ใ ค ร รู้ >>Gu>>Mai>>Ru
 

บทความสอบ Final เรื่อง WEB 2.0

สอบ Final วิชา EBS 672
บทความส่วนตัววิเคราะห์ WEB 2.0
เสนอ พ.ท.รศ.ดร.เศรษฐพงษ์ มะลิสุวรรณ
จัดทำโดย นายพรหมรัตน์ บุรชล รหัสนักศึกษา 498049
นักศึกษาระดับปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต

หวังว่าผู้ที่อ่านบทความนี้คงมีความสงสัยเหมือนกับผมในตอนแรกว่า WEB 2.0 มันคืออะไร ผมก็ต้องของอธิบายซักหน่อยซึ่งจริง ๆ แล้วมันไม่ได้มีความหมายที่ถูกระบุไว้อย่างตายตัว แต่มันเป็นการให้ความหมายของสิ่งที่เปลี่ยนไปของเทคโนโลยีเว็บไซต์ โดยมีการกำหนดตัวเลขว่าเป็น Generation ที่ 2 ของเว็บนั่นเอง โดยมีเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาสนับสนุน ที่เกี่ยวข้องกับ Web 2.0 นั้นก็ เช่น AJAX, Blog, Feeds, Pod cast, Social networking ฯลฯ

Web 2.0 ควรจะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
บางท่านอาจจะงงว่า และ เว็บแบบไหน ที่จัดเป็น WEB2.0 ดังนั้นขออธิบายต่อว่า นอกจากจะมีเทคโนโลยี ดังกล่าวข้างต้นนั้นแล้วเมื่อเราเข้าไปที่เว็บไซต์ ที่เป็นWeb 2.0 ก็ควรจะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

• ให้ความสำคัญกับผู้เข้าชมเว็บไซต์ โดยที่ผู้เข้าชมเว็บไซต์จะมีส่วนร่วมต่อเว็บไซต์มากขึ้น ไม่ใช่แค่เข้ามาชมเว็บไซต์ที่เจ้าของเว็บจัดทำขึ้นเท่านั้น ผู้เข้าชมเว็บไซต์สามารถสร้าง content ของเว็บไซต์ขึ้นมาได้เองหรือสามารถ tag content ของเว็บไซต์ (คล้ายๆการกำหนด keyword ที่เกี่ยวข้องกับ content โดยผู้เข้าชมเว็บไซต์เป็นผู้กำหนดขึ้น) ตัวอย่างเช่น Digg, Flickr, Youtube , Wiki

• Web 2.0 application จะมีคุณสมบัติที่เรียกว่า RIA (Rich Internet Application) นั่นคือ Web 2.0 application จะมี user interface ที่ดียิ่งขึ้น เช่น คุณสมบัติ drag & drop ซึ่งเราใช้กับใน desktop application ทั่วๆไปก็สามารถใช้ได้บนเว็บเช่นกัน โดยเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องในการสร้าง RIA เช่น AJAX, Flash

• คุณสมบัติที่เรียกว่า mash-up ก็เป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งของ Web 2.0 application นั่นก็คือการที่เราสร้าง Web application ขึ้นมาสักตัวหนึ่ง แล้วเราสามารถเปิด service ของ Web application ให้คนอื่นๆสามารถมาใช้ได้ ยกตัวอย่างเช่น ผมสร้าง Web application เกี่ยวกับระบบการซื้อขายสิ้นค้า online ขึ้นมาโดยผมสามารถ mash-up ระบบของผมเข้ากับ Google maps ได้อย่างง่ายดายเพื่อที่จะทำ Web application ของผมนั่นมีความสามารถในการ ซื้อขายสินค้า online แล้วยังสามารถคำนวณระยะทางและเวลาในการขนส่งสินค้าไปให้ลูกค้า รวมทั้งสามารถพิมพ์แผนที่เส้นทางได้ โดยที่ผมไม่ต้องสร้าง Application สำหรับสร้างแผนที่ขึ้นมาเองเลย โดยเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องคือ Feeds, RSS, SOA, Web services

นอกจาก คุณสมบัติที่กล่าวไปนี้แล้วเราจำเป็นต้องมีเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เข้ามาสนับสนุนด้วยซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวจะทำให้ WEB 2.0 ซึ่งเทคโนโลยีต่าง ๆ นั้นจะทำให้ WEB นั้นมีความสมบูรณ์ สะดวกสบาย และเอื้อประโยคต่อผู้ใช้มากยิ่งขึ้น โดยมีเทคโนโลยีที่น่าสนใจสำหรับ WEB 2.0 เช่น

AJAX
ถือว่าเป็น เทคโนโลยีที่สำคัญมากๆ สำหรับ Web 2.0 application เลยทีเดียว โดย AJAX ใช้สำหรับการสร้าง user interface ที่สามารถใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้นและรวดเร็วยิ่งขึ้นบนเว็บ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ AJAX นั้นสามารถทำงานบนทุก Browser ไม่ว่าจะเป็น IE, Fire fox, Opera หรือ Safari ก็ตาม ตัวอย่าง Web 2.0 Application ที่นำ AJAX ไปใช้ก็เช่น Gmail, Google Docs & Spreadsheets, Google Calendar หรือ Lets Prove VO

XML, Web services
ใช้ในการทำให้ Web 2.0 Application สามารถ Integrate Functional ในการทำงานร่วมกันได้ง่ายยิ่งขึ้น application ที่เราคุ้นเคยก็เช่น เราสามารถติดตามตำแหน่งงานที่เราสนใจใน Jobsdb ได้โดย RSS feeds

SaaS (Software as service)
เป็น Model ใหม่สำหรับการใช้บริการ software โดยที่แต่ก่อนเราอาจจะต้องซื้อ software เป็น license แล้วนำมา install บนเครื่องเรา แล้วเมื่อถึงเวลาที่ผู้ผลิต update software เป็น version ใหม่เราก็ต้องไป download หรือซื้อ software ใน version ใหม่ และถ้าหากมีผู้ใช้ software เป็นจำนวนมากๆก็จะต้องเสียเวลาและเงินอย่างมากในการ update software แต่ละที ซึ่ง SaaS จะสามารถแก้ปัญหาในจุดนี้ได้โดยมอง software เป็นเหมือนบริการ ๆ หนึ่งโดยผู้ใช้บริการเพียงแค่จ่ายค่าบริการ แล้วก็สามารถใช้งาน software ผ่านทาง web browser ได้ทันที เมื่อมีการ update software ก็จะทำเองอัตโนมัติโดยผู้ผลิต SaaS มีข้อดีคือ ผู้ใช้จะสามารถวางแผนงบประมาณสำหรับการซื้อ software ได้มากยิ่งขึ้น (ไม่ใช่ว่าซื้อ software มาแล้วยังต้องจ่ายค่า support, fix bug ตามมาอีก) และใช้เวลาน้อยกว่าในการ update version software แต่ละครั้ง ตัวอย่าง SaaS เช่น Google, Sales force, Zoho



นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจาก WEB 1.0 มาเป็น WEB 2.0 ด้วยโดยผมอย่างเปรียบเทียบให้ดูว่าเมื่อก่อนเราใช้ WEB 1.0 อะไร แล้วเปลี่ยน มาเป็น WEB2.0 อะไรดังนี้

ตารางเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงจาก WEB 1.0 มาเป็น WEB 2.0

WEB 1.0=====>WEB 2.0
Akamai=====>BitTorrent
Mp3.com=====>Napster
Britannica Online=====>Wikipedia
personal websites=====>Blogging
Evite=====>Upcoming.org and EVDB
Domain name speculation =====>Search engine optimization
Page views =====>Cost per click
Screen scraping =====>Web services
Publishing =====>Participation
Content management systems=====>Wikis
Directories (taxonomy) =====>Tagging ("folksonomy")
Stickiness =====>Syndication

จากตารางจะเห็นได้ว่าเว็บมีการเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะที่ทำให้ผู้ใช้ User มีส่วนร่วมมากขึ้นเริ่มเปลี่ยนโดยมีการสร้างลักษณะใหม่ ก็คือ Community หรือ Social มากขึ้นนั่นเอง ซึ่งทิศทางนี้ถือมาแรง และได้รับความนิยมแล้วในประเทศอเมริกาผู้ที่เป็นเจ้าของทฤษฎี และกระแสในเมืองไทยว่า WEB2.0 จะแจ้งเกิดในเมืองไทยได้จริงหรือไม่ และการพัฒนาเว็บจาก 1.0 มาเป็น 2.0 จะส่งผลกระทบทางด้านใดบ้างนั้น ซึ่งจะขอกล่าวถึงผลกระทบในบางส่วนเพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจ

ผลกระทบของ WEB 2.0 ต่อการตลาด
หลังจากที่เว็บไซต์ต่าง ๆ เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงมาเป็น WEB 2.0 ก็ส่งผลถึงระบบกลไกทางการตลาดที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยเช่นกัน โดยในปีนี้เทรนด์ของ website ได้เริ่มเข้าสู่ระบบ 2.0 แล้ว ขณะที่อินเตอร์เน็ทประเทศไทยเรายังไม่พัฒนาถึงไหนเลย ยกตัวอย่าง Ebay.com ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถซื้อขายกันได้กับคนทั่วโลก (โดยผ่าน internet) และก็ตามมาด้วย Myspace flickr YouTube และอื่นๆ อีกมากมาย เราจะสังเกตได้ว่า WEB ต่างๆ ที่ได้ยกตัวอย่างไปจะมีลักษณะเฉพาะคือ คนดูจะเป็นคนสร้าง Content เอง โดยที่เจ้าของ WEB เหล่านี้ก็ทำหน้าที่เป็นเพียงแค่ช่องทางที่เปิดโอกาสให้คนได้มีสิทธิในการผลิต Content ลงบน Website เหล่านั้น การพัฒนาของ WEB2.0 จะเป็นการช่วยทำให้ข้อมูล Content ต่างๆ บนอินเตอร์เน็ทมีมากขึ้น และสมบูรณ์ยิ่งขึ้น และที่สำคัญ มันยังได้เปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนรวมกับการสร้างฐานข้อมูลมากยิ่งขึ้น
สังเกตได้ว่ายุคสมัยนี้ตลาดบนอินเตอร์เน็ทเริ่มเปลี่ยนแปลงให้เป็นตลาด นิช มากขึ้น และ Website 2.0 ก็เป็นรูปแบบของ นิช มาร์เก็ดติ้ง ซึ่งที่จริงแล้วหลักความคิดของระบบ Website 2.0 ก็ไม่ได้เป็นอะไรที่ใหม่นักในการตลาด แต่ก็ถึงว่าต้องต้องมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ที่ใช้ให้มีความสอดคล้องมากขึ้นให้หลาย ๆ ด้าน เช่น

การโฆษณา
ในอดีตการโฆษณาสินค้าต่าง ๆ นั้นผู้ขายอาจจะทำการสร้าง เว็บไซต์ของตัวเองขึ้นมาและทำการโฆษณาสินค้าที่ตัวเองต้องการขายหรือบริการที่เกี่ยวช้อง โดยชื่อของเว็บไซต์ (Domain name speculation) ก็จะเป็นการตั้งชื่อเพื่อสร้างให้เกิดการจดจำไปถึงตัวสินค้า หรืออาจจะเป็นชื่อเดี่ยวกับบริษัทไปเลยก็ได้ แต่ในปัจจุบัน เมื่อ WEB 2.0 เข้ามากลับเป็นในลักษณะที่ผู้ซื่อ ต้องการซื่อสินค้าใดก็ไม่จะเป็นต้องรู้จักชื่อเว็บไซต์เลยก็ได้ เพียงแค่ทำการค้นหาจากเว็บไซต์ที่เป็น Search engine ก็สามารถที่จะได้รายชื่อของเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่มีสินค้าหรือบริการ ที่คุณต้องการอาจจะรวมถึงข้อมูลรายละเอียดของสินค้าหรือบริการในรูปแบบใหม่ต่าง ๆ เช่น คลิปวีดีโอ YouTubeสาธิตวิธีการใช้สินค้าออกใหม่ หรือ RSS FEED อีกด้วย

การชื้อ – ขาย
ในเรื่องของการทำการค้าก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน เพราะไม่จำเป็นต้องเสียค้าใช่จ่ายในการจัดตั้งร้านค้าให้สิ้นเปลืองทำให้ต้นทุนลดลง ซึ่งส่งผลให้สินค้ามีราคาถูกกว่าตามตลาดทั่วไป ยกตัวอย่าง Ebay.com ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถซื้อขายกันได้กับคนทั่วโลก (โดยผ่าน internet) ไม่ว่าจะขายอะไรหรือจะซื้ออะไรก็สามาระเข้าไปซื้อ ขายได้ที่เว็บไซต์ ซึ่งนั้นก็มีข้อดีหลายประการ เช่น ไม่จำเป็นต้องเดินทาง สะดวกสบาย สามารถที่จะหาสินค้าที่ไม่มีตามร้านปกติได้ เป็นต้น

การโปรโมชั่น
การบอกกล่าว ข่าวสารสินค้าหรือบริการใหม่นั้น ทางผู้ขายสินค้าหรือบริการได้มีการปรับเปลี่ยนการโฆษณาให้เป็นไปในลักษณะการสร้างกระแสคลื่นแบบปากต่อปากได้ เนื่องจากสื่อสารของ WEB 2.0 สามารถสร้างปรากฏการณ์แบบปากต่อปากได้ดังไฟลามทุ่ง จากการแนะนำผ่าน Blog ส่วนตัว ซึ่งคุณอาจจะตัดสินใจซื้อครีมชนิดนั้นมาใช้เพราะคนที่ใช้แล้วดีมาเขียนบอกใน Blog หรือเลิกซื้อขนมปังยี่ห้อนั้นไปตลอดชีวิต เมื่อมีคนถ่ายภาพราขึ้นแฮมจากร้านนั้นมาลงให้ดู ซึ่งเป็นสิ่งที่ Web 1.0 ไม่อาจทำได้

การสื่อสารด้านข้อมูลของสินค้าหรือบริการ
ถ้าต้องการที่จะทำการ เปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงข้อมูลสินค้า แต่ก่อนอาจจะทำได้โดย Webmaster หรือคนดูแลเว็บไซต์เท่านั้น แต่ในปัจจุบันสามารถสื่อสารตอบโต้ได้ทั้งผู้สร้างเว็บและผู้ใช้เว็บ ดังเช่น Blog หรือการ Post กระทู้ต่างๆ ซึ่งจะทำให้ข้อมูลมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ส่งผลถึงการตัดสินใจที่จะซื้อสินค้าหรือรับบริการของลูกค้าที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ด้วย


ผลกระทบของ WEB 2.0 ต่อวัฒนธรรม
มีหลายประเทศเช่นเดี่ยวกันที่ การพัฒนาทางเว็บเข้าไปทำลายวัฒนธรรมที่มีอยู่ในพื้นที่นั้น ๆ อันนี้ต้องสืบเนื่องมาจากมาการพัฒนาของเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่มาเอื้ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการทางด้าน Internet ทำให้มีการส่งผ่านข้อมูลที่รวดเร็วยิ่งขึ้น Hi-Speed Internet ทำให้เกิดวัฒนธรรมใหม่ ๆ ในการตอบสนองความต้องการของมนุษย์ ในเรื่องของการแสดงออก ความต้องการเป็นที่ยอมรับในคนหมู่มาก ในบางครั้งก็นำพาไปในทางที่ไม่ถูกต้องไม่เหมาะสม ยกตัวอย่าง เว็บไซต์ YouTube My space ซึ่งเป็นเว็บที่ เปิดให้ผู้ใช้สามารถที่จะนำข้อมูล ภาพ เสียง หรือภาพวีดิโอ ต่าง ๆ มาเผยแพร่เพื่อความสนุกสนาน แต่ก็ดูนำมาใช้ในประเด็นที่ผิดวัตถุประสงค์ โดยบางข้อมูล ภาพ เสียง หรือภาพวีดิโอนั้นมีความไม่เหมาะสม ซึ่งนั้นก็ขึ้นอยู่กันทางด้านวัฒนธรรมของประเทศนั้น ๆ ด้วย ในบางประเทศเพื่อเป็นการป้องกันก็มีการสั่งระงับการเข้าใช้บริการของ เว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมอย่างนี้ไปเลย

ผลกระทบของผู้ใช้ระบบ Internet ทั่วไป
ในการพัฒนาของ WEB 2.0 นั้นส่งผลให้การเข้าถึง เว็บไซต์นั้นทำให้รวดเร็วมากขึ้นเพราะมีเทคโนโลยีที่ ชื่อว่า AJAX ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานสามารถที่จะเรียนรู้และทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้นยังสามารถอำนวยความสะดวกในการทำงานได้อีกด้วย เช่น การที่มีการนำโปรแกรมที่ใช้กันในเครื่องคอมทั่วไปนำมาไว้บนระบบ Intenet และการเก็บ ข้อมูลต่าง ๆ ไว้บน Internet เช่นกัน ทำให้เราสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ที่มีระบบ Internet โดยไม่ขาดตอน อีกประการนอกจากนี้ เรายังสามารถที่เผยแพร่ความรู้ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มีความชำนาญ หรือชื่นชอบก็สามารถให้พวก Blog MySpace ในการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เหล่านั้น ให้กับคนทั่วไปได้รับทราบ

การเข้ามาของ WEB 2.0 ในประเทศไทย
ในประเทศไทย เป็นอะไรที่เกิดขึ้นเป็นรูปเป็นร่าง ได้ยาก เพราะสาเหตุของปัญหานั้นเหมือนกัน คือเรื่องของคนกับวัฒนธรรม และการแก้ คือแก้ที่คนและวัฒนธรรม แต่คำถามสำคัญอีกคำถามก็คือ web 2.0 มีความสำคัญมากเพียงใด สำหรับอุปสรรคที่สำคัญที่สุดของ web 2.0 ในบ้านเราคือ คนผลิตเนื้อหา กับคนบริโภค กล่าวคือ กลุ่มหนึ่งก็จะบริโภคแต่ความบันเทิง อีกกลุ่มก็จะผลิตแต่ความบันเทิงเช่นกัน ดังนั้นจึงมองว่า สาเหตุในการผลิต และบริโภคเนื้อหา ของคนทั้งสองกลุ่มเหมือนกันคือ วัฒนธรรมการต่อต้านเนื้อหา ที่เป็นเนื้อหาจริง ๆ ในบ้านเรา ซึ่งผู้ผลิตเนื้อหา ก็ไม่ค่อยอยากผลิตเนื้อหาที่เป็นเนื้อหาจริง ๆ เพราะมองว่าผลิตยาก และมีผู้บริโภคน้อย ส่วนผู้บริโภคก็ไม่อยากบริโภคเนื้อหาที่เป็นเนื้อหาจริง ๆ เพราะกลัวเครียด


บทสรุป
สำหรับผู้ที่อ่านบทความนี้นี้แล้วผู้เขียนมีความหวังว่าพอที่จะเข้าใจว่า WEB 2.0 คืออะไรขึ้นมาบ้างซึ่งมันมีผลกระทบต่อระบบ Internet ของโลก ซึ่งก็ให้เกิด Social Network ที่ยิ่งใหญ่ และยังส่งผลกระทบถึงในหลาย ๆ ด้านที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง และปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัยที่มีการพัฒนาไป และใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยี ที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างเหมาะสมและเกิดประสิทธิ์ภาพมากที่สุด




 

Create Date : 13 ตุลาคม 2550    
Last Update : 13 ตุลาคม 2550 12:04:12 น.
Counter : 346 Pageviews.  

บทความ Internet Marketing

บทความ เรื่อง Internet marketing
เสนอ พ.ท.รศ.ดร. เศรษฐพงศ์ มะลิสุวรรณ
วิชา EBS672
จัดทำโดย นายพรหมรัตน์ บุรชล รหัส 498049

Moblie Marketting


การที่โทรศัพท์มือถือกำลังกลายเป็นสื่อใหม่ที่มีอิทธิพลสูงกว่าสื่ออื่นในอนาคตอันใกล้ ทำให้เป็นช่องทางที่นักการตลาดจากกลุ่มสินค้าและบริการอื่นต้องให้ความสนใจ เพราะบทบาทและอิทธิพลดังกล่าวต่อไปสินค้าบางอย่าง จะต้องทำการตลาดผ่านโทรศัพท์มือถือ (M-Marketing)

บทบาทของมือถือที่อยู่กับวิถีชีวิตประจำวันของคนมากขึ้น ทำให้มือถือจะมีบทบาทเป็นสื่อโฆษณาที่สำคัญ เพราะต่อไป ผู้บริโภคจะใช้เวลาส่วนมากในแต่ละวันอยู่กับโทรศัพท์มือถือในการรับข่าวสารและความบันเทิงต่างๆ
ธุรกิจอื่นสามารถใช้มือถือทำการตลาดได้เยอะมาก เริ่มจากการใช้ SMS เป็นสื่อโฆษณา บริษัทต่าง ๆ สามารถใช้ประโยชน์จากซีอาร์เอ็มมากขึ้น และธุรกิจทางกลุ่มโทรศัพท์มือถือก็จะมีกำไรเพิ่มขึ้นจากการใช้งานมากขึ้นด้วย เพราะตัวผู้บริโภคเองนั้นมีความต้องการโปรโมชั่นสินค้าและบริการต่างๆ

แต่การทำการตลาดบนโทรศัพท์มือถือนั้น มีข้อจำกัดพอสมควร เพราะโทรศัพท์มือถือแม้จะอยู่กับผู้บริโภคมากที่สุด แต่ก็มีความเป็น Privacy มากที่สุด ไม่ใช่สินค้าต่างๆ นึกจะโฆษณาบนโทรศัพท์มือถืออย่างไรก็ได้ เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคได้รับสิ่งที่เขาไม่ต้องการ แต่ผู้บริโภคสามารถเลือกสรรข่าวสารข้อมูลที่ตนเองต้องการ ซึ่งก็จะเป็นผลดีต่อตัวลูกค่าเอง

บริการต่างๆ ที่ เป็นลักษณะ Moblie Marketting ในบ้านเรานั้นมีมากมาย เช่น Content ต่าง ๆ (พวกโหลด ๆ น้นแหละ โหลดนั้น โหลดนี้ เสียตังค์) การยิง SMS บอกลูกค้าว่ามาเจอกันที่งานนี้หรือมีของลดราคา 50% อนาคตคาดว่าสิ่งที่จะมีผลมากขึ้นคือ MMS เพราะมันเห็นภาพชัดเจนว่าหน้าตาสินค้าเป็นอย่างไร

ยกตัวอย่างในอเมริกา ญี่ปุ่น และยุโรป บริษัทใหญ่ๆ ทำการตลาดบนโทรศัพท์มือถือกันมาก เบียร์คาร์ลสเบอร์กเคยมีการทำแคมเปญการตลาดบนโทรศัพท์มือถือ โดยโยงกับแคมเปญฟุตบอลโลก มีการเล่นเกม มีการแจก E-Coupon หรือ M-Coupon เพื่อรับส่วนลดและสิทธิพิเศษต่างๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภค


มาเริ่มทำกันดีกว่า

ก่อนเราจะทำการตลาดบนมือถือ เราก็ต้องทราบถึงสภาพแวดล้อมของธุรกิจก่อน
โดยอาจจะทำการศึกษาได้โดยการหาข้อมูล บริษัทที่ทำธุรกิจประเภทนี้มาศึกษาก่อน ตัวอย่าง สยามชินนี้ดอสคอม เป็นต้น หลังจากนั้นแล้วเราก็ศึกษาลักษระการทำงานในระบบดังกล่าว ตามหัวข้อที่อย่างแนะนำดังนี้

1.เราจะทำการขายอะไรหรือทำอะไร แน่นอนคนที่ทำธุรกิจเช่นนี้เขาต้องคิดก่อนทำเสมอนั้นแหละ เอาต่อ.... สินค้าที่ทำบนมือถือที่มีในปัจจุบันก็เช่น การขายคอนเทนส์ พวกริงโทน เสียงเรียกเข้า ธีมหน้าจอ การนำเสนอข่าวสาร ข้อมูลต่าง ๆ ที่เจ้าของโทรศัพท์สนใจ ที่นี้เป็นทีของคุณบางล่ะที่จะคิด คิดเขาไป คิดออกแล้วไปอ่านต่อเลย

2.หลังจากที่ได้คำตอบแล้วว่าจะทำอะไร ต่อไปให้คิดอีกว่า(คิดอีกแล้วเหรอ) เราจะทำการประชาสัมพันธ์ บริการ / สินค้า ของเราอย่างไร อาจจะโฆษณาทางทีวี "จะคุ้มไหม" หรือแจกใบปลิ้ว แต่ตอนนี้กำลังมาแรง คือการสร้างกระแส ที่เรียกว่า Talk of the Town ดึงดูดลูกค้าได้ดี เช่นจับเอารถเต๋า(เอามาเยอะๆ)มาแต็มสีนิดหน่อย เลือดเอาตามใจและตามกำลังทุนด้วยนะ

3.ต่อไปเลยนะ ที่นี้เราลงทุนโปรโมตไปแล้วเสียตังไปแล้วว่ายังงั้นเถอะ เราก็ต้องหาวิธีที่จะเก็บลูกค้าไว้ให้ได้หลังจากเขาใช้บริการ / ซื้อสอนค้ากับเรา เพื่อให้เขาจ่ายตัวคืนทุนให้เราไง

4.อันนี้แหละยากหน่อย ถึงเวลาที่เราต้องเก็บเงินเขาแล้วเราจะเก็ยอย่างไรล่ะ หักจากบัตรเต็มเงิน หรือเรียกเก็บบวกกับค่าบริการรายเดือน หรือมีวิธีอื่น (ขอเน้นให้หาวิธีที่ง่ายไม่ซับซ้อน)

5.หลังจากเราได้เงินเขามาแล้ว เราก็ต้องส่งสินค้า / บริการให้เขาซิ ใช้ม่ะ แล้วเราจะส่งให้เขา(ลูกค้าที่น่ารัก)อย่างไร ถ้าของชิ้นใหญ่ต้องรวมค่าบริการการจัดด้วยอย่าลืมน่ะ

6.ราคาต้องเหมาะสมกับสินค้า / บริการด้วยไม่ใช้ เขาได้สินค้าและไม่ happy เลย อย่างนี้รับรองเขาไม่กลับมาใช้บิการคุณอีกแน่นอน


ขอเอา 4p มาวิเคราะห์หน่อยเหอะว่ามีดีอะไรเอาแบบ เบเบ(เบสิก)

Product ถ้าเรามีหัวหรือเพื่อนที่เก่งเราก๊ทำเองได้(หรือเปล่า) ถ้าเป็นสินค้าอื่น ๆ เราก็ต้องรู้จักคนขายส่งด้วยจะดี ช่วยลดต้นทุน

Price ด้านราคาเราต้องถูกว่าที่อื่นด้วยน่ะ ไม่งั้นเราจะขายไม่ได้

Place สถานที่นั้นเหรอ ไม่จำเป็น บ้านเราก็ได้ไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้านหรอกให้มันวุ่นวายและเปลืองเงิน

Promotion เราต้องมีให้เขาด้วยน่ะ ไม่ใช้จะเอาแต่ขายเขาอย่างเดียว ควรมี

Promotion บางเช่น คนนี้เขาชอบสินค้าประเภทไหน เราจะได้จัดให้เขาเลย(เขาก็จะรู้สึกดีเมื่อเข้ามาใช้บริการ) มีการแจ้งเตือนเมื่อมีอะไรใหม่ ๆ เข้ามาให้เขา(ลูกค้าที่น่ารักไง) รู้บ้าง

เอาแค่นี้ก่อนแล้วจะกลับมา Update อีกนะ




 

Create Date : 22 สิงหาคม 2550    
Last Update : 13 ตุลาคม 2550 11:51:02 น.
Counter : 164 Pageviews.  

 
 

bankmba
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ใครรู้>>Gu>>Mai>>Ru

>>ทำเร็วก็หาว่าล่ำหน้า<<
>>ทำช้าก็หาว่าล้าหลัง<<
>>>โง่ก็ถูกเขาตวาด<<<
> ฉลาด ก็ถูกเขาระแวง <
[Add bankmba's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com