เที่ยวกินดะ ณ หัวหิน (Part 1)


ระยะเวลาการเดินทาง: 12 - 13 กันยายน พ.ศ. 2552

อารัมภบท
เนื่องจากบีบี้เดินทางมาเที่ยวหัวหินบ่อย (มาก) โดยแต่ละครั้งที่มาจะเลือกกินตามร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆ หรือแล้วแต่ตามความสะดวก โดยที่ไม่รู้เลยว่าเป็นร้านอาหารที่คนอื่นๆ แนะนำหรือควรไปร้านอาหารแนะนำที่ (อาจจะ) ดีกว่า บีบี้เลยค้นหาข้อมูลร้านอาหารแนะนำในหัวหินซึ่งได้มาเป็นจำนวนมาก แต่สำหรับครั้งนี้บีบี้เลือกมาประะมาณ 20 ร้านที่อยู่ใกล้ๆ ที่พักแถวตลาดหัวหิน โดยเพื่อนร่วมที่สามารถจะกินดะเหมือนบีบี้ได้คือคุณแดดดี้นั่นเอง(หลังจากที่คุณแดดดี้ไปหัวหินครั้งสุดท้ายเมื่อ 20 ปีที่แล้ว) แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็ไปชิมได้เพียง 10 ร้านเท่านั้นเอง ดังนี้
   1. ร้านขนมหวานบ้านป้าปรางค์
   2. ร้านข้าวเหนียวมูลเสวยแม่นงนุช (ร้านมีชัย)
   3. ร้านครัวกรรณิการ์ - ไก่ทอดโกศล
   4. ร้านลอดช่องสิงคโปร์เสวย (นายดำ)
   5. ร้าน Backyard Steak
   6. ร้านขนมครกในตลาดฉัตรไชย
   7. ร้านข้าวเหนียวหมูปื้งนายแต (เสื้อแดง)
   8. ร้านสมชายปาท่องโก๋
   9. ร้านกาแฟเจ๊กเปี๊ยะ
   10. ร้านอาหารหัวหิน (โกทิ)









ในการเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิด้วยรถตู้เพียง 180 บาทเท่านั้น Ffpใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งจึงเดินทางถึงตลาดฉัตรไชย จากนั้นก็ตรงเข้าสู่ที่พักที่จองไว้ล่วงหน้า แต่ ... เดี๋ยวก่อน ระหว่างทางไปที่พัก พวกเราจะผ่านร้านอาหารแนะนำร้านแรก นั่นคือ ...





1. ร้านขนมหวานบ้านป้าปรางค์



จากชะอำขับรถไปตามถนนเพชรเกษม ก่อนที่จะถึงตลาดฉัตรไชย ให้เลี้ยวซ้ายเข้าถนนชมสินธุ์ (ซอยหัวหิน 55) บ้านป้าปรางค์จะอยู่ทางขวามือถัดจาก 55th Corner Hua Hin แต่จะถึงก่อนร้านลอดช่องช่องลุงดำ บีบี้ใช้เวลาเดินจากสี่แยกไฟแดงมาไม่เกิน 1 นาทีก็ถึง



ว่าแล้วบีบี้ก็เลือกขนมที่ชอบกิน (เป็นประจำ) คือ ขนมข้าวฟางผสมสาคูเปียก (15 บาท) และสั่งขนมโค (เหมือนขนมต้มที่ไม่ได้คลุกมะพร้าวขูดแต่ใส่ลงในน้ำกะทิแทน - 10 บาท) ให้คุณแดดดี้ แต่คุณแดดดี้กลับอยากกินข้าวเหนียวเปียกใส่เผือก (10 บาท) ซึ่งใน 3 อย่างนี้ บีบียังคงชอบขนมข้าวฟางผสมสาคูเปียกที่ไม่หวานมาก ตรงกันข้ามกับขนมโคที่แม้ว่ากะทิจะออกเค็มแต่ไส้กระฉีก (ไส้มะพร้าว) ของขนมโคมีรสชาติหวานมาก

กลับสู่ด้านบน

หลังจากเสร็จภารกิจที่ 1 ก็เข้าห้องพัก (ขอเก็บไปพูดถึงที่ท้าย Blog) แล้วออกไปกินข้าวเที่ยวกับภารกิจต่อไป แต่ว่าระหว่างขอเก็บตกร้านอาหารแนะนำร้านถัดไป





2. ร้านข้าวเหนียวมูลเสวยแม่นงนุช (ร้านมีชัย)



จากชะอำขับรถไปตามถนนเพชรเกษม พอเลยสี่แยกไฟแดงที่ถนนเพชรเกษมตัดกับถนนชมสินธุ์ (ซอยหัวหิน 55) ให้มองหาร้านซึ่งจะอยู่ทางขวามือ ตรงข้ามตลาดฉัตรไชย โดยร้านจะอยู่ตั้งระหว่างถนนชมสินธุ์กับถนนเดชานุชิต (ซอยหัวหิน 57)



เมื่อพูดถึงร้านข้าวเหนียวมูลเสวยแม่นงนุช บีบี้ก็ต้องชิมข้าวเหนียวมูลโดยกินพร้อมกับมะม่วงน้ำดอกไม้ (ชุดละ 50 บาท) ซึ่งข้าวเหนียวมูลร้านนี้นิ่มมาก และหอมมันกะทิ ส่วนมะม่วงไม่หวานมากแต่ก็ไม่เปรี้ยว ซึ่งบีบี้ชอบรสชาติแบบนี้ ไว้วันหลังอยากลองกินคู่กับสังขยาที่เค้าว่ากันว่าอร่อย (แต่บีบี้กลัวว่าจะหวานเกินไป) และที่ต้องลองอีกอย่างหนึ่งคือขนมเทียนเสวยไส้เค็ม (ชิ้นละ 6 บาท) ซึ่งแป้งขนมเทียนเหนียวนุ่มแต่ไส้จะเหมือนถั่วกวนใส่กะทิและเกลือให้ออกรสเค็มแต่ก็รู้สึกว่ารสชาติจะหวานนำกว่าและไม่มีกลิ่นพริกไทย

กลับสู่ด้านบน

จะว่าไปแล้ว แม้จะแวะซื้อของร้านข้าวเหนียวมูลเสวยแม่นงนุชก่อนก็ตาม แต่ขนมที่ซื้อไปก็เป็นของหวานล้างปากหลังอาหารมื้อเที่ยงในร้านแนะนำต่อไปนี้





3. ร้านครัวกรรณิการ์ - ไก่ทอดโกศล



จากชะอำขับรถไปตามถนนเพชรเกษม ผ่านตลาดฉัตรไชย จากนั้นให้เลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนดำเนินเกษม ตรงไปยังสถานีรถไฟหัวหิน เมื่อสุดทางถนนจะพบกับสถานีรถไฟตั้งตระหง่านอยู่ตรงสามแยก ให้เลี้ยวซ้ายแล้วขับไปตามทางประมาณ 400 เมตร ร้านจะอยู่ทางด้านซ้ายมือโดยมีป้ายร้านที่อาจจะถูกบดบังด้วยไม้ใหญ่ยืนต้นทั้งหลาย



สำหรับร้านนี้ อาหารที่ทำจากอย่างอื่นต้องไม่พูดถึงเลยยกเว้นแต่ไก่อย่างเดียว แน่นอนว่าบีบี้ก็ต้องสั่งปีกไก่ยัดไส้ (ชิ้นละ 45 บาท) ที่เป็นอาหารแนะนำของร้าน และตามด้วยไก่ทอดโกศล (ชิ้นละ 45 บาท) ที่ร่วมเป็นหนึ่งในชื่อของร้าน และเพื่อไม่ให้เลี่ยนของทอด บีบี้เลยสั่งขนมจีนแกงเขียวหวานไก่ (ชุดละ 90 บาท) เพื่อไม่ให้หนักท้องจนเกินไป บีบี้ชอบปีกไก่ยัดไส้ซึ่งอร่อยสมคำล่ำลือจริงๆ แต่ไก่ทอดโกศลรสชาติก็ไม่ต่างจากไก่ทอดทั่วไป (อาจเป็นเพราะบีบี้กินตรงส่วนเนื้ออกซึ่งไม่ได้รสชาติของซอสหมักที่เคลือบเพียงแค่ผิวๆ ของไก่ ไม่ได้ซึมซาบเข้าเนื้อไก่) สำหรับขนมจีนแกงเขียวหวานไก่นั้น น้ำแกงข้นกะทิและรสชาติไม่เผ็ดจัด แต่บีบี้ว่าราคาแพงเกินไป ซึ่งกินปีกไก่ยัดไส้ 2 ชิ้นยังคุ้มกว่าเลย

