Bancha
Group Blog
 
All blogs
 

สิ่งที่ดีที่สุดคือ ชี วิ ต สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตเราคือ หั ว ใ จ

สิ่งที่ดีที่สุดคือ ชี วิ ต สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตเราคือ หั ว ใ จ อย่าเอาชีวิตทั้งชีวิตไปยกให้ใคร อย่าเอาใจทั้งใจไปยกให้ใครคนเดียว อย่ายกสิ่งที่มีค่าที่สุดและดีที่สุดในชีวิตไปให้ใครดูแล เพราะไม่มีใครที่จะดูแลมันได้ดีกว่าตัวเรา อย่าปิดกั้นความรู้สึกของหัวใจ อย่าบอกว่าเกิดมาเพื่อรักคนๆ เดียว คนใจแคบเท่านั้นที่เกิดมาเพื่อรักคนได้คนเดียว เราสามารถรักใครต่อใครได้มากมาย ขอเพียงแต่ให้รู้จักหน้าที่ของความรัก หน้าที่ที่จะปฏิบัติต่อคนที่เรารัก รักต่างแบบปฏิบัติในหน้าที่ต่างกัน แล้วเมื่อวันใดวันหนึ่งคนบางคนไม่แยแสกับความรักที่เรามีให้ เราก็ยังเหลือใครต่อใครอีกมากมายและไม่เห็นต้องเจ็บเจียนตาย ถ้าเรามั่นใจว่าเราทำหน้าที่ให้รักนั้นเต็มที่แล้ว ความรักจะไม่ทำร้ายเรา...ถ้าเราไม่ทำร้ายตัวเอง

คนที่ทำให้เรามีอดีตที่เลวร้าย ก็จำไว้เป็นบทเรียน เราจะได้คอยระวังตัวมากขึ้น เพราะในโลกนี้ยังมีคนเลวๆ จำพวก "มัน" อีกมาก




 

Create Date : 02 มีนาคม 2551    
Last Update : 2 มีนาคม 2551 0:39:43 น.
Counter : 830 Pageviews.  

เปิดใจให้กว้าง . . . .

เปิดใจให้กว้าง . . . .
มีบริษัทหนึ่งประกาศรับสมัครพนักงานใหม่หนึ่งคน และมีคนมาสมัครมากมายหลายร้อย บริษัทนั้นให้ผู้สมัครทุกคนทำตอบคำถามหนึ่งข้อ ซึ่งคำถามมีอยู่ว่า

ในดึกคืนหนึ่งที่ฝนตกฟ้าคะนองขนาดหนักมากและคุณกำลังขับรถกลับบ้าน
ขณะที่ขับผ่านป้ายรถเมล์ป้ายหนึ่ง
คุณพบคนสามคนกำลังรอให้ฝนหยุดเพราะดึกเกินกว่าจะมีรถเมล์วิ่งแล้ว

คนสามคนนั้นคือ
1. หญิงชราที่กำลังป่วยและต้องการการรักษาด่วน
มิฉะนั้นเธออาจจะตายได้

2. หมอซึ่งครั้งหนึ่งเคยช่วยชีวิตคุณไว้

3. ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นแฟนของคุณและคุณรักเขามากขนาดจะแต่งงานกับเขาให้ได้


คำถามมีอยู่ว่า รถคุณเป็นแบบนั่งได้แค่สองคน
ดังนั้นคุณจะรับคนไปด้วยได้อีกแค่คนเดียว
คุณจะรับใครไปด้วย และให้เหตุผลที่ตัดสินใจอย่างนั้น

พวกเราก็ลองคิดดูสิว่าถ้าเราเป็นคนตอบคำถามข้อนี้
เราจะตอบว่ายังไง แล้วเทียบกับเหตุผลข้างล่าง



เอาล่ะ

ลองดูเหตุผลของคำตอบแต่ละแบบแล้วเทียบกับเหตุผลของคุณ เนื่องจากแต่ละข้อก็มีเหตุผลที่เหมาะสมในตัวของมันเอง

