Group Blog
 
All blogs
 
เหตุเกิดจากวันนั้น...7


แนะนำ
สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ


++------++


ตอนที่ 7.


ห่างจากหมู่บ้านของศรันย์ไปไม่กี่กิโลเมตร มีตลาดกลางคืนที่มุมหนึ่งจัดไว้เป็นศูนย์อาหารขนาดย่อม โดยมีรถเข็นขายอาหารตามสั่งและก๋วยเตี๋ยวล้อมรอบพื้นปูนที่จัดโต๊ะไว้สำหรับให้ลูกค้าประมาณสิบโต๊ะ

เนื่องจากศรันย์ไม่ได้อยากไปไหนไกลเพื่อกินอะไรหรูหรา เขาก็เลยให้ปราบพงศ์พามาที่นี่หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้ามาใส่ชุดลำลองแล้ว ทั้งคู่ใช้เวลาเลือกอาหารที่อยากทานไม่นานก็จ่ายเงินแล้วรับมานั่งทานที่โต๊ะ

แต่ระหว่างที่ต่างคนต่างตักอาหารเข้าปาก ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมาเลยสักคำ

ฝ่ายศรันย์นั่งกินข้าวเงียบๆ เพราะเคยชินกับการทานข้าวคนเดียวโดยไม่คุยกับใคร ส่วนปราบพงศ์นั้นความจริง อยากชวนคุยใจจะขาด แต่เพราะเขาไม่รู้ว่าคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามอยู่ในอารมณ์ไหนแน่ แถมศรันย์เล่นไม่เงยหน้าขึ้นมามองกันเลยสักครั้ง จึงทำได้เพียงนั่งกินข้าวของตัวเองไปอย่างเงียบๆ เหมือนกัน

สิ่งเดียวที่พอจะดึงดูดความสนใจของปราบพงศ์นอกจากคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม ก็เห็นจะเป็นคู่รักหวานแหววที่บังเอิญมานั่งโต๊ะตัวเดียวกัน เนื่องจากศูนย์อาหารนี้มีแต่โต๊ะแบบยาวจึงทำให้ต้องแชร์โต๊ะกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาประเมินหน้าตาของคู่หนุ่มสาวที่นั่งข้างๆ แล้วก็คิดว่าอย่างมากคงยังเรียนมัธยมปลาย เป็นไปได้ว่าคงมีบ้านหรือหอพักแถวนี้ก็เลยชวนกันมาหาอะไรทานตอนค่ำ...เหมือนพวกเขาสองคน

“ตัวเองอ้ะ ไม่กินลูกชิ้นก็เอามาให้เค้าสิ”

“ของตัวเองก็มีไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนสั่งไม่ขอเขาพิเศษล่ะ”

“งกอ้ะ! คืนนี้ไม่ต้องโทรมาเลยนะ โทรมาจะตัดสายจริงๆ ด้วย”

พอฝ่ายหญิงเริ่มทำแก้มป่อง หนุ่มน้อยก็รีบคีบลูกชิ้นใส่ถ้วยให้พร้อมกับยิ้มอย่างเอาใจ “โอ๋ๆ เค้าแหย่เล่นหน่อยเดียวเอง อะให้สองลูกเลย งอนมากๆ เดี๋ยวแก้มป่องเท่าลูกชิ้นนะ”

“อ๊ายยยย ไอ้บ้าๆๆๆ”

ปราบพงศ์ได้ยินแล้วก็ให้นึกขำกับการง้องอนที่บ่งบอกว่าทั้งสองคงเพิ่งเริ่มคบกัน เขาเหลือบตามองศรันย์ว่าแอบสนใจคู่ข้างๆ เหมือนกันบ้างรึเปล่า แต่ก็เห็นเจ้าตัวยังก้มหน้าก้มตากินข้าวอยู่เหมือนเดิม ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจแม้แต่เขาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ

และพอเห็นแบบนั้น...มันก็เลยช่วยไม่ได้ที่จะอยากแกล้งขึ้นมา

"หนุ่ย กินลูกชิ้นมั้ย"

คำถามนั้นทำให้ศรันย์ชะงักมือที่กำลังตักข้าว พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นปราบพงศ์กำลังเท้าคางยิ้มๆ พลางคีบลูกชิ้นยื่นมาให้ จึงมองลูกชิ้นสลับกับหน้าอีกฝ่ายแล้วขมวดคิ้ว

"จะบ้าเหรอคุณ"

ปราบพงศ์แสร้งทำตาใส "ไม่เอาเหรอ ผมว่าข้าวหมูแดงร้านนั้นเขางกหมูไปหน่อยนะ ดูแล้วไม่น่าจะกินอิ่ม"

คนพูดบุ้ยคางไปทางข้าวในจานของศรันย์ที่ยังเหลือประมาณหนึ่งในสาม เนื่องจากทั้งสองสั่งอาหารจากคนละร้านกัน ศรันย์เลยชักจะทำหน้าไม่ถูก

"ไม่ต้อง ผมไม่เอา"

ปราบพงศ์ยิ้มเมื่อเห็นโหนกแก้มของอีกฝ่ายแต้มสีแดงระเรื่อ และดูเหมือนบทสนทนาของพวกเขาจะทำให้คู่ข้างๆ เงียบไปแล้ว แถมกลายเป็นว่าฝ่ายเด็กสาวกำลังแอบชำเลืองมองมาด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็นด้วย

"ไม่อยากได้จริงๆ เหรอ แต่ผมอยากให้คุณนะ"

ประกายที่สะท้อนในตาทำให้ศรันย์รู้สึกเหมือนอีกฝ่ายไม่ได้กำลังเอ่ยถึงลูกชิ้น แต่เป็นบางสิ่งที่แฝงความหมายลึกซึ้งกว่านั้น และนั่นยิ่งทำให้เขาประดักประเดิดเข้าไปใหญ่ ชายหนุ่มเม้มปากแล้วเบนสายตาหนี ทำให้สบตาเข้ากับสาวน้อยที่นั่งข้างๆ และกำลังแอบมองเขาอยู่พอดี ฝ่ายคนแอบมองรีบก้มกลับไปทานข้าวต่อ ในขณะที่เขารู้สึกว่าผิวหน้าตัวเองร้อนจนควันแทบพุ่งออกมา

"ผมอิ่มแล้ว เชิญคุณกินต่อไปคนเดียวเถอะ"

ศรันย์กระแทกเสียงแล้วก็รีบลุกออกมาจากศูนย์อาหาร หูได้ยินเสียงฝีเท้าตามมาแว่วๆ เลยยิ่งเร่งความเร็วมากขึ้น แต่ก็ไม่พ้นโดนรั้งข้อศอกข้างหนึ่งไว้ก่อนจะไปถึงป้ายรถเมล์ จึงได้แต่ทำเสียงฮึดฮัดแต่ไม่หันกลับไป

รู้อยู่แล้วแท้ๆ ว่ามีคนมอง...แต่ก็ยังจะแกล้ง...

"ขอโทษที เมื่อกี้ผมล้อเล่น นี่งอนผมเหรอ?"

ศรันย์ได้ยินคำถามก็พยายามผ่อนลมหายใจเข้าออกยาวๆ อยากจะตอกกลับไปนักว่าไม่ได้งอน แต่ไม่พอใจ ทว่าคำตอบที่หลุดจากปากเมื่อเขาหันกลับไปหาพร้อมกับตาวาวๆ ก็คือ

"คิดเอาเองสิ! ไอ้บ้า!"

