊บนึงนะ”

ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นหาผ้าขนหนูผืนเล็กแล้วเอาไปรองน้ำก๊อกในห้องน้ำ โชคดีว่าห้องนี้มีแม่บ้านมาคอยทำความสะอาดเป็นประจำ สิ่งของต่างๆ จึงถูกจัดวางไว้ค่อนข้างเป็นระเบียบและหาง่าย พอเดินกลับไปที่เตียง ณรงค์ก็พยุงไรอันให้ลุกนั่งก่อนจะถอดเสื้อกับกางเกงออกให้ จากนั้นก็เริ่มเช็ดตัวโดยเอาผ้าห่มคลุมร่างกายส่วนที่ยังไม่เช็ดเอาไว้

เนื่องจากอุณหภูมิร่างกายของไรอันสูงจัดมาก ณรงค์จึงต้องเอาผ้าไปชุบน้ำและช่วยเช็ดตัวให้หลายครั้งอยู่เป็นชั่วโมง จนกระทั่งไข้เริ่มจะลดลงบ้างแล้ว เขาจึงค่อยเอาเสื้อผ้าชุดใหม่ให้หนุ่มลูกครึ่งใส่เปลี่ยน

“....ขอบคุณ...”

ไรอันเอ่ยเสียงเบาหวิวขณะที่เอนหลังลงนอน ณรงค์ที่กำลังดึงผ้าห่มขึ้นให้จึงยิ้มตอบ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเจมส์บอกไว้เมื่อเย็นว่าไรอันยังไม่ได้กินยาเลย

“เดี๋ยวผมมานะ”

ณรงค์รีบไปที่ห้องครัวเพราะจำได้ว่าเห็นถุงใส่ยาของโรงพยาบาลวางอยู่บนโต๊ะ พอเห็นยาลดไข้ เขาก็หยิบออกมาพร้อมกับเทน้ำอุ่นใส่แก้วใบใหญ่และกลับเข้าไปในห้องนอน

“ถึงจะเช็ดตัวก็แค่ช่วยลดไข้ได้ระดับนึง ยังไงกินยาที่หมอให้มาด้วยดีกว่า ผมเอามาให้แล้ว”

ณรงค์นั่งลงบนเตียงแล้วยื่นยากับแก้วน้ำให้ แต่ปฏิกิริยาที่เขาไม่คาดคิดคือไรอันเบ้ปากแล้วก็ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมจนมิดหัว

“ผมไม่กิน”

คราวนี้คนเฝ้าไข้งงเป็นไก่ตาแตก พลันก็นึกถึงคำพูดของเจมส์เมื่อตอนเย็นขึ้นมา

“...ผมละเบื่อจะจู้จี้ให้กินยาเต็มที”

หมายความว่าเป็นคนกินยายากล่ะสิ แต่เขาไม่ยอมให้ไรอันนอนทั้งที่ไม่กินยาหรอกนะ “รัก คุณอย่าดื้อสิ อุตส่าห์ไปหาหมอมาแล้วทั้งที กินยาแล้วคุณจะได้นอนสบายขึ้นไง”

ณรงค์พยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบ รวมทั้งเรียกชื่อเล่นที่ไม่ค่อยได้ใช้ด้วย เพราะพอจะเข้าใจว่าคนป่วยมักจะโยเยไม่ว่าจะวัยไหน แต่ไรอันกลับตอบอย่างหงุดหงิดโดยไม่ดึงผ้าห่มลง “ผมบอกว่าไม่กินก็คือไม่กิน! เอากลับไปเก็บไว้ที่เดิมนั่นแหละ!!”

คนเฝ้าไข้ได้ฟังก็ชักจะโมโหขึ้นมาบ้าง ถ้าหากเป็นเจ้าน้องๆ ฝาแฝดที่บ้านเขายังพอจะขู่ได้ แต่กับไรอันที่ไม่ได้กลัวเขาสักนิด เขาไม่มีวิธีไหนจะบังคับให้ยอมกินยาได้เลย

“ถ้าไม่กินยาเดี๋ยวคุณก็ไม่หายสิ” ณรงค์เริ่มเปลี่ยนมาใช้เสียงแข็ง

“เป็นแค่นี้เดี๋ยวก็หาย แค่ไข้ไม่ใช่มะเร็งสักหน่อย!!” แต่ไรอันก็ยังเถียงไม่เลิก

อาการดื้อแพ่งของหนุ่มลูกครึ่งอาจน่าเอ็นดูในสถานการณ์อื่น แต่ตอนนี้ณรงค์ไม่ชอบใจนักที่คนป่วยไม่ยอมกินยาลูกเดียว และความอัดอั้นที่ก่อตัวมาตั้งแต่เมื่อเย็นก็ดูจะพุ่งเกินขีดเอาตอนนี้เอง

“นี่ผมพูดยังไงคุณก็จะไม่ยอมกินยาดีๆ ใช่มั้ย?”

“ก็บอกแล้วไงว่า...อื้อ!!!!”

ยังเถียงไม่ทันจบประโยค หนุ่มลูกครึ่งก็เบิกตากว้างเมื่อจู่ๆ ณรงค์ก็กระชากผ้าห่มที่เขาดึงขึ้นคลุมศีรษะไว้แล้วก้มลงมาปิดปาก และที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือในปากณรงค์มีเม็ดยาที่เขาแสนเกลียดอยู่ด้วย!!