เหตุผลข้างล่างนี้
เป็นเหตุผลของคนเกือบทุกคน


1. ถ้าคุณตอบว่ารับคนแก่ เหตุผลก็เพราะเขากำลังจะตาย ถ้าคุณรับไปก็เท่ากับช่วยชีวิตคนได้

2. ถ้าคุณตอบว่ารับหมอ เหตุผลก็เพราะเขามีบุณคุณกับคุณ และนี่คือเวลาที่จะตอบแทนได้บางส่วน

3. ถ้าคุณตอบว่ารับแฟนคุณ เหตุผลก็เพราะ
เขาเป็นคนที่คุณรัก

คิดว่าตรงแค่ไหนล่ะ แต่ผู้ที่บริษัทนั้นรับเข้าทำงาน
เป็นผู้เดียวที่ตอบอีกแบบนึง...ให้คิดอีกที



คำตอบข้างล่าง






เขาตอบว่า "เขาจะให้กุญแจรถกับหมอ
ให้หมอพาคนแก่ไปโรงพยาบาล
และเขาก็จะอยู่ที่ป้ายรถเมล์นั้น กับคนที่เขารัก"


เป็นไง ประหลาดใจกับคำตอบใช่ไหม
และคิดว่ามันเป็นคำตอบที่ดีมากใช่ไหม
ข้อคิดของเรื่องนี้คือ
คนเรามักจะยึดติดและไม่ยอมปล่อยผลประโยชน์ตรงหน้า (กุญแจรถ และการกลับบ้าน) ทำให้เรามองอะไร ด้วยมุมมองที่แคบลง จะเห็นว่าการมอบกุญแจรถให้หมอ นอกจากจะได้ตอบแทนบุญคุณ (หมอก็คงไม่ยึดรถไปเป็นของตัวเองหรอก ภายหลังก็เอามาคืน)

เรายังได้ช่วยชีวิตหญิงชรา แถมได้อยู่กับคนที่เรารัก
แบบสองต่อสอง เรียกได้ว่าเสียไปแค่ไม่ได้กลับบ้านในตอนนั้น! แต่เราบรรลุวัตถุประสงค์ใหญ่อีกหลายอย่างได้ คุณล่ะ คิดว่าคุณมีมุมมองที่กว้างหรือแคบและยึดติดกับผลประโยชน์ต่าง ๆ แค่ไหน






 

Create Date : 25 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2551 1:34:19 น.
Counter : 730 Pageviews.  

ปริญญาวิชาชีพกับปริญญาชีวิต'

ปริญญาวิชาชีพกับปริญญาชีวิต'



อยากให้ทุกคนได้อ่านบทความดีๆ เสี้ยวหนึ่งจาก ท่าน ว.วชิรเมธี




ที่เมืองไทยปีที่แล้วมีข่าวเกรียวกราวมาก
คือมีดาราคนหนึ่งซึ่งมีชื่อดังมาก
เป็นคนดำเนินรายการคนค้นคน
ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร นะ
มาเรียนที่อเมริกา
เป็นคนเพอร์เฟคชั่นนิส
ทำงานทุกอย่างต้องดูดีที่สุดแม้กระทั้งล้างจาน
ล้างเสร็จแล้วแกต้องเอามาดมดู
ว่าสะอาดจริงมั้ย
กลับไปเมืองไทยก็ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย
มีแฟนก็จีบดาวมหาวิทยาลัยเลย
ต้องให้ดีที่สุด
เวลาแกไปเสนองานอะไรต่าง ๆ
เขียนไว้สามแผน
แผนที่หนึ่งลูกค้าไม่ซื้อ
แกเสนอแผนที่สอง
แผนที่สองลูกค้าไม่ซื้อแกเสนอแผนที่สาม
ใครไปดีลงานกับแกติดทุกราย
แกมีบ้าน มีรถ มีลูก มีภรรยา
มีธุรกิจ
มีชื่อเสียงทุกอย่าง
แกมีทุกอย่าง
วันหนึ่งแกพักผ่อน
หลังจากที่ทำงานแบบไม่ได้พักเลย
ลุกเมียไปขอพบ
บอกไปเจอพ่อที่ออฟฟิต
วันหนึ่งแกไปพักที่ปากช่อง
ตื่นขึ้นมากลางวันล้มฟุ๊บลงไป
ภรรยาพาเข้าโรงบาล
ตรวจพบมะเร็ง
พอพบปุ๊บเป็นระยะสุดท้ายเลย
จริง ๆ เค้าก็เตือนตลอด
แต่พอไม่มีเวลาไปตรวจมันก็แก้ไม่ได้
แกไปนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล
แล้วก็สารภาพให้รายการคนค้นคน
บันทึกชีวิตแก
ก่อนจะเสียชีวิต
แกก็ไปนอนให้พ่อแม่เช็ดเนื้อเช็ดตัว
แกก็บอกว่าสังเวชตัวเองมากแทนที่ลูกจะได้ดูแลพ่อแม่
กลับมาเป็นว่าพ่อแม่ต้องมาดูแลลูก