ศรันย์พูดจบก็สะบัดแขนจากการเกาะกุมแล้วออกเดินต่อ จุดหมายปลายทางชัดเจนว่าเป็นป้ายรถเมล์ที่ห่างไปไม่ไกล คนที่เดินตามหลังจึงทำหน้าอึ้งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเบาๆ แล้วรีบสาวเท้าตาม

อย่างน้อยวีนใส่แบบนี้ก็ยังดีกว่านั่งซึมเหมือนเมื่อกี้แหละน่า...

ปราบพงศ์ไม่ได้นึกโกรธที่โดนด่าว่าไอ้บ้าเลยสักนิด เพราะตั้งแต่ได้เริ่มรู้จักกัน ดูอีกฝ่ายจะระวังท่าทางและคำพูดให้ทิ้งระยะห่างกับเขาไว้ขั้นหนึ่งตลอดเวลา เพิ่งจะมีตอนหลังจากทะเลาะกันนั่นแหละที่เขาได้เห็นด้านหงอยเหงาของเจ้าตัวบ้าง ดังนั้นการถูกแหวใส่จึงทำให้เขาดีใจมากกว่า เพราะอย่างน้อยนั่นก็แปลว่าพวกเขาสนิทกันมากขึ้นอีกหน่อยแล้ว

"หนุ่ยจะไปไหน รถผมจอดอยู่ทางโน้น มากับผมก็กลับกับผมสิ"

ปราบพงศ์เร่งฝีเท้าตามจนทัน แล้วก็ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ปฏิเสธเพราะเขายกแขนขึ้นโอบไหล่แล้วพาคนที่กำลังกระฟัดกระเฟียดให้เดินกลับไปทางรถเวสป้าที่จอดอยู่ พอมาถึงแล้วก็หยิบหมวกกันน็อคส่งให้ก่อนจะขึ้นนั่งประจำที่ ทำให้โดนมองตาขวางจากคนที่ถูกมัดมือชก

"จากนี่ผมนั่งรถเมล์กลับเองได้ เชิญคุณขับกลับไปคนเดียวเถอะ"

ศรันย์พูดพลางยื่นหมวกกันน็อคคืน ปราบพงศ์จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนกำลังโอ๋เด็กงอแง แต่ตอนอยู่ที่ศูนย์อาหารเขาก็เป็นคนกวนประสาทก่อนเองจริงๆ ดังนั้นถึงอย่างไรก็ควรจะยอมรับผิดแต่โดยดี

"ขอโทษ เมื่อกี้ผมเล่นมากไปเลยไม่ทันคิด อย่าโกรธผมเลยนะ"

คนพูดจับมือข้างหนึ่งของศรันย์ขึ้นมากุมไวแล้วบีบเบาๆ แววตางอนง้อที่ส่งมาทำให้คนถูกมองได้แต่เม้มปากและหันหน้าหนี ดูเหมือนยิ่งเจอกันบ่อยเข้า เขาก็ยิ่งทนจ้องตาอีกฝ่ายนานๆ ไม่ได้มากขึ้นทุกที แล้วไหนยังจะคำพูดที่ชอบโอนอ่อนให้อีก มันทำให้เขาสับสนจนโต้ตอบไม่ถูก

จะมาเอาใจเขาทำไมกันนักหนา...

หลังจากคิดตกแล้วว่าถึงยังไงก็คงโดนตื๊อให้ซ้อนรถกลับบ้าน ศรันย์เลยได้แต่ถอนหายใจแล้วชักมือกลับ เขาหยิบหมวกกันน็อกขึ้นสวมก่อนจะก้าวขึ้นคร่อมเบาะหลัง แต่ก็ยังไม่วายเอ่ยเสียงต่ำพอให้อีกคนได้ยิน

"ขับรถดีๆ ด้วย ไม่งั้นผมโดดลงกลางทางแน่"

"ครับๆ"

ปราบพงศ์ตอบยิ้มๆ จากนั้นก็สตาร์ทรถออกจากตลาดโดยไม่พูดอะไรอีก ทั้งสองออกมาบนถนนใหญ่ได้ไม่นาน ศรันย์ก็ขมวดคิ้วเมื่อคนขับพาเลี้ยวไปอีกเส้นทางที่ไม่ใช่ทางกลับบ้าน

"นี่คุณ..."