“อึ๊ก!! อื้อ!! อื้อ!!!”

ไรอันทั้งเตะทั้งผลักคนที่ดึงดันใช้กำลังให้กินยาเป็นพัลวัน แต่ความที่ร่างกายอ่อนแอจนแทบไม่มีเรี่ยวแรง ประกอบกับไม่ทันได้ปิดปากไว้แต่แรก เม็ดยาในปากณรงค์จึงถูกส่งต่อให้เขาโดยไม่ยากเย็น ถึงแม้ดูเหมือนคนป้อนเองก็จะได้ลิ้มรสยาไปด้วยเกือบครึ่งก็ตาม

“แค่ก! แค่กๆๆ!!”

พอริมฝีปากเป็นอิสระ ไรอันก็ไอโขลกเพราะหายใจไม่ทันจนหน้าแดง ณรงค์จึงรีบหยิบแก้วน้ำส่งให้ดื่ม กระนั้นคนป่วยก็ยังไออีกหลายครั้งกว่าจะล้มลงนอนในที่สุดด้วยความเหนื่อยอ่อน เม็ดเหงื่อบางๆ ผุดพรายตามไรผมและซอกคอที่โผล่พ้นคอเสื้อ

ณรงค์ดื่มน้ำที่เหลืออยู่ก้นแก้วเพื่อล้างรสขมออกจากลิ้น แต่พอเอื้อมมือไปวางแก้วน้ำบนหัวเตียงและเหลือบตาลงอีกที ก็พบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่ตัดพ้ออย่างรุนแรง แถมยังฉ่ำเพราะน้ำตาที่เอ่อคลอจนทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้ร้ายที่เพิ่งรังแกคนไม่มีทางสู้

แถมดันเป็นแฟนของเขาเองเสียด้วย

“รัก...ผม เอ่อ....”

“Go fuck yourself! I hate you!!”

หนุ่มลูกครึ่งตะแคงหนีเขาแล้วก็ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมจนถึงไหล่ เสียงสูดน้ำมูกกับไหล่ที่สั่นยิ่งทำให้ณรงค์รู้สึกผิดมากเข้าไปอีก ชายหนุ่มเอื้อมมือไปแตะบ่าไรอันแต่ก็ถูกเบี่ยงตัวหนี สุดท้ายเลยต้องขยับเข้าไปนอนตะแคงแล้วโอบอีกฝ่ายไว้จากด้านหลัง

“ขอโทษ ผมขอโทษ จะให้พูดขอโทษสักกี่ครั้งก็ได้ แต่ผมอยากให้คุณหายเร็วๆ นี่นา ยกโทษให้ผมเถอะนะ”

ณรงค์พูดพลางใช้มือถูต้นแขนของไรอันผ่านผ้าห่มแรงๆ เพื่อให้ความอบอุ่น ก่อนจะจูบลงบนเรือนผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อนที่ยุ่งเหยิง ผมที่ชื้นนิดๆ ทำให้เขารู้ว่าไรอันเริ่มเหงื่อออกแล้ว ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีเพราะแปลว่าไข้เริ่มลดลง

“I hate you.”

ไรอันยังยืนยันด้วยน้ำเสียงที่ตอกย้ำให้คนฟังรู้สึกผิดได้เท่าครั้งแรก ณรงค์จึงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ เพราะเขาก็ทำตัวให้น่ารังเกียจจริงๆ

อยากเป็นพระเอกดีนัก...เป็นไงล่ะทีนี้...

“…แต่ผมรักคุณนะ”

เสียงสูดน้ำมูกจากคนที่นอนหันหลังให้ยังดังอยู่ แต่ไรอันไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากดึงผ้าห่มให้กระชับรอบตัวมากขึ้น และณรงค์ก็รู้สึกได้ว่าไหล่ที่แข็งเกร็งของคนในอ้อมกอดเริ่มคลายลงนิดหน่อย

ซึ่งก็ยังดีกว่าขยับหนีเขาออกไปอีก...

รอยยิ้มบนริมฝีปากของณรงค์หยักลึกมากขึ้น “ผมรักคุณนะ ไรอัน เด็กดี เมื่อกี้ผมขอโทษ เราดีกันเถอะนะ”

ณรงค์พูดปลอบอีก เขารออย่างอดทนให้ไรอันยอมยกโทษให้ และครู่หนึ่งก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายใช้ปลายเท้าสะกิดเท้าเขา แต่นอกจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย

แม้จะไม่ได้ยินเป็นคำพูด แต่การแสดงออกเล็กๆ น้อยๆ นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ณรงค์รู้ว่านั่นคือการตอบรับของไรอันแล้ว ชายหนุ่มจึงผ่อนลมหายใจยาวอย่างโล่งอก จากนั้นก็รั้งเอวอีกฝ่ายให้เอนมาใกล้มากขึ้นแล้วหลับตาลง

ไม่ยอมพูด แต่นี่คือวิธีตอบรับของคุณสินะ ก็ได้...ให้นี่เป็นโค้ดลับของเราสองคนก็แล้วกัน...