ก่อนจะเสียชีวิตแกให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์คมชัดลึกบอกว่า
พ่อผมเคยบอกว่า
เกิดเป็นคนต้องได้ปริญญาสองใบ

ปริญญาใบที่หนึ่ง
'ปริญญาวิชาชีพ'
เราจะต้องทำมาหากินเป็น
กินอิ่ม นอนอุ่น พูดง่าย ๆ
ล้วงไปในกระเป๋าแล้วมีเงินใช้
อยากจะนอนมีบ้านเป็นของตัวเอง
แค่นี้คือปริญญาวิชาชีพ


แต่'ปริญญาวิชาชีวิต'
ซึ่งเป็นปริญญาใบที่สองที่พ่อแกบอกไว้
แกบอกว่าผมสอบตกโดยสิ้นเชิง
ผมเป็นดอกเตอร์จากอเมริกาได้ปริญญาวิชาชีพ
แต่ปริญญาวิชาชีวิตสอบตก
เพราะอะไร
เพราะทำงานจนป่วยตาย



ก่อนที่จะเสียชีวิตแกได้สารภาพว่าผมได้เตรียมทุกอย่าง
บ้าน รถ
มอบมันให้กับลูกและภรรยา
แต่ในวันที่ผมมีทุกสิ่งทุกอย่าง
ผมกลับลืมมอบหนึ่งอย่างให้กับลูกและภรรยา
สิ่งนั้นคือสิ่งที่ผมลืมและทำให้ผมล้มเจ็บใหญ่ครั้งนี้
สิ่งที่ว่านี้คือผมลืมมอบตัวเองเป็นของขวัญให้กับลูกและเมีย
เพราะทำงานหนักจนกระทั่งป่วยตาย



นี่คือปริญญาวิชาชีวิต
ธรรมะเราจะต้องมี
ถ้าเราไม่มีธรรมะ
เราจะกลายเป็นหุ่นยนต์เท่านั้นเอง
ที่ทำงานแทบล้มประดาตายแล้วสุขภาพไม่ดี
ดังนั้นเมื่อเราทุกคนทำงานแล้ว
อย่าลืมชั่วโมงสุขภาพของตัวเองในแต่ละวันนะ
แต่ละวันควรจะมี
ให้ดูแลตัวเอง ดูจิต
ดูใจตัวเอง
ว่าเราเอ๊ะมันทุกข์
มันทุกข์มากเกินไปรึเปล่า
แบกเรื่องโน้นเรื่องนี้
เกินไปหรือเปล่า
พยายามลดลงในแต่ละวัน ๆ
เพื่อที่ว่าอะไร
เพื่อที่ว่าเราจะได้ปริญญาสองใบในชีวิต
หนึ่งปริญญาวิชาชีพ
เราทำมาหากินจนประสบความสำเร็จร่ำรวยมั่งคั่ง
มีเงินมีทองใช้มีบ้านอยู่
แต่ต้องไม่ลืมปริญญาใบที่สอง
คือวิชาธรรมะ
สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง
ไม่ทุกข์เกินไปไม่เดือนร้อนเกินไป
ทำอะไรให้พอดี
พอดีอยู่ดีมีสุข
อยากเที่ยวให้ได้เที่ยว
อยากพักให้ได้พัก
อยากทำบุญให้ได้ทำบุญ
ลูกหลานมาหาก็ให้ได้มีเวลากับลูกกับหลานบ้าง
อย่าวิ่งไปจนซ้ายสุด ขวาสุด
และมารู้สึกตัวอีกทำจนล้มเจ็บใหญ่ไม่ดี
เพราะอะไร
เพราะว่าสิ่งสูงค่าทีสุดในชีวิตของเรา



เคยมีคนไปทูลถามพระพุทธเ้จ้า
ว่าอะไรคือสิ่งสูงค่่าที่สุด
บางคนก็ตอบเงิน
บางคนก็ตอบเพชร
บางคนก็ตอบทอง
บางคนก็ตอบอำนาจ
บางคนก็ตอบราชบัลลังก์
พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่
สิ่งสูงค่าที่สุดในชีวิตของพวกเธอคือสุขภาพและชีวิต
สุขภาพก็คือการที่เราไม่เจ็บไข้ได้ป่วย
คนที่สุขภาพดีดื่มน้ำธรรมดาก็อร่อยนะ
และก็ชีวิตของเรา

----------------------------------------------------------------------------






 

Create Date : 31 มกราคม 2551    
Last Update : 31 มกราคม 2551 9:06:34 น.
Counter : 594 Pageviews.  

เรื่องจริงจาก ม.Stanford

เรื่องจริงจาก ม.Stanford

*วันแรกที่พวกเราเริ่มการเรียนในมหาวิทยาลัยนั้น*

*อาจารย์ของเราได้เข้ามาแนะนำตัว*



*และบอกให้พวกเราทำความรู้จักกับคนอื่นๆ ที่เราไม่รู้จักมาก่อน*



*ผมยืนขึ้นแล้วมองไปรอบๆ และมีมือๆ หนึ่ง เอื้อมมาจับบ่าของผม*



*ผมหันไปพบกับหญิงชราร่างเล็ก ผิวหนังเหี่ยวย่น
ที่ส่งรอยยิ้มอันเป็นประกายมาให้ผม
*



*รอยยิ้มนั้นทำให้เธอดูสดใสอย่างยิ่ง*





*หญิงชราคนนั้นกล่าวขึ้นว่า*



*"สวัสดี รูปหล่อ ฉันชื่อโรส อายุแปดสิบเจ็ดแล้ว มาให้ฉันกอดสักทีสิ"*





*ผมหัวเราะกับท่าทางของเธอ และตอบอย่างร่าเริงว่า*



*"แน่นอน ได้สิครับ " แล้วเธอก็กอดผมอย่างแรง ผมถามเธอว่า*



*"ทำไมคุณถึงมาเรียนมหาวิทยาลัย เอาตอนที่อายุน้อยและไร้เดียงสาอย่างนี้ละ.. "*





*เธอตอบด้วยเสียงปนหัวเราะว่า "ฉันมาหาสามีรวยๆ ที่ฉันจะได้แต่งงานด้วย
แล้วมีลูกสักสองสามคน... " *



*ผมขัดจังหวะเธอ โดยถามว่า "ไม่เอาครับ.. ถามจริงๆ " ผมสงสัยจริงๆ
ว่า อะไรทำให้เธอมาเรียนที่นี่ตอนที่อายุขนาดนี้ และเธอตอบว่า *



*"ฉันฝันมานานแล้ว ว่าฉันจะได้ปริญญา และตอนนี้
ฉันก็กำลังจะได้ปริญญาที่ฉันฝัน"*



*หลังเลิกเรียนวิชานั้น เราเดินไปที่อาคารสโมสรนักศึกษาด้วยกัน
และนั่งกินชอคโกแลตปั่นด้วยกัน เรากลายเป็นเพื่อนกันในทันที
*



*ตลอดสามเดือนหลังจากนั้น เราจะออกจากชั้นเรียนพร้อมกัน
และจะไปนั่งคุยกันไม่หยุด ผมนั้นประหลาดใจเสมอเมื่อได้ฟัง "ยานเวลา" ลำนี้*



*แบ่งปันความรู้ และประสบการณ์ของเธอให้กับผม*





*ตลอดปีนั้น โรสได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยของเรา
และเธอนั้นจะเป็นเพื่อนได้กับทุกคนในทุกที่ที่เธอไป เธอรักที่จะแต่งตัวดีๆ *



*และดื่มด่ำอยู่กับความสนใจ ที่นักศึกษาคนอื่นๆ
มีให้กับเธอ เธอได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่*



*เมื่อถึงตอนสิ้นสุดภาคการศึกษา
เราได้เชิญโรสให้มาพูดที่งานเลี้ยงของทีมฟุตบอลของเรา*



*ผมไม่เคยลืมเลยว่า เธอได้สอนอะไรให้กับเรา ... พิธีกรแนะนำตัวเธอ
และเธอก็เดินขึ้นมาที่แท่น *





*ตอนที่เธอกำลังเตรียมตัวที่จะพูดตามที่เธอตั้งใจนั้น*



*เธอทำการ์ดที่บันทึกเรื่องที่เธอจะพูดตกพื้น เธอทั้งอาย ทั้งประหม่า*



*แต่เธอโน้มตัวเข้าหาไมโครโฟนแล้วบอกว่า*



*"ขอโทษด้วยนะ ที่ฉันซุ่มซ่าม ฉันเลิกกินเบียร์มาตั้งนานแล้ว*



*แต่วิสกี้พวกนี้มันแรงจริงๆ... ฉันคงจะเอาบทของฉัน*



*
มาเรียงใหม่ไม่ทันแล้วงั้นฉันก็คงได้แค่บอกเรื่องที่ฉันรู้ให้กับพวกคุณก็แล้วกัน"
*





*พวกเราทุกคนหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง ตอนที่เธอเริ่มต้นว่า*



*"พวกเราทุกคนนั้น ไม่ได้หยุดเล่นเพราะเราแก่หรอก แต่เราแก่เพราะว่าเราหยุดเล่น
*



*ที่จริงแล้วมีเคล็ดลับสู่การที่จะยังหนุ่มสาวอยู่เสมอมีความสุข*



*และประสบความสำเร็จอยู่* *4 ประการ*



*1) พวกคุณจะต้องหัวเราะ และมีเรื่องสนุกๆ ขำขันทุกวัน*



*2) พวกคุณจะต้องมีความฝัน เมื่อไรก็ตามที่คุณสูญเสีย ความฝันของคุณไป คุณจะตาย
มีคนมากมายที่ยังเดินไป เดินมาอยู่ทั้งๆ *



*ที่ตายไปแล้วและไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตายไปแล้ว..*



*3) การที่คุณ "แก่ขึ้น" กับ "เติบโตขึ้น" นั้นมันต่างกันมาก ถ้าคุณอายุสิบเก้า
แล้วนอนอยู่บนเตียงเฉยๆ ปีหนึ่ง *



*และไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ตลอดทั้งปี คุณก็จะอายุยี่สิบ*



*ถ้าฉันอายุแปดสิบเจ็ด แล้วนอนเฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยตลอดทั้งปี ฉันก็จะอายุ*



*แปดสิบแปด ทุกๆ คนนั้นจะแก่ขึ้น ทั้งนั้น*



*ไม่จำเป็นต้องอาศัยความสามารถอะไรเลย*



*ประเด็นของการ เติบโตขึ้น นั้นอยู่ที่การแสวงหาโอกาสในการเปลี่ยนแปลง*



*4) อย่าทิ้งอะไรไว้ให้เสียใจภายหลัง คนสูงอายุส่วนใหญ่นั้น
ไม่เสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไปแล้ว แต่มักจะเสียใจกับสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ *



*คนที่กลัวความตายนั้น มีแต่คนที่ยังมีสิ่งทีต้องเสียใจค้างอยู่ "*





*เธอจบการพูดของ เธอด้วยการร้องเพลง* *"The Rose" อย่างกล้าหาญ*



*และเธอได้แนะให้พวกเราทุกคนศึกษาเนื้อร้องของเพลงนั้นและเอาความหมายเหล่านั้นมา
ใช้กับชีวิตประจำวันของพวกเรา *





*เมื่อสิ้นปีการศึกษานั้น โรสได้รับปริญญาที่เธอได้เริ่มฝันไว้เมื่อนานมาแล้ว*





*หนึ่งสัปดาห์หลังจบการศึกษา โรสจากไปอย่างสงบ*



*เธอนอนหลับไปและไม่ตื่นขึ้นอีกเลย*





*นักศึกษากว่าสองพันคนไปร่วมพิธีศพของเธอ เพื่อแสดงความเคารพ
ต่อหญิงชราผู้วิเศษ*





*ผู้ได้สอนให้พวกเขาได้รู้ ด้วยการทำให้เห็นเป็นตัวอย่างว่า
.......ไม่มีคำว่าสายเกินไป
ที่จะเป็นทุกสิ่งที่คุณสามารถเป็นได้*





*เมื่อคุณอ่านเรื่องนี้จบลง กรุณาส่ง
คำแนะนำอันดีเยี่ยมนี้ต่อให้กับเพื่อนและครอบครัวของคุณ พวกเขาคงจะชอบมัน *





*เรื่องราวเหล่านี้ส่งต่อกันมาเพื่อระลึกถึงหญิงชราที่ชื่อ โรส*





*จงจำไว้ว่า*





*"การแก่ขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้*



*แต่การเติบโตขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่เราเลือกได้*



*เราอยู่ได้ด้วยสิ่งที่เราได้รับ แต่เราจะมีชีวิตอยู่เพราะสิ่งที่เราให้ไป"*




 

Create Date : 31 มกราคม 2551    
Last Update : 31 มกราคม 2551 9:03:24 น.
Counter : 2051 Pageviews.  

Friend... is


Friend... is a tissue when you can't stop crying
เพื่อน คือ กระดาษทิชชู....ตอนเราร้องไห้ไม่หยุดซะที

A Friend... is a shoulder when you feel like dying
เพื่อน คือ หัวไหล่....ให้เราซบ เมื่อเรารู้สึกย่ำแย่

A Friend... always listens when you have something to say
เพื่อน รับฟังทุกอย่าง...เวลาเรามีเรื่องจะพูด

A Friend... is a week when you need a day
เพื่อน คือ สัปดาห์...เมื่อคุณต้องการวัน

A Friend... is a crutch when you have a brokenheart
เพื่อน คือ ไม้ดามหัวใจ...ยามเราอกหัก

A Friend... is some glue when everything falls apart
เพื่อน คือ กาว...เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างดูจะแตกสลาย

A Friend... is a sun when the rain just won't stop
เพื่อน คือ แสงอาทิตย์...เมื่อฝนไม่หยุดตก

A Friend... is your mom when you run into a cop
เพื่อน คือ คล้ายๆกับแม่นะ...หากเราต้องขึ้นโรงพัก

A Friend... is a phone call when you can't leave your home
เพื่อน คือ โทรศัพท์ เมื่อคุณไม่สามรารถออกจากบ้านได้

A Friend... is a hand when you feel all alone
เพื่อน คือ มือ...เมื่อเรารู้สึกเปล่าเปลี่ยว..(ขอจับมือหน่อยนะ)

A Friend... is a wing if you want to fly
เพื่อน คือ ปีก....หากคุณอยากจะบิน

A Friend... understands without knowing why
เพื่อน...จะเข้าใจเราทุกอย่าง โดยปราศจากคำถามว่า ทำไม

A Friend... is an ear for a secret to tell
เพื่อน คือ หู...เพื่อเอาไว้ฟังทุกเรื่อง..(โดยเฉพาะเรื่องลับๆ)

A Friend... is an aspirin when your head hurts like hell
เพื่อน คือ แอสไพลิน....เมื่อเราปวดหัว

A Friend... is a love that can never let go
เพื่อน คือ ความรัก...ที่คุณไม่ต้องค้นหา

A Friend... is you, and i wanted you to know!!
เพื่อน คือ คุณ.....ฉันอยากให้คุณรู้

i hope ....A FRIENDSHIP between you & me is forever more...
ฉันหวังว่า...... มิตรภาพระหว่างเราจะเป็นแบบนี้ตลอด




 

Create Date : 08 มกราคม 2551    
Last Update : 8 มกราคม 2551 5:41:52 น.
Counter : 605 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  

rajasit
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




Friends' blogs
[Add rajasit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.