"ตู้เย็นที่บ้านหนุ่ยไม่มีอะไรเลยนะ ไปซื้อของเข้าบ้านหน่อยดีกว่า แถวๆ นี้มีห้างอยู่นี่นา"

ศรันย์ยังพูดไม่จบก็ถูกตัดบทเหมือนอ่านใจได้ เขาเลยได้แต่ถอนหายใจหนักๆ พอให้อีกฝ่ายรับรู้ความไม่พอใจ ซึ่งก็ได้แต่เสียงหัวเราะเป็นคำตอบ ไม่กี่นาทีถัดมาปราบพงศ์ก็มาถึงห้างสรรพสินค้าที่ห่างจากบ้านของศรันย์มาไม่ไกล หลังจากจอดรถแล้วทั้งสองก็เดินตรงไปที่ชั้นซูเปอร์มาเก็ตด้วยกัน

ปราบพงศ์ดึงรถเข็นที่จอดซ้อนกันอยู่หน้าทางเข้าออกมาคันหนึ่ง จากนั้นก็เข็นรถเข้าไปตามช่องชั้นวางสินค้าแล้วเลือกหยิบของที่ต้องการ ฝ่ายศรันย์เพียงแต่เดินตามไปเฉยๆ หลังจากมองอีกฝ่ายหยิบนั่นนี่ใส่รถเข็นเหมือนคุ้นเคยกับการซื้อของเข้าบ้าน เขาจึงเอ่ยขึ้นลอยๆ

"ผมไม่เข้าใจ..."

ชายหนุ่มพูดพลางทำทีเป็นมองสินค้าที่เรียงกันอยู่บนชั้น เขาตั้งใจไม่ระบุแต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงตระหนักได้เองว่าเขาไม่เข้าใจเรื่องอะไร ในเมื่อการที่ใครคนหนึ่งจะเข้ามาพัวพันกับใครอีกคนโดยที่ฝ่ายนั้นแสดงออกชัดเจนว่าไม่เต็มใจ เป็นใครก็ต้องเกิดคำถามนี้กันทั้งนั้น

"อะไรนะ? อ้อ ซอสนี่ผัดผักอร่อยดี ซื้อขวดเล็กไปติดบ้านไว้หน่อยก็แล้วกัน"

ปราบพงศ์พูดเองเออเอง แล้วก็หยิบขวดซอสที่ว่าใส่รถเข็นอย่างไม่สนใจว่าเขาจะตอบว่าอะไร ศรันย์เลยได้แต่ทำหน้างอพลางเตือนตัวเองว่าให้ใจร่มๆ

"ช่างมันเถอะ เมื่อกี้ผมแค่บ่นกับอากาศ"

"อ้าว? ผมนึกว่าหนุ่ยพูดกับผมซะอีก"

คราวนี้ศรันย์เหล่ใส่คนถามด้วยความหมั่นไส้ ในเมื่อมากันแค่นี้ก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าเขาพูดกับใคร ยังจะมายอกย้อนกวนประสาทจนน่าซัดให้หน้าหงายอีก

ปราบพงศ์เห็นสายตาพิฆาตที่มองมา แต่ก็ไม่ได้ถือสาแถมยิ่งยิ้มกว้างให้มากกว่าเดิม เพราะดูจากนิสัยชอบเก็บตัวเก็บอารมณ์แล้ว ศรันย์คงไม่ค่อยได้แสดงด้านน่ารักๆ แบบนี้ให้ใครเห็นจนกระทั่งได้มารู้จักกับเขานี่แหละ เลยอดไม่ได้ที่อยากจะลองเสียหน่อยว่าลิมิตความอดทนของอีกฝ่ายอยู่ตรงไหน

ชายหนุ่มแสร้งทำไม่รู้สึกรู้สากับตาเขียวๆ แล้วเดินดูของไปเรื่อย ขณะที่กำลังจะเดินต่อไปทางแผนกของสดก็เห็นป้ายโฆษณาลดราคาเบียร์ที่ขายเป็นแพ็ค จึงหันกลับไปหาคนที่จงใจเดินตามมาห่างๆ เหมือนไม่อยากให้ใครรู้ว่ามาด้วยกัน

"ที่บ้านคุณมีเครื่องเล่นดีวีดีใช่มั้ย? ผมว่าผมเห็นอยู่เมื่อคืนแว้บๆ"

ศรันย์มุ่นหัวคิ้วกับคำถาม "ก็มีอยู่ ถามทำไม?"

จริงๆ แล้วศรันย์ไม่ค่อยดูหนังเท่าไหร่ แต่เคยจับสลากในงานเลี้ยงของบริษัทแล้วได้เครื่องนี้มาเมื่อสองปีก่อน ตั้งแต่นั้นนานๆ ทีก็เลยจะเช่าหนังที่น่าสนใจมาดูบ้างในวันหยุด เพราะไม่ค่อยชอบการไปเบียดคนซื้อตั๋วและเข้าดูในโรงภาพยนตร์

"ถ้างั้นก็พอดีเลย ไหนๆ พรุ่งนี้ก็วันเสาร์ งั้นคืนนี้เช่าหนังมาดูกันดีกว่า ว่าแต่คุณดื่มเบียร์เป็นนะ?"

"เป็นสิคุณ เห็นผมเป็นเด็กหรือไง" ศรันย์ทำหน้ามุ่ยใส่คนถาม นี่เขาอายุยี่สิบห้าจนจะยี่สิบหกอยู่แล้วนะ!

"เปล่าซักหน่อย แค่ถามให้แน่ใจก่อนต่างหาก ไม่งั้นถ้าซื้อไปแล้วหนุ่ยไม่กินด้วยผมก็แย่สิ"

ปราบพงศ์ตอบยิ้มๆ พลางหยิบเบียร์ใส่รถเข็นสองโหล แล้วก็เดินต่อไปแผนกของขบเคี้ยวเพื่อเลือกของที่จะกินแกล้มเบียร์ บางครั้งก็จะหันมาถามคนที่เดินตามหลังว่าอยากกินอะไร ฝ่ายศรันย์มองของในรถเข็นที่ชักจะพูนขึ้นทุกทีแล้วก็เบ้ปาก

"ปิง คุณจะซื้ออะไรเยอะแยะ ของพวกนี้ผมไม่จ่ายนะบอกไว้ก่อน"

อาจเพราะเคยเรียกชื่อไปแล้วครั้งหนึ่ง อีกอย่างปราบพงศ์ก็เรียกชื่อเขาบ่อยๆ ศรันย์เลยเริ่มรู้สึกกระดากปากน้อยลงที่จะเรียกชื่ออีกฝ่ายบ้าง ถึงแม้จะยังคงสรรพนาม 'คุณ-ผม' ไว้อย่างเหนียวแน่นก็ตาม แต่เพียงเท่านั้นก็เพียงพอจะทำให้มุมปากของคนถูกเรียกยกสูงจนเห็นลักยิ้มที่แก้มซ้าย

"ไม่เป็นไร ถือซะว่าผมเลี้ยงแทนการพาไปเดทก็แล้วกัน แบบนี้โอเคมั้ย?"

ปราบพงศ์ตอบอย่างสบายๆ พลางเข็นรถเข็นเดินต่อ ทิ้งให้ศรันย์ยืนอึ้งมองแผ่นหลังของคนที่เดินห่างออกไปด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก

คำตอบของปราบพงศ์ทำให้เขา...สับสน จะเรียกว่าเป็นความเขินก็ไม่เชิงเสียทีเดียว ถ้าจะบอกว่ารำคาญก็...เอาล่ะ...ไอ้ความรู้สึกตงิดๆ มันมีอยู่แล้วที่จู่ๆ ก็โดนใครก็ไม่รู้มาเจ้ากี้เจ้าการด้วยขนาดนี้ แต่มันก็ยังไม่ถึงขั้นเหม็นหน้าจนอยากจะขับไล่ไสส่ง นี่ตกลงว่าเขารู้สึกอย่างไรกับหมอนี่กันแน่ ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ

จู่ๆ ในหัวของศรันย์ก็ไพล่นึกไปถึงเหตุการณ์ในห้องนั่งเล่นเมื่อตอนเย็น ทั้งเรื่องที่ทะเลาะกันจนปราบพงศ์ออกจากบ้านไป ทั้งเรื่องที่อีกฝ่ายกลับมาแล้วชวนออกมาทานข้าว เรื่องที่เขาขอโทษ แล้วยังอ้อมกอดที่เกิดขึ้นโดยต่างฝ่ายต่างไม่ตั้งใจนั่น....

พอนึกถึงเหตุการณ์นั้นขึ้นมา แผ่นหลังตรงที่โดนฝ่ามือใหญ่สัมผัสก็อุ่นวาบจนไม่สบายตัว

"แค่นี้ก่อนแล้วกันนะ เดี๋ยวหิ้วขึ้นมอเตอร์ไซค์ลำบาก ไหนยังต้องไปแวะร้านเช่าหนังกันอีก"

ไม่รู้เพราะใจลอยนานไปหรืออย่างไร เมื่อจู่ๆ ปราบพงศ์เดินเข็นรถเข็นกลับมาตรงที่ที่เขายืนอยู่ ศรันย์เลยกะพริบตาปริบๆ เขาเหลือบมองหน้าคนถามสลับกับของในรถเข็นที่เพิ่มขึ้นนิดหน่อย ก่อนจะพยักหน้าแล้วเดินนำไปทางแคชเชียร์เพื่อจ่ายเงิน ในใจรู้สึกแกว่งๆ เหมือนหัวใจเต้นผิดจังหวะจนต้องพยายามสลัดความคิดก่อนหน้านี้ออกไป

ไม่มีอะไร อย่าเพิ่งคิดอะไรมากดีกว่า มีแต่ทำให้ปวดหัวเสียเปล่าๆ...

ศรันย์บอกตัวเองขณะเดินไปเข้าแถวรอจ่ายเงิน เขาหันกลับมามองปราบพงศ์แวบหนึ่งก่อนจะหันกลับไปข้างหน้า ทิ้งให้คนที่เดินตามได้แต่ระบายลมหายใจยาวแล้วยิ้มบางๆ ให้ตัวเอง

อย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มไร้เดียงสา จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะอ่านออกว่าแววตาที่มองมาเมื่อครู่นั้นสะท้อนความสับสนแค่ไหน เพียงแต่ที่ยังเดาไม่ได้ก็คือศรันย์คิดอย่างไรกับเขากันแน่ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นจะต้องเร่งรัดในตอนนี้ ในเมื่อความสัมพันธ์ของพวกเขาเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น

ที่สำคัญ...มีใครสักคนให้คอยตามเอาใจบ้างก็ไม่เลวนักหรอก...



++---TBC---++



A/N: ลืม มาลงที่บล็อกช้ากว่าที่แฟนเพจอีกแล้ว แหะๆๆ


Create Date : 02 กรกฎาคม 2555
Last Update : 2 กรกฎาคม 2555 22:45:02 น. 0 comments
Counter : 813 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Applebee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]






ลายปากกา



~ สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ~
ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมดหรือส่วนใดไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!

Friends' blogs
[Add Applebee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.