“ผมรักคุณนะ”


++------++


เช้าวันต่อมา เมื่อณรงค์รู้สึกตัวตื่นอีกครั้ง แสงอาทิตย์ภายนอกที่สาดฉายเข้ามาทางหน้าต่างก็บอกให้รู้ว่าเป็นเวลาสายแล้ว แต่ที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่าก็คือคนที่นอนกอดมาทั้งคืนหายไปจากเตียง!

“ไรอัน? คุณอยู่ไหนน่ะ!?”

ชายหนุ่มรีบลุกออกมาจากห้องนอน และพบว่าเจ้าของห้องกำลังทำอาหารอยู่หน้าเตาไฟฟ้าในครัว กลิ่นไข่กับแฮมที่อยู่ในกระทะคนละใบหอมฉุยไปทั้งครัว

พอได้เห็นกับตาว่าไรอันไม่ได้หายไปไหน ณรงค์ก็ค่อยโล่งอก แต่ยังไม่ทันจะเดินเข้าไปหา เจ้าของห้องก็พูดโดยไม่หันกลับมามอง

“ผมกำลังทำบรันช์ให้เพราะสายแล้ว คุณไปล้างหน้าแปรงฟันให้เสร็จก่อนค่อยมากินด้วยกัน”

หลังจากตักแฮมปิ้งกับไข่ลวกขึ้นจากกระทะคนละใบ เจ้าของห้องก็หันไปเปิดตู้ไมโครเวฟที่ส่งเสียงร้องหลังครบเวลา ณรงค์เห็นว่าหากเสนอตัวช่วยอาจจะเกะกะจึงถอยกลับไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องตามที่ถูกบอก เมื่อเดินออกมาอีกครั้ง เขาก็พบอาหารเช้าสองชุดวางอยู่บนโต๊ะแล้ว แต่เพราะหน้าตาที่ประหลาดไม่เคยเห็น เนื่องจากในจานมีขนมปังปิ้งที่โปะด้วยแฮมและไข่ลวก รวมทั้งมีน้ำซอสสีเหลืองอ่อนราดอยู่ ณรงค์จึงถามอย่างสงสัย

“นี่อะไรน่ะ?”

พอรู้ว่าณรงค์ไม่รู้จักมื้อเช้าที่เขาทำให้ ไรอันก็ยิ้มอย่างภูมิใจนิดๆ “เอ้ก เบเนดิคท์ เป็นมื้อเช้าที่ผมทำกินเองบ่อยเพราะอิ่มแล้วก็ง่ายดี ของคุณผมเพิ่มแฮมกับไข่ให้เพราะคงหิวมากกว่าผม ยังไงอร่อยไม่อร่อยก็บอกด้วยล่ะ”

ไรอันหันไปหยิบหม้อกาแฟมาเทลงในถ้วยสองใบบนโต๊ะ จากนั้นก็นั่งลงทานมื้อเช้าพร้อมกับเขา และถึงแม้ณรงค์จะรู้สึกว่าซอสที่ราดไข่กับแฮมจะรสชาติแปลกๆ เพราะเปรี้ยวๆ เค็มๆ มันๆ ไม่คุ้นลิ้น แต่เมื่อตักทุกอย่างกินพร้อมกันแล้วกลับรสชาติกลมกล่อมอย่างประหลาด

“อร่อยดีนะ ผมชอบ”

ณรงค์ชมอย่างจริงใจ และเห็นคนตรงหน้ายิ้มก่อนจะตักของตัวเองขึ้นกินบ้าง ใบหน้าของหนุ่มลูกครึ่งยังเรื่อสีเลือดฝาดเล็กน้อยอย่างคนไม่สบาย แต่ดูท่าทางมีเรี่ยวมีแรงมากขึ้น ไม่ระโหยโรงแรงเหมือนเมื่อวานนี้แล้ว

“คุณกินยาแล้วไปนอนต่อเถอะ เดี๋ยวตรงนี้ผมล้างให้เอง”

ณรงค์บอกเมื่อเห็นว่าไรอันกินมื้อเช้าหมดแล้ว และคนฟังก็ทำหน้าเบ้ทันที ชายหนุ่มจึงหัวเราะแล้วใช้เท้าเขี่ยเท้าอีกฝ่ายใต้โต๊ะเบาๆ เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบตาขึ้นสบตากับเขา จากนั้นก็หันไปทางอื่นโดยที่ริมฝีปากยังยื่นนิดๆ อยู่

อย่างน้อยก็ไม่ได้เถียงเสียงแข็งว่า ‘จะไม่กิน’ อีกแล้วแหละนะ...สงสัยคงไม่อยากโดนป้อนยาแบบเมื่อคืนล่ะสิ

ชายหนุ่มยิ้มพลางลุกไปหยิบยาจากในตู้เย็นมาเทออกนับและส่งให้คนป่วย จากนั้นก็ยืนดูไรอันฝืนกินยาทั้งหมดและดื่มน้ำตามจนพอใจ

“เก่งมาก จริงๆ คุณก็กินยาได้นี่นา ไม่เห็นต้องเกเรเหมือนเมื่อคืนนี้สักหน่อย”

ณรงค์ชมพลางตบบ่าไรอันเบาๆ ส่วนคนถูกชมเพียงยกหลังมือขึ้นปาดคราบน้ำจากริมฝีปากโดยไม่ตอบหรือสบตากลับ แต่พอณรงค์จะหันไปล้างจานในอ่างก็ได้ยินเสียงจากคนที่กำลังลุกขึ้น

“ล้างจานเสร็จเมื่อไหร่มานอนเป็นเพื่อนผมด้วย”

ณรงค์หันกลับไปด้านหลัง ทันเห็นเพียงแผ่นหลังของไรอันแว้บๆ เพราะเจ้าตัวเดินเข้าห้องนอนไปเสียก่อน ทว่าคำสั่งนั่นก็ทำให้เขายิ้มแก้มแทบปริ พอล้างจานเสร็จแล้วเลยรีบไปบ้วนปากในห้องน้ำก่อนจะเดินกลับไปที่เตียง

ไรอันขยับนิดหนึ่งเพื่อให้ณรงค์สามารถนอนบนเตียงด้วยได้สบายขึ้น จากนั้นก็ตะแคงมาหาแล้วเอาแขนข้างหนึ่งมาพาดไปบนอกเขา ณรงค์จึงหันไปจูบหน้าผากอีกฝ่ายเบาๆ แล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาจนถึงไหล่ให้

ตอนที่ไข้ขึ้นสูงมากๆ จะงอแงจนน่าตี แต่พอไข้ลดแล้วก็อ้อนเป็นเหมือนกัน...ถ้าอ้อนแบบนี้ได้ตลอดก็ดีสิ...

ณรงค์คิดในใจ แต่ก็รู้ดีว่าคงเป็นไปได้ยากเพราะไรอันเป็นคนรักอิสระและไม่พึ่งใคร แค่การที่ยอมอ่อนให้บ้างตอนป่วยนี่ก็ดีถมถืดแล้ว ดังนั้นเขาก็ควรจะทำใจยอมรับว่านี่เป็นนิสัยที่เขาขอให้เปลี่ยนไม่ได้

"ไข้คุณลดลงจากเมื่อคืนเยอะเหมือนกันนะ”

ณรงค์เอ่ยทัก ไรอันจึงถอนหายใจแล้วหลับตาลง "เวลาผมไม่สบายจะเป็นแบบนี้แหละ วันแรกจะมีไข้สูงมากจนใครๆ ตกใจ แต่พอวันถัดมาจะค่อยๆ ลด พอวันที่สามหรือสี่ก็หายแล้ว”

คนฟังส่งเสียงรับรู้ในคอ ก่อนจะถามต่อด้วยความสงสัย "จะว่าไป ทำไมคุณถึงไม่ชอบกินยาขนาดนั้นด้วยล่ะ?”

ไรอันยักไหล่ "เจมส์บอกคุณแล้วล่ะสิ มันก็เริ่มจากตอนผมเข้าโรงเรียนประจำนั่นแหละ"

"ตอนนั้นทำไมเหรอ?"

ณรงค์ถามอย่างสนใจ ไรอันจึงหดคอนิดหนึ่งเมื่อนึกถึงประสบการณ์วัยเยาว์

"ตอนอยู่โรงเรียนประจำ เวลาไม่สบายผมจะไม่ยอมบอกที่บ้านเพราะไม่อยากให้พ่อกับแม่เป็นห่วง เจมส์เลยเป็นคนเดียวที่คอยดูแล แต่เพราะผมไม่ชอบกินยา พอโดนคะยั้นคะยอมากๆ ก็อาละวาดจนหมอนั่นต้องตามครูมาบังคับ แต่ครูกลับเอาผมไปขังในโรงเก็บของเก่าๆ ที่ทั้งชื้นทั้งมืด แล้วก็ขู่ว่าจะให้นอนในนั้นทั้งคืนถ้ายังไม่เลิกดื้อ จากนั้นมาผมก็เลยยิ่งเกลียดการกินยามากเข้าไปอีกต่อให้มันผ่านมานานแล้ว เรื่องก็มีแค่นี้แหละ”

หนุ่มลูกครึ่งตอบยาวเหยียดก่อนจะเงียบ ณรงค์ฟังแล้วคิดตาม ทำให้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับนิสัยของไรอันเพิ่มขึ้นอีกอย่าง

ถึงแม้จะรักความเป็นส่วนตัวสูง แต่นั่นเป็นเพราะถูกฟูมฟักจากโรงเรียนประจำให้ต้องพึ่งพาตัวเองตั้งแต่เด็ก นอกจากนี้การที่ไม่ชอบทำให้คนสำคัญในครอบครัวเป็นห่วง ก็เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ไม่ต้องกังวลและทุ่มเทให้งานได้เต็มที่ หากจะเรียกว่าเป็นความเห็นแก่ตัว เขาก็คิดว่าพอจะยอมรับความเห็นแก่ตัวแบบนี้ได้

แต่ต้องไม่เอามาใช้กับเขา

“ไรอัน ผมพอจะเข้าใจที่ตอนเด็กคุณไม่อยากให้พ่อกับแม่เป็นห่วงเลยปิดเรื่องที่ไม่สบายนะ แต่กับผมคุณไม่ต้องปิดก็ได้นี่”

ไรอันเงียบไปครู่หนึ่ง "ผมไม่ชอบประกาศว่าตัวเองไม่สบายให้ใครฟัง"

"ผมก็ไม่ได้บอกนี่ว่าให้เที่ยวป่าวประกาศบอกคนอื่น ผมหมายถึงกับผมคนเดียวต่างหาก เมื่อวานคุณโชคดีที่เจมส์พาไปหาหมอ แต่ถ้าเขาไม่อยู่แล้วผมก็ไม่รู้ล่ะ? คุณอาจอาการหนักจนช่วยตัวเองไม่ไหวก็ได้นะ"

หนุ่มลูกครึ่งยักไหล่ "Never happened to me before."

"คุณนี่มันน่า..."

พอโดนตีรวนมากเข้า แม้แต่คนใจเย็นอย่างณรงค์ก็ชักจะมีน้ำโห แต่ยังไม่ทันพูดให้จบประโยค คนป่วยก็ขยับตัวเข้าใกล้แล้วใช้วิธีเดียวกับเขาเมื่อคืนเพื่อให้เงียบ

"อื้อ..."

คราวนี้คนเฝ้าไข้ลืมหมดว่าจะพูดอะไร เพราะริมฝีปากอุ่นที่แนบลงอย่างเหมาะเจาะได้ดูดซับทุกคำพูดและความตั้งใจของเขาไปจนหมด ยิ่งเมื่อปลายลิ้นอุ่นจัดของคนมีไข้แลบออกไล้ปลายลิ้นของณรงค์ เขาก็ได้แต่ยิ่งบดริมฝีปากลงตอบรับและดึงเอวของไรอันเข้าหามากขึ้น

"คุณกำลังป่วย..."

ณรงค์กระซิบเสียงต่ำหลังจากริมฝีปากของทั้งสองผละจากกันอย่างอ้อยอิ่ง แต่มือทั้งสองกลับสอดใต้ชายเสื้อของคนป่วยและลูบไล้ไปบนผิวกายซึ่งทั้งลื่นและอุ่นอย่างเพลินมือ ยิ่งเมื่อได้สบตากับนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่ค่อยๆ ปรือขึ้นมองเขา ชายหนุ่มก็ยิ่งนึกถึงครั้งที่ร่างกายของทั้งสองใกล้ชิดกันใต้สายน้ำ รวมทั้งความเร่าร้อนของการแลกเปลี่ยนความเสน่หาให้กันที่บ้านสวนเมื่อสองเดือนก่อนมากยิ่งขึ้น

หนุ่มลูกครึ่งกระตุกมุมปากยิ้มขณะที่มือสองข้างทาบอยู่บนบ่าณรงค์ แก้มที่เรื่อสีเลือดฝาดด้วยยังไม่หายไข้ยิ่งดูแล้วเชิญชวนให้น่าฝังจมูกลงไปสูดกลิ่นหอมหวานสักหลายๆ ที

“ถูกต้อง ผมกำลังป่วย ดังนั้นคุณก็ควรจะปล่อยให้ผมนอนพักได้แล้ว”

ไรอันเอ่ยก่อนจะพลิกตัวหันหลังและดึงผ้าห่มขึ้น ปล่อยให้ณรงค์ที่ยังไม่หลุดจากห้วงอารมณ์หวามไหวรู้สึกเหมือนโดนทิ้งค้างกลางสะพานสูงอยู่คนเดียว ชายหนุ่มรีบยันตัวขึ้นนั่งแล้วก้มลงมองหนุ่มลูกครึ่งอย่างไม่อยากเชื่อหู

“ตกลงเมื่อกี้คุณแกล้งหยอกผมเล่นเหรอ!?”

“เปล่า แค่รู้สึกว่าคุณชักจะพูดมากจนน่ารำคาญ อีกอย่างคุณก็มองผมเหมือนอยากจูบมาตั้งแต่เช้าแล้วนี่ ผมเลยยอมให้จะได้เลิกจู้จี้กับผมซักที”

ถ้าจะมีใครที่กล้าพูดตรงๆ กับเขาโดยไม่สนใจว่าจะทำร้ายจิตใจหรือเปล่า ไรอันก็คงจะเป็นหนึ่งในอันดับแรกๆ แน่ แต่น่าแปลกที่ขณะทอดสายตามองเสี้ยวหน้าของหนุ่มลูกครึ่งซึ่งหลับตาไปแล้ว ณรงค์กลับไม่รู้สึกโกรธสักนิด แถมยังนึกขำจนต้องหัวเราะออกมาด้วย

ดูท่าต่อให้ทำยังไงผมก็ไม่มีทางชนะคุณจริงๆ สิน่า...

ณรงค์ยกมือขึ้นสางผมที่ยุ่งเหยิงของไรอันออกจากหน้าผากให้ แต่ขณะที่จะชักมือกลับ หนุ่มลูกครึ่งกลับดึงมือเขาไปจับไว้แนบอกทั้งที่ไม่หันกลับมา

“Don’t go anywhere.”

คนถูกสั่งยิ้ม “ผมไม่ไปไหนหรอก คุณนอนพักเถอะ”

ไรอันระบายลมหายใจยาวก่อนจะขยับตัวให้นอนสบายขึ้น ไม่นานเสียงหายใจสม่ำเสมอที่ขึ้นจมูกเบาๆ ก็บอกให้รู้ว่าคนป่วยหลับไปแล้ว ณรงค์เลยต้องหาท่านั่งที่ไม่เมื่อยโดยไม่ทำให้ไรอันตื่น

รอให้หลับอีกหน่อยค่อยลุกไปทำข้าวกลางวันก็แล้วกัน...

ณรงค์ยิ้มพลางนั่งมองคนป่วยที่กำลังหลับสนิท ดูเหมือนไรอันจะไม่แยแสสักนิดว่าการเอาแต่ใจตัวเองจะทำให้เขาไม่สบายตัวแค่ไหน แต่ถ้านี่ช่วยตอกย้ำให้เขาได้รู้สึกถึงการเป็นคนสำคัญของหนุ่มลูกครึ่ง ณรงค์ก็คิดว่าคุ้ม

อย่างน้อยที่สุด...วันนี้เขาก็รู้สึกว่าได้เข้าใกล้รักไปอีกก้าวแล้ว...


++---End One Step Closer---++


A/N: ตอนนี้หลุดออกมาโดยไม่อิงเทศกาลใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากมุกตัน (กร๊ากกก) อ่า...ถ้าพูดให้ดูดีขึ้นหน่อย ก็คืออยากดำเนินเรื่องด้วยโมเม้นท์ที่เน้นถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ของทั้งคู่น่ะค่ะ ดังนั้นเรื่องตอนนี้ก็เลยจะผ่านจากสงกรานต์มาสองเดือนเท่านั้น ถ้ากลัวอารมณ์จะไม่ต่อเนื่องก็แนะนำว่าคลิกกลับไปอ่านตอนก่อนหน้านี้ได้ เพราะช่วงหลังๆ นี้เราก็สปีดการอัพยิ่งกว่าหอยทากพิการซะด้วย ยังไงขอบคุณมากสำหรับทุกคอมเม้นต์ของตอนก่อนหน้านี้ และสำหรับทุกคอมเม้นต์ของตอนนี้ด้วยนะคะ แล้วพบกันในตอนต่อไปค่ะ (ทำไมถึงสังหรณ์ว่าจะต้องถูกถามถึงอีกเรื่องนึงด้วยก็ไม่รู้สิแฮะ)

ปล. สำหรับอาหารเช้าที่ไรอันทำในตอนนี้คือ Egg Benedict เผื่อใครไม่เคยทานหรือไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน ไปคลิกดูได้ที่นี่ค่ะ จริงๆ มันทำได้หลายแบบนะ แล้วแต่ขนมปังที่ใช้ แล้วก็บางคนใช้แซลมอนรมควันแทนแฮมก็มีค่ะ



Create Date : 02 กันยายน 2554
Last Update : 2 กันยายน 2554 22:11:14 น. 21 comments
Counter : 790 Pageviews.

 
Egg Benedict with Hollandaise sauce (อันนี้เติมเอง...) หวานจัง !

ขอบคุณเจ้าของบล็อคสุดน่ารักที่มาตามสัญญาจริงๆค่ะ

ปล. how about P & V ka? eieiei


โดย: sherry IP: 80.254.146.36 วันที่: 2 กันยายน 2554 เวลา:10:40:53 น.  

 
กรี๊ดดดดด ดีใจน้ำตาไหลพรากกก อัพซะที

ชอบเคะนิสัยแบบนี้จริงๆ ให้ตาย!
กลับไปอ่านตอนเก่าๆ ดีกว่า


โดย: Ni IP: 10.0.3.17, 118.174.45.26 วันที่: 2 กันยายน 2554 เวลา:12:13:53 น.  

 
คุณเชอร์รี เอาชื่อเต็มมาให้ซะด้วย ขอบคุณค่ะ ฮ่าๆ ไข่ลวกจานนี้เลยกลายเป็นไข่หวานไปเลยแฮะ

P & V หนีไปเที่ยวไหนกันอยู่ก็ไม่รู้ค่ะ คนเขียนเองก็หาไม่เจอเลย จริงๆ นะเนี่ย

----------

ึคุณ Ni งะ สงสัยจะห่างหายคู่นี้ไปนานเกินไปแล้วสิเรา ^^" ว่าแต่ชอบนิสัยไรอันเหรอคะ งั้นตอนต่อไปต้องให้ดื้อยิ่งๆ กว่านี้อีกสิเนอะ ก๊ากกก


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 2 กันยายน 2554 เวลา:18:55:25 น.  

 
ในที่สุดก็มา~~ TOT เห็นบอกว่าวันสองวันจะมีตอนใหม่ เค้าเลยตั้งใจรออย่างใจจดใจจ่อ...และแล้ว.....

อั้ย~~ หวานมากค่ะ ไรอันอ้อน~ งุ๊งงิ๊ง~

อยากให้พี่รงค์เค้าอยู่ใกล้ก็บอกมาเถอะจะหนูจ้า...อย่ามาซึนเดระ! แหมๆๆๆ มีเอาเท้าสะกิด แอบทำซิกแนวซะน่ารักเชียวนะ อ๊ายยยยยยยยย เขินแบบพิเศษใส่ไข่ ความสัมพันธ์พัฒนาไปอีกขั้นแล้วนะคะพี่รงค์ขา...ดีใจด้วย

ว่าแล้วเราก็มาฉลองความรักก้าวหน้าให้พี่รงค์กับไรอัน ด้วยตอนพิเศษหวานๆของเป้กับวิว... ตอนพิเศษรักร้อนของต้นกับไผ่... และตอนใหม่ๆของคุณเชษฐ์กับภัทรกันดีกว่าเนอะ หึหึหึหึหึ (ทำหน้าเจ้าเล่ห์ประกอบ วะฮ่าฮ่าฮ่า)


โดย: SK26 IP: 110.168.183.210 วันที่: 2 กันยายน 2554 เวลา:22:00:18 น.  

 
เข้ามาอ่านแล้วออกไปแอบกด like ด้วยความมันเขี้ยว


โดย: Moddy IP: 58.11.170.138 วันที่: 2 กันยายน 2554 เวลา:22:36:01 น.  

 
คุณ SK26 อู้ย นี่แค่ไรอันอ้อนนะนี่ มากกว่านี้สงสัยณรงค์กับคนเขียนจะแย่ เพราะต้องตามคู่อื่นมาร่วมฉลอง ก๊ากกกกก

ไรอันมาได้ยินคนทักว่าซึนคงงงไปหลายยก ว่าแต่ตารงค์จะรู้จักภาษาเด็กแนวพอจะไปอธิบายไหมหว่า 5555

----------

คุณมด กด Like แล้วก็ติดตามกันต่อไปด้วยความมันเขี้ยวด้วยนะคะ หุหุ


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 4 กันยายน 2554 เวลา:8:48:24 น.  

 
T_T คุณรินใจร้าย
ปล่อย P&V เข้าป่า หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้
^
^
แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ เข้าใจว่าแฟนคลับคู่อื่นๆก็เยอะอยู่ เอาเป็นว่า "ตัวฉันก็คงต้องรอต่อไป" (ให้อารมณ์เหมือนตัดพ้อสุดๆเลยเนอะ eiei )


โดย: sherry IP: 223.207.90.77 วันที่: 4 กันยายน 2554 เวลา:20:57:50 น.  

 
คุณเชอร์รี แอร๊ยยย์ ปล่อย P&V ไปก่อนค่ะช่วงนี้ คงกำลังจุ๋งจิ๋งหงุงหงิงกันอยู่นั่นแหละ (เป็นยังไงหว่า?) เดี๋ยวองค์เป้พร้อมมาประทับเมื่อไหร่คงได้จูงวิวมาลงให้อ่านกันค่ะ


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 5 กันยายน 2554 เวลา:9:37:47 น.  

 
นับวันรอกันเลยทีเดียวค่ะ..คุณริน :)
^
^
สงสัยต้องพึ่งทางไสยศาสตร์เข้าช่วยด้วยซะแล้ว เริ่มต้นจากจุดธูปบนบานกันเลยเริ่มจากคืนนี้เป็นต้นไป อิอิ

ขอให้เป็นสัปดาห์ที่มีความสุขและราบรื่นทั้งเจ้าของบล็อค & แฟนๆค่ะ !


โดย: sherry IP: 80.254.146.36 วันที่: 5 กันยายน 2554 เวลา:10:09:24 น.  

 
^
^
ขอให้เป็นวีคที่ดีเหมือนกันค่า ว่าแต่เริ่มจุดธูปจากวันนี้เลยเหรอ ระวังต้องซื้อตุนหลายห่อหน่อยนะคะ แหะๆๆ


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 5 กันยายน 2554 เวลา:10:49:36 น.  

 
"ซื้อธูปตุนหลายห่อ"... -_-'



ps. have a good nite ka.


โดย: sherry IP: 49.48.58.67 วันที่: 6 กันยายน 2554 เวลา:21:52:07 น.  

 
Good morning ค่ะคุณเชอร์รี ไอ้ที่บอกต้องจุดธูปหลายห่อนี่เพราะเอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้ บทจะมาก็เขียนออกซะงั้น จะเอาให้ชัวร์ใช้เทียนพรรษาอาจคุ้มที่สุดค่ะ อิอิอิ


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 7 กันยายน 2554 เวลา:8:45:51 น.  

 
ผักกาด เอ๊ย ประกาศ (มุกแป้กจริงๆ) ตอนนี้กำลังเขียนตอนพิเศษของเป้-วิวเพื่อปิดท้ายการปิดเทอมของน้องหว้าอยู่นะคะ เดี๋ยวเขียนเสร็จเมื่อไหร่จะมาแปะให้ค่า ^^


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 8 กันยายน 2554 เวลา:21:24:55 น.  

 
กรีดร้องไปสามตลบ ^^

นี่แค่จุดธูปไปสามห่อเองนะคะ ว่าจะไปหาเทียนพรรษามาจุดวันเสาร์นี้ เย้ เย้! สงสัยคุณรินจะรู้สึกได้ถึงความโหยหา เอ๊ย คนึงหา (หนักเข้าไปอีก -_-")

จะรอ จะรอค่ะ


โดย: sherry IP: 223.207.137.144 วันที่: 9 กันยายน 2554 เวลา:0:00:17 น.  

 
จริงๆ ตอนนี้ก็อยากต่อน้องภัทร + คุณเชษฐ์นะคะ แต่รู้สึกไม่ค่อยมีสมาธิจะเขียนเรื่องที่เนื้อหาต่อๆ กัน เลยต้องเขียนเรื่องแบบที่จบในตอนได้ไปก่อน สงสัยตอนพาคุณเชษฐ์กับน้องภัทรโผล่มาอีกทีคงเขียนถึงตอนจบแล้วไปเลย

ส่วนเป้วิวนี่...สงสัยไม่วันอาทิตย์ก็ต้นสัปดาห์หน้าค่ะ การบ้านสุมเต็มเลยง่ะ ^^"


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 9 กันยายน 2554 เวลา:20:32:15 น.  

 
อ๊ากกกกกกกกก อยากจะบ้าตาย ทำไมตอนนี้อีหนูรักฝรั่งน้อยของพี่ถึงได้น่ารักน่าหยิกขนาดนี้หนอ โอ๊ย.... ตกหลุมรักเข้่าอย่างจัง จากตอนแรกเพิ่งช่วยเฮียแกงอนน้องหนูมาแหม๊บๆ ฮ่าๆๆๆๆ โลเลได้อีกตรู เวลาหนูไม่สบายเนี่ย มันน่ารักน่าฟัดจริงๆเลยน้า.. อยากไปช่วยเฮียกอดด้วยอีกคน ได้มั้ยอ่ะ เหอๆๆๆ

ว่าแต่... เฮียนี่ก็เข้าโหมดหลงเด็กจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วน้า อันตรายแล้วนะเนี่ย หึหึหึ แหม.. มีตาขวางใส่นายเจมส์ซะงั้น ฮิ้วๆๆๆ หน้าไม่อาย เค้าเป็นลูกพี่ลูกน้องกันหรอกตัว


ปล. ไม่อยากซ้ำเติม แต่..... เค้าว่าคุณเชษฐ์ไปเวียดนามนานเกินไปแระ หวังว่าคงไม่ไปหลงคารมหนุ่มเวียดนามจนลืมเด็กน้อยทางนี้หรอกนะ ใช่มะหนูิริน....


โดย: aew IP: 125.27.75.193 วันที่: 5 ตุลาคม 2554 เวลา:14:06:50 น.  

 
พี่แอ๋ว ก๊ากกกกกกกก กลายเป็นว่าคนป่วยน่ารักน่าหยิกไปซะงั้น นี่ถ้าไม่ใช่เฮียเจมส์มาปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ด้วย ณรงค์อาจไม่โดนพิษแรงหึงให้ฝืนใจคนป่วยขนาดนั้นนะคะ ฮ่าๆๆ (นึกถึงตอนที่ไรอันโดนบังคับป้อนยา คงมองณรงค์ประมาณว่า ทำไมอะ แค่เค้าไม่ยอมกินยา ทำไมต้องมาแกล้งเค้าแบบนี้ด้วยอะ ไอ้บ้า อะไรประมาณนั้น คือตอนเขียนนี่เหมือนเห็นแววตาไรอันเองเลย ก๊ากกก)

ส่วนตรง ปล. อันนี้ไม่เรียกซ้ำเติมแล้วล่ะค่ะ เพราะเหมือนจะเริ่มชินชา แหะๆๆ เรื่องคุณเชษฐ์นอกใจคงม่ายมีร้อกกกก แต่คนเขียนเนี่ยแหละจะไปตามกลับมาได้เมื่อไหร่ สงสารก็แต่น้องภัทร รอนานเหลือเกิ๊นนนน


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 6 ตุลาคม 2554 เวลา:12:28:53 น.  

 
ฮ่าๆๆๆๆ หนูรินบรรยายซะเห็นภาพเลย แต่พี่ว่า เฮียรงค์หาเรื่องทำเนียนแต๊ะอั๋งฝรั่งน้อยมากกว่า แหม๊ะ... อาร๊ายยยมันช่างเหมาะช่างเจาะจริงจริ๊ง คนป่วย+เด็กดื้อ+ไร้เรี่ยวแรง หึหึหึ.... พี่ว่าพี่เห็นแววตาเจ้าเล่ห์ของอาเฮียลอยมาแต่ไกลเลยนะเนี่ย


โดย: aew IP: 125.27.84.144 วันที่: 10 ตุลาคม 2554 เวลา:17:29:06 น.  

 
พี่แอ๋ว เรื่องพระเอกทำเนียนนี่รู้สึกจะเป็นไฟลต์ประจำค่ะ ถึงคนป่วยจะไม่ป่วยก็คงโดนจ้องแต๊ะอั๋งอยู่แล้วล่ะ เอิ้กๆๆ


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 11 ตุลาคม 2554 เวลา:13:41:22 น.  

 
แอบเห็นด้วยกับความเห็นคนแต่งข้างบน
พระเอกคุณรินทุกเรื่องชอบทำเนียน แต๊ะอั๋งตลอด ว่าแล้วก็คิดถึงจอมหื่น..เป้ แต่ยังไงก็จะรออ่านตอนต่อของเฮียกับไรอันนะคะ ^^


โดย: sherry IP: 125.27.23.171 วันที่: 20 ตุลาคม 2554 เวลา:11:19:42 น.  

 
คุณเชอร์รี 5555 อะไรจะชัดขนาดนั้น ช่วงนี้ลุ้นน้ำท่วมควบทำการบ้านเลยยังไม่มีอะไรคืบหน้าเลยค่ะ (เว้นที่เขียนตอนพิเศษให้คุณเชษฐ์กับภัทรสำหรับรวมเล่มได้ตอนนึง) เดี๋ยวเขียนตอนใหม่ให้เรื่องไหนได้ก่อนจะรีบมาโพสต์เลยค่ะ


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 20 ตุลาคม 2554 เวลา:20:18:08 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Applebee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]






ลายปากกา



~ สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ~
ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมดหรือส่วนใดไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!

Friends' blogs
[Add Applebee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.