กลับสู่ด้านบน

หมดอาหารมื้อนี้ ก็อิ่มกันถ้วนหน้า จะว่าไปแล้วขากลับไปที่พัก บีบี้พาคุณแดดดี้ชมความงดงามของสถานีรถไฟหัวหินซึ่งเวลาใช้เดินจนถึงที่พักร่วมครึ่งชั่วโมง ทำให้เกิดที่ว่างเหลือในท้องพอให้ลิ้มลองข้าวเหนียวมะม่วงที่แวะซื้อมาก่อนหน้านี้ รวมถึงของหวานร้านโปรดของบีบี้ที่มาที่นี่ที่ไรต้องไม่พลาดร้านแนะนำร้านนี้เลย





4. ร้านลอดช่องสิงคโปร์เสวย (นายดำ)



จากชะอำขับรถไปตามถนนเพชรเกษม ก่อนที่จะถึงตลาดฉัตรไชย ให้เลี้ยวซ้ายเข้าถนนชมสินธุ์ (ซอยหัวหิน 55) ร้านลอดช่องลุงดำจะอยู่ทางขวามือถัดจากร้านขนมหวานบ้านป้าปรางค์ นอกจากนี้แล้วร้านลอดช่องลุงดำยังมีอยู่ในตลาดฉัตรไชยอีกร้านหนึ่ง ซึ่งอยู่ด้านท้ายของตลาด



บีบี้แทบจะไม่เคยพลาดความอร่อยของลอดช่องสิงคโปร์ (แก้วละ 15 บาท) เมื่อได้มาถึงหัวหินถิ่นนี้ บีบี้ชอบตรงที่ความเหนียวหนึบหนับของเนื้อลอดช่องผสมกับความหวานมันของน้ำกะทิ (จริงๆ แล้วบีบี้มักจะสั่งให้ลดน้ำเชื่อมเพราะอยากกินแบบหวานน้อย) ช่วยดับกระหายคลายร้อนยามบ่ายได้เป็นอย่างดี

กลับสู่ด้านบน

เมื่อกลับไปถึงที่พัก ก็ถึงเวลาเปิดกล่องจัดการข้าวเหนียวมะม่วงที่ซื้อมา จากนั้นก็ได้เวลาพักผ่อนจริงๆ โดยบีบี้เลือกจะนั่งอ่านหนังสือและตากแอร์ในห้อง ส่วนคุณแดดดีั้เลือกที่จะนอนตากอากาศของหัวหินที่ระเบียงตึก พอบ่ายคล้อย สภาพอากาศก็แปรเปลี่ยนไปเป็นมีเมฆมากและตามมาด้วยลมฝนจนบีบี้คิดที่จะเปลี่ยนแผนแบบกระทันหัน แต่โชคดีที่ฝนหยุดตกก่อน 5 โมงเย็น จึงเป็นอันว่าบีบี้ได้เริ่มภารกิจสำหรับมื้อเย็นต่อไปที่ร้านนี้





5. ร้าน Backyard Steak



จากชะอำขับรถไปตามถนนเพชรเกษม หลังจากที่เลยพระราชวังไกลกังวล ให้สังเกตร้าน Backyard Steak ซึ่งจะอยู่ทางด้านขวาหน้าปากซอยหัวหิน 62 แต่ถ้ามาจากทางตลาดฉัตรไชย ร้านจะอยู่ถัดจากปั๊มน้ำมันเชลล์



ร้านนี้ไม่ใช่ร้านแนะนำที่จะพบได้ตาม review แต่ร้านนี้เป็นร้านที่บีบี้อยากจะมากินเพราะลักษณะร้านที่เป็น Buffet ในราคาที่แสนถูก บีบี้ได้กล่าวถึงร้านดังกล่าวโดยละเอียดแล้วที่ Blog "ถึงจะมาหัวหินก็มีบุฟเฟต์ Backyard Steak" ดังนั้นบีบี้จึงไม่กล่าวถึงอีก แต่โดยรวมแล้วประทับใจมากๆ (ทั้งบีบี้และคุณแดดดี้)

กลับสู่ด้านบน

ตามแผนการเดิม เมื่อจบภารกิจนี้แล้ว ยังมีภารกิจค่ำคืนนี้ที่ตลาดโต้รุ่งอีก แต่เนื่องจากแผนการที่เลื่อนมาจนค่ำ (เนื่องจากฝนตก) ทำให้ไม่มีเวลาให้ท้องได้ย่อยอาหารให้หมดก่อน ดังนั้นภารกิจนี้จึงเป็นอันต้องพับไป ได้แต่เดินชมตลาดโต้รุ่งเท่านั้น จากนั้นจึงกลับที่พัก อาบน้ำและถึงเวลาล้มตัวลงนอน

จนเช้า (ตรู่) ที่ได้เวลาตื่น หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว บีบี้ก็รีบทำภารกิจยามเช้าที่ตลาดฉัตรไชยทันที โดยปล่อยให้คุณแดดดี้อาบน้ำแต่งตัวอยู่ในห้อง





6. ร้านขนมครกในตลาดฉัตรไชย


เดินเข้าตลาดฉัตรไชยทางด้านหน้า (ตรงถนนเพชรเกษม) ทางเข้าแรกเดินไปเลยๆ จะเริ่มเห็นร้านขายขนมครก ซึ่งร้านจะตั้งอยู่ตรงสุดทางก่อนที่จะเลี้ยวไปยังแผงขายปลา





ร้านนี้ก็ไม่ใช่ร้านแนะนำที่จะพบได้ตาม review อีกเช่นกัน แต่เป็นร้านที่เกือบทุกครั้งที่บีบี้กับเพื่อนๆ มาที่ตลาดยามเช้าตรู่ (เพราะถ้าเลย 8 โมงก็จะอดกินอย่างแน่นอน) จะต้องมาสั่งขนมครก (ชุดละ 10 บาท) และเดินกินกันเพลินระหว่างซื้ออาหารเช้ากลับที่พัก ด้วยความหอมมันกะทิที่หยอดด้านบนบวกกับความกรอบและเหนียวนุ่มของแป้ง (แนะนำว่าต้องกินตอนที่ยังไม่เย็นชืด - เพราะครั้งนี้ซื้อกลับไปกินที่ที่พัก กว่าจะถึงขนมครกก็เย็นหมดแล้ว แถมชิ้นล่างๆ ก็ไม่กรอบอีกด้วย)

กลับสู่ด้านบน

จากนั้นก็ตามมาด้วยหมูปิ้งกับร้านแนะนำต่อมา





7. ร้านข้าวเหนียวหมูปื้งนายแต (เสื้อแดง)


เริ่มต้นที่หัวถนนเดชานุชิต (ถนนที่เป็นตลาดโต้รุ่งในตอนกลางคืน) ด้านถนนเพชรเกษม เดินตรงไป ร้านจะอยู่ทางด้านซ้ายมือ ตรงปากทางเข้าตลาดฉัตรไชยทางเข้าแรกของด้านนี้





ร้านนี้เห็นมีคนเขียนถึงว่าอร่อยมากมาย บีบี้จึงไม่อยากจะพลาดหมูปิ้ง (ไม้ละ 6 บาท) ของร้านนี้ นอกจากนี้แล้วบีบี้ยังสั่งตับไก่ย่าง (ไม้ละ 10 บาท) แต่กว่าจะได้กินจริงๆ ทุกอย่างที่ซื้อไปก็เย็นหมดแล้ว หมูปิ้งก็ทั้งเย็นและแข็ง (แต่รสชาติก็ยังดีอยู่) แต่ที่แย่ที่สุดเห็นจะเป็นตับไก่ที่ทั้งเหนียวและเย็นชืด เอาไว้วันหลังจะมากินแบบที่ยังร้อนๆ อยู่แล้วดูว่าจะอร่อยมากแค่ไหน

กลับสู่ด้านบน

จากนั้นก็ต้องเป็นปาท่องโก๋สำหรับกาแฟยามเช้าซึ่งจะเป็นร้านแนะนำถัดไป





8. ร้านสมชายปาท่องโก๋



จากฝั่งตรงข้ามตลาดโต้รุ่ง ซึ่งจะเป็นถนนเดชานุชิต (ซอยหัวหิน 57) หัวมุมจะเป็นร้านอาหารโกทิ ให้เดินตรงไป จะเป็นสี่แยกที่ถนนเดชานุชิตตัดกับถนนแนบเคหาสน์ ให้เลี้ยวขวา จะพบกับร้านซึ่งอยู่ตรงข้ามกับร้านกาแฟเจ๊กเปี๊ยะ



สาเหตุที่อาหารเช้าไม่อร่อยทั้งหมดก็เพราะร้านนี้ เนื่องจากมีคนมารอซื้อปาท่องโก๋ (ชิ้นละ 2 บาท) กันเต็มและคนทอดก็ทอดไม่ทัน ทำให้บีบี้ต้องยืนรอเกือบ 5 นาที ระหว่างที่ยืนรอบีบี้ก็เหลือบไปเห็นซาลาเปาทอดหรือที่ใครบางคนเรียกว่าแก้วตาโบ๋ (ชิ้นละ 1 บาท) และสังขยาใบเตย (กระปุกละ 10 บาท) บีบี้เลยสั่งมากินทั้งหมดเลย ปาท่องโก๋เรียกว่าอร่อยสมกับการรอคอย (จริงๆ แล้วบีบี้ เคยกินปาท่องโก๋ร้านนี้มาก่อนและชอบมาแต่ไม่รู้มาก่อนว่าเป็นร้านแนะนำเหมือนกัน) แต่พลอยทำให้อาหารเสียรสชาติ ส่วนสังขยาก็หอมข้น ไม่หวานมากและไม่เขียวมากไป (สีเขียวของสังขยาจะอ่อนกว่าของเจ้าอื่น - เท่าที่บีบี้เห็นมา) แต่ที่ไม่อร่อยเลย คือซาลาเปาทอด ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าทอดมานานมาแล้ว

กลับสู่ด้านบน

มื้อนี้ตั้งใจจะกินไม่มากเนื่องจากบีบี้อยากจะไปกินโจ๊กร้านแนะนำร้านต่อไป นั่นคือ ...





9. ร้านกาแฟเจ๊กเปี๊ยะ



จากฝั่งตรงข้ามตลาดโต้รุ่ง ซึ่งจะเป็นถนนเดชานุชิต (ซอยหัวหิน 57) หัวมุมจะเป็นร้านอาหารโกทิ ให้เดินตรงไป จะเป็นสี่แยกที่ถนนเดชานุชิตตัดกับถนนแนบเคหาสน์ จากนั้นให้ข้ามถนน ก็จะพบร้านซึ่งตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนน



โชคดีที่วันนี้เดินมาถึงที่ร้านแล้วยังมีที่ว่างให้นั่งได้โดยไม่ต้องยืนรอเหมือนครั้งที่ผ่านมา ไม่รอช้าบีบี้เลยสั่งโจ๊กหมูไม่ใส่ไข่ (15 บาท) พร้อมกับชาเย็น (10 บาท) ส่วนคุณแดดดี้สั่งเกาเหลาเนื้อปลาไม่เอาข้าวเปล่า (30 บาท) โจ๊กร้านนี้ข้าวจะไม่ละเอียดมากและหมูสับก็ไม่ได้บดละเอียดเหมือนโจ๊กร้านเจ้แอนซึ่งเนื้อหมูสับจะเด้งมาก ดังนั้นตอนตักกินจึงมีข้าวให้เคี้ยวเรียกว่ารสชาติก็อร่อยไปอีกแบบ ส่วนเกาเหลาเนื้อปลาก็ได้ปริมาณปลาที่เยอะ เนื้อปลาไม่เละและไม่คาว ส่วนชาเย็น บีบี้รู้สึกเฉยๆ ไม่ไดประทับใจอะไรมากเพราะรสชาติเหมือนชาเย็นทั่วไป แต่รสออกหวานข้นและไม่ค่อยได้กลิ่นชาเท่าไร (บีบี้แอบชอบโปสเตอร์ที่ติดในร้านที่เค้าใช้ร้านเป็นสถานที่ในการถ่ายแบบ คือว่า นายแบบหน้าตาดี๊ดีแถมแอบเซ็กซี่กับบางภาพที่ topless เสียด้วย )

กลับสู่ด้านบน

หลังจากเสร็จมื้อนี้ เรียกได้ว่าอิ่มนำสำราญกับมื้อเช้าอันมโหฬาร บีบี้กับคุณแดดดี้ก็กลับห้องพักเพื่อเตรียมเก็บกระเป๋าและนอนดูโทรทัศน์รอ check-out ซึ่งบีบี้วางแผนไว้ว่าจะกินข้าวเที่ยงตอน 11 โมง จะได้กลับรถตู้รอบเที่ยง แต่กลับกลายเป็นว่าคุณแดดดี้อยากกินอาหารในร้านแนะนำร้านสุดท้ายซึ่งร้านนี้ก็เริ่มเปิดตอนเที่ยงเสียด้วย บีบี้เลยเซ็งเพราะไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ (อีกแล้ว)





10. ร้านอาหารหัวหิน (โกทิ)


ร้านจะตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนนเพชรเกษมตัดกับถนนเดชานุชิค ฝั่งตรงข้ามตลาดโต้รุ่ง




บีบี้กับคุณแดดดี้มานั่งรอที่ร้านตั้งแต่ 11 โมง 45 นาทีเพราะจะได้รีบกินแล้วรีบกลับ (ที่จริงเคยมาตอนเกือบๆ 11 โมงแล้ว แต่ร้านยังไม่เปิดขายเลยต้องกลับไปรอที่ที่พัก) นั่งอ่านรายการอาหารไปพลางๆ จนเที่ยงนิดๆ ก็มีคนมารับรายการอาหารซึ่งด้วยความเซ็ง บีบี้เลยให้คุณแดดดี้เป็นคนสั่งอาหารเอง ซึ่งอาหารในมื้อนี้คือห้อยจ้อ (จานละ 100 บาท) และต้มยำทะเลน้ำใส (ชามละ 100 บาท) แม้ว่าคนในร้านจะมีอยู่แค่ 3 โต๊ะ แต่บีบี้ก็นั่งรอจนน้ำแข็งเกือบหมดถัง และที่สำคัญคือพออาหารถูกวางลงมาที่โต๊ะ บีบี้ตะลึงกับภาพของหอยจ้อที่ชิ้นเล็กมากและทอดออกมาได้เกรียมจนบีบี้นึกว่าร้านเอาไส้กรอกอีสานแบบตุ้มที่ทอดแล้วมาให้ ทำเอาความอยากอาหารเกือบเหลือ 0% ซึ่งถูกแทนที่ด้วยความเบื่อหน่าย ส่วนต้มยำทะเลก็ดูโหลงเหลงมาก ส่วนใหญ่จะมีเป็นปลาหมึกหั่นเป็นวง พอตักเนื้อปลาชิ้นแรกของตัวเองมาก็ดันเป็นส่วนแกนกระดูกสันหลัง (ชิ้นแรกสุดเป็นเนื้อก็ให้คุณแดดดี้ไปก่อน) ส่วนกุ้งก็เหมือนจะแตกคอกันเพราะที่คบกันอยู่ก็มีประมาณ 3 ตัวในชามเท่านั้น เรียกว่าไม่สามารถเรียกความประทับใจกลับคืนมาได้เลย (บีบี้เคยกินร้านนี้มาก่อนเหมือนกันแต่ไม่เคยชอบเลยเพราะอาหารที่ดูๆ แล้วไม่ค่อยอร่อยและแพงด้วย) ด้วยความเซ็งประกอบกับความไม่น่ากินของอาหาร บีบี้เลยไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ให้ดู

กลับสู่ด้านบน

และแล้วก็สิ้นสุดภารกิจกินดะ ณ หัวหินครั้งแรกด้วยมื้อเที่ยงที่นี่ (ที่ไม่รู้สึกว่าอิ่มเลย) จากนั้นพวกเราก็ตรงดิ่งไปยังวินรถตู้เพื่อมุ่งหน้าสู่กรุงเทพ โดยที่บีบี้คาดหวังว่ารถจะจอดแวะข้างทางให้บีบี้ได้หาซื้ออะไรกินระหว่างทาง (แต่เอาเข้าจริงบีบี้ก็เอาของฝากมากินตั้งแต่รถยังไปไม่ถึงชะอำเลย)

สำหรับครั้งแรกนี้ บีบี้คิดว่าบีบี้คงประเมินความสามารถของตัวเองและคุณแดดดี้สูงเกินไปทำให้ร้านที่ได้ไปกินมาไม่มากอย่างที่คิดไว้ ประกอบกับการจัดลำดับร้านที่ไม่ถูกต้องทำให้อาหารที่ซื้อมาต้องเสียรสชาติไปเนื่องจากการรอซื้ออาหารจากร้านอื่น สำหรับครั้งต่อไปบีบี้คงจะต้องวางแผนใหม่ให้ดูเป็นไปได้มากกว่านี้




ปล. จะว่าไปแล้ว ถ้าบีบี้จะไม่พูดถึงที่พักเลยก็คงจะไม่ค่อยดีนัก เลยกล่าวถึงและลงรูปให้ดูพอสังเขปก็แล้วกัน



ที่พักดังกล่าวตั้งอยู่บนถนนแนบเคหาสน์ ระหว่างถนนชมสินธุ์ (ซอยหัวหิน 55) กับถนนเดชานุชิต (ซอยหัวหิน 57) มีชื่อว่า โรงแรมพนัญไชย (จริงๆ แล้วเป็น Guesthouse มากกว่าโรงแรม) โดยฝั่งตรงข้ามจะเป็นซอยหัวหิน 55/2 ซึ่งสามารถเดินทะลุออกไปยังถนนเพชรเกษมได้ ราคาของห้อง (มีราคาเดียว ไม่มีราคา low/high season - หมายเลขโทรศัพท์ 032-511-633, 032-511-707) เป็นดังนี้
   1. ห้องเตียงเดี่ยวนอน 2 คน (Double Bed) ราคา 650 บาท (เป็นห้องที่บีบี้เลือกพักสำหรับครั้งนี้)
   2. ห้องเตียงคู่นอน 2 คน (Twin Bed) ราคา 700 บาท
   3. ห้องเตียงนอน 3 คน (Triple Bed) ราคา 900 บาท

โดยห้องทุกแบบจะรวมอาหารเช้าที่เป็นชา-กาแฟกับขนมปังปิ้ง (ห้องอาหารจะอยู่ชั้นล่างทางซ้ายของแผนกต้อนรับ) ดังนี้



บีบี้เลือกที่จะพักที่นี่เพราะว่า
   1. ราคาที่ถูกเพียง 650 บาท แต่ดูไม่เหมือน guesthouse โทรมๆ หรืออาคารพาณิชย์ดัดแปลงมากนัก
   2. ตำแหน่งที่ตั้งที่อยู่ไม่ห่างจากวินรถตู้ ตลาดฉัตรไชย ตลาดโต้รุ่ง และทะเลหัวหิน แต่ก็ไม่ติดกับถนนใหญ่ซึ่งจะได้ไม่ประสบกับมลพิษต่างๆ ทั้งควันรถและเสียงตามท้องถนน แต่สิ่งที่เป็นผลพลอยได้ที่คาดไม่ถึงก็คือ การได้รับลมทะเลและมองเห็นวิวทะเลหัวหินจากหน้าต่างห้องพักหรือริมระเบียง (เนื่องจากบีบี้พักชั้นบนสุด ชั้น 6 ห้อง 605)

และที่นี่ก็มีข้อเสียเหมือนกันนั่นคือ
   1. ลิฟต์รับส่งคนเหมือนจะใหม่แต่ฟังก์ชันการทำงานเหมือนอาจจะ error ได้ทุกเมื่อ (คือบีบี้กับคุณแดดดี้เจอเหตุการณ์ครั่งหนึ่งที่ลิฟต์จอดไม่ตรงกับพื้นของชั้นล่างและประตูก็เปิดไม่หมดด้วย)
   2. บริเวณห้องนอนและห้องน้ำไม่กว้างมาก (บางคนอาจจะไม่ชอบ)
   3. ภายในห้องไม่มีตู้เย็น (มีแค่เฉพาะห้อง 3 คนนอน) ดังนั้นถ้าจะแช่ของอะไรก็เป็นอันหมดสิทธิ์
   4. โทรทัศน์เล็กมาก (ขนาด 14 นิ้ว) และอยู่สูงพอสมควร ดังนั้นเวลากดเปลี่ยนช่องเป็นต้องชู remote control ให้สูงๆ เข้าไว้

แต่เนื่องจากราคาประกอบกับบีบี้ไม่ได้เน้นเรื่องห้องพักที่ต้องดีเยี่ยมเท่านั้น ดังนั้นที่นี่จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของบีบี้สำหรับการมาพักที่หัวหินในครั้งต่อไป



Smiley บีบี้ Smiley




 

Create Date : 27 กันยายน 2552    
Last Update : 27 กันยายน 2552 21:41:25 น.
Counter : 4733 Pageviews.  

หัวหินครั้งแรกของปี : ตอนที่ 3 Hua Hin Hills Vineyard

ระยะเวลาการเดินทาง: 27 - 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

อารัมภบท
ที่นี่จัดเป็นที่แรกที่พวกเราวางแผนจะไปเยี่ยมชม โดยบีบี้และเพื่อนเอ๋ได้หาข้อมูลใน website ที่ //www.huahinhillsvineyard.com/ แต่ก็ไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับเส้นทางการเดินทางมากนัก เลยเป็นอันว่าพวกเราจะโทรถามเส้นทางจากหมายเลขโทรศัพท์ใน website กัน




วันนี้ทุกคนต้องตื่นเช้าเพราะพวกเราวางแผนกันว่าจะไปกินข้าวเช้าที่ตลาดฉัตรไชยตอน 9 โมงเช้าประกอบกับต้องจัดเก็บกระเป๋าและอาบน้ำก่อนออกเดินทาง ซึ่งทั้งหมดก็เป็นไปตามแผนที่วางไว้

หลังจากกินข้าวเช้าที่ร้านเจ็กเปี๊ยะเสร็จ ก็เป็นหน้าที่ของเพื่อนเอ๋ที่โทรถามทางจากพนักงานของ Hua Hin Hills Vineyard โดยตรง แต่กลับกลายเป็นว่าบีบี้เองที่คุยกับพนักงานคนนั้น





เส้นทางไป Hua Hin Hills Vineyard ให้ขับรถไปทางเดียวกันกับวัดห้วยมงคล แต่เมื่อถึงแยกที่เลี้ยวเข้าวัด ให้ขับตรงต่อไปทางที่ไปน้ำตกป่าละอู ที่ตรงทางแยกไป Hua Hin Hills Vineyard ให้สังเกตว่าด้านซ้ายมือจะมีอาคารพาณิชย์ที่มีสีชมพูขึ้นเป็นแนว และตรงจุดนี้ให้เลี้ยวซ้ายและขับไปตามทางอีก 8 กิโลเมตรก็ถึงที่หมาย จากตัวเมืองหัวหินจนถึงไร่องุ่นมีระยะทางประมาณ 40 กิโลเมตร





พอไปถึง พวกเราก็อดชื่นชมไร่องุ่น (อย่างที่คิดไว้) เพราะองุ่นออกผลเฉพาะช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคมเท่านั้น พวกเราจึงตรงไปที่ห้องอาหารของไร่องุ่นที่ชื่อว่า "The Sala" ซึ่งมีลักษณะเป็นแบบเปิดโล่งเพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศของไร่องุ่นที่ไม่ร้อนเกินไปเพราะมีหลังคาคลุมและลมที่พัดอยู่เป็นระยะ ส่วนโต๊ะอาหารถูกวางไว้ริมระเบียงซึ่งถูกสร้างต่างระดับเป็น 2 ชั้น





และที่ริมระเบียงด้านหลัง มีโต๊ะอาหารตั้งเรียงรายบนระเบียงเพียงชั้นเดียว (เพราะด้านบนเป็นห้องอาหารแบบปิด โดยใช้ผนังเป็นกระจก)





จากนั้นต่างคนต่างแยกกันเดินโดยบีบี้และเพื่อนเอ๋เลือกเดินที่สวนด้านหน้าของห้องอาหาร ซึ่งให้ความรู้สึกร่มรื่นด้วยไม้เลื้อยไม้ดอกต่างๆ (ที่ไม่ใช่ต้นองุ่น)





และเดินอ่านป้ายตามทางเดินเข้าห้องอาหารซึ่งเป็นรายละเอียดของพันธุ์ขององุ่นที่ใช้สำหรับทำไวน์





ส่วนอีกด้านของทางเดินก็เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับผลิตไวน์ในสมัยก่อน





จากนั้นทุกคนก็กลับมารวมกันที่ห้องอาหารเพราะพี่สาวอยากซื้อเสื้อเป็นที่ระลึก ส่วนบีบี้อยากซื้อน้ำองุ่นกลับบ้าน คุณบริกรเลยพาพวกเราไปที่ซุ้มเครื่องดื่มเพื่อชิมน้ำองุ่น แต่เมื่อไปถึงคุณบริกร (เป็น Sommelier หรือปล่าว) ก็จัดไวน์มาให้ชิม โดยตัวแรกชื่อ "Colombard" เป็นไวน์ขาวที่ได้จากการบ่มองุ่นพันธุ์ Colombard (ตามชื่อของไวน์) มีรสที่อมเปรี้ยว สำหรับตัวที่สองมีชื่อว่า "White Shiraz" ซึ่งเป็น Rose Wine ที่ได้จากการบ่มองุ่นพันธุ์ Shiraz และตัวสุดท้ายที่ชิม (ก่อนที่จะเมาไวน์) มีชื่อว่า "Shiraz" ซึ่งเป็นไวน์แดงที่ได้จากการบ่มองุ่นพันธุ์ Shiraz ตามชื่อไวน์นั่นเอง (บีบี้ไม่ทราบความแตกต่างระหว่างโรเซ่กับไวน์แดง แต่คิดว่าน่าจะเป็นที่ระยะเวลาที่ใช้ในการบ่มน้อยกว่า - มั้ง - เลยทำให้รสชาติของ White Shiraz ไม่แรงเท่า Shiraz ซึ่งนั่นทำให้บีบี้ชอบ White Shiraz มากกว่า)





และแล้วพวกเราก็ได้ชิมน้ำองุ่นกันเสียที่ ซึ่งที่นี่มีน้ำองุ่น 2 แบบ คือน้ำองุ่นจาก Shiraz ซึ่งมีสีแดงและรสชาติออกหวาน ในขณะที่อีกแบบเป็นน้ำองุ่นจาก Colombard ซึ่งสีใสออกเขียวเหลืองเล็กน้อยและมีรสชาติหวานอมเปรี้ยว สำหรับบีบี้แล้วจะชอบน้ำองุ่นเขียวมากกว่า แต่เนื่องจากน้ำองุ่นเขียวยังไม่มีการบรรจุขวดขาย บีบี้เลยซื้อกินเป็นแบบแก้วซึ่งราคา 60 บาท ส่วนน้ำองุ่นแดงที่บรรจุขวดขายก็ซื้อมาในราคา 65 บาท





เมื่อทุกคนได้ของครบตามที่ต้องการ ก็ได้เวลากลับกรุงเทพเสียที แต่ว่าขณะที่กำลังขับรถออกไปนั่นเอง พวกเราสังเกตเห็นว่าข้างทางมีแปลงองุ่นแปลงหนึ่งที่ออกผลองุ่น (แปลกตรงที่ทำไมมีผลองุ่นออกตอนช่วงนี้) พวกเราจึงจอดรถลงไปถ่ายรูปกัน บีบี้เลยได้รูปต้นองุ่นพร้อมกับ close-up พวงองุ่นเป็นของฝากก่อนกลับกรุงเทพ (ส่วนภาพนางแบบเป็นภาพโอ๋ถ่ายคู่กับองุ่นซึ่งเป็นภาพที่ดีที่สุดแล้วเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ)

ส่วนอาหารมื้อสุดท้ายที่หัวหินของทริปนี้ก็ลงเอยที่ร้านป้าสังเวียนซีฟู้ดที่มีคนเนืองแน่นมากๆ แต่ไม่นานนักก็ได้โต๊ะ กินอาหารไปชมทิวทัศน์ทะเลชะอำ-หัวหินไป ช่างได้บรรยากาศจัง แต่ครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายของปีสำหรับหัวหินเพราะประมาณ 2 สัปดาห์ต่อมา บีบี้ก็ได้กลับมาที่หัวหินอีกครั้ง



Smiley บีบี้ Smiley




 

Create Date : 20 กันยายน 2552    
Last Update : 20 กันยายน 2552 0:45:09 น.
Counter : 877 Pageviews.  

หัวหินครั้งแรกของปี : ตอนที่ 2 วัดตาลเจ็ดยอด-วัดเขาเต่า-เพลินวาน

ระยะเวลาการเดินทาง: 27 - 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

อารัมภบท
แต่เดิมบีบี้ตั้งใจจะเขียนถึงแค่วัดตาลเจ็ดยอดและวัดเขาเต่าที่พวกเราไปกันมาในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น แต่หลังจากที่บีบี้ทำรูปเสร็จก็พบว่าถ้าเขียนเฉพาะเรื่องนี้ก็คงได้ 4 ย่อหน้าจบ ก็เลยผนวกเพลินวานซึ่งได้ไปมาช่วงตอนเย็นของวันเดียวกันเข้ามาด้วย




เช้าวันรุ่งขึ้น บีบี้ตื่นแต่เช้า ไม่ใช่ว่านอนไม่หลับ แต่เป็นเพราะต้องลุกขึ้นมาฉี่หลายครั้ง (เมื่อวานท่าจะกินน้ำเยอะบวกกับห้องนอนที่เปิดแอร์เย็นมาก) เป็นอันขี้เกียจกลับไปนอนอีก เลยหยิบกล้องถ่ายรูปมาถ่ายรูปบ้านพัก (ซึ่งบีบี้เคยมาไม่ต่ำกว่า 10 ครั้งแล้วแต่ไม่เคยถ่ายรูปเก็บไว้เลย)





หลังจากถ่ายรูปเสร็จ บีบี้ก็กลับขึ้นมาบนบ้านพร้อมกับอาการหิว แต่บรรดาคุณนายยังนอนซมกันอยู่ บีบี้เลยควานหาของที่เหลือจากเมื่อวานกินไปพลางๆ ก่อน (ดูเหมือนจะน่าสงสาร) โชคดีที่ยังมีมัฟฟินช็อคโกแลตและเค้กกล้วยหอมของ Puff & Pie และข้าวโพดเหลืออยู่ บีบี้เลยเอาไปอุ่นให้ร้อนด้วยเตาไมโครเวฟ แต่ด้วยการที่กะเวลาและความร้อนไม่ถูก มัฟฟินและเค็กกล้วยหอมที่ควรจะนุ่ม ก็กลับเหนียวเหมือนเคี้ยวยาง (เลยต้องลอกผิวๆ ทิ้ง) ที่พอกินได้ก็มีข้าวโพดที่ทำให้อยู่ท้องไปได้เป็นชั่วโมง

หลังจากที่ทุกคนก็ตื่นนอนกันหมด ก็วางแผนกันว่าจะไปหาอะไรกินที่ตลาดกันก่อน แล้วจึงกลับมาตั้งหลักที่บ้านกันใหม่ บีบี้เลยไปกินข้าวทั้งๆ ที่ยังใส่ชุดนอนอยู่ จะได้ไม่เสียเวลาอาบน้ำ (ซึ่งกว่าจะอาบน้ำเสร็จก็คงจะเสียเวลาอีกครึ่งชั่วโมง)

ระหว่างที่นั่งกินอยู่ที่โจ๊กร้านเจ้แอน ทุกคนก็นั่งคุยกันตามปกติ แต่แล้วเพื่อนเอ๋ก็เปิดประเด็นว่าอยากไปวัดตาลเจ็ดยอดซึ่งมีรูปหล่อหลวงพ่อโตที่ใหญ่ที่สุดประดิษฐานอยู่ ทำให้ทุกคนสนใจโดยเฉพาะพี่สาว (รุ่นพี่ที่ชื่อสาว ไม่ใช่พี่สาวของบีบี้) ผู้เป็นเจ้าของรถผู้นำพาทุกคนไปดูเหมือนจะสนใจเป็นพิเศษ เลยเป็นอันตกลงว่าเช้านี้เราจะไปวัดตาลเจ็ดยอดกัน แต่เนื่องจากวัดตาลเจ็ดยอดนั้นอยู่คนละเส้นทางไปบ้านพัก แผนการเลยเปลี่ยนเป็นไปเที่ยวชมวัดกันก่อนแล้วกลับมาซื้ออาหารกลางวันที่ตลาดก่อนกลับไปที่บ้านพัก ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย (แต่บีบี้ลืมไปเลยว่าตัวเองยังใส่ชุดนอนแขนกุดอยู่)





เส้นทางไปวัดตาลเจ็ดยอด พวกเราเริ่มต้นที่ตลาดฉัตรไชย ขับไปตามถนนเพชรเกษมลงไปทางปราณบุรีประมาณ 40 กิโลเมตร ด้านซ้ายมือจะมีป้ายชี้ทางไปวัด ให้เลี้ยวซ้ายแล้วขับไปตามทางที่ป้ายบอกอีกประมาณ 1 กิโลเมตรก็ถึงที่หมาย เนื่องจากฝนตกพรำๆ ตั้งแต่เช้า ยอดเขาจึงมีหมอกลง ทำให้ดูแล้วไม่เหมือนว่าพวกเราอยู่ที่ประจวบฯ เลย





เมื่อถึงที่หมาย พวกเราก็ขึ้นไปนมัสการหลวงพ่อโตด้วยดอกไม้ธูปเทียนที่ซื้อมาจากตลาดฉัตรไชย เสร็จแล้วก็ชื่นชมกับทิวทัศน์โดยรอบพร้อมกับเก็บรูปเป็นที่ระลึก (บีบี้ไม่ได้ถ่ายรูปตัวเองไว้เพราะเกรงว่ารูปที่ระลึกจะกลายเป็นรูปที่ระทึก)





วัดที่นี่สร้างออกมาได้สวยงามซึ่งตกแต่งด้วยรูปปั้นนก (หรือจะเป็นครุฑ) ตามราวบันได พร้อมกับสวนรอบวัดที่ประดับประดาด้วยไม้ดอกต่างๆ บีบี้สังเกตว่าที่วัดดังกล่าวมีกลุ่มทัวร์มาเที่ยวด้วย ดังนั้นลานด้านข้างวัดจะมีร้านขายของฝากตั้งอยู่ ซึ่งบีบี้ก็ได้ชีสเชคสับปะรดและครีมแครกเกอร์สับปะรดมาเป็นของฝาก (พร้อมกับฝากท้องบีบี้ขากลับบ้านด้วย) ราคากล่องละ 30 บาท แต่บีบี้ต่อราคาจนได้ 6 กล่อง 150 บาท





เนื่องจากเวลายังเหลือ พวกเราเลยแวะวัดเขาเต่าเพื่อไปนมัสการหลวงปู่ทวดและเจ้าแม่กวนอิม (อันนี้ไม่ได้อยู่ในแผน เลยไม่ได้ซื้อดอกไม้ธูปเทียนไปด้วย) จากตลาดฉัตรไชย ขับไปตามถนนเพชรเกษมลงไปทางปราณบุรีประมาณ 10 กิโลเมตร (ถึงก่อนวัดตาลเจ็ดยอด) ด้านซ้ายมือจะมีป้ายชี้ทางไปวัด ให้เลี่ยวซ้ายและขับไปตามทางที่ป้ายบอกประมาณ 1 กิโลเมตรกว่าๆ เลยอ่างเก็บน้ำเขาเต่าไปนิดเดียวก็ถึงที่หมาย (ตอนแรกคิดว่าทริปนี้จะขับรถไม่หลงทาง แต่ก็หลงจนได้เมื่อขากลับมาวัดเขาเต่า พวกเราเผลอเลี้ยวเข้าเส้น by-pass ด้วยความเข้าใจว่าเป็นถนนเพชรเกษม กว่าจะรู้ตัวก็ขับรถเลยไปหลายกิโลเมตรแล้ว)

เห็นตอนเช้าฝนตกพรำๆ แต่เมื่อมาถึงวัดเขาเต่า อากาศร้อนและแดดเปรี้ยงปร้างมาก พวกเราเลยไม่มีอารมณ์จะถ่ายรูป แถมไปได้แค่นมัสการเจ้าแม่กวนอิม เพราะทางไปนมัสการหลวงปู่ทวดอยู่ไกลซึ่งจะต้องไปขึ้นเขาอีกที่หนึ่ง ด้วยการที่ต้องเดินขึ้นเขาบวกกับแดดที่ร้อนมาก (อันหลังสำคัญสำหรับบีบี้มากเพราะไม่ได้เตรียมทาครีมกันแดดมา) พอเดินไปได้ครึ่งทางจึงเป็นอันยุติการเที่ยววัดเขาเต่า

เมื่อกลับลงมาก็เจอร้านขายของฝากอีก มีหรือที่บีบี้จะพลาด เลยได้ปลากรอบครึ่งกิโล 200 บาท (ปรากฎว่าครั้งหลังสุดที่ไปหัวหิน บีบี้ซื้อในตลาดได้ถูกกว่า ครึ่งกิโล 150 บาทเอง ทาโร่และทาโร่กรอบรวมกัน 1 กิโล 240 บาท) ชีสเชคสับปะรด (อีกแล้ว) 2 กล่อง 70 บาท (3 กล่อง 100 บาท) และปลาหมึกฝอย (บีบี้กินเอง) 1 ขีด 40 บาท รวมทั้งหมด 700 บาทถ้วน

จากนั้นก็ได้เวลาตามหาอาหารกลางวันซึ่งก็เป็นส้มตำ ไก่ทอด น้ำตกหมูย่าง พร้อมกับขนมหวานป้าปรางค์และขนมซ่อนรูป (คล้ายขนมตะโก้โดยส่วนแป้งจะมีเม็ดบัวลอยผสมอยู่เต็มถาด) จากร้านแม่เก็บที่แวะซื้อก่อนถึงตลาดฉัตรไชย หลังจากที่กินเสร็จแล้วก็เก็บล้างจานและนอนดูโทรทัศน์จนส่วนใหญ่เผลอหลับไปด้วยฤทธิ์ของข้าวเหนียว

ตื่นมาราว 4 โมงกว่า ก็สมควรแก่เวลาที่จะเริ่มแผนการที่วางไว้เสียที่ นั่นคือเพลินวาน ทุกคนเปลี่ยนเสื้อผ้า ดูดีกันหมด ยกเว้นบีบี้ที่เปลี่ยนแต่เสื้อ (เพราะเห็นว่าเดี๋ยวก็กลับมานอนแล้ว) รูปที่ออกมาเลยไม่เดิร์นเหมือนคนอื่นเค้า





พอ 5 โมงเย็นพวกเราก็มาถึงเพลินวาน สำหรับเส้นทางการเดินทาง ถ้ามาจากตลาดฉัตรไชยให้ขับรถไปทางชะอำ เมื่อเลยพระราชวังไกลกังวลประมาณ 500 เมตร จะพบเพลินวานทางขวามือ แต่ถ้ามาจากกรุงเทพ พอเกือบจะถึงพระราชวังไกลกังวลให้สังเกต Index Living Mall ซึ่งอยู่ทางซ้ายมือแล้วเตรียมกลับรถเข้าสู่เพลินวาน





ด้านหน้าของเพลินวานถูกประดับประดาด้วยรถโบราณอย่างรถตุ๊กตุ๊กและรถจักรยาน ส่วนที่เก๋ไก๋ก็เป็นกล่องรับนามบัตรด้านหน้าที่ทำการเพลินวาน พอเดินเข้าไปทางซ้ายมือจะพบบันไดขึ้นไปชั้น 2 และแผนที่ซึ่งดูๆ แล้วเหมือนเพลินวานก็ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก





พวกเราเลือกเดินไปทางลานตรงกลางซึ่งทางด้านซ้ายมือจะมีรถเข็นขายของกินโบราณ อย่างเช่นน้ำมะเน็ด (รู้สึกว่าเหมือนเคยกินแต่เด็กๆ) ปลาเสียบ หอยเสียบ ปลาหมึกแห้ง และผลไม้ต่างๆ (ซึ่งวันนี้ไม่มีขายผลไม้)





ส่วนด้านใน จะเป็นลานที่นั่งซึ่งมีภาพวาดสถานีหัวหัวหินในสมัยโบราณที่ประดับบนผนังพร้อมกับกล้องถ่ายรูปโบราณและรถจักรยาน (สังเกตว่าในเพลินวานจะถูกประดับตกแต่งด้วยรถจักยานเป็นจำนวนมาก)





พอเดินลึกเข้าไปก็จะพบซุ้มเล่นเกมส์คล้ายๆ กับงานวัด เนื่องจากบีบี้ไม่มีทักษะทางด้านนี้ บีบี้เลยขอยืนดูและถ่ายรูปเท่านั้น





ส่วนทางด้านขวาจะเป็นร้านกาแฟ ห้องเสื้อและร้านของเล่น รวมถึงบันไดซึ่งขึ้นไปยังชั้นสอง





ด้านหน้าของร้านกาแฟจะมีเก้าอี้ริมระเบียงซึ่งมีคนนั่งอยู่ตลอด (คงจะนั่งกินกาแฟมั้ง) และห้องเสื้อที่ชื่อเก๋ๆ ว่า ไฉไล (แต่ เอ๊ะ! ทำไมป้ายด้านหน้าเป็นรูปตู้ขนมหยอดเหรียญไปได้)





พอเดินเข้าไปในห้องเสื้อก็พบเสื้อผ้าต่างๆ รวมถึงชุดว่ายน้ำ (ดูสวยดีแต่แพงและต่อราคาก็ไม่ได้) นอกจากนี้ก็มีของโบราณ เช่น พัดลม จักรเย็บผ้า โทรศัพท์ Chandelier (โอ๊ะ! ไม่ใช่ มันเป็นแค่โคมไฟ) และ Bouquet ช่อใหญ่ แต่คนในรูปไม่ใช่ของโบราณนะ พวกเค้าคือเพื่อนเอ๋ พี่สาวและน้องของพี่สาวชื่อโอ๋ (บีบี้เป็นคนถ่ายรูปให้เอง)





ถัดจากนั้นก็เป็นร้านของเล่นซึ่งมีขนมสมัยก่อนตั้งขายอยู่ (ทำให้นึกถึงหนังเรื่อง "แฟนฉัน") อย่างน้ำเต้าปูปลา หมากฝรั่งบุหรี่ และลูกอมต่างๆ (พูดอย่างนี้ ทำให้คนอื่นเดาอายุของบีบี้ได้หรือปล่าวนี่ จริงๆ แล้วบีบี้อายุยังน้อย ของเหล่านี้บีบี้ไม่เคยรู้จักเลย คริ คริ)





ต่อไปพวกเราก็เดินขึ้นไปชั้นสองซึ่งบันไดอยู่ระหว่างร้านกาแฟกับห้องเสื้อ ซึ่งผนังประดับด้วยโปสเตอร์ที่เป็นโปสเตอร์แผ่นเดียวกับด้านหน้าของเพลินวาน รวมถึงโปสเตอร์โรงแรมหัวหิน และรูปแรกที่บีบี้ถ่ายพร้อมกับเพื่อนๆ (เพื่อนเอ๋และพี่สาว)





พอขึ้นไปถึงชั้น 2 ก็จะพบร้านขายไอศครีมกะทิสด ซึ่งเครื่องใส่ไอศครีมดูน่ากินมาก (แต่ขอเก็บท้องเอาไว้กินไอศครีมเจ๊นิที่ตลาดโต้รุ่งดีกว่า) ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เป็นที่นั่งกินไอศครีมที่ประดับด้วยแจกันพร้อมดอกกุหลาบประดิษฐ์ และที่นี่เองที่พวกเรามีรูปครบกันทั้งสี่คนเป็นรูปแรก (ด้วยความสามารถของโอ๋แต่ต้องขอโทษที่รูปติดกรอบเลยออกมาเป็นแบบนี้)





จากนั้นพวกเราก็ออกมาตรงระเบียงซึ่งสามารถเดินไปร้านอาหารและบาร์เหล้าที่สุดทางเดินชั้น 2 แต่ระหว่างนี้ก็ขอชมวิวด้านล่างจากชั้น 2 ก่อน (สังเกตว่าด้านหลังซุ้มเล่นเกมส์ยังมีการก่อสร้างซึ่งเห็นอาคารที่ต่อเติมขึ้นมาอีก 2 หลัง คาดว่าคงเป็นส่วนต่อเติมซึ่งน่าจะเปิดใช้ในเร็ววันนี้)





เนื่องจากที่ร้านอาหารไม่มีอะไรเลยนอกจากโต๊ะกับเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ พวกเราเลยเดินตรงไปยังบาร์เหล้า ซึ่งมีซุ้มผสมเหล้าและซุ้มยาดอง ส่วนด้านในก็เป็นที่นั่งและมีเวทีสำหรับร้องเพลงด้วย พวกเราเลยนั่งพักที่นี่ (แต่ไม่สั่งเหล้าหรือยาดองมากินแน่นอน) เลยได้รูปครบสี่ซึ่งเป็นรูปสุดท้ายของทริปนี้ (ด้วยความสามารถของโอ๋เหมือนเดิม)





จากนั้นทุกคนก็เข้าห้องน้ำก่อนที่จะออกจากเพลินวาน บีบี้เลยได้ครอบครองกล้องถ่ายรูปซึ่งได้เก็บภาพห้องน้ำ (ชาย) ร้านตัดผมและโคมไฟ (ที่ไม่ใช่โคมระย้า) ตรงบันได





และท้ายสุดกับภาพตอนค่ำๆ ซึ่งได้เปิดไฟทั่วทั้งเพลินวานที่ดูสวยไปอีกแบบ (บีบี้ว่าดูสวยกว่าในตอนกลางวันเสียอีก) พอก้มดูนาฬิกาอีกทีก็เกือบ 1 ทุ่มแล้ว จึงได้เวลาอันควรแก่การเดินตลาดโต้รุ่งแล้ว

ในตอนหน้าซึ่งเป็นตอนสุดท้ายและวันสุดท้ายของทริปหัวหินครั้งนี้ พวกเราได้ไปชมไร่องุ่น Hua Hin Hills Vineyard กัน (ไปเป็น Yoon Eun Hye ในเรื่อง The Vineyard Man กันเถอะ) ซึ่งพวกเราได้พบกับไร่องุ่นสวยพร้อมทั้งนั่งชิมไวน์ด้วย



Smiley บีบี้ Smiley




 

Create Date : 19 กันยายน 2552    
Last Update : 19 กันยายน 2552 23:04:02 น.
Counter : 2306 Pageviews.  

หัวหินครั้งแรกของปี : ตอนที่ 1 บ้านพักอันแสนสุข

ระยะเวลาการเดินทาง: 27 - 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

อารัมภบท
นี่เป็น Blog แรกของบีบี้ที่ได้เขียนเรื่องราวของการท่องเที่ยว ซึ่งในปีนี้บีบี้ไปเที่ยวมาหลายที่แล้ว แต่ขอให้เกียรติแด่หัวหิน สถานที่พักร้อนที่บีบี้ชอบที่สุดและไปบ่อยที่สุด




และครั้งนี้เป็นการเดินทางไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนๆ ในช่วงวันธรรมดาเหมือนเดิม เนื่องจากบ้านพักถูกจองเต็มในวันเสาร์-อาทิตย์ ดังนั้นกว่าล้อรถจะเริ่มหมุนเพื่อวิ่งหนีจากกรุงเทพไปสู่หัวหินได้ก็เกือบๆ 5 โมงเย็น (บีบี้ก็แวบออกจากที่ทำงานก่อนเพื่อไปเจอกันที่นัดพบ) และเนื่องด้วยฝนที่ตกหนักในตอนเย็น กว่าจะถึงเป้าหมายก็เกือบ ๆ 3 ทุ่มแล้ว (เป้าหมายของพวกเราคือตลาดโต้รุ่งหัวหิน - ไม่ใช่ที่พัก)

สำหรับหัวหินในตอนนี้ บีบี้ขอพูดถึงบ้านพักตากอากาศอันเป็นที่รักของพวกเรา ซึ่งไม่มีปีไหนเลยที่เราจะไม่ได้อาศัยชายคาของบ้านหลังนี้เป็นที่หลับนอน (ทั้งนี้และทั้งนั้น ต้องขอบคุณเพื่อนเอ๋สำหรับสวัสดิการดีๆ จากที่ทำงานที่ทำให้พวกเราได้มาซึ่งการพักผ่อนในบ้านอันแสนสวยและราคาถูกแห่งนี้)





บ้านพักแห่งนี้อยู่ติดกับพระราชวังไกลกังวล โดยขับรถมาตามถนนเพชรเกษมจนเกือบจะถึงพระราชวัง ให้เลี้ยวเข้าซอยหัวหิน 33 ขับไปตามทางประมาณ 1 กิโลเมตร ทางด้านขวามือก็จะพบป้ายเล็กๆ ที่เขียนว่า "บ้านจุลฝ่า"





เมื่อดูด้านหน้าของบ้านทั้งซ้ายและขวา บ้านหลังนี้ก็เหมือนกับบ้านพักตากอากาศของข้าราชบริพารในสมัยก่อน ซึ่งประกอบด้วยชั้นใต้ถุนและชั้นบนที่เป็นที่พัก





ทางขึ้นไปชั้นบนจะมี 2 ทางคือด้านหน้าซึ่งอยู่ทางซ้ายของตัวบ้านกับด้านหลังบ้านซึ่งอยู่ทางขวาของบ้าน ส่วนใหญ่แล้วพวกเราจะขึ้นลงทางด้านหน้าของบ้าน ขณะที่เดินขึ้นไป บีบี้ก็สังเกตเห็นป้ายชื่อของบ้านหลังนี้ซึ่งถูกเรียกว่า "เรือนอดิสัย" (ที่บ้านจุลฝ่าจะมี บ้าน 2 หลัง ส่วนอีกหลังหนึ่งซึ่งอยู่ข้างๆ กันนั้นจะเป็นของเจ้าของอีกคนหนึ่ง)





พอขึ้นไปถึงก็จะพบลานกว้างที่มีเก้าอี้ริมระเบียงสำหรับนั่งชมทะเลและเก้าอี้โซฟาสำหรับรับรองแขกอยู่ตรงกลาง ถัดไปก็จะเป็นโต๊ะกินข้าวตัวใหญ่ซึ่งอยู่ใกล้กับห้องครัว ณ จุดนี้พวกเรามักจะใช้เป็นที่อเนกประสงค์ ทั้งใช้กินข้าว ดูโทรทัศน์ หรือแม้แต่ใช้หลับนอนตอนกลางวัน (ด้วยความเย็นจากลมทะเลที่พัดผ่านห้องนี้ตลอดเวลาจนพวกเราแทบไม่ต้องพึ่งพัดลมเลย)





ในห้องนี้จะถูกประดับประดาด้วยภาพวาดและภาพถ่ายของบ้านเรือนนี้ ภาพเจ้าของเรือน (บีบี้ไม่ได้ถ่ายมา) และคนเฝ้าเรือนที่ปาปารัสซี่อย่างบีบี้แอบถ่ายแบบ close-up มาให้ดูกัน





ถัดจากห้องนั่งเล่นก็เป็นทางเดินซึ่งทางด้านซ้ายมือจะเป็นห้องครัวและห้องน้ำ ส่วนด้านขวาจะเป็นห้องนอน ห้องครัวที่ชั้นบนเป็นเหมือนห้องเตรียมอาหารเท่านั้น จึงมีแค่เตาไมโครเวฟ (แต่เดิมเป็นเตาอบไฟฟ้า) และตู้เย็นเท่านั้น ส่วนห้องน้ำถูกแยกเป็นพื้นที่เปียกออกจากพื้นที่แห้ง ดูเป็นสัดเป็นส่วน (เนื่องจากบีบี้ถ่ายรูปหลังจากที่อาบน้ำเสร็จ เลยมีเครื่องอาบน้ำวางเต็มอยู่ในห้องน้ำ)





ส่วนด้านขวาของทางเดินประกอบด้วยห้องนอนใหญ่ที่ชื่อว่า "ห้องอุ่น" ซึ่งสร้างความอบอุ่นสมชื่อได้ด้วยความจุ 8 คนนอน ส่วน 2 ห้องถัดมา ซึ่งสามารถจุคนได้ห้องละ 4 คน ชื่อ "ห้องแพร" และ "ห้องออม" (ปกติที่พวกเราที่มากัน 4 คน จะเลือกนอนห้องออมเป็นประจำ และคราวนี้ก็เหมือนกัน) บีบี้ชอบห้องนอนแบบนี้เพราะดู cozy (เล็กๆ แต่น่าอบอุ่น) มาก - ทำให้บีบี้นอนจนไม่อยากจะตื่นเลย





ด้านในสุดของห้องนอนทุกห้องที่ชั้นนี้จะมีประตูที่ออกไปสู่ระเบียงด้านหลังซึ่งสามารถมองออกไปชมสวนของบ้านและยังประกอบด้วยห้องน้ำ 2 ห้องและห้องสุขาที่แยกจากห้องน้ำอีก 2 ห้อง (บีบี้ก็ชอบตรงที่บ้านนี้มีห้องน้ำเยอะมาก)





และที่สุดทางเดินก็มีโต๊ะตัวใหญ่และเก้าอี้ริมระเบียงสำหนับนั่งเล่น (คงไม่มีใครมานั่งชมวิวสวนหลังบ้านเพราะวิวทะเลที่หน้าบ้านดูสวยกว่า) พร้อมกับทางลงสู่ชั้นล่าง





ที่ชั้นล่างซึ่งเสมือนชั้นใต้ถุนประกอบด้วยห้องครัวที่มีอุปกรณ์ครัวครบครัน (แต่ส่วนใหญ่พวกเราไม่ค่อยทำกินที่บ้าน อุปกรณ์พวกนั้นเลยไม่ได้ถูกใช้) ห้องนอนแบบ 4 คนนอนที่ชื่อ "ห้องอินออน" ห้องน้ำและลานซักล้าง โต๊ะกินข้าวตัวใหญ่ และเตียงพับสำหรับนอนชมวิวทะเล (บีบี้ไม่ได้ถ่ายรูปบางห้องเพราะพวกเราไม่ค่อยใช้ชั้นล่างกัน)





สำหรับรอบๆ บ้านนั้นถูตกแต่งด้วยต้นไม้ที่เป็นไม้ใบตัดแต่งและไม้ดอกต่างๆ (ซึ่งบีบี้ไม่เคนชื่นชมกับสิ่งเหล่านี้เลยจนกระทั่งได้มาถ่ายรูป ซึ่งโอกาสหน้าบีบี้จะนำรูปดอกไม้ทั้งหมดที่บีบี้ถ่ายเก็บไว้มาให้เชยชมกัน)





ส่วนด้านหน้าริมทะเล มีโต๊ะและเตา BarBQ สำหรับจัดปาร์ตี้ (ที่เคยทำแค่ครั้งแรกครั้งเดียว) และถ้าคิดจะเดินเล่นริมทะเล ก็สามารถทำได้ แต่แค่ฝั่งซ้ายของบ้านเท่านั้น เพราะทางด้านขวาเป็น "เขตพระราชฐาน" ไม่สามารถเดินเข้าไปได้





ของแถมจากที่บ้านคือการนั่งมองดูเรือคุ้มกันตั้งแต่เช้า กลางวันและเย็น ซึ่งเช้าและกลางวันก็ดูธรรมดา แต่พอเปิดไฟในตอนกลางคืนก็ดูสวยดี


บีบี้ยังหวังที่จะได้พักที่บ้านอันแสนอบอุ่นหลังนี้ทุกครั้งที่ได้มาที่หัวหินทุกๆ ปี (บีบี้และเพื่อนๆ คงต้องบีบคอเพื่อนเอ๋ให้ทำงานอยู่ที่นี่ตลอดไป)

ตอนหน้าบีบี้จะกล่าวถึงวัดตาลเจ็ดยอดซึ่งเป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อหลวงพ่อโตและวัดเขาเต่าซึ่งเป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อหลวงปู่ทวดที่พวกเราไปแวะในวันถัดไป



ปล. มีคนถามบีบี้หลายคนทั้งพี่ที่ทำงานและเพื่อนกลุ่มอื่นว่าราคาเท่าไร บีบี้ขอบอกว่า ราคาต่อห้อง (แบบ 4 คนนอน) ประมาณคืนละ 250 บาท และค่าที่นอนต่างหากชุดละ 55 บาทจ้า แต่ ราคานี้เป็นราคาสวัสดิการของพนักงานบริษัท ซึ่งจะเปิดให้จองล่วงหน้า 6 เดือน หรือถ้ามีห้องว่าง โดยพนักงานเท่านั้นจะต้องเป็นผู้ไปรับกุณแจตอน Check-in ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้สิทธินี้กับคนนอกได้ และนั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมพวกเราจึงต้องบีบคอเพื่อนเอ๋ให้ทำงานอยู่ที่นี่ตลอดไป



Smiley บีบี้ Smiley




 

Create Date : 15 กันยายน 2552    
Last Update : 19 กันยายน 2552 23:57:35 น.
Counter : 4576 Pageviews.  


bee4ever
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]









บีบี้รู้สึกว่าบีบี้ชอบทำอาหารเอามากๆ หลังจากที่บีบี้ทดลองอบขนมหลายๆ อย่าง หลังจากทำเสร็จก็จะมีขนมหลายแบบหลายรสชาติทั้งแบบที่แทบจะกินไม่ได้จนถึงกระทั่งแบบที่อร่อยจนหมดหลังจากอบเสร็จ แต่ขนมทุกอย่างก็ต้องผ่านการชิมจากบีบี้ทั้งสิ้น

ด้วยเหตุนี้ น้ำหนักตัวและสัดส่วนของบีบี้ก็เริ่มเปลี่ยนไป ทำให้บีบี้ต้องกลับไปเล่นโยคะร้อนอีกครั้ง ซึ่งภายใน 3 สัปดาห์นี้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก บีบี้กำลังรอลุ้นว่าโยคะร้อนคราวนี้จะทำให้สิวขึ้นเขรอะอีกหรือเปล่า

Smiley บีบี้ Smiley



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add bee4ever